#เพราะรักมันบิดเบี้ยว

10.0

เขียนโดย ViSuthYAMA_

วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 10.06 น.

  4 ตอน
  0 วิจารณ์
  4,636 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 10.13 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) คดีบทที่ ๑ รัก สาม เส้า (4)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
แสงของดวงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาตรงที่ฉันนั่ง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกรู้สาอะไร แน่ล่ะ ทฤษฎีของพวกมนุษย์นั้นผิด ผีอย่างเรา ๆ ไม่ได้กลัวแสงอาทิตย์สักหน่อย มีแต่พวกผีฝรั่งโน่นละมั้งนั่นที่กลัว
“มันจ้องแกทั้งคาบเลย” เกศพูดกับฉันทั้งที่ยังคงลอบตามองไปยังหมอนั่นอย่างตั้งอกตั้งใจ “มันรู้หรอว่าเป็นแก”
“รู้สิ ก็เมื่อคืนฉันเล่นคร่อมมันขนาดนั้น ไม่รู้คงบ้า”
“อ้าวอีนี่ อย่างนั้นมันก็รู้สิว่าพวกเราไม่ใช่คนแบบพวกมันอะ” เสียงอู้อี้ที่ยังคงความถี่สูงของเกศพูดกับฉันด้วยความตกใจ
“ใครสนเรื่องนั้นกัน ฉันสนใจแค่เรื่องที่ท่านแม่วานให้ฉันมาฆ่ามันต่างหาก แล้วก็เรื่อง...” มือเรียวบางของฉันลูบขนาบไปกับรอยแดงบาง ๆ บนแก้มโดยทันที ไม่รู้ทำไมทุกครั้งที่นึกถึงที่มาของมันฉันถึงได้เจ็บขนาดนี้
เจ็บทั้งกาย! เจ็บทั้งใจ!
 
เพี๊ยะ!
               เสียงตบหน้าดังกึกก้องไปทั่วบริเวณราวกับเสียงฟ้าผ่าลงกลางหน้าเธอ นั่นทำให้ผู้ที่ถูกกระทำกระเด็นออกทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้นข้างนอกเงามืดนั่นอย่างจำนน มือบาง ๆ ของเธอไล้ไปกับใบหน้าที่แดงฉาดเพื่อบรรเทาความเจ็บแสบ
               “เรื่องแค่นี้ ถ้าทำไม่ได้ ก็ไม่ต้องเอาหน้ามาให้ฉันเห็นอีก”
               เจ้าของเสียงโผล่ออกมาจากเงามืด เผยให้เห็นผิวซีดเผือกของหญิงสาวร่างบางที่ถูกพันธนาการด้วยตรวนหนักลงอาคมนั่น
               เครื่องแต่งกายที่ดูเก่าโทรมนั่นเป็นผ้ามัดย้อมที่ดูมีราคาบ่งบอกถึงศักดินาที่เธอเคยมีก่อนการถูกจองจำ
               เธอประคองดาวที่นั่งหมอบอยู่ตรงพื้นนั่นขึ้น
               “ไปฆ่ามันให้ได้!”
               เธอพูดก่อนจะผลักไสดาวออกมานอกเขตกักกันโดยความแรงมหาศาลอีกครั้ง
               สิ่งที่ดาวทำได้ในตอนนี้มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
               ฆ่ามัน! ฆ่ามันให้ได้!
 
               เธอเดินออกไปอย่างรวดเร็วจนทำให้คลาดกับสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหญิงถูกจองจำเมื่อครู่
               ความโกรธจนเส้นเลือดขึ้นปูดโปนไปทั่วร่างกายนั่นได้แปรเปลี่ยนเป็นรอยแสยะยิ้มอย่างสะใจที่ดูน่าสยดสยอง เธอระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง สิ่งที่เธอใช้ให้ดาวทำในวันนี้มันเป็นไปตามที่เธอต้องการทุกอย่าง สุมไฟแค้นให้มันเรื่อย ๆ แค้นจนดาวอยากจะฆ่ามันให้ตายอย่างทรมานและสาสมกับสิ่งที่เธอได้รับมาตลอด
“อย่าเพิ่งรีบตายนะที่รัก มันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น เพราะความตายของเธอต้องเป็นฉันเท่านั้น ที่จะยืนมองเธอหมอบแทบเท้าและตายอย่างทุกข์ทรมาน เลือดของเธอจะต้องเป็นน้ำล้างเท้าให้ฉัน เปมิภัสสรา! “
 
 
 
“ผิดตรงที่ไว้ใจ ฉันมองตัวเธอ ผิดไป”
- ผิดที่ไว้ใจ โดย Silly Fools -
 
“เอาล่ะ หัวหน้าบอก”
“นักเรียนเคารพ”
“ขอบคุณครับ/ค่ะ”
“มึง ใครไปโรงอาหารบ้าง” ณชา หรือใบชาชื่อเล่นของมันพูดขึ้นในวงกลุ่มของพวกเราที่นั่งกันหลังห้องเรียน
“กูไป” บาสตอบ
“ไปด้วย” เพื่อนอีกคนสมทบ
“มึงอะ ไอฟอนด์”
“กูต้องไปชมรมภาษาไทยกับไอเก้าอะ มันต้องซ้อมละคร” พูดพลางเก็บของทุกอย่างใส่ลงกระเป๋า เก้าก็เช่นกัน
“เห้ยจริงดิ ไอเก้าเป็นตัวไรวะ ควายหรอ”
“โถ่ ไอสัตว์ พระเอกโว้ย!” มันโวยวายก่อนจะเก๊กท่าทางตามมาแสดงถึงความภาคภูมิใจในบทที่ได้รับ
“โห ไอเหี้ย เป็นไปได้อ่อ มึงจำบทได้ด้วยไง้” บาสพูดสมทบ นั่นทำให้คนข้างหลังผมเสียความมั่นใจไปเล็กน้อยแต่ยังคงวางท่าอยู่
“มึงจะดูถูกกูไปละ”
“อ้าวงั้นมึงลองสักบทดิ”
“หมู ๆ” มันตอบกลับไปก่อนจะสะบัดหน้าเล็กน้อยรวบรวมสมาธิอย่างผู้มีประสบการณ์ อันน้อยนิด!
“โอ้โอ๋กระไรเลย...บ มิเคย ณ ก่อนกาล...พอเห็นก็ทราบส้าน...พอเห็นก็ทราบส้าน?” เอาล่ะ ยังไปไม่ถึงไหนก็ตกม้าตายแล้ว
“ฤดิรัก บ หักหายโว้ย เนี่ยไหนว่าได้แล้วไง”
“ก็มันเลยมาเยอะแล้วอะ ได้หลังลืมหน้าบ้างก็ปกติเปล่าวะ”
“แต่มึงท่องมาเป็นร้อยรอบแล้วเปล่าวะ นี่ยังไม่จบเรื่องเลย”
“เหลือเวลาอีกตั้งสองอาทิตย์นะเว้ย แค่นี้ก็เยอะแล้ว”
“สองอาทิตย์ห่าไร วันศุกร์หน้าแล้วเนี่ย ไหนจะงานลอยกระทงอีก มึงคิดว่ามีเวลาซ้อมขนาดนั้นเลยหรอ”
“เอ่อ กูว่าพวกกูไปโรงอาหารก่อนดีกว่า เชิญพวกมึงทะเลาะกันตามสบายนะ” ณชาพูดขึ้นขัดก่อนจะพากันเดินออกไปพร้อมกับคนอื่น ทิ้งไว้แค่เพียงผมสองคนกับเธออีกสองคน?
ผมมองไปที่พวกเธอที่นั่งอยู่ทางหน้าห้องอีกครั้ง เธอก็มองมาที่ผมเช่นกันก่อนจะโบกมือลาพวกผมเล็กน้อย แต่ผมเลือกที่จะเมินแล้วหยิบกระเป๋านักเรียนเดินออกจากห้องมาก่อนที่เก้าจะรีบวิ่งตามมาอย่างมึนงง
 
‘17.32 น.’
นาฬิกาดิจิทัลที่ถูกแขวนไว้บนผนังหอประชุมนั่นบอกเวลาให้ผมรู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาเย็นมากแล้วแต่ผมและเก้ายังคงมีหน้าที่ในการอยู่ซ้อมละครเวทีของชมรมภาษาไทยนี่
“ว่าดะนูและน้องจะเคียงคระไล...และครองตลอด ณ อายุขัย บ่คลาดคลา” เก้าท่องบทพลางโอบข้างประคองน้ำฟ้าตามบท
“สูรฺยะส่องสว่าง ณ กลางนะภา...ก็พลอยสว่าง ณ ภูมิหล้า แหละฉันใด ว้าย!” เสียงของน้ำฟ้าดังขึ้นนั่นทำให้ทุกสายตาถูกจับจ้องไปยังกลางหอประชุมที่น้ำฟ้ายืนซ้อมบทกับเก้าอยู่
“นี่ทำอะไรกันน่ะ” เด็กสาวกระชากตัวน้ำฟ้าออกห่างจากตัวเก้า
“อะไรของแกเนี่ยแหวน” ผมวิ่งไปหาแหวนพลางแยกตัวน้ำฟ้าออกมาจากแหวน
“พวกแกนั่นแหละ ทำอะไร” แหวนพูดด้วยท่าทางโกรธขึงใส่ทั้งสองคนเพราะความหึงหวงในตัวเก้า แฟนของเธอ
“ซ้อมละครไงแหวน” ผมเป็นฝ่ายตอบแทนเก้าที่ยืนนิ่งเงียบ
“แล้วทำไมต้องกอดกันด้วย”
“อ้าว! ก็ในบทมันต้องกอดกัน แกจะให้เขากอดเสาหรอ”
“เก้า เรามีเรื่องต้องคุยกัน” เธอนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะพูดพลางเอื้อมมือไปรั้งแขนเก้าเพื่อจะไปคุยกันข้างนอก
“แต่เราไม่มี แหวนกลับไปเถอะ”
“ไม่กลับ เค้าจะคุยเดี๋ยวนี้ ตอนนี้” แหวนกระแทกเสียงดังขึ้นนั่นทำให้ตอนนี้ทุกคนต่างให้ความสนใจมาที่กลุ่มพวกเราอย่างต่อเนื่อง
“มีอะไรกัน ฟอนด์เกิดอะไรขึ้น” พี่จ๋าเดินเข้ามาถามผมด้วยใบหน้าและสายตาที่ดูน่ากลัว
 “พอได้แล้วแหวน กลับไปได้แล้ว เราเลิกกันแล้ว ไม่มีอะไรต้องคุยกันอีก” เก้าพูดพร้อมกระชากมือออกจากแหวนแล้วเดินออกห่าง ซึ่งนั่นทำให้แหวนยืนนิ่งอึ้งพร้อมกับทุกคนที่ได้ยินสิ่งที่เก้าพูด
“ไม่มีอะไรครับพี่จ๋า เข้าใจผิดกันน่ะ” ผมชิงบอกกับพี่จ๋าก่อน
“จัดการให้พี่ด้วยนะ”
“ครับพี่” หลังจากที่ผมรับคำ พี่จ๋าก็เดินออกไปพร้อมกับบอกให้ทุกคนทำงานของตัวเองต่อ
“เก้า อย่าพูดแบบนี้เราไปเลิกกันตอนไหน”
“ตั้งแต่ที่เธอไปเล่นชู้กับไอ้มาสุนั่นไง” คราวนี้เก้าเริ่มใช้อารมณ์มากขึ้น ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เหตุการณ์ไม่ได้ดีขึ้นเลย
“มันก็เป็นแค่ข่าวลืออะ เธอจะเลิกกันโดยไม่ฟังอะไรเลยหรอ” แหวนยังคงโต้ตอบกับเก้าอยู่ ซึ่งนั่นทำให้ผมรู้สึกใจไม่ดีเลย
“เราฟังแล้ว เธอจะฟังด้วยไหมละ เรามีเป็นภาพเคลื่อนไหวเลย” ไม่พูดเปล่าเก้ายกโทรศัพท์ขึ้นโชว์ให้แหวนดู
ปรากฏภาพชายหญิงสองคนกำลังมีความสัมพันธ์กันเชิงชู้สาวและแน่นอน คนในคลิปวิดีโอนั่นคือแหวนกับมาสุ
“กะ..เก้า” คราวนี้เป็นฝ่ายของแหวนเองที่พูดไม่ออก เธอทรุดตัวลงกับพื้นพร้อมเอามือปิดปาก น้ำตาหลั่งไหลออกมาอย่างพรั่งพรู
ด้วยเสียงจากโทรศัพท์ที่ดังนั่นทำให้คนในหอประชุมต่างให้ความสนใจกันอย่างมาก บางคนก็หยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายคลิปวิดีโอ
นั่นยิ่งทำให้เหตุการณ์ดูเลวร้ายขึ้นทุกที
“เห้ยไอเก้า พอแล้ว คนมองเต็มแล้ว” ผมปรามเพื่อนก่อนที่จะลงไปประคองแหวนลุกขึ้น
“จบนะแหวน” เก้าพูดปิดท้ายก่อนจะก้มหยิบบทละครขึ้นมาเตรียมซ้อมต่อ
“เก้า เค้าขอโทษ” แหวนเริ่มโวยวายพยายามเข้าหาเก้าแต่ผมรั้งเธอไว้อยู่ ตอนนี้ต้องพาแหวนออกไป
“แหวน เราไปข้างนอกกันเถอะ”
“เก้า! ฟังเค้าก่อน! เก้า!” เธอตะโกนสุดเสียงทั้งน้ำตาและพยายามที่จะสลัดตัวให้หลุดจากผม แต่เธอสู้แรงผมไม่ได้
“ไปแหวน” ผมพูดพร้อมกับลากเธอออกมานอกหอประชุมทางด้านหลังที่ไม่ค่อยมีคนผ่าน
 
“ฟอนด์ มึงต้องช่วยกูนะ กูไม่อยากเลิกกับเก้า” เธอยังคงยื้อชุดกระชากตัวผมด้วยความฟูมฟายของเธอ
“แหวน กูช่วยอะไรมึงไม่ได้หรอก มึงทำตัวของมึงเอง” ผมผลักเธอออกแล้วจับที่ไหล่ทั้งสองข้างของเธอไว้แน่
“มึงเพื่อนกูปะ กูเป็นเพื่อนมึงนะ สนิทกันมาตั้งแต่มอต้นอะ กูเพื่อนมึงปะ” เธอเริ่มวาดวงมือมาตีกระทบเอากับตัวผมอย่างต่อเนื่อง
“เออ ก็มึงเพื่อนกูไง กูถึงพูด แล้วที่กูช่วยปิดเรื่องบ้านี่มาตลอด มันไม่ใช่เพราะกูเป็นเพื่อนมึงหรอ”
“งั้นมึงก็ช่วยกูอีกสิ ช่วยกู” แหวนทรุดนั่งไปกับพื้นด้วยความโศกเศร้าเสียใจ พยายามกอดรั้งเอาที่ขาของผม
“กูช่วยมึงมามากพอแล้วแหวน” ผมพูดพลางมองเธอด้วยสายตาเวทนาอย่างยิ่งยวด ผมเหนื่อยที่ต้องเจอกับเรื่องพวกนี้
“ไม่ มึงต้องช่วยกู ช่วยกูสิ”
“แหวน วันนี้กูว่ามึงไม่โอเคแล้วว่ะ กลับบ้านเถอะ เดี๋ยวกูไปส่ง” ผมลดตัวลงไปประคองแหวนให้ขึ้นมาอย่างทุลักทุเล
“ช่วยกูสิช่วยกูฟอนด์ กูไหว้ล่ะ” เธอเอามือมาประนมไว้พร้อมพยายามทิ้งตัวลงซึ่งผมพยายามมากเช่นกันในการยกตัวเธอให้ยืนขึ้น
“ไปแหวน ค่อยคุยกันตอนที่มึงมีสติมากกว่านี้”
 
ผมประคองเธอมายังหน้าโรงเรียนตรงป้ายรถเมล์ แหวนดูสงบลงไปเยอะจากเมื่อครู่ แต่ยังคงความเศร้าเสียใจไว้บนใบหน้าอย่างชัดเจน
“โทรศัพท์มึงอยู่ไหน”
“ในกระเป๋า” น้ำเสียงเธอดูล่องลอยเหมือนสติของเธอ
ผมทิ้งให้แหวนยืนด้วยตัวเองก่อนจะเปิดกระเป๋านักเรียนของเธอควานหาเอาโทรศัพท์มาปลดล็อกแล้วต่อสายไปยังคนขับรถของบ้านแหวนที่คอยมารับส่งแหวนทุกวัน “ฮัลโหลสวัสดีครับ ผมฟอนด์ครับ พี่คนขับรถใช่ไหมครับ...ครับพี่ มารับแหวนที่หน้าโรงเรียนได้เลยครับ”
 
“ขอบคุณมากนะครับน้องฟอนด์” หนุ่มวัยเริ่มทำงานในชุดดูสุภาพ ท่าทางอ่อนโยนนั่นพูดกับผมอย่างคุ้นเคย หลังจากที่พยุงเอาแหวนขึ้นรถไปนั่งข้างหลังคนขับ
“ไม่เป็นไรเลยครับพี่ ฝากด้วยนะครับ”
“มันเป็นหน้าที่ของพี่ครับ ขอบคุณนะครับ”
พี่คนขับรถของบ้านแหวนพูดก่อนจะเดินไปเปิดประตูรถฝั่งคนขับแล้วขึ้นไปนั่งเตรียมพร้อมออกรถ
“ฟอนด์” แหวนเลื่อนกระจกรถลงเพื่อคุยกับผม
“ว่าไง”
“ช่วยกูด้วยนะ กูไว้ใจมึงนะฟอนด์” เธอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังปนเศร้า ผมยิ้มรับให้กับเธอ
“อืม กลับดี ๆ ถึงบ้านแล้วบอกกูด้วย” เธอพยักหน้าแทนคำตอบก่อนที่รถของเธอจะแล่นออกไปจากริมบาทวิถีช้า ๆ
ผมมองรถแหวนที่ห่างออกไปจนสุดสายตาก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าโรงเรียนไป
 
“ฟอนด์ แหวนเป็นไงบ้าง” น้ำฟ้าทักผมหลังจากที่เดินเข้ามาในหอประชุมด้วยท่าทีกังวลและเป็นห่วงในความรู้สึกแหวน
“ส่งกลับบ้านไปละ ไม่ต้องห่วง” ผมพูดพลางทรุดตัวลงกับเก้าอี้พลาสติกอย่างอิดโรย
“น่าสงสารเขาเนาะ” น้ำฟ้าพูดพลางทิ้งสายตามาที่ผมเพื่อสื่อสารให้รู้ว่าเธอรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ ดวงตาของเธอสามารถบอกถึงสิ่งที่เธออย่างพูดได้ดีมากราวกับความรู้สึกนั่นพูดได้
“สงสารทำไมกับคนแบบนั้น” เก้าพูดขัดขึ้นทั้งที่สายตายังคงจดจ่ออยู่กับบทละคร
“นี่เก้า เกินไปนะแหวนก็แฟนแกนะเว้ย ให้เกียรติบ้างดิ” น้ำฟ้าพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงเอาความไม่พอใจ
“เราเลิกกันแล้วแกก็ได้ยิน ดีซะอีก ฉันจะได้ทำตามที่แกขอได้อย่างสบายใจไง” เก้าละสายตาขึ้นตอบ คราวนี้เป็นผมบ้างที่พูดขัดบทสนทนาของทั้งคู่โดยความสงสัย
“ทำอะไร ขออะไรกัน”
“ไม่มีอะไรฟอนด์” ท่าทางของน้ำฟ้าทำให้ผมรู้ได้ทันทีเลยว่าทั้งสองคนนั่นมีเรื่องที่กำลังปกปิดผมอยู่
“เก้า มีอะไร”
“น้ำฟ้าว่าไงก็ตามนั้นแหละ” มันยักไหล่พยายามกลบเกลื่อนและเบนสายตาไปทางอื่น นั่นไง! มันมีพิรุธ
“อะไรวะ”
“เรามาซ้อมบทกันต่อเถอะ”
“แต่..”
“โอ้ว่าอนาถใจ...ละไฉนนะเปนฉนี้...แต่ไรก็ไม่มี...มะนะนึกระเหระหน” น้ำฟ้าพูดแทรกผมและทั้งคู่ทำเมินเฉยกับคำพูดของผม
“น้ำฟ้า”
“ไม่เคยจะเชื่อว่า...รตินั้นจะสัประดน...มาสู่ ณ ใจตน...และจะต้องระทมระทวย”
“น้ำฟ้า!”
“ครานี้สิพบชาย...วรรูปวิเศษวิศาล...ใจวาบและหวามปาน...ฤดินั้นจะโลดจะลอย...เธอนั้น ฤ เจียมตัว...กิริยาก็เรียบก็ร้อย...ไม่มีละสักน้อย...จะแสดง ณ ท่วง ณ ที...ว่าเธอประสงค์จะ...อภิรมย์ฤดีระตี...เปนแต่ชำเลืองที่...ดนุบ้าง ณ ครั้ง ณ คราว...”
“ไอเก้า”
“ได้ยินเช่นนี้ พี่ก็ชื้นใจที่น้องก็รักพี่เช่นกัน”
“น่ะไอเหี้ย จำบทกันได้ขึ้นมาทันที”
“หม่อมฉันเคยได้ยินสุภาษิตกล่าวอ้างว่าผู้ชายเมื่อยามรัก ก็พูดได้ราวกับมีหลายลิ้น”
“หากเป็นเช่นนั้น ทุกลิ้นของพี่คงรุมกันบอกรักแต่น้องนาง”
“เอาเลย! ขยันซ้อมให้ได้ตลอดนะ” ผมประชดออกไปก่อนจะเดินลากเอาเก้าอี้ไปนั่งตรงอื่น ทั้งสองคนก็ยังคงทำเป็นซ้อมกันต่อแต่ก็เหลือบมามองที่ผมบ้างอย่างขบขัน มันน่านักนะ!
“หากพระองค์ให้สัตย์ปฏิญาณเช่นนั้น หม่อมฉันก็จะจงรักภักดีต่อพระองค์ ไหนเลยจะแครงใจ”
“ดังนั้นพี่ก็ยินดี”
 
เวลานั้นล่วงเลยไปจนถึงสองทุ่มกว่า ๆ ได้เวลาแยกย้ายกันกลับบ้านเสียที คอยดูเชียว คืนนี้ไม่ต้องนอนบ้านกู ผมคิด
“ไม่ซ้อมต่อแล้วหรอ”
“โห สองทุ่มแล้วนะ ไม่กลับบ้านไง้” เก้าพูดพลางยืดแขนบิดตัวสู้ความง่วงและความขี้เกียจ
“มึงก็กลับไปดิ วันนี้ต้องไม่ค้างบ้านกู”
“อ้าว ทำไมอะ” มันทำหน้ามึนงงแกมระรื่นอย่างน่าหมั่นไส้ ยังไม่สำนึกอีก นี่ต้องพูดใช่ไหมว่าทำไม ผมเมินตาไปทางอื่นเล็กน้อย
“กูงอน”
“โอ๋ ๆ ไม่งอนนะ อะ ๆ ไม่นอนก็ได้ วันนี้ต้องกลับไปเคลียร์ของอยู่พอดี เดี๋ยวกูไปส่งบ้านและแวะกินข้าวเย็น เอาเสื้อผ้าแล้วกลับบ้านเลย”
“โอเค ดีล” ถึงปากจะตอบไปอย่างนั้นแต่ใจผมกลับรู้สึกแปลก ๆ แต่จะอะไรก็ช่างมันเถอะ กลับบ้านดีกว่า ง่วงจะตายอยู่แล้ว
“ไป ๆ กลับบ้านกัน”
“กลับไงอะ” ผมถามอย่างสงสัย วันนี้เก้าไม่ได้ใช้เส้นทางเดิมที่ปกติ มันจะพาเดินไปทางที่จอดประจำของมัน
“รถตู้ดิ มอ’ไซค์อยู่บ้านมึงอะ”
“เออว่ะ” ผมคิดได้หลังจากลืมไปเลยว่าวันนี้แม่มาส่งที่โรงเรียน วันนี้มันเป็นอะไรวะเนี่ย สติ!
“ไปได้แล้ว”
 
“ความรักคืออะไรเจ้าคะ?” นาคีน้อยในร่างของเด็กสาวร้องถามนาคหนุ่มสีทองอร่ามที่กำลังแหวกว่ายไปในแม่น้ำริมฝั่งที่เธอนั่งอยู่
“จะว่าอย่างไรดีล่ะ ความชอบ ความหวังดีกระมัง” นาคหนุ่มเนรมิตร่างเด็กชายที่โตกว่านาคีน้อยสักหน่อยขึ้นมานั่งบนฝั่งข้าง ๆ เธอ “ถามทำไมหรือ วริณ”
               “ข้าบังเอิญได้ยินท่านพ่อกับท่านแม่คุยกันว่าอีกหน่อยข้าต้องมีคู่ครอง มีความรัก.. จากที่เจ้าพี่บอกเมื่อครู่ ลางว่าเป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือ แต่ข้ากลับเห็นสีหน้าของพวกท่านดูเป็นกังวล” นาคีน้อยก้มหน้าคิดก่อนจะเงยหน้ามองนาคหนุ่มข้างกายเชิงเป็นคำถาม นาคหนุ่มนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปตอบนาคีน้อย
               “พวกท่านคงกลัวเจ้าเจอความรักที่ไม่ดีกระมัง ความรักเป็นสิ่งดีก็จริง แต่จะหาคนที่ดี คนที่พึ่งพาได้คนที่ดูแลเจ้าได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
               “แล้วข้าจะทำอย่างไรดี ข้าไม่อยากให้พวกท่านกังวลแบบนี้เลย” นาคีน้อยแววตากังวล นาคหนุ่มรู้สึกเอ็นดูในตัวนาคีน้อย เขายิ้มพลางลูบหัวนาคีน้อย
               “อย่าห่วงเลย พี่จะดูแลเจ้าเอง ความรักของพี่จะปกป้องเจ้า”
               “จริงนะเจ้าคะ”
               “จริงสิ”
 
               “โกหก!” เสียงเล็กตวาดลั่นไปทั่วบริเวณ ภาพความทรงจำนั้นยังคงติดอยู่ในใจของเธอ ดวงตาแดงก่ำฉายแววสั่นสะท้าน เริ่มมีน้ำน้อย ๆมีเคล้าคลอ ความเจ็บปวดที่เธอรู้สึกนั้นมันมีมากกว่าห้วงมหาสมุทร
               เธอยันตัวขึ้นจากบัลลังค์หินอย่างเชื่องช้า เสียงตรวนอาคมกระทบลากไปกับพื้นนั่นสร้างความเจ็บปวดให้เธออย่างต่อเนื่อง หากแต่เธอก็ยังยับยั้งมันเอาไว้ด้วยความโกรธแค้น
               “กูจะให้พวกมึงชดใช้อย่างสาสม!”
               เสียงกรีดร้องอย่างเต็มแรงถูกตวาดลั่นขึ้นอีกครั้งจนพื้นแผ่นดินใกล้ ๆ จะต้องสั่นไหว
ความโกรธแค้นของร่างเล็กได้แตกกระจายเป็นละอองดำก่อนจะรวมตัวกันอีกครั้งกลายเป็นพญางูใหญ่คล้ายจงอาง เกล็ดสีเขียวประกายแสงอย่างปีกแมลงทับ ดวงตาทับทิมสีเลือดแวววาวที่แฝงไปด้วยความแค้นของวริณธารา มัจจุราชตัวใหญ่เคลื่อนตัวออกจากสถานพันธนาการอย่างรวดเร็ว โดยมีจุดหมายอันเป็นที่ของศัตรูเจ้านาย
               หากจะเปรียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับการแบ่งภาคของเทพต่าง ๆ ก็ไม่ถูกนัก เพราะถึงนางจะบำเพ็ญตบะมานานจนมีอิทธิฤทธิมากเพียงใดแต่เธอก็ยังไม่สามารถละซึ่งความโกรธแค้นที่มีทำให้เธอไม่สามารถออกหรือแบ่งภาคออกไปจากที่นี่ได้ตามโทษทัณฑ์ของเธอ
แต่สิ่งที่เธอสร้างและปลดปล่อยออกไปนั้นเรียกได้อีกอย่างว่ากระแสจิตที่เป็นเพียงการปรุงแต่งขึ้นมาเท่านั้น ไม่นานก็สลายไป
กระแสจิตเกิดจากจิตใต้สำนึกในตัวเจ้าของวิญญาณ ดังนั้นมันคือสัญชาตญาณ จึงเผยให้เห็นในรูปของพญางูสันดานเดิมของเธอ
 
“เอากลับไปให้หมดเลยนะ แล้วไม่ต้องมานอนบ้านกูอีก” กระเป๋าเป้ใบใหญ่ถูกโยนใส่เจ้าของอย่างแรงจนไอเก้าเกือบรับไม่อยู่
“จะนอน นี่บ้านกู” มันพูดด้วยสีหน้ายียวนพลางวางสัมภาระของตัวเองที่ตะกร้าหน้ารถมอเตอร์ไซค์ แล้วขึ้นควบอย่างถนัดตัว
“บ้านมึงพ่อง!”
“เออ ๆ กูไปละ” มันยิ้มขำเล็กน้อยพร้อมกับหยิบหมวกนิรภัยมาสวมใส่ ผมมองพลางยิ้มตอบ
“กลับดี ๆ มึง”
“เออ บาย”
“บาย”
รถมอเตอร์ไซค์คันหรูถูกขับเคลื่อนออกไปจากบ้านผมจนลับตาหากแต่ผมยังคงยื่นมองไปทางนั้นอยู่หน้าบ้าน
‘เข้าบ้านเถอะ’
“ใครอะ?” ผมรีบหันซ้ายขวากวาดสายตาหาที่มาของเสียงนั่น แต่กลับไม่มีอะไรอยู่เลย ความกลัวและกังวลใจเริ่มเข้าครอบงำจิตใจผมทำให้ผมต้องรีบสาวขาเข้าบ้านแล้วปิดประตูโดยไว
มุมภาพยังงคงฉายอยู่ที่หน้าบ้าน กลุ่มควันดำรูปร่างประหลาดลอยตัวอยู่เหนือบ้านแผดเสียงออกดังลั่นก่อนจะสลายตัวไป
มวลเมฆทะมึนเข้าแทนที่บนท้องฟ้าก่อนจะเริ่มโปรยเม็ดฝนลงมาอย่างรวดเร็ว เสียงฟ้าร้องร่วมกับฝนนอกฤดูยังคงมีความต่อเนื่องจนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงโดยง่ายในค่ำคืนนี้
ภายในห้องครัว แม่ยังคงยืนล้างจานไม่แล้วเสร็จ ผมยิ้มพลางเดินเข้าไปสวมกอดแม่จากทางข้างหลังอย่างแน่นถนัด
“ว้าย!!?”
เสียงแม่ร้องดังลั่นจนทำเอาผมผละตัวออกมาด้วยความตกใจ กอดแน่นไปหรอ ผมคิด
“มีอะไรแม่!!?”
“เข็มกลัดมันดีด”
“อะไรนะแม่?”
“กางเกงแม่เป้ามันขาดเมื่อเช้า ไม่มีเวลาเย็บเมื่อเช้าเลยเอาเข็มกลัดไว้ก่อน แม่ฝากล้างจานต่อด้วยนะ แม่ไปเอามันออกก่อน”
“โอเคครับ”
ผมพยักหน้ารับพร้อมความขบขันที่ฉายบนใบหน้า แม่ค่อย ๆ ก้าวเดินอย่างช้า ๆ ด้วยความระมัดระวังไปที่ห้องน้ำ “โอย จะทิ่มไหมเนี่ย”
 
               ‘23.20 น.’
           นาฬิกาตรงมุมบนหน้าจอโทรศัพท์บอกเวลาให้ผมรู้หลังจากที่นอนเอานิ้วมือไล้ไปกับหน้าจอโทรศัพท์รัวพิมพ์คำขอบคุณให้แก่เหล่าเพื่อนที่มาอวยพรวันเกิดให้กับผมอย่างมีความสุข
               ‘HBDนะคุณฟอนด์ มีความสุขมากๆ คิดอะไรขอให้สมปรารถนา เรียนเก่งๆ เกรดดีๆ แข็งแรงๆจ้า #เลิฟฟฟฟฟ’
           รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าของผมหลังจากที่อ่านคำอวยพรจากน้ำฟ้าเมื่อครู่ น่ารักจริง
           
           เพล้ง!!?
           เสียงนั่นทำผมสะดุ้งตัวโยน มันมาจากในห้องน้ำ เสียงมันคล้ายกระจก หรือแก้วอะไรสักอย่างแตกกระจาย
               ความสงสัยทำให้ผมไม่รอช้าที่จะเดินเข้าไปสำรวจความผิดปกติ และผมก็เจอความผิดปกตินั้น ‘ความว่างเปล่า’
               “อะไรวะ”
               “ไม่มีอะไรนะ นายว่ามีอะไรหรอ” เสียงคุ้นหูดังขึ้นจากทางด้านหลัง สมองของผมสั่งการให้รีบหันกลับไปมองมันอย่างทันควัน
               “เธอ?”
               “อะไร รู้ชื่อฉันแล้วไม่ใช่หรอ ทำไมไม่เรียกล่ะ” เจ้าตัวยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับสายตาเจ้าเล่ห์ ที่ทำให้รู้สึกได้ถึงความไม่ปลอดภัยและ...ห่วงหา?
               เกิดอะไรขึ้นกันแน่! เอาจริง ๆ ผมรู้สึกถึงความรู้สึกประหลาด ๆ นี่ตั้งแต่เจอเธอที่โรงเรียนแล้ว มันตรงข้ามกับที่ผมคิดโดยสิ้นเชิง
               ทำไมผมถึงรู้สึกคิดถึงคนที่ต้องการจะฆ่าผมด้วย มันแปลกมากราวกับว่ามันไม่ใช่ความรู้สึกของผมแต่เป็นของ...ใครอีกคน?
               “นี่ เหม่ออะไรของนาย”
               “เธอต้องการอะไรกันแน่ ฆ่าฉันหรอ?” หญิงสาวตรงหน้าถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะเลิกบ่าขึ้นพร้อมกับประคองวงแขนหลวม ๆ ขึ้นไว้ช่วงบนของหน้าท้อง
               “อืม ก็ไม่อยากจะทำหรอกนะ แต่... ก็ตามนั้นแหละ”
               “ทำไมล่ะ ฉันไปทำอะไรให้เธอ”
               “ไว้ตายแล้วก็ไปถามยมบาลเอาเองแล้วกัน!”
ไม่ทันจบประโยคนั่นดี ดาวก็พุ่งตัวกระชากเอาตัวผมออกจากห้องน้ำแล้วทุ่มลงพื้นอย่างแรง
ทันทีที่ร่างผมแตะพื้นห้อง ดาวก็ไม่รอช้าขึ้นค่อมพร้อมบีบคอผมด้วยมือเรียวเล็กนั่นแต่กลับมีแรงมหาศาลผิดมนุษย์ ลืมไป เธอไม่ใช่มนุษย์!
แรงบีบรัดที่คอ มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนกระดูกจะแตกเป็นเม็ดทราย ความเจ็บปวดมันล้นไปหมด ภาพอันเลือนลางนั่นเกิดขึ้นในหัวของผม มันมาพร้อมกับลมหายใจที่รวยริน...
ใครเห็นก็ว่าตาย!
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา