ยอดสตรีฉางอิ๋ง

-

เขียนโดย Xiaobei

วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 17.20 น.

  35 ตอน
  0 วิจารณ์
  29.00K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 17.21 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) นางเผย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

นางเผยกำลังลังเลอยู่ ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็เอ่ยปากขึ้นมาก่อน "วันนี้ฉางเฟิงทำไมยังไม่มา?"

เพราะทุกวันนี้ฮูหยินซ่งเป็นคนจัดการตระกูล ฮูหยินซ่งจึงจะมาคารวะช้าที่สุดตามอย่างปกติ นี่คือสิทธิพิเศษที่ฮูหยินซ่งมี แต่คนอื่นๆ ยังต้องมาถึงก่อนก้าวหนึ่ง กฎที่ทำกันเป็นธรรมเนียมได้ปฏิบัติมาสิบกว่าปีแล้ว ตอนนี้เมื่อไม่เห็นฉางเฟิง ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจึงถามขึ้นมา

แต่ว่าเพราะเป็นหลานชายแท้ๆ น้ำเสียงของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจึงไม่ได้มีโทสะ แต่กลับเต็มไปด้วยความเป็นห่วง

ได้ยินเข้า เว่ยฉางอิ๋งก็ชะงักไป แล้วมองสบตากับซ่งไจ้สุ่ย จากนั้นจึงกล่าวว่า "ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน"

ซ่งไจ้สุ่ยกล่าวเสียงเข้มว่า "เมื่อครู่ตอนยามอู่ น้องฉางเฟิงไปหาข้าที่เรือนหมิงเซ่อ แต่ภายหลังพอข้าออกจากเรือนของท่านอาไปคุยกับน้องฉางอิ๋งที่เรือนเสียนซวง ก็ไม่ได้เห็นเขาแล้ว"

ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า "ให้คนไปหาดู หรือว่าเจ้าเด็กนี่จะเป็นไข้ร้อนเข้าแล้ว ถึงไม่ได้มา?"

เฉินหรูผิงรู้ดีว่าบุตรสาวบุตรชายสายตรงของบ้านใหญ่ ล้วนแต่เป็นหัวใจของฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง อย่างไรทุกวันนี้เว่ยเจิ้งหงก็ยังต้องรักษาตนเงียบๆ และใช้โสมร้อยปีรักษาชีวิตเอาไว้ การไหว้บรรพบุรุษของบ้านใหญ่ก็ต้องอาศัยเว่ยฉางอิ๋งและเว่ยฉางเฟิงสองพี่น้องแล้ว จึงไม่กล้าเมินเฉยแล้วกล่าวว่า "บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้!"

แต่ว่าเพิ่งจะเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เว่ยฉางเฟิงที่เต็มไปด้วยเหงื่อก็เข้ามาจากด้านนอก แล้วกล่าวเสียงดังว่า "ท่านย่า ข้ามาสายแล้ว!"

ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งมองไปยังใบหน้างดงามที่ร้อนจนแดงก่ำของเขา ชุดไหมยับย่นสีดำบนร่างก็เปียกเหงื่อจนชุ่มไปแถบหนึ่ง แนบติดไปกับหน้าอก หน้าผากยังมีหยาดเหงื่อไหลลงมา จึงทนไม่ได้ขึ้นมา แล้วรีบกล่าวว่า "ช้าก่อน ช้าก่อน ช้าก่อน ไม่ต้องรีบร้อน...เข้ามาให้ข้าเช็ดเหงื่อให้เจ้าก่อน!"

เรียกเว่ยฉางเฟิงมาหน้าตนเอง แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเหงื่อให้เขากับมือ ทั้งยังเรียกให้คนเอาน้ำแข็งมาใส่ลงไปสองก้อนด้วย เพื่อไม่ให้เว่ยฉางเฟิงที่กำลังร้อน เมื่อเข้าไปในห้องที่เย็นเกินไป จะทำให้ความร้อนถูกกักอยู่ในร่างออกมาไม่ได้

เว่ยฉางอิ๋งเห็นเว่ยฉางเฟิงหายใจปกติก็รีบถามทันทีว่า "ฉางเฟิง เมื่อครู่เจ้าไปที่ไหนมา ทำไมเจ้าถึงได้มาสาย?"

เว่ยฉางเฟิงหยิบเอาถ้วยชาที่ท่านย่าส่งมาให้แล้วดื่มลงไปอึกใหญ่ เมื่อวางลงแล้วจึงได้กล่าวว่า "ข้านอนหลับไปครู่หนึ่ง คิดไม่ถึงว่ากลับนอนหลับเกินเวลา แล้วจึงวิ่งมาที่นี่"

ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งรีบกล่าวทันทีว่า "เจ้าเด็กนี่ สายแล้วก็สายสิ ร่างกายสำคัญกว่า จะวิ่งมาอย่างนี้ทำไมกัน?" แล้วกล่าวถึงคนข้างกายเขาอีกว่า "คนพวกนี้ก็ไม่รู้จักดูให้ดี กลับให้เจ้านายวิ่งมาอย่างนี้ หากว่าล้มลงไป พวกเจ้าจะรับผิดชอบไหวหรือ ช่างเป็นพวกที่ไม่ใส่ใจเอาเสียเลยจริงๆ!"

นางเรียกเฉินหรูผิง "อีกสักครู่เจ้าไปจัดการเสียหน่อย! อย่าคิดว่าเจ้านายอายุน้อยแล้วจะให้บ่าวกำเริบเสิบสานมารังแกนายได้!"

เว่ยฉางเฟิงยิ้มแล้วกล่าวว่า "ใครจะมารังแกข้ากัน ก่อนหน้านี้ข้าไปดูท่านพี่มาครั้งหนึ่ง สุดท้ายเมื่อกลับไปจึงอ่อนเพลีย ข้าให้คนอย่ามารบกวนข้า พวกเขาฟังคำสั่งกันดีอยู่ จึงไม่กล้ามาเรียกข้า ทั้งยังไม่กล้าเรียกข้าให้ตื่นขึ้นมาคารวะท่านย่าด้วย ข้าจะวิ่งมา พวกเขายิ่งไม่กล้าขวางข้าใหญ่"

ที่เขากล่าวอย่างนี้เพื่อให้คนข้างกายพ้นโทษ คิดไม่ถึงว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งได้ยินเข้ากลับยิ่งโมโห "เจ้านี่น้า! อายุยังน้อย ไม่รู้ความคิดซับซ้อนในใจของบ่าวไพร่พวกนี้! เห็นได้ชัดว่าพวกเขากลัวถูกลงโทษ ถึงได้ฟังคำสั่งเจ้าอย่างนี้! บ่าวอย่างนี้ ไม่ได้คิดแทนเจ้านายเลยสักนิด สนใจแต่ตนเอง แล้วจะไม่ลงโทษได้อย่างไรกัน?"

ระหว่างที่กล่าว ฮูหยินซ่งก็เข้ามาจากด้านนอก ได้ยินคำว่า ‘ลงโทษ’ เข้า ก็ถามขึ้นทันที "ท่านแม่จะลงโทษใครกัน?"

ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งมองนางแวบหนึ่ง เพราะเป็นหลานสาวแท้ๆ ทั้งยังเป็นสะใภ้ใหญ่สายตรงอีก ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจึงไว้หน้าฮูหยินซ่งมาก กล่าวก่อนว่า "เจ้าเดินมาก็ร้อนเช่นกันใช่ไหม ไปกินผลไม้เย็นๆ ก่อน"

ฮูหยินซ่งคารวะด้วยรอยยิ้ม เมื่อขอบคุณแล้ว ก็นั่งลงแล้วถามอีกครั้ง "เมื่อครู่ท่านแม่จะลงโทษใครกัน ใครทำอะไรไม่ใส่ใจหรือ?" ระหว่างที่ถาม นางก็มองไปที่บุตรสาวด้วยสายตาทิ่มแทง

ตอนนี้เว่ยฉางอิ๋งกำลังยืนอยู่ด้านหลังฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง เห็นว่าตนมีท่านย่าคอยให้ท้ายสนับสนุน จึงแลบลิ้นไปให้ท่านแม่อย่างซุกซนด้วยท่าทีภาคภูมิใจ

เดิมฮูหยินซ่งเห็นใบหน้านางยังแดงก่ำไม่หาย ก็รู้ว่าเมื่อยามอู่จะต้องถูกแดดจัดแน่ และกำลังปวดใจอยู่ แต่เมื่อเห็นนางไม่ยอมรู้จักผิดไม่รู้จักแก้อย่างนี้ ก็ทั้งโมโหทั้งเคืองแล้วลอบกล่าวว่า "เจ้าลูกอกตัญญู นางมั่นใจว่าข้าทนทำอะไรนางไม่ได้ใช่ไหม หากว่ายังเป็นอย่างนี้ต่อไป ข้าจะต้อง...จะต้องเห็นดีกับนางแน่! ครั้งหน้าข้าตัดสินใจแล้วว่าจะไม่มีทางใจอ่อนเด็ดขาด!"

แค่กล่าวอย่างโหดเหี้ยมในใจเท่านั้น ฮูหยินซ่งเองก็รู้ดีว่า ตัวนางไม่ได้คิดแบบนี้เพียงครั้งหรือสองครั้งเท่านั้นแล้ว แต่ก็จนใจ พอถึงเวลาเข้าจริงๆ นางก็มักจะทนสู้บุตรสาวไม่ได้เสมอ หลายครั้งหลายหนล้วนแต่เป็นเว่ยฉางอิ๋งที่ยืนกรานไม่ยอมลดละ ฮูหยินซ่งกลับเป็นคนที่ปวดใจจนรับไม่ได้เสียก่อนแล้ว และคิดหาวิธีมากมายมายกเลิกการลงโทษ

พอเป็นอย่างนี้เข้า ทำไมเว่ยฉางอิ๋งยังจะต้องกลัวนางอีก

แต่ว่าเจ้าเด็กคนนี้ปีหน้าก็จะต้องแต่งงานออกไปแล้ว...เป็นอย่างนี้หากไปถึงบ้านสามีแล้วจะทำอย่างไร?

ฮูหยินซ่งกำลังคิดอย่างวุ่นวาย จึงทำให้ไม่ทันได้ตั้งใจฟังคำที่ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกล่าวไปกว่าครึ่ง เมื่อนางได้สติกลับมา ฮูหยินผู้เฒ่าก็ใกล้จะกล่าวจบแล้ว "...ดังนั้นบ่าวที่เห็นแต่ตัวเองอย่างนี้ สมควรจะลงโทษไหม?"

"ท่านแม่กล่าวได้ถูกต้อง" ฮูหยินซ่งลอบขัดเคืองที่ตนเองเหม่อลอย นางรวบรวมสติกลับมา แล้วรีบกล่าวรับตามคำของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งไป ทั้งยังกล่าวซ้ำไปด้วยว่า "เพียงแต่...ไม่รู้ว่าจะลงโทษอย่างไรดี ท่านแม่ชี้แนะได้ไหม?"

ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งมองมาที่นางแล้วกล่าวว่า "เจ้าคือแม่ของฉางเฟิง จะลงโทษอย่างไร จะเปลี่ยนคนหรือไม่ เจ้าก็ไปจัดการเองเถอะ"

ที่แท้ก็เกี่ยวกับฉางเฟิงหรือ ฟังแล้วเหมือนกับว่าจะเป็นคนข้างกายของฉางเฟิง ฮูหยินซ่งรีบกล่าวรับคำ และคิดว่าพอกลับไปแล้วจะไปถามอย่างละเอียดอีกที

เมื่อห่วงใยหลานชายแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจึงได้ถามนางเผย "เห็นท่าทางที่เจ้าเข้ามา ราวกับมีอะไรจะกล่าว เรื่องอะไรกัน?"

นางเผยตัวสั่นไป ต้นกำเนิดของนางแม้จะไม่เท่ากับตระกูลเว่ย แต่ว่าอย่างไรก็เป็นขุนนางมาถึงห้ารุ่น มาถึงนางเผยก็ถือว่าเป็นรุ่นที่หกแล้ว การไม่แสดงทีท่าอารมณ์ออกมา อย่างไรก็ต้องเรียนรู้ตั้งแต่ยังเล็ก ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่เข้าประตูมา นางเผยยังมั่นใจด้วยว่าวันนี้อารมณ์ของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งนั้นไม่ปกตินัก และยังมีทีท่าใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอีก

สถานการณ์อย่างนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกลับละเอียดอ่อนจนสังเกตความคิดของสะใภ้สามได้ เห็นอย่างนี้ก็รู้แล้วว่าฮูหยินผู้เฒ่าคนนี้ร้ายกาจและฉลาดมากขนาดไหน!

นางเผยตั้งสติแล้วกล่าวเสียงนุ่มนวลว่า "อะไรก็ปิดบังท่านแม่ไม่ได้ สะใภ้มีเรื่องอยากจะให้ท่านแม่ช่วยตรวจดูจริงๆ" กล่าวแล้วก็มองไปยังเว่ยเกาฉาน คุณหนูสี่ที่ตามตนเองมา พลางแสดงท่าทีลำบากใจแล้วกล่าวว่า "เกาฉานอายุได้สิบเจ็ดปีแล้ว..."

เด็กหญิงอายุเท่านี้พลันถูกกล่าวถึงอายุ ไม่ว่าใครก็เข้าใจว่าหมายถึงอะไร ทุกคนต่างก็มองไปที่เว่ยเกาฉานอย่างไม่รู้ตัวทันที เว่ยเกาฉานอดหน้าแดงขึ้นมาไม่ได้ เพราะกริ่นเกรงว่าอยู่ต่อหน้าท่านย่าที่เข้มงวด ไม่กล้าไม่พอใจแม่ใหญ่ จึงได้แต่กำผ้าเช็ดหน้าไว้แน่น แล้วพยายามมองตรงไปที่เดียวด้วยท่าทีราบเรียบออกมา

ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งได้ยินเข้า ไม่รู้ทำไม แววตากลับเปล่งประกายกร้าวแวบหนึ่ง ทำให้ฮูหยินซ่งและนางเผยต่างก็ตกใจกันมาก!

ผ่านไปครู่หนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งจึงลดไอกร้าวบนร่างแล้วกล่าวเสียงเรียบว่า "ข้ารู้แล้ว เรื่องนี้ข้ามีความคิดในใจแล้ว อย่างไรฉางอิ๋งก็ยังไม่ได้แต่งออกไปเลย จะรีบร้อนทำไม?"

เห็นได้ชัดว่าไม่รู้คำพูดไหนของนางเผยที่ไปทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าขัดเคืองเข้า ‘รีบร้อนไปทำไม’ คำนี้ทำให้นางเผยถึงกับสะอึกไป เว่ยเกาฉานยิ่งแทบจะยืนไม่อยู่ ใบหน้านางแดงก่ำ น้ำตาเกือบจะไหลออกมาตรงนั้นอยู่แล้ว!

จริงๆ แล้วแม้ว่าเว่ยฉางอิ๋งจะเป็นบุตรสาวคนโตของบ้านใหญ่ ที่บ้านใหญ่ใครๆ ต่างก็เรียกนางว่าคุณหนูใหญ่ แต่ความจริงแล้วหากนับตามลำดับหลานสาวของเว่ยฮ่วนแล้วควรจะต้องอยู่ในลำดับสอง และหากว่านับจากสาขาของรุ่ยอวี่ถังทั้งสายแล้วจะถือว่าอยู่ในลำดับที่สาม การนับทั้งสองอย่าง บังเอิญอยู่เหนือกว่าเว่ยเกาฉานทั้งหมด

ที่เป็นอย่างนี้ แน่นอนว่าเพราะเว่ยเจิ้งหงร่างกายอ่อนแอเกินไป ฮูหยินซ่งแต่งงานเข้ามาถึงเก้าปีจึงมีเว่ยฉางอิ๋ง บุตรสาวคนโตของบ้านสองอย่างเว่ยฉางหวั่นมีพี่ชายสองคน แต่ก็ยังเป็นบุตรสาวคนโตของรุ่ยอวี่ถังในรุ่นนี้

และเพราะว่าเว่ยฉางหวั่นมีพี่ชายสองคน ก่อนที่เว่ยฉางอิ๋งและเว่ยฉางเฟิงจะถือกำเนิดมา เว่ยเซิ่งอี๋คิดว่าเว่ยเจิ้งหงคงจะไม่มีหวังที่จะมีบุตรแล้ว และยังเคยกล่าวกับเว่ยฮ่วนว่าจะยกบุตรชายคนรองให้กับบ้านใหญ่ด้วย เรื่องนี้ปิดบังหูตาของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งไม่ได้

ในสายตาของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งแล้ว นี่ย่อมเป็นการที่เว่ยเซิ่งอี๋กำลังคิดหวังว่าจะรับสืบทอดรุ่ยอวี่ถังและตำแหน่งฉางซานกงที่ควรเป็นของบุตรชายสายตรงอย่างเว่ยเจิ้งหง ทั้งยังสาปแช่งเว่ยเจิ้งหงว่าจะไม่มีบุตรด้วย

ตอนนั้นเดิมฮูหยินผู้เฒ่าก็กังวลเกี่ยวกับบุตรชายคนเดียวที่เติบโตจนแต่งงานได้อยู่ จึงมีโทสะมาก! เว่ยเซิ่งอี๋คุกเข่าอยู่ท่ามกลางสายฝนกระหน่ำลงมาต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าถึงสี่วันสี่คืน และยังมีเว่ยฮ่วนช่วยกล่าวเตือนอีก ถึงได้หยุด นับจากนั้นมา ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็ไม่พอใจบ้านสองมาตลอด

เมื่อเว่ยฉางอิ๋งเกิดมาแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งยังคงจำเรื่องเก่าในตอนนั้นได้ และจงใจให้บ่าวของบ้านใหญ่และคนข้างกายตนเองทั้งหมดเรียกเว่ยฉางอิ๋งว่าคุณหนูใหญ่ ส่วนเว่ยฉางหวั่นที่เป็นคุณหนูใหญ่ที่แท้จริงกลับถูกเรียกอย่างเรียบง่ายว่าคุณหนูหวั่น ไม่เพียงแต่จะให้บ่าวเรียกชื่อของเว่ยฉางหวั่นโดยตรงเท่านั้น การเรียกอย่างนี้ฟังแล้วยังคิดว่าเป็นคุณหนูจากภายนอกที่มาอาศัยอยู่ในตระกูลเว่ยเสียอีก

เห็นได้ชัดว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งไม่พอใจบ้านสองลึกล้ำขนาดไหน

ส่วนตามลำดับของรุ่ยอวี่ถังแล้ว คุณหนูสี่เว่ยเกาฉาน อายุน้อยกว่าเว่ยฉางอิ๋งสองเดือนเท่านั้น

ครั้งที่เว่ยฉางอิ๋งยังคงเป็นทารกนอนอยู่บนเบาะนั้น เว่ยฮ่วนก็ลาออกกลับมาบ้านเกิด ก่อนกลับได้ไปพบกับหนึ่งในเสาหลักของประเทศเข้า ตอนนั้นเสิ่นจั้งเฟิง บุตรชายคนโตของราชครูเสิ่นเซียน มีอายุได้สามปี เพราะรู้สึกว่าแม้เสิ่นจั้งเฟิงจะยังเล็ก แต่กลับมีบุคลิกไม่ธรรมดา อนาคตจะต้องประสบความความสำเร็จแน่ จึงได้เอ่ยปากเรื่องแต่งงานกับเสิ่นเซวียน เสิ่นเซวียนได้แยกดอกไม้หยกคู่กายออกมาเป็นของแทนสัญญา และทำการหมั้นเว่ยฉางอิ๋งเป็นภรรยาแทนเสิ่นจั้งเฟิง

ปีที่แล้วตระกูลเสิ่นได้ให้คนมาที่เฟิ่งโจว และนัดว่าปีหน้าเมื่อเสิ่นจั้งเฟิงได้ผ่านพิธีการสวมหมวก[1]แล้ว จะมาสู่ขอที่เฟิ่งโจวด้วยตนเอง เว่ยฉางอิ๋งในตอนนี้ก็เตรียมเพียงแต่งงานก็พอ แต่ว่าเว่ยเกาฉานกลับไม่เหมือนกัน นางกับเว่ยฉางอิ๋งมีอายุเท่ากัน เป็นบุตรจากอนุภรรยาของบ้านสาม แม้ว่าเพราะแม่ใหญ่ให้ความสำคัญกับชื่อเสียง จึงไม่ได้ปฏิบัติไม่ดีกับนาง แต่ว่างานแต่งงานเดิมก็ต้องต่ำกว่าเหล่าบุตรสาวภรรยาเอกอยู่แล้ว

เดิมเมื่อหลายปีก่อน ก็จะมีการพูดคุยเรื่องหมั้นกันอยู่แล้ว แต่เพราะว่าแม่แท้ๆ ของเว่ยเกาฉานตายไปตอนที่นางอายุได้สิบสี่ปี ราชวงศ์นี้ให้ความสำคัญกับการกตัญญู ดังนั้นแม้ว่าแม่แท้ๆ จะต่ำศักดิ์ แต่เมื่อตายไปแล้ว บุตรสาวบุตรชายทั้งหมดก็ยังคงห้ามแต่งงานเป็นเวลาสามปี

ตระกูลมีชื่ออย่างตระกูลเว่ย ให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้มาก ดังนั้นเว่ยเกาฉานจึงเพิ่งจะออกจากการกตัญญูมาเมื่อสองเดือนก่อนหน้านี้เท่านั้น นางเผยก็กล่าวขึ้นมาในวันนี้เสียอย่างนั้น

แต่เห็นได้ชัดว่า การพูดขึ้นมาในโอกาสนี้ช่างไม่ดีเลยจริงๆ

เพราะว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งพลันกล่าวคำพูดไร้น้ำใจออกมาทำให้ทั้งห้องโถงเงียบสนิท ฮูหยินซ่งเพียงส่งสายตาให้กับบุตรสาวเท่านั้น

เว่ยฉางอิ๋งรับรู้ได้ จึงยิ้มแล้วดึงชายเสื้อฮูหยินผู้เฒ่าซ่งไว้แล้วกล่าวอย่างแง่งอนว่า "ท่านย่ากล่าวอย่างนี้ กลับราวกับอยากจะให้ข้าแต่งงานออกไปอย่างนั้นล่ะ ข้าอยู่บ้านเป็นเพื่อนท่านย่าไม่ดีหรือ?"

"มีเด็กหญิงคนไหนที่อายุถึงแล้วไม่ยอมแต่งงานกัน?" ฮูหยินผู้เฒ่าไว้หน้าหลานสาวแท้ๆ แม้ว่าสีหน้าจะยังคงไม่ดีนัก แต่ว่าน้ำเสียงก็อ่อนลงอย่างชัดเจน และยอมให้บ้านสามได้บ้างพลางกล่าวว่า "เจ้าเป็นเช่นนี้ เกาฉานเองก็เช่นกัน ในใจข้ามีความคิดอยู่ อย่างไรก็ไม่ทำให้พวกเจ้าต้องพลาดไปหรอก"

นางเผยผ่อนลมหายใจออกมาแล้วยิ้มพลางกล่าวว่า "ที่แท้ท่านแม่ก็คิดถึงเรื่องนี้ไว้แล้ว กลับเป็นสะใภ้เองที่ไม่ดี ถึงตอนนี้จึงเพิ่งจะมารายงานท่านแม่"

ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกล่าวเสียงเรียบว่า "เรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว วันนี้ข้ารู้สึกเพลีย ไว้ค่อยคุยกันใหม่เถอะ" นี่คือจะไล่คนแล้ว

ฮูหยินซ่งกับนางเผยได้ยินก็พากันนำบุตรสาวบุตรชายออกไปอย่างรู้ดี

ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกลับเหลือบตามองไปที่ฮูหยินซ่งแล้วกล่าวว่า "อวี่เวยอยู่นวดไหล่ให้ข้าก่อน"

อวี่เวยคือชื่อของฮูหยินซ่ง ทุกคนได้ยินก็รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ามีเรื่องจะปรึกษากับฮูหยินซ่ง แววตาของนางเผยมีประกายอิจฉาวาบผ่าน แต่ว่าก็รู้ดีว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งไม่สามารถปฏิบัติกับบ้านใหญ่และบ้านอื่นของตนได้ในแบบเดียวกัน

ยิ่งไปกว่านั้น ฮูหยินซ่งยังเป็นหลานสาวฝั่งแม่ของนางด้วย

ดังนั้นถึงนางเผยจะอิจฉา แต่ว่าก็เพียงคิดเท่านั้น แล้วท่าทีก็กลับเป็นปกติพร้อมกับถอยออกไป

นางกลับไม่รู้ว่า ที่ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งให้ฮูหยินซ่งอยู่คุยต่อนั้น ก็ไม่ได้คุยเรื่องดีอะไร

..........................................

[1] พิธีสวมหมวก : พิธีการสวมหมวกสำหรับผู้ชายเมื่ออายุได้ยี่สิบปี

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา