ยอดสตรีฉางอิ๋ง
เขียนโดย Xiaobei
วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 17.20 น.
แก้ไขเมื่อ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 17.21 น. โดย เจ้าของนิยาย
13) เป็นผู้มีจิตใจเมตตาเฉลียวฉลาดได้
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความฮูหยินซ่งกลับมาที่เรือนใหญ่ด้วยหน้าตาเคร่งขรึม สาวใช้ใหญ่ฮว่าเหมยถือถ้วยชากฤษณามาตามปกติถ้วยหนึ่ง นางยกมุมปากขึ้น นิ้วเรียวทั้งสิบทั้งเรียวทั้งเชิดขึ้นราวกับดอกกล้วยไม้ นางกำลังจะกล่าวคำยกยอ คิดไม่ถึงว่าฮูหยินซ่งปรายตามองมาเห็นชากฤษณาเข้า กลับคิดไปถึงในจดหมายของเว่ยเจิ้งอินที่พูดถึงฮูหยินซูแม่ของเสิ่นจั้งเฟิงเข้าและนางยังจงใจมอบสร้อยลูกปัดกฤษณาให้กับเว่ยหลิ่วเยวี่ยของจือเปิ่นถังต่อหน้าทุกคนอีก ในใจพลันมีโทสะพุ่งขึ้นมา แล้วยกมือปัดถ้วยเงินคว่ำทันที
ถ้วยเงินลอยออกไป แล้วกระทบกับพื้นจนแตกกระจาย ฮว่าเหมยไม่ทันระวังจึงถูกรดเข้าทั้งตัว ยังดีที่อากาศร้อน ชากฤษณานี้เข้าไปในช่องเย็นมาถึงได้นำออกมา นอกจากร่างเปียกชื้นแล้ว ก็ไม่ได้เป็นอะไร
นางเงยหน้าขึ้นมองสีหน้าแข็งกระด้างของฮูหยินซ่งอย่างแปลกใจทันที ในแววตาราวกับมีโทสะ แม้ว่าจะไม่รู้ว่าทำผิดอะไร แต่ว่าฮว่าเหมยก็ยังเป็นคนมีไหวพริบ! ขาทั้งสองอ่อนลงแล้วคุกเข่ากับพื้นขออภัย "ฮูหยินระงับโทสะ!"
"วันหลังของเปรี้ยวเข็ดอย่างนี้ไม่อนุญาตให้นำมาอีก!" ฮูหยินซ่งปัดถ้วยชาล้มไปแล้ว ความโมโหในใจยากจะระงับอยู่ นางตบโต๊ะไปหลายครั้งอย่างแรง แล้วกล่าวตำหนิว่า "เห็นแล้วไม่ชอบใจนัก! จำคำข้าไว้ให้ดี!"
"เจ้าค่ะ!" ทุกคนต่างก็ไม่กล้าหายใจแรง แล้วตอบรับอย่างพร้อมเพรียง ต่างคนต่างก็ทำอะไรไม่ถูก เครื่องดื่มห้าชนิดที่ตกทอดมาจากราชวงศ์ก่อน ชากฤษณานับว่ายอดเยี่ยมที่สุด ตระกูลเว่ยของเฟิ่งโจว ตระกูลมีชื่อเสียงอย่างนี้ ยังเป็นถึงฮูหยินใหญ่ของตระกูลอีก แน่นอนว่าไม่มีทางที่จะไม่ดื่มของชั้นหนึ่ง
ชากฤษณาคือชาที่ฮูหยินซ่งดื่มมาตั้งแต่ยังเล็ก กระทั่งมาที่ตระกูลเว่ยหลายปีแล้วก็ยังไม่เคยเปลี่ยนรสชาติ ยามที่อากาศร้อนที่สุดของฤดูร้อนก็ยังไม่ดื่มชาอูเหมย คราวนี้กลับพลันไม่พอใจชากฤษณาเข้า...กระทั่งแม่นมซือยังรู้สึกประหลาดใจเลย
แต่ว่าเพียงมองเห็นสีหน้าของฮูหยินซ่งเข้าก็รู้แล้วว่าตอนนี้นางกำลังโมโห จึงไม่ควรไปถาม แม่นมซือคิดในใจอย่างรวดเร็ว แล้วลองถามฮูหยินซ่งอย่างเป็นห่วงดู "ฮูหยิน เมื่อครู่ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวว่าคนข้างกายของคุณชายห้าจะต้องจัดการเตือนเสียบ้าง ฮูหยินคิดว่า เรื่องนี้..."
ฮูหยินซ่งได้ยินเรื่องเกี่ยวกับบุตรสาวบุตรชายก็มีไฟขึ้นมา แล้ววางเรื่องทุกข์ใจขัดเคืองใจของบุตรสาวไว้ก่อน นางเอ่ยปากว่า "ในเมื่อฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวแล้ว ก็จะละเลยไม่ได้ เจ้าจงไปที่เรือนหลิวหวาด้วยตนเอง ให้ผู้ดูแลใส่ใจให้มากหน่อย! หากว่าสาวใช้เหล่านั้นใช้การไม่ได้ ก็ไล่ออกไปแล้วเปลี่ยนใหม่เสีย!"
แม่นมซือรับคำ ฮูหยินซ่งกดนวดไปที่ขมับ แล้วกล่าวสั่งการต่อไป "ไปเรียกเจ้าลูกเลวนั่นมาให้ข้า!"
‘ลูกเลว’ สองคำนี้ ฟังแล้วช่างเป็นน้ำเสียงที่ทั้งรักทั้งแค้น ไม่ต้องถามก็รู้ว่าหมายถึงใคร
ฮว่าถังรับคำแล้วออกไป ไม่นาน ก็พาเว่ยฉางอิ๋งมา
แม่ลูกทั้งสองเผชิญหน้ากัน ฮูหยินซ่งยังไม่ทันจะปั้นหน้า เว่ยฉางอิ๋งผู้ได้แผนการที่ซ่งไจ้สุ่ยชี้แนะมาก่อนหน้านี้ก็รีบคว้าโอกาสได้ก่อน แล้วโถมตัวเข้าไปในอ้อมอกของนาง พลางร้องไห้ระบายออกมาอย่าง ‘ตระหนกทำอะไรไม่ถูก’ ขึ้นมา "ท่านแม่ดูใบหน้าของข้า เมื่อครู่ท่านอาเฮ่อเห็นแล้วก็ร้องไห้ไปครู่ใหญ่ หากว่าตากแดดจนดำแล้ว จะทำอย่างไรดี?"
ฮูหยินซ่งพลันลืมเรื่องราวที่จะด่าว่านางไปทันที แล้วรีบปลอบประโลมนางอย่างอ่อนโยนนุ่มนวล "ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว แค่ตากแดดวันเดียวเท่านั้น ไม่ดำขนาดนั้นหรอก อีกครู่ข้าจะให้แม่นมซือทำยาให้เจ้าทา เจ้าพักอยู่ในห้องสักสองวันก็หายดีแล้ว"
นางจับไปยังใบหน้าเกลี้ยงเกลาของนางมองพิจารณาอย่างละเอียด เห็นผิวหน้าที่เคยขาวราวกับหิมะของบุตรสาวมีรอยแดงจางๆ เห็นได้ชัดว่าแดดจัดยามอู่เมื่อครู่แผดเผามา
ฮูหยินซ่งพลันปวดใจขึ้นมาอีกครั้ง แต่เมื่อคิดถึงว่าตอนนี้บุตรสาวก็กลัวแล้ว หากว่านางยังไปพูดอะไรอีกนางคงตกใจแย่ จึงได้แต่กลืนคำตำหนิต่อว่านางลงไป แล้วกล่าวปลอบใจนางเสียงเบา เมื่อเห็นบุตรสาวมีสีหน้าดีขึ้นมาแล้ว ถึงได้ถอนหายใจออกมา
หยิบเอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดใบหน้าของเว่ยฉางอิ๋ง แล้วให้นางนั่งลงข้างกาย ฮูหยินซ่งมองไปรอบๆ แวบหนึ่ง "ออกไปให้หมด"
พวกฮว่าถังต่างก็ย่อเข่าทำความเคารพแล้วลากเอาฮว่าเหมยที่ยังคุกเข่าอยู่ที่พื้นอย่างไม่รู้จะทำอะไรให้ถอยออกไปเงียบๆ
เว่ยฉางอิ๋งเห็นสถานการณ์เข้า ในใจพลันกระตุกขึ้นมาแล้วลอบคิดว่า ‘จบกันๆ ทำไมวันนี้ท่านแม่ถึงได้ฉลาดล้ำอย่างนี้ หรือว่ามองออกแล้วว่าข้าเสแสร้งทำ นี่คือกำลังไล่คนออกไปเพื่อมาสั่งสอนข้าหรือ?’
คิดไม่ถึงว่าเมื่อในห้องเหลือเพียงสองคนแม่ลูกแล้ว ฮูหยินซ่งกลับมองไปที่บุตรสาวนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงถอนหายใจออกมา "ตอนนี้คือปลายเดือนห้าแล้ว งานแต่งของเจ้าถึงจะเป็นปีหน้า แต่ว่าวันจริงคือวันที่เก้าเดือนสี่ อย่างช้าที่สุดก็ไม่เกินปลายเดือนสามเสิ่นจั้งเฟิงต้องมาสู่ขอแน่ แล้วเจ้าก็ต้องไปจากเฟิ่งโจว"
เห็นสีหน้าสงสัยไม่เข้าใจของบุตรสาว ในใจของฮูหยินซ่งยิ่งซับซ้อนมากขึ้น แล้วกล่าวต่อไปว่า "หากนับๆ ดู จริงๆ เวลาที่เจ้าอยู่ที่บ้านแม่นั้นเหลือไม่ถึงสิบเดือนแล้ว"
"นับๆ แล้วเหลือประมาณสิบเดือน" เว่ยฉางอิ๋งกลอกตา จับมือนางขึ้นมาอย่างเอาใจแล้วกล่าวออดอ้อนว่า "จากที่ท่านอาเฮ่อกล่าวมา ข้าควรเรียนรู้งานบ้านงานเรือน พิณหมากภาพอักษร ทำอาหาร...เรื่องมากมายขนาดนี้ เวลาสิบเดือนจะพอที่ไหนกัน ข้าว่า ไม่ต้องเรียนเลยเถอะ!"
เดิมฮูหยินซ่งชอบมองท่าทีออดอ้อนอย่างนี้ของบุตรสาวเป็นที่สุด และไม่เคยต้านทานเสียงอ่อนเสียงหวานของบุตรสาวได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้เว่ยฉางอิ๋งยังถูกแดดแผดเผาใบหน้ามาอีก ฮูหยินซ่งปวดใจแทบแย่ เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอะไรมายากนักที่นางจะปฏิเสธได้ แต่ว่าคราวนี้คิดไปถึงเรื่องราวในจดหมายของเว่ยเจิ้งอินแล้ว นางก็พลันใจแข็งขึ้นมา นางทำหน้าขรึมแล้วกล่าวว่า "ไม่ได้!"
เว่ยฉางอิ๋งร้องครางแล้วโถมเข้าไปในอกนาง พลางกล่าวอย่างหน้าหนาว่า "ข้าโง่ เรียนไม่ได้หรอก!"
"เรียนไม่ได้ก็ต้องเรียน!" ฮูหยินซ่งออกแรงดึงนางขึ้น แล้วบิดไปที่หูของนางพล่าวตำหนิว่า "เจ้าอย่ามาทำตัวไร้เหตุผลกับข้า อะไรข้าก็ยอมเจ้าหมด เจ้าคิดว่าข้ามีความสุขหรือที่ต้องทำให้เจ้าลำบากใจน่ะ เมื่อครู่ท่านอารองของเจ้าเขียนจดหมายมา ‘ความคิดที่แสนดี’ที่จะเรียนวิชายุทธ์ให้เก่งเพื่อจะได้มากำราบสามีของเจ้า รู้ไปถึงบ้านของท่านอาชายรองของเจ้าและยังรู้ไปถึงว่าที่แม่สามีของเจ้าแล้วด้วย! วันเกิดแม่สามีเจ้าเดือนที่แล้ว นางจัดการตำหนิเจ้าต่อหน้าท่านอารองของเจ้าแล้ว! เจ้ายังไม่ยอมเรียนดีๆ เจ้าคิดว่าวันหลังเจ้าจะทำอย่างไรกัน?!"
ฮูหยินซ่งยิ่งพูดยิ่งเสียใจ ดวงตาแดงก่ำแล้ว น้ำเสียงกล้ำกลืนแล้วกล่าวว่า "หากว่าอยู่กับข้า บ้านเราก็ใช่ว่าจะไร้ทรัพย์ไร้อำนาจที่จะให้เจ้ายื่นแขนมีชุดใส่ อ้าปากมีข้าวกินไม่ได้ เจ้าอยากจะทำอะไร ขอแค่เจ้ามีความสุข ทำไมข้าจะต้องไปบังคับเจ้าด้วย แต่ว่าผู้หญิงอย่างไรก็ต้องแต่งงาน เมื่อไปที่ตระกูลเสิ่นแล้ว เจ้าไม่ใช่ลูกของฮูหยินซู เสิ่นจั้งเฟิงนั่นต่างหากที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของนาง! ใครตั้งครรภ์สิบเดือนคลอดออกมาคนนั้นก็รัก ไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นลูกแท้ๆ เลย หากเปลี่ยนเป็นฉางเฟิง เจ้าจะชอบหรือหากภรรยาในอนาคตของเขายังไม่ทันจะเข้าบ้านมาก็คิดจะตีเขาแล้ว?"
เว่ยฉางอิ๋งได้ยินว่าความคิดของตนถูกแม่สามีล่วงรู้เข้าแล้วก็นิ่งไปครู่หนึ่ง คิดดูแล้วจึงได้กล่าวหยั่งเชิงว่า "เรื่องนี้...ท่านแม่ไม่ต้องเสียใจไป ข้าว่าในเมื่อท่านอาชายรองวางสายไว้ในบ้าน ทั้งยังนำเอาคำที่ข้าพูดออกไปไปบอกกับตระกูลเสิ่น แต่ว่าอย่างไรก็ไม่มีหลักฐาน อีกทั้งเพราะเรื่องในอดีตทำให้ท่านย่าไม่ชอบท่านอาชายรอง จุดนี้ทางฝั่งเมืองหลวงเองไม่ใช่ว่ามีหลายคนที่รู้หรือ ตระกูลเสิ่นอาจจะไม่รู้เรื่องนี้ แล้วพวกเราจะไปยอมรับทำไมกัน ให้ท่านอารองบอกกับฮูหยินซูไปว่าท่านอาชายรองกับท่านย่าไม่ถูกกัน จึงจงใจปล่อยข่าวลือออกมาก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ ท่านย่ายังเป็นคนมีคุณธรรมและมีชื่อเสียงดีงาม คำพูดของท่านย่า จะเทียบกับคำพูดเหลวไหลของบ้านท่านอาชายรองไม่ได้หรือ พวกเรายังต้องไปเอาเรื่องที่ท่านอาชายรองอกตัญญูนะ!"
ฮูหยินซ่งได้ยินแผนการรับมือที่นางคิดออกมา ในใจก็วางใจบุตรสาวมากแม้ว่าความคิดนางจะเอาแต่คิดเรื่องการกำราบสามีไร้สาระนั่น แต่ว่านางก็ไม่ใช่พวกที่ใช้แต่กำลังไม่ใช้สมอง แต่ก็โมโหนางที่นำเอาความคิดแผนการณ์เหล่านี้มาใช้กับตนเสียมากตั้งแต่ยังเล็ก ถลึงตาใส่นางไปแล้วจึงกล่าวว่า "แต่อย่างไรเจ้าก็ต้องแต่งเข้าตระกูลไป เมื่อแต่งเข้าไปแล้ว แม่สามีถามเจ้าว่าเจ้าเรียนอะไรบ้างที่บ้าน เจ้าจะกล่าวกับนางอย่างไร?"
"พูดอะไรไปสักอย่างสองอย่างไม่ได้หรือ..." เว่ยฉางอิ๋งกล่าว แล้วแสดงสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกก่อนกล่าวว่า "พูดสักอย่างคงไม่เป็นไรใช่ไหม"
"แล้วเจ้ามีฝีมืออะไรที่จะนำออกมาแสดงได้บ้างหรือ" ฮูหยินซ่งกล่าวพร้อมกับยิ้มเย็น "ถึงตอนนั้นไม่มีอะไรเลย เจ้าจะให้ฮูหยินซูเชื่อได้อย่างไรว่าเจ้าเป็นสะใภ้ที่เก่งการเรือน?"
เว่ยฉางอิ๋งนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า "เป็นสะใภ้ที่เก่งการเรือนไม่ได้ แต่ว่าข้าเป็นสะใภ้ที่มีคุณธรรมมีเมตตาได้! หญิงสาวไร้ความสามารถคือคุณธรรม...ไอหยา!"
ฮูหยินซ่งโมโหจนยากจะสงบได้ นางจับใบหูของเว่ยฉางอิ๋งบิดครู่หนึ่งถึงได้ปล่อยมือ แล้วกล่าวเสียงหนักว่า “เจ้าทำข้าโมโหตายไปเลยเถอะ!"
"ท่านแม่! ท่านพูด ท่านพูด ข้าฟังอยู่!" เว่ยฉางอิ๋งเห็นสถานการณ์ไม่ดี ก็รีบไปกอดแขนนางเอาใจทันที ฮูหยินซ่งสะบัดแขนไปสองครั้งยังสะบัดนางไม่หลุด จึงได้แต่ปล่อยให้นางกอดไปแล้วกล่าวด้วยเสียงถอนหายใจอย่างผิดหวังท้อแท้ใจว่า "เจ้ารับคำไปเผินๆ หากว่าแค่ใช้กับข้า เจ้าจะยังต้องฝืนรับคำหรือ ต่อให้เจ้าไม่เรียนอะไรไม่มีฝีมืออะไรเลย แต่ว่าข้าคลอดเจ้าออกมา ข้าจะโมโหแค้นเคืองขนาดไหน แต่ขอแค่ข้ายังมีลมหายใจอยู่ อย่างไรก็ไม่มีทางให้เจ้าถูกเอาเปรียบแน่! แต่ว่าตอนนี้คนที่เจ้าจะต้องไปรับมือด้วยใช่ข้าหรือ?"
"แต่ว่าตอนนี้เหลือเวลาเพียงสิบเดือนแล้ว ต่อให้ข้าเริ่มเรียนตั้งแต่วันนี้ เรียนอย่างไม่หลับไม่นอน แต่ว่าข้าจะเรียนอะไรได้บ้างหรือ?" เว่ยฉางอิ๋งหาข้ออ้าง แล้วถูไถไปที่ร่างนางอย่างออดอ้อนพลางกล่าวว่า "ข้าว่าสู้ข้าไปเรียนวิชายุทธ์ต่อดีกว่า! อย่างไรฮูหยินซูก็เป็นหญิงสาวตระกูลใหญ่ ต่อให้นางอยากจะกลั่นแกล้งข้า แต่ก็คงไม่ถึงกับให้คนมาทุบตีข้าหรอกใช่ไหม? หากว่านางทำให้ข้าลำบากใจ กลับไปข้าก็จะไปจัดการตีเสิ่นจั้งเฟิงเสีย! ท่านแม่ไม่ใช่บอกว่าใครคลอดคนนั้นก็รักหรือ เสิ่นจั้งเฟิงคือเลือดเนื้อเชื้อไขของนาง เห็นเสิ่นจั้งเฟิงถูกตี ฮูหยินซูไม่ใช่ต้องปวดใจหรือ? เพื่อให้เสิ่นจั้งเฟิงได้ใช้ชีวิตดีๆ ข้าว่านางคงไม่ถึงกับมากลั่นแกล้งข้าหรอก..."
...ฮูหยินซ่งลอบกระอักเลือด ทนจนหมดความอดทนแล้วจึงยกมือขึ้นไปเคาะที่หัวของเว่ยฉางอิ๋งพลางกล่าวอย่างแค้นใจว่า "เจ้าคิดว่าฮูหยินซูโง่หรือ อย่าว่าแต่นางเป็นแม่สามีเจ้าเลย แค่ฐานะนางก็เหนือกว่าเจ้าและพอที่จะกดไม่ให้เจ้าหนีไปจากฝ่ามือนางได้ตลอดชีวิตแล้ว! ซูซิ่วมั่นฉลาดเฉลียวลึกล้ำยากจะคาดเดา ทั้งยังอยู่ในค่ายทหารของตระกูลเสิ่นมาหลายปี เจ้าจะสู้นางได้หรือ? เจ้าอย่ามาเพ้อฝันหน่อยเลย!"
เว่ยฉางอิ๋งกุมหัวแล้วกล่าวอย่างน้อยใจว่า "ข้าเห็นท่านแม่ไม่มีความสุข จึงพูดเล่นหยอกล้อท่านแม่เท่านั้นเอง!"
ฮูหยินซ่งได้ยินนางกล่าวมาอย่างนี้ก็พลันใจอ่อนอีก น้ำเสียงเองก็อ่อนลงไปแล้วกล่าวว่า "ขอแค่เจ้ายอมเรียนเรื่องสำคัญดีๆ ข้าก็ยิ้มได้บ่อยๆ แล้ว เจ้าอย่าคิดว่าเวลาน้อย เรียนอะไรได้ก็เรียนไปสักหน่อย! อย่างไรก็ถือเป็นความจริงใจ!"
เห็นบุตรสาวยังอยากจะกล่าวอะไรอีก หนึ่งเพราะฮูหยินซ่งรู้สึกเหนื่อยใจ สองเพราะกลัวว่าหากบุตรสาวคนเดียวยังออดอ้อนนางต่อไป ตัวนางคงได้ยอมเหมือนอย่างแต่ก่อนแน่ จึงปั้นหน้าทันทีแล้วกล่าวอย่างมีโทสะว่า "สรุปแล้วก็คือ! หากว่าเจ้ายังอยู่ในมือของข้า ข้าพูดอะไรก็คืออย่างนั้น! รีบไปเร็ว! คืนวันนี้ไปเรียนการผูกปมมาเสีย พรุ่งนี้ให้ท่านอาเฮ่อสอนเจ้าเย็บปัก หากเจ้ากล้าไม่เรียน พรุ่งนี้ข้าจะไล่เจียงเจิงออกไปจากคฤหาสน์เสีย!ให้เขาอยู่ในเฟิ่งโจวไม่ได้เลย!"
เจียงเจิงคือท่านลุงเจียงที่ฝึกสอนวิชายุทธ์ให้เว่ยฉางอิ๋งคนนั้น เขาก็คือผู้คุ้มกันคนหนึ่งของหน่วยองครักษ์แห่งหนึ่งในเฟิ่งโจว หลายปีก่อนตระกูลเว่ยจ้างไปส่งของหลายครั้ง จึงได้รู้จักกับผู้ดูแลคนหนึ่งของตระกูลเว่ย ภายหลังในการคุ้มกันสินค้าครั้งหนึ่งถูกกลุ่มโจรตัดขาทั้งสองข้างไป เกือบจะต้องตาย ของก็ถูกกลุ่มโจรนำไป
เจียงเจิงไม่เพียงแต่เสียพ่อไปเท่านั้น ยังต้องรับชดใช้ให้กับลูกค้าของหน่วยองครักษ์สามส่วน จึงทำให้ติดหนี้ ทั้งยังถูกหน่วยองครักษ์เร่งเร้าทุกวัน ไม่มีทางเลือก เขาจึงมาหาผู้ดูแลของตระกูลเว่ยที่เขารู้จักคนนั้น ผู้ดูแลคนนั้นของตระกูลเว่ยรู้ว่าวิชายุทธ์ที่สืบทอดมาของตระกูลเจียงไม่อ่อนเลย ที่บิดาของเจียงเจิงตายไปอย่างแค้นเคือง เพราะศัตรูจำนวนมาก จึงต้องสู้จนหมดแรงและแพ้ไป แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังฆ่าโจมตีไปได้นับสิบคน เห็นได้ว่ากล้าหาญแกร่งกล้าขนาดไหน คิดว่าเจียงเจิ้งชดใช้เสร็จแล้ว ก็จะต้องเข้ามาเป็นผู้คุ้มกันของตระกูลเว่ยเพื่อตอบแทนบุญคุณของตระกูลเว่ยแน่
แม้ว่าที่ผู้ดูแลทำอย่างนี้จะเป็นการถือโอกาสเมื่อผู้อื่นเดือดร้อน แต่ว่าตระกูลเว่ยปักหลักที่เฟิ่งโจว ชื่อเสียงของตระกูลเว่ยในเฟิ่งโจวถือว่าสำคัญมาก ปฏิบัติต่อบ่าวรับใช้ ผู้ติดตามไม่เลว เจียงเจิงทำงานตามสัญญาที่ให้ไว้กับผู้ดูแลคนนั้นจนครบแล้ว กลับไม่อยากจากไปแล้ว
เมื่อเป็นอย่างนี้ จากเจียงเจิงจึงกลายมาเป็นลุงเจียง
เว่ยฉางอิ๋งได้รับการสั่งสอนจากลุงเจียงมากหลายปี แม้ว่าด้วยฐานะทำให้ไม่ได้กราบเป็นอาจารย์อย่างเป็นทางการ แต่ว่าความสัมพันธ์ก็เหมือนกับศิษย์อาจารย์ ได้ยินว่าฮูหยินซ่งจะไล่ลุงเจียงออกไป พลันร้อนรนขึ้นมาทันที นางรู้ว่าท่านแม่ของนางคนนี้ ฮูหยินซ่งต่อให้สาบานกับสวรรค์ว่าจะทำอะไรกับบุตรชายบุตรสาว เว่ยฉางอิ๋งก็ไม่หวั่น แต่ว่าหากฮูหยินซ่งไปจัดการกับคนอื่นนั้นนางไม่มีทางอ่อนข้อแน่นอน
ในเมื่อฮูหยินซ่งพูดแล้วว่าจะทำให้เจียงเจิงอยู่ในเฟิ่งโจวต่อไปไม่ได้ ถึงตอนนั้นเจียงเจิงก็จะต้องไม่สามารถอยู่ต่อไปได้แน่นอน!
เว่ยฉางอิ๋งพลันยุ่งยากใจขึ้นมา ฮูหยินซ่งจึงเรียกคนเข้ามาทันที "ไล่นางกลับไปที่เรือนเสียนซวง! หากว่าคืนนี้นางผูกปมไม่ได้ถึงสิบ...ห้า...ไม่ผูกปมให้ได้สามอัน พรุ่งนี้ก็ให้เจียงเจิงไปเสีย!"
...........................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ