ตุ๊กตาเทวา
เขียนโดย ประพันธ์กรขาจร
วันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 00.04 น.
แก้ไขเมื่อ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2564 13.14 น. โดย เจ้าของนิยาย
8) นักดาบใต้ผ้าคลุม
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเป็นเช้าที่วันอาทิตย์ที่สดใสจนรู้สึกว่าไปหานิยายมาอ่านเล่นสักหน่อยดีกว่า แต่ทว่าเจ้าร้านขายหนังสือเก่าใกล้ๆ นี้มันดันปิดกระทันหันเสียนี่ ผมจึงรู้สึกอกหักที่ความหวังจะได้มีนิยายมาอ่านดันล้มครืนไม่เป็นท่า แต่ทว่าอารมณ์ดังกล่าวก็สลายหายไปทันทีที่ผมเข้ากะงาน เพราะตอนนี้ผมกำลังยุ่งจนตัวเป็นเกรียวกับจำนวนลูกค้า มากมายจนไม่มีเวลามานึกถึงเรื่องนั้น และที่น่าตื่นเต้นจนต้องขยันทำงานขนาดนี้ก็คือ
ผมได้พบกับพนักงานลับของร้านเราอีกคนหนึ่ง
คุณสมชาย นิลประดับ
ชายวัยกลางคน ผมหยักศก โครงหน้าเรียว จมูกโด่ง มีแววตาที่ใจดี แต่แฝงความอิดโรยของคนทำงานหนัก ยิ้มเก่ง ตัวสูงชะลู่ ทุกกริยาการ ยืน เดิน นั่ง ดูดีไปหมด ใส่ถุงมือสีดำตลอดเวลา ดูท่าจะเป็นคนรักษาความสะอาดละมั้ง และที่สำคัญที่สุด คุณสมชายเป็นเจ้าของร้าน Magic Cup แห่งนี้
นึกว่า W.A. เป็นเจ้าของกิจการเองเสียอีก ให้คนธรรมดาเป็นเจ้าของ แล้วพวกตัวเองก็แห่กันมาสมัครงานแบบนี้ ก็เนียนดีนะ อย่างกับพวกมิจฉาชีพที่พร้อมจะยกเค้าเมื่อเจ้าของเผลอ
ความจริงทุกวันอาทิตย์ คุณสมชายจะมาช่วยที่ร้านตลอดเพราะลูกค้าเยอะ แต่อาทิตย์ก่อนไม่ได้มาเพราะติดธุระ
วันนี้ลูกค้าแปลกหูแปลกตาไปเยอะ เพราะส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง นี่คือลูกค้าของคุณสมชาย เหมือนเหล่ากระทาชายที่เป็นลูกค้าพี่พิม
แหม ไอ้ร้านนี้ที่จริงมันขายอะไรกันแน่ว้า
แต่วันนี้พี่พิมลาหยุด ดูเหมือนจะมีลูกค้าบางคนก็อารมณ์เสียนิดหน่อยเพราะไม่รู้ว่าพี่พิมแกลาหยุดกระทันหัน เหตุผลจริงๆ คือ พี่พิมต้องไปรายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ที่ ศูนย์ใหญ่ของ W.A.
เรื่องเริ่มต้นมาจากพวกเราที่ตื่นขึ้นมากลางสวนสาธารณะในกลางดึกเมื่อคืนด้วยความงุนงงว่ารอดมาได้อย่างไร
พี่กบี่บอกได้ทันทีเลยว่า หมอใหญ่หายไปแล้ว ศาลหลังนี้สูญเสียเจ้าที่โดยสมบูรณ์
คำถามคือ เขาหายไปได้อย่างไร ไม่มีใครรู้ พวกเราลองเอาเหตุการณ์ของแต่ละคนมาแชร์กันแต่ก็ไม่ได้อะไร
ส่วนเรื่องข้อมูลคดีนายคมกฤษที่พี่พิมยอมสละตัวเองไปสืบมา
ข้อมูลที่ได้จากหมอใหญ่คือ เขาคาดว่า มันน่าจะเป็นพิธีกรรมเพื่อสร้าง สัตว์ตัวแทนกิเลส ซึ่งจะเอาไปใช้ทำอะไรนั้นก็แล้วแต่ผู้ทำพิธี ส่วนเรื่องใครเป็นคนทำนั้น หมอใหญ่ก็บอกว่า มีคนที่น่าสงสัยอยู่ เป็นคนที่ชอบเดินไปเดินมาไปทั่ว ทั้งๆ ที่คนๆ นั้นไม่น่าจะต้องชื่นชมทัศนียภาพใดๆ
ได้ข้อมูลมาแค่นี้ เพราะเจ้าหมอใหญ่ดันลีลา ก็พอดีกับที่พี่พิมหันไปเจองูตัวหนึ่งใกล้ๆ และร้องวี๊ดว้ายจนสลบไปเสียก่อน
พี่พิมแกกลัวงูนี่เองสินะ
ผมสงสัยว่ามันจะเป็นข้อมูลที่น่าเชื่อถือไหม ซึ่งคนอื่นๆ ก็บอกว่ามีโอกาสเป็นจริงสูง ถ้าหมอใหญ่ต้องการให้พี่พิมอยู่ด้วยนานๆ ก็ต้องให้ข้อมูลที่เป็นความจริงมาล่อ เพราะถ้าเอาข้อมูลเท็จมาแล้วถูกจับได้ งานดินเนอร์ก็พัง ถึงเขาจะลีลาน่ารำคาญ แต่ยังไงข้อมูลก็คงน่าเชื่อถือ
เจ้าหมอใหญ่ละก็ นอกจากให้ข้อมูลไม่หมด ยังมาด่วนตายเสียได้
จะว่าไปก็ตายไปรอบหนึ่งจากตอนเป็นมนุษย์แล้วนี่
ผีซ้ำด้ำพลอยจริงๆ
ส่วนเรื่องงูก็คิดได้อย่างเดียวว่าต้องมีคนแอบเอามาปล่อย และคงเป็นใครไม่ได้นอกจากเจ้าคนที่เรากำลังตามสืบเรื่องของมันอยู่แน่ๆ
"นี่ นายนะเร็วๆ หน่อยสิยะ" เสียงลูกค้าโต๊ะหนึ่งส่งเสียงเร่งให้ผมไปหา ตอนนี้คนที่บริการลูกค้ามีเพียงผมและกวี 2 คน
เพราะพี่เบลต้องไปแทนพี่พิมที่บาร์ ทำให้การบริการลูกค้าที่โต๊ะจะช้ากว่าปกตินิดหน่อย
"ครับ ไม่ทราบว่ารับอะไรดีครับ" ผมพูดต้อนรับไปตามหน้าที่
"Mocca เย็นแก้วหนึ่งค่ะ เธอละ" ดุจดาวสั่งก่อน
ส่วนอีกฝ่ายเรียกผมเหมือนจะรีบ แต่พอผมมาถึงกลับนั่งไล่ดูเมนูอย่างไม่มั่นใจ
"ถ้าแพ้คาเฟอีน จะลองสั่งนมก็ได้นะครับ"
"ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะ นายนะเงียบๆ ซะนายนิพนธ์" ยัยสายฝนหันมาวีนใส่ ทั้งๆ ที่การแนะนำเมนูให้ลูกค้าก็เป็นงานแท้ๆ แล้วทำไมต้องตีความว่า กินนมเท่ากับเด็กด้วยละ?
"นะ น้ำเปล่า แก้วหนึ่ง" พูดเสียงอ่อยๆ สงสัยจะรู้ตัว มีจริงๆ สินะ คนที่มาร้านกาแฟแต่ดันสั่งแต่น้ำเปล่าเนี๊ยะ
"เธอแพ้คาเฟอีนงั้นเรอะสายฝน ขอโทษนะฉันไม่รู้นะ เลยชวนเธอมาร้านกาแฟ" ดุจดาวออกปากขอโทษเพื่อนร่วมโต๊ะ ยัยนี่เวลาปกติแล้วก็ดูเหมือนผู้หญิงทั่วไปออกแนวจะไปทางกุลสตรีเสียมาก
"ช่างเถอะ ฉันเองก็อยากมาร้านนี้นานแล้วเหมือนกัน แต่เสียดายตรงที่มีคนบางคนดันมาเป็นพนักงานหน้าร้าน น่าจะไปทำแถวๆ หลังร้านมากกว่า"
ครับๆ ไอ้คนนั้นคือผมเองสินะ
"ว่าแต่พวกเธอสนิทกันอย่างนั้นเรอะ" ผมฉีกหัวบิลเสียบไว้ที่โต๊ะ
"คือที่จริงวันนี้ฉันตั้งใจว่าจะออกมาเพื่อจะหาหนังสืออ่านเล่นที่ร้านหนังสือเก่านะ แล้วมาเจอกับสายฝนที่หน้าร้านขายเครื่องดนตรี ก็เลยชวนมาด้วยกัน เพราะไม่กล้ามาคนเดียวนะ"
ดุจดาวยกหนังสือเล่มใหญ่เล่มหนึ่งมาบังไว้ครึ่งหน้า บิดไปบิดมาดูกระวนกระวายชายตาไปอีกมุมหนึ่งของร้าน แหม ขอย้ำอีกครั้ง ตกลงร้านนี้มันขายอะไรกันแน่ว้า
"นี่ รีบๆ หน่อยสิ ฉันหิวน้ำนะ" สายฝนออกปากเร่งอีก ผมเดินกลับไปที่บาร์ส่งหางบิลให้
"กวี แกไปเสิร์ฟที่โต๊ะนั้นให้ทีสิ ฉันไม่อยากทะเลาะกับยัยสายฝน" ผมส่งถาดที่มีขวดน้ำวางอยู่ให้อีกฝ่าย
"ลูกค้าก็คือลูกค้า แกจะแบ่งแยกไม่ได้" มันว่าอย่างนั้น
"ก็เพราะเป็นลูกค้ายังไงละ ฉันถึงไม่อยากมีปัญหา" ผมตอบกกลับ
กวีหัวเราะ หึ ออกมา ยิ้มมุมปากเหมือนมีเล่ห์ แล้วคว้าเอาถาดที่ผมยื่นให้เดินไปที่โต๊ะของยัยพวกนั้น
ที่จริงผมแค่อยากแกล้งเจ้ากวีกับยัยดุจดาว
พอยัยนั่นเห็นว่าคนที่มาเสิร์ฟน้ำคือกวีก็เลิกลักๆ ทำอะไรไม่ถูก หน้าแดงจนเอาหนังสือเล่มโตยกขึ้นมาปิดหน้าอย่างรวดเร็ว
และทันใดนั้น เจ้าหนังสือนั่นก็สว่างวาบขึ้น
ปัง!!!!
เสียงดังดั่งปะทัดตามมาด้วยคลื่นกระแทกเบาๆ
ทั้งที่มันเบา แต่ทุกคนในร้านกลับล้มพับดับสติพร้อมๆกัน
ผมพยายามทรงตัวยืนขึ้นมา ในหัวยังมึนๆ คนที่ลุกขึ้นได้อีกก็มีแค่พี่เบลกับกวี
"เกิดอะไรขึ้น!!? " พี่กบี่พรวดพราดรีบออกมาจากครัว ตามติดๆ มากับเฮียแฟรงค์
เจ้ากวีรีบปรี่ไปที่ต้นเหตุ หนังสือของดุจดาว มันตกอยู่ใกล้ๆ กับร่างของเจ้าของที่สลบอยู่บนพื้นเหมือนกับคนอื่นๆ ในร้าน
'นิทานกริมม์ เล่มที่1'
ดูเหมือนเป็นหนังสืออ่านเล่นที่หาได้ทั่วไป เขาเปิดเร็วผ่านหน้าแล้วหน้าเล่าก็ไปสะดุดเอาหน้าสุดท้าย มันหน้าผิดปกติ มันเป็นหน้าติดกันที่กวีพยายามจะแกะออกแต่ไม่สำเร็จ เขาจึงหยิบมีดTPI ออกมา จิ้มปลายมีดไปที่กระดาษพร้อมพึมพำคาถา ทันใดนั้นกระดาษก็หลุดออกจากกันอย่างน่าอัศจรรย์
ภายในหน้าที่ประกบกันนั้น ทั้ง 2 หน้า มีอักขระวงเวทที่ต่างกันอยู่ทั้งคู่
"ว่าไงมั่ง" พี่เบลออกปากถามก่อน
"มนตร์สะกดแบบมีเงื่อนไข ไม่เข้าใจอักขระชุดนี้" หลังจากพิจารณาซักพัก กวีก็ชี้นิ้วไปที่ตัวอักษรยึกยือชุดหนึ่งที่ผมก็อ่านไม่ออก
"อุทธัจจะกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่าน ใจลอย เป็นนิวรณ์5" พี่กบี่ตอบ
ถึงจะเรียนวิชาอื่นโง่ แต่สังคมนี่ผมคุยได้เลย นิวรณ์5 คือจิตต่ำละเอียดขั้นกลาง รองจากกิเลส3 เป็นจิตต่ำขั้นหยาบหรือละเอียดขั้นแรก ในคำสอนทางพุทธ
"วงเวทนี่จะสะกดคนที่ตรงตามเงื่อนไขงั้นเรอะ" พี่เบลถาม
"ดูเหมือนจะใช่นะ ที่พวกเราไม่โนไปด้วยเพราะกางเกราะเวทคุมกายเอาไว้ทุกคน"
กริ๊งๆ
เสียงกระดิ่งที่ประตูดังขึ้นขัดจังหวะการสนทนาจนพวกเราทั้งหมดต้องหันไปมองเพราะถ้าเป็นลูกค้า เราคงต้องหาข้ออ้างกันวุ่นวายทีเดียว
ลูกค้าคือเจ้าคนใส่ผ้าคลุมเมื่อคราวก่อน
เฮียแฟรงค์พุ่งใส่ด้วยความเร็วทันที
ฉัวะ
ใบดาบสีเงินฟันฉับสวนกลับมาจนเฮียแกล้มลงไปกองอยู่แทบเท้ารวมกับพวกลูกค้า
เร็วมาก!!!
เคยคิดว่าอยากจะลองเจอกันตรงๆ ซักครั้งแต่เท่าที่เห็นคิดว่า อย่าพึ่งห้าวดีกว่า
ปลายดาบจ่อไปที่หัวของเฮียแฟรง มือซ้ายที่สวมถุงมือหนังสีดำกระดิกนิ้วบอกว่าให้ส่งหนังสือมา
"พวกฉันมีกันหลายคนนะ แกคิดว่าจะออกไปได้เรอะ" กวีพูดกลับ แต่จู่ๆ พวกลูกค้าที่นอนสลบอยู่ก็ร้องครวญครางออกมา บางคนเจ็บปวด บางคนหวาดกลัว บางคนโศกเศร้า ขั้นหนักเลยก็กรีดร้อง ปะปนกันไป เหมือนกับว่าอยู่ในนรก ถ้าใครใจแข็งไม่พอแล้วมายืนตรงนี้ละก็ รับรองว่าประสาทกินแน่ๆ
กวีโยนหนังสือส่งให้อย่างว่าง่ายต่างจากเมื่อครู่ มันโยนสูงพอสมควร ผมเข้าใจทันทีว่ามันจะทำอะไร ผมจึงเตรียมพร้อมเมื่อมันให้สัญญาณ
แต่ทว่า ร่างของลูกค้าท่านหนึ่งกลับลอยตรงมาใส่พวกเรา ทำให้เราทั้งหมดต้องรับร่างนั้นอย่างเสียไม่ได้
ยกเว้นเจ้ากวีที่มันมุดตัวก้มลงผ่านร่างนั้นไปเสียเฉยๆ อย่างไม่ใยดี
'กัสต์' กวียิงกระสุนเวทใส่อีกฝ่ายไป3นัด
ดาบยาวนั้นปัดป้องได้หมด เขาได้หนังสือไว้ในมือและดีดตัวถอยหลังดันประตูออกไป พวกเราทั้งหมดวิ่งตามไปอย่างเชื่องช้าเพราะต้องระวังไม่ให้เหยียบลูกค้า แต่พอออกมาก็ไม่เจอใครแล้ว
"กลับเข้าไปดูลูกค้าก่อน" พี่กบี่ออกคำสั่ง พวกเราทั้งหมดจึงทำตาม
เราคลายมนตร์สะกดให้ลูกค้าและปรับความทรงจำใหม่นิดหน่อย มีเพียงดุจดาวกับอีก4คนที่ไม่ฟื้น เพราะ5คนนี้ ถูกสะกดด้วยมนตร์อีกแบบหนึ่งและเอาวิญญาณไป ไม่ใช่แค่ทำให้สลบเหมือนคนอื่นๆ
แผลที่เฮียแฟรงค์โดนฟันไม่ลึกมากยังถือว่าโชคดี
ส่วนคุณสมชาย เราอ้างไปว่าแก๊สรั่วจึงเกิดปัญหา คุณสมชายจึงอนุญาตให้เราปิดร้านไปครึ่งวัน และเขาเองก็รู้สึกมึนๆ จึงกลับบ้านไปก่อน
เท่ากับว่าตอนนี้ เหลือแต่พวกเรา W.A. กับลูกค้า5คนที่สลบอยู่ในร้าน
"เราจะทำยังไงต่อดี" พี่เบลถามขึ้น
"มันคงใกล้ทำพิธีอีกแน่ หรืออาจจะวันนี้ด้วยซ้ำเราต้องหาตัวมันให้เร็วที่สุด ไม่ก็หาสถานที่และทำลายวงเวท" พี่กบี่พูดท่าทางเครียดเชียว
"มันจะทำพิธีคืนนี้" ทุกคนหันไปหากวีที่เป็นคนพูด ส่งสายตาถามว่ารู้ได้ยังไง
"คราวก่อนพิธีเป็นวันพระข้างแรม และคืนนี้ก็วันพระข้างขึ้น วงเวทนั้นก็เงื่อนไขตามคติพุทธ มันคงไม่บังเอิญ" กวีตอบ
"แบบนี้เวลาเราน้อยมากนะ แล้วเราจะหาคนทำพิธีหรือลานพิธีได้ยังไง" พี่เบลยกมือกุมหัวท่าทางกระวนกระวายยกใหญ่
"เอ่อ ผมว่า ผมมีคนที่สงสัยอยู่" ผมกล่าวออกไปและแน่นอนว่าทุกคนหันมาด้วยความสงสัย
ผมเดินเตร็ดเตร่กลับมาที่สวนสาธารณะริมแม่น้ำอีกครั้ง เป็นเวลาเกือบจะ 3ทุ่มแล้ว แสงไฟที่พอจะทำให้มองเห็นมีเพียงแสงไฟทางที่อยู่ริมแม่น้ำเป็นระยะๆ เท่านั้น ตอนนี้ที่นี่ไม่มีใครมาออกกำลังกายเพราะดึกมากแล้ว แต่ทว่า กลับยังมีคนที่ยังนั่งอยู่ที่ม้านั่งยาวตัวหนึ่ง ผมเดินเข้าไปหาแต่ยังไม่ทันไรดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ตัวเสียก่อน
"จะมาระบายนิยายที่อ่านอีกแล้วเรอะ พ่อหนุ่ม"
"อ่า คุณลุงจริงด้วยนะครับ นี่จะ 3ทุ่มแล้วนะครับ หลานยังไม่มาอีกเรอะครับ"
"ยังๆ สงสัยวันนี้จะมาช้านะ"
"แล้วคุณลุงรู้ได้ยังไงว่าเป็นผมครับนี่"
"คนเรามีหลายอย่างเป็นเอกลักษณ์ เสียงฝีเท้าก็เป็นหนึ่งในนั้น"
"หูดีมากเลยนะครับ เดินบนพื้นหญ้าแท้ๆ "
"เพราะตาบอดยังไงละ"
"แต่มานั่งคนเดียวแบบนี้อันตรายนะครับ แถวนี้ตอนดึกๆ ก็มีพวกวัยรุ่นเล่นยากับพวกคนจรจัดน่ากลัวๆ อยู่ด้วยนะครับ มีเบอร์โทรไหมละครับ เดี๋ยวผมโทรให้ อ่า แบตหมดนี่หน่า ไปโทรที่ตู้ฝั่งตลาดดีกว่านะครับ ผมพาไป"
"อืม ก็ดีนะ นี่ก็รอมานานแล้ว เป็นห่วงมันเหมือนกัน ไอ้ฉันเองก็เงินมือถือหมดเหมือนกัน เบอร์หลานอยู่ในเครื่อง เดี๋ยวฉันหยิบให้นะ"
คุณลุงยันตัวกับไม่ตะพดพยายามลุกขึ้นมือไม้สั่นระริกตามประสาคนแก่ ผมที่เห็นดังนั้นจึงพยายามเอื่อมมือไปช่วย
ฉับ
แต่ทว่าจู่ๆ ผมกลับรู้สึกเหมือนโดนบางอย่างฟาดใส่อย่างจัง แสงวับสีเงินที่ส่องประกายของแสงไฟที่สะท้อนจากใบดาบบนมือชายชราที่เห็นเหมือนไร้เรี่ยวแรงในชั้นแรกกลับแตกต่างในตอนนี้ แรงที่ฟันใส่มาทำเอาคนหนุ่มอย่างผมหงายหลังล้มลงไปในดาบเดียว
ไม้ตะพดนั้นที่แท้ก็คือดาบที่ทำหลอกตาเอาไว้
"ขอโทษด้วยนะนิพนธ์ แต่เธอมันทำตัวน่าสงสัยเกินไป" เสียงที่เปร่งออกมาฟังดูแข็งกร้าวและเหี้ยมเกรียมต่างจากเสียงที่ดูอ่อนแรงก่อนหน้านี้
"เอาละ คนที่เหลือก็ออกมาได้แล้วมั้งรู้นะว่าซุ่มกันอยู่"
8ชั่วโมงก่อนหน้านั้น
"เรื่องแรกที่ผมสงสัยก็คือ ยัยดุจดาวบอกว่า จะไปหาหนังสืออ่านที่ร้านหนังสือเก่า แต่ร้านนั้นวันนี้มันปิด แล้วยัยดุจดาวไปเอาหนังสือเล่มนั้นมาจากไหนกัน? "
"ร้านหนังสือปิดวันอาทิตย์เนี๊ยะนะ? " กวีถาม
"ปกติร้านนี้ปิดวันพุธ แต่ไม่รู้ว่าทำไมวันนี้ถึงปิด เมื่อเช้าฉันก็ไปมา แล่วเห็นว่ามันปิดกระทันหัน"
"แล้วไงต่อๆ " พี่เบลเร่งด้วยความอยากรู้
"ข้อ2 ทำไมยังดุจดาวถึงได้หนังสือที่เป็น All for eyes มาอ่าน แทนที่จะเลือกเล่มที่เป็นปกติ"
" All for eyes? " พี่กบี่ถาม
"มันคือหนังสือที่อ่านได้ทั้งคนตาดีและตาบอด แกเห็นไหมเจ้ากวี หนังสือเล่มนั้น มีตัวอักษรแบบปกติสำหรับคนตาดี และฉลุอักษรเบลเอาไว้ด้วยสำหรับคนตาบอดอ่าน นิทานกริมม์นะ หาได้ทั่วไปเยอะแยะ ทำไมยัยดุจดาวต้องเจาะจงเลือกเล่มที่เป็นแบบนี้ แถมถ้าเลือกเล่มปกติ ขนาดก็จะไม่ใหญ่เทอะทะเท่าเล่มนี้อีกด้วย ทำไมยัยนี้ต้องยอมแบกหนังสือหนาเท่าฝาบ้านทั้งๆ ที่หาเล่มที่บางกว่าได้"
"เธอไม่ได้เลือกเอง แต่เลือกมาอย่างเสียมิได้ อาจจะเอาไปเผื่อให้คนที่ที่ตาบอด" กวีตอบ
"หรือได้มาจากคนรู้จักที่ตาบอด แกสังเกตเห็นหนังสือเล่มนั้นไหม มันดูไม่เก่ามาก จากปกและกาวที่ใช้ติดกระดาษยังไม่เหลือง แต่ตรงปกสันกลับโดนแดดเลียเสียสีซีดเชียว แสดงว่ามันถูกวางไว้ให้โดนแดดโดยไม่มีการดูแลเรื่องนี้เลย และตรงอักษรเบลมีร่องรอยว่ามันถูกอ่านอยู่บ่อยๆ แสดงว่าคนๆ นี้รักหนังสือเล่มนี้พอสมควร แต่รักหนังสือยังไงถึงปล่อยให้มันแดดเสียขนาดนี้"
"เพราะเขามองไม่เห็นว่าสีมันซีด จึงไม่ได้ย้ายที่เก็บ ก็ไม่เห็นแปลก เธอบอกเองว่าตรงอักษรเบลมีร่องรอยการอ่านบ่อย ก็คือเจ้าของเป็นคนตาบอด"
"ใช่ พี่กบี่พูดก็ถูก แต่ทำไมคนตาบอดคนนี้ถึงเลือกหนังสือแบบ All for eyes ละ ทำไมเขาไม่เลือกอักษรเบลล้วน ที่มันจะเล่มบางกว่า อย่างที่บอกว่านินทานกริมม์นะเป็น 1ในเรื่องที่นิยมจะตาย มันมีทุกแบบแหละ"
"เหตุผลเดียวกับดุจดาว คนตาบอดคนนี้ไม่ได้ซื้อเอง" กวียังตอบต่อ
"ใช่ หนังสือเล่มนี้มันเฉพาะทางเกินไป คนตาบอดคนนี้ได้หนังสือเล่มนี้มาจากอีกคนที่ตาดีแต่คิดถึงตัวคนตาบอดด้วยว่า 'เผื่อจะอยากอ่านเองบางครั้ง' ยังไงละ"
"เป็นคนในครอบครัวงั้นเรอะ" พี่กบี่เปร่งเสียงออกมาแต่ดูเหมือนพูดกับตัวเองมากกว่า
"แกจะบอกว่าดุจดาวได้หนังสือเล่มนี้มาจากคนตาบอดคนหนึ่งที่รู้ว่าเธอกำลังหาหนังสืออ่านเล่นพอดี จึงหยิบยื่นหนังสือเล่มนี้ที่วางยาเอาไว้ให้เธอไปซะ อย่างงั้นเรอะ ถ้างั้นแกสงสัยใคร คนตาบอดในรังสิตไม่ได้มีคนเดียว"
"ก่อนหน้านี้ฉันไปเจอลุงคนหนึ่งที่ตาบอดมา แกบอกว่ามีหลานสาวที่ชอบอ่านหนังสือให้ฟังบ่อยๆ และหลานสาวแกชอบอ่านนิทานกริมม์"
"เดี๋ยวๆๆ เดี๋ยวนะนิพนธ์ ฉันว่ามันขัดๆ กันนะ เธอบอกว่าสงสัยลุงตาบอดคนหนึ่งที่มีหลานสาวอ่านหนังสือให้ฟังบ่อยๆ และชอบนิทานกริมม์สินะ ถ้าอย่างนั้น เด็กนั้นก็ต้องเก็บหนังสือให้พ้นแดด และตาลุงตาบอดนั่นก็ไม่ต้องมาอ่านนิทานกริมม์เองจนแถวอักษรเบลมีรอยขนาดนี้มั้ง" พี่กบี่ออกปากค้านจนผมต้องหยุดกลางคัน
"ยกเว้นเขาโกหก ไม่สิ เขาคงจะเคยมีหลานสาวคนดังกล่าว แต่ตอนนี้ไม่อยู่แล้ว"
"แกรู้ได้ไง? "
"รองเท้าของเขา ทั้งเสื้อทั้งกางเกงของเขาถึงจะเก่าแต่สะอาดและถูกรีดอยากดี แต่รองเท้าของเขากลับสกปรก แน่นอนว่าเขาตาบอดคงดูแลไม่ทั่ว แต่ใครละดูแลเสื้อผ้า ฉันเดาว่าร้านซักรีด เพราะถ้าคนดูแลเป็นคนในครอบครัวและดูแลเสื้อผ้าดีขนาดนี้ รองเท้าเขาต้องสะอาดด้วย แต่นี่ไม่ เพราะร้านซักรีดไม่ได้รับดูแลรองเท้า และการจะให้มาดูแลรองเท้าคนอื่นที่คนไทยถือว่าเป็นของต่ำก็คงตะขิดตะข่วนใจ ดังนั้นเรื่อง หลานสาวเขาที่พูดกับฉันต้องโกหก เขาอยู่คนเดียว อย่างน้อยก็ ณ ปัจจุบันนี้"
"แล้วทำไมต้องเป็น น้องที่ชื่อดุจดาว" พี่เบลยกมือถามจนสุดแขน
"เด็กคนนี้แค่บังเอิญตรงตามเงื่อนไข ที่จริงคนร้ายคงแค่อยากให้เป็นพาหนะ พาหนังสือเข้ามาในร้านนี้เท่านั้น แต่พอจิตใจของเธอในตอนนั้นตรงกับช่วงเวลาที่มนตร์ทำงานพอดี ก็เลยโดนดึงวิญญาณออกไป" พี่กบี่ลองวิเคราะห์
"พี่กบี่คิดว่าไง" กวีหันไปขอคำสั่ง
พี่กบี่ทำท่าครุ่นคิดซักพักก็หันมาหาพวกเรา
"แถวนี้มีร้านซักรีดไม่เยอะเท่าไร เราจะไปหาดูสิว่ามีร้านไหนมีลูกค้าแบบที่นิพนธ์บอกรึเปล่า แล้วค่อยคิดขั้นต่อไปกัน"
ตามแผนของเราคือให้นิพนธ์พานายไพศาลออกไปจากสวนสาธารณะ จากนั้นพวกเราก็จะตามหาวงเวทกันและทำลายมันซะ เราสืบจนรู้ว่าเขาเคยมีหลานสาวจริงๆ แต่ตายไปแล้ว เธอคือเหยื่อรายที่ 2 ในคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง ปกติเขาไม่ได้มารอหลานสาวที่สวนฯ นี้ แต่มาช่วงอาทิตย์นี้เท่านั้นที่มาบ่อย แสดงว่าที่สวนฯ นี้ต้องมีอะไรแน่ๆ ที่นี่โล่งพอจะมองเห็นดวงดาวและพระจันทร์บนท้องฟ้า ซึ่งมีผลกับพิธีกรรมบางพิธี และอีกข้อคือ เจ้าที่ที่เคยอยู่ที่นี่หายไปแล้วแต่เขากลับทิ้งแรงอธิษฐานของชาวบ้านเอาไว้ ซึ่งมันใช้เป็นมานาได้
2 ข้อนี้ผมเดาจากพิธีก่อนหน้านี้ที่เขาทำขึ้น ที่ดาดฟ้าของโรงพยาบาล เงื่อนไขมันตรงกันพอดี
แต่ทว่าเจ้านิพนธ์จอมเซ่อดันทำแผนเสียซะได้ ทำให้เราพลาดโอกาสหาวงเวทไปแล้ว
"พวกจอมเวทอยากทำตัวเป็นผู้ผดุงความยุติธรรมงั้นเรอะ ก็ย่อมได้ ข้าเองก็ตั้งใจจะเป็นตัวร้ายอยู่แล้วละวะ พวกเอ็งเข้ามาพร้อมกันนั้นแหละ จะได้ประหยัดเวลาข้า" อีกฝ่ายส่งจิตสังหารออกมาอย่างไม่ปิดบัง บ่งบอกความเป็นศัตรู ดูเหมือนคงเลี่ยงการปะทะไม่ได้ซะแล้ว
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ