ตุ๊กตาเทวา

-

วันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 00.04 น.

  25 บท
  2 วิจารณ์
  19.26K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2564 13.14 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) ชายผู้ถูกหลอกใช้

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
     ผมและพี่เบลนั่งก้มหน้าไม่พูดจาอะไรเลยอยู่ในห้องพักพนักงาน  ฝั่งตรงข้ามคือพี่พิมเจ้าเดิมที่นั่งกอดอกจ้องมองพวกผมด้วยสายตาทิ่มแทงมาดนางพญา
“ให้ไปสังเกตการณ์ไม่ใช่เรอะ”  ผู้อาวุโสกว่าเอ่ยขึ้นก่อน
“ครับ/ค่ะ”  เราตอบพร้อมกัน
“แต่ไม่ได้อะไรเลย”
“ครับ/ค่ะ”
“เหตุผลคือ เพราะมัวแต่คุยกัน”
“ขอโทษด้วยครับ/ค่ะ!!!!!”
เราทั้ง 2 คนแทบจะก้มลงกราบเท้า  เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องใหญ่  แต่ดันผิดพลาดจากเรื่องเล็กๆของเรา 2 คน  แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับการอภัยเลยทีเดียว  โดยเฉพาะพี่เบลที่เป็นรุ่นพี่
“เฮ้อ!!”  พี่พิมถอนหายใจเอามือกุมขมับ
ประตูด้านหลังของผมเปิดออก  เป็นกวีที่เดินเข้ามา
“ว่าไง”  พี่พิมเอ่ยถามก่อน
“ไม่มีอะไรเลย  ที่นั่นตอนนี้สะอาดสุดๆ  พวกลูกจ้างเทศบาลเข้ามาเก็บกวาดหลังตำรวจไปแล้ว   ผมลองเข้าไปต่อจากนั้นไม่เจออะไรสักอย่าง  ไอ้เสาที่นิยมไปชนกันนอกจากรอยชนก็ไม่เจออะไรเลย”
“แล้วพวกวิญญาณตัวตายตัวแทนละ”  ผมถามออกไป  จะว่าไปตอนที่สังเกตการณ์ผมก็ไม่เจอพวกสัมภเวสีเหมือนกันนะ
“เรื่องนี้ไม่มีคนตาย  บอกตรงๆว่าฉันแปลกใจอยู่  ชนติดต่อกันมาตั้งนาน แต่ไม่มีคนตายเลยมันชวนทะแม่งชอบกล  ดูไม่มีแรงจูงใจ  ที่แน่ๆ รูปการณ์แบบนี้ไม่ใช่อุบัติเหตุ  แต่เรากลับไม่ได้อะไรเลย”
“คนร้ายที่ไม่ทิ้งร่องรอยนะไม่มีหรอก”  ผมพูดออกไป
“ทฤษฎีอาชญากรรมก็น่าสนใจอยู่ แต่เราอาจจะคลำผิดทาง  และอีกอย่างถ้าพวกนายไม่ละเลยหน้าที่เอาแต่คุยกันละก็  เราคงไม่มืดตลอดสายขนาดนี้” กวีไม่วายหันมาแขวะผม
พูดไปก็เข้าตัวจนได้  เนื่องจากคืนนี้คว้าน้ำเหลวไปแล้ว เราจึงแยกย้ายกันกลับบ้านกันตอนตี 2  เพราะโดนพี่พิมเทศนาเสียยกใหญ่  เจ้แกเป็นหัวหน้าจริงๆสินะ
 
     วันต่อมาทางเทศบาลจัดทำบุญบริเวณป้ายรถเมล์นั้นกันยกใหญ่  มีผู้คนมาร่วมงานประปราย  แต่ที่มีเยอะกว่าคือพวกผีมาขอส่วนบุญ  แน่นอนว่าผมเห็นคนเดียว
วันนี้เป็นวันเสาร์  ผมมีกะงานตั้งแต่ 9 โมง  ร้านเปิดตอน  10 โมง  และลูกค้าก็แน่นร้านตามเคย  ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าของพี่พิม แกแจกรอยยิ้มไปทั่วหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่สดชื่นกันเป็นแถว แหม ช่างต่างจากเมื่อคืนจริงๆ   แบบนี้ขายแต่รอยยิ้มก็ได้มั้ง  ท่าจะได้กำไรคุ้มอยู่
ช่วงพักก็ฝึกกสิณไฟไปแต่ก็ไม่ได้เรื่องเหมือนเคย
“เมื่อคืนโดนหนักเลยเรอะ ฮ่าๆ”
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้น  ผมเงยหน้ามองไปก็เจอกับพี่กบี่ที่เดินออกมาจากครัวเพื่อดื่มน้ำที่มุมห้อง
กบี่  วังป่า  ชายร่างบึกบึนกับทรงผมเดทร็อคที่มัดรวบไว้ด้านหลัง  วันนี้เขาใส่ชุดพ่อครัวสีขาวที่ดูแปลกตากว่าทุกที 
พี่กบี่ทำงานควบระหว่างพ่อครัว และซื้อพวกอุปกรณ์และวัตถุดิบเข้าร้าน  หน้าตากอลิล่าแบบนี้แต่ทำอาหารอร่อยใช่ย่อย  ร้านเรามีอาหารง่ายๆอย่างจำพวก สปาเก็ทตี้  ออมเล็ต ซึ่งครัวจะอยู่หลังบาร์ที่กั้นด้วยกำแพงและติดต่อกันผ่านทางหน้าต่างเล็กๆบานหนึ่ง  ครัวกับห้องพักมีประตูเชื่อมกันเป็นทาง เข้า-ออกครัว
“พวกเวทธาตุหลักนี่นะ ง่ายที่สุดแล้ว  ไม่ต้องมีบทร่าย”
“ไม่ต้องใช้มานาจากภายนอก  นึกภาพในใจและเปลี่ยนมานาของเราให้กลายเป็นธาตุ  ใช่ๆ ผมฟังมาร้อยรอบได้”
กวีบอกว่า  ถึงผมจะดูดซับมานาจากภายนอกไม่ได้  แต่น่าจะใช้มานาภายในกายได้  มานาเป็นสิ่งที่มีมาแต่เกิด  แค่ต้องหามันให้เจอและดึงมันออกมาใช้   ผมลองนึกถึงตอนฝึกปราณครั้งแรกๆ  แต่กลับรู้สึกว่ามันต่างกันค่อนข้างมาทีเดียว
“ลองใช้อุปกรณ์เวทดูไหมละ” พี่กบี่เสนอ “พวกนักเวทสมัยนี้ที่ใช้เวทกันได้ง่ายๆก็เพราะมีอุปกรณ์นี่แหละ  วัตสดุบางอย่างก็ช่วยขยายมานาได้นะ”
พี่กบี่ถอดแหวนสีแดงออกมาส่งให้  ผมสวมดู แน่นอนละว่ามันใหญ่กว่านิ้วผมมาก  มีวิธีลัดแบบนี้แต่เจ้ากวีดันเก็บเงียบซะได้  เดี๋ยวเผาร้านซะเลย
‘ตารู้ไฟ  ใจเห็นไฟ  เตโชกสิณัง’
...
‘ตารู้ไฟ  ใจเห็นไฟ เตโชกสิณัง’
...
ผมถอดแหวนนั่นออกและส่งคืนเจ้าของอย่างเงียบๆ
ผมคิดว่ามันมีอยู่ 2 เหตุผลคือ ผมโง่  กับ  ผมอาจจะเป็นโรคแบบ 1 ในล้าน ที่ใช้เวทไม่ได้   เหมือนที่ผมมีสีตาที่ประหลาดข้างหนึ่งก็เป็นได้
“เมื่อก่อนฉันเป็นพวกห่วยนะ  ฉันสอบเข้าแฮรัลด์ไม่ได้  เพราะมีปัญหาการใช้มานา  เหมือนกับเธอนี่แหละ  แต่พ่อของฉัน  เขาบอกว่าไม่เป็นไร  และพยายามสอนฉัน  จนฉันทำได้ และไปสอบใบอนุญาตรับรองการเป็นนักเวทจาก W.A.ได้สำเร็จ  หลังจากนั้นฉันก็เดินทางไปเรื่อยๆตามแต่ที่เข้าเรียกตัว  จนได้มาประจำอยู่ที่สาขานี้แหละ  ตลอดเวลาฉันบอกตัวเองว่า  ถึงจะเป็นพวกห่วยและใช้เวทง่ายๆอย่างเวทธาตุ เราก็ประสบความสำเร็จในชีวิตได้”
“นี่คือพี่ประสบความสำเร็จในชีวิตแล้วเรอะ?”  ผมไม่ได้ดูถูกหรือล้อเลียน  แต่อยากรู้จริงๆ
“มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเป้าหมายของเธอคืออะไรละนะ” มือใหญ่ตบลงบนบ่าจนผมแทบร่วงจากเก้าอี้
“สำหรับฉัน  ก็แค่อยากพิสูจน์ว่า พ่อของฉันคิดถูกที่สอนเวทมนตร์ให้ฉัน  ความมั่นใจและเป้าหมาย  ถ้ามี 2 วิ่งนี้ละก็  เส้นทางของนายก็มีค่าให้ก้าวเดิน”  เขาตบบ่าผมอีก 2 ทีแล้วเดินกลับเข้าไปในครัว
 
     เป้าหมายงั้นเรอะ  เป็นครั้งแรกจริงๆที่ผมพูดคุยกับคนอื่นด้วยเรื่องอนาคตแบบนี้  เพราะที่ผ่านมามักใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปกับการอ่านหนังสือฆ่าเวลา เรียนหนังสือ  เที่ยวช่วงวันหยุด  ไปวันๆ แม้แต่มหาวิทยาลัยผมยังไม่เคยคิดถึงด้วยซ้ำ
วันนี้วันอาทิตย์ กะงานของผมคือบ่าย 2  ช่วงเช้าผมจึงมาดูหนังกับเจ้าชูใจ
เมื่อคืนกวีไปซุ่มกับพี่เบลที่ป้ายรถเมล์อาถรรพ์นั่นอีก  ไม่แน่วันนี้อาจจะได้ข่าวดีบ้าง
ดูท่าว่าผมจะถึงก่อนเจ้าชูใจ  จึงตัดสินใจไปซื้อตั๋วหนังก่อนเลย  แต่ช่องที่ผมจะเข้าไปดันมีอีกคนเดินมาเบียดจะเราชนกัน
“อ๊ะ ขอโทษค่ะ...นายนิพนธ์”
อีกฝ่ายรีบหันมาขอโทษเพราะมัวแต่ก้มหน้าหาเงินในกระเป๋าสตางค์  แต่พอเห็นว่าเนผมกลับทำสีหน้าผิดหวังสุดๆ
“มาดูหนังเหมือนกันเรอะ  สายฝน”  ผมทักออกไปตามประสาคนรู้จักกัน
“มาทำผมที่นี่มั้ง” แต่นั่นแหละ  สายฝนก็คือสายฝน  ยัยนี้ไม่คิดจะพูดดีๆกับผมแน่นอน  เธอเดินไปที่ช่องข้างๆแทน  ผมจึงเดินไปที่ช่องเดิม
“พกยันต์ด้วยเรอะเดี๋ยวนี้?”  ผมเอ่ยปากถาม เพราะเห็นผ้าสีแดงมีอักขระถูกพับเก็บเอาไว้ในกระเป๋าสตางค์
“พกเอาไว้กันนายเข้าใกล้ไง”  สายฝนพูดจบก็เดินหนีออกไปทันทีที่ซื้อตั๋วหนังจากตู้เสร็จ
แต่แหม  ยัยนี้ดันมาซื้อ เรื่อง  รอบ  โรง  และแถวเดียวกับผมด้วยนะ  สงสัยหนังเรื่องนี้จะระทึกขึ้นเป็นเท่าตัวซะแล้ว
 
     ผมเข้ามาที่ร้าน ทางด้านหลังก็เจอเข้ากับกวีที่ดูเหมือนพึ่งจะได้พักกลางวัน
“มาไวนี่แก” เขาทัก
“ฉันรู้แล้ว”
“รู้อะไร?”
“รู้แล้วว่าทำยังไง  ทำไมเราไม่เจออะไรเลย  ว่าแต่เมื่อคืน  แกได้อะไรบ้าง”
“ไม่”  กวีตอบเพียงสั้นๆจบก็กระดกน้ำในแก้วรวดเดียวหมด
“งั้นเรอะ  แกเองก็พลาดสินะ”
“หมายถึงไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ไม่มีอุบัติเหตุ  ไม่มีคนเจ็บ  ทุกอย่างปกติดี”
“...ห๊ะ!!”
“ตามนั้นแหละ  ไม่รู้ว่า เพราะมันรู้ว่าพวกเรามาเฝ้าดูหรืออะไรกันแน่”
“หรือว่าที่เขาพึ่งทำบุญกันไป”  ผมลองออกความเห็น
“ฉันรู้มาว่า  อาทิตย์ก่อนเขาก็ทำบุญกันไป  แต่เรื่องก็เกดเลยมาจนอาทิตย์นี้  ดังนั้นคิดว่าไม่น่าจะเกี่ยว”
“ถ้าอย่างนั้นก็อาจจะบรรลุเป้าหมายแล้วมั้ง?”   ผมเดินไปนั่งลงตรงเกาอี้ที่ใกล้ที่สุด
“ทำไมแกคิดแบบนั้น?”
“ขอถามหน่อยนะ  ข้อแรก  ถ้าแกร่ายเวทใส่สิ่งของ  คนอื่นจะรู้ไหม?”
“ก็ถ้ามันไม่ได้ทำงานอยู่ก็อาจจะยากหน่อย แต่ถ้าตรวจดูดีๆยังไงก็รู้แน่ๆ” กวีตอบอย่างทันทีโดยไม่ต้องคิดเยอะ
“ข้อสอง  แกตั้งฟังก์ชั่นมันไปไหม?  แบบ เสกให้ถังขยะปาขยะใส่คนที่ใส่เสื้อสีแดงหรือสีเหลืองเฉพาะนะ”
“ได้  แต่ถ้าคำสั่งการทำงานยิ่งเยอะหรือรายละเอียดการทำงานเยอะ  การสร้างวงเวท  อักขระ  หรือบทร่าย  ก็ซับซ้อนตามไปด้วย”
“นั้นแหละเพื่อนเอ้ย”  ผมกำมือยกขึ้นแสดงถึงชัยชนะ
“ใครเพื่อนแก” แต่อีกฝ่ายดูท่าจะไม่อินด้วย
“เรื่องคือแบบนี้นะ  คนๆนั้น ไม่ว่าใคร เขาเสกของบางสิ่งเพื่อให้คนที่ขับมอ’ไซค์เกิดอุบัติเหตุ  แต่ที่เราไม่เจออะไรเพราะตอนแรกมันไม่ได้ทำงาน และหลังจากนั้นมันก็ถูกเก็บไป”
“เรื่องที่มันทำงานเป็นเวลานะ ฉันเข้าใจ แต่ที่เสานั่นน่าจะมีร่องรอยอะไรบ้างทุกคนถึงไปชนมันซ้ำๆ แต่เราตรวจจับอะไรไม่ได้เลย  ตอนแรกคิดว่าอาจจะเป็นตรงหลังคาหรือใต้ที่นั่ง  แต่ก็ไม่มีร่องรอย  ถ้าเป็นพวกขยะยิ่งยากไปกันใหญ่  แค่ลมพัดก็ปลิวหายไปหมดแล้ว”
“เพราะฉะนั้นมันจะต้องถูกซ่อนอย่างฉลาดมากกว่าปกติยังไงละ”  ผมพูดจบก็วางกระดาษเล็กๆแผ่นหนึ่งบนโต๊ะ
“ใบปลิวโฆษณาเงินกู้นอกระบบงั้นเรอะ”  กวีหยิบมันไปพิจารณาทั้ง  2  ด้าน  ด้านหนึ่งมีข้อความโฆษณาปกติ ส่วนอีกด้านหนึ่งว่างเปล่า
“เจ้านี่จะถูกแปะไปทั่วในตอนเช้า  และจะ”
“ถูกเก็บไปในตอนกลางคืนโดยพนักงานเทศบาล”
“ซึ่งเวลาเกิดเหตุจะเป็นช่วงที่ใกล้กับพนักงานเทศบาลเข้ากะพอดี  คนที่เสกมันทำให้ 1 หรือมากกว่านั้นเป็นยันต์อาถรรพ์”
“จะบอกว่านายทุนเงินกู้พวกนี้คือคนร้ายเรอะ  ไม่สิ แบบนั้นมันชัดเกินไป  อาจเป็นพวกลูกจ้างหรือพนักงานเทศบาลเองก็ได้”
ประโยคหลังกวีพูดกับตัวเองมากกว่าที่จะพูดกับผม
“จะเป็นใครก็ได้ทั้งนั้น แต่เราตีวงให้แคบลงได้  ฟังนะ  ก่อนหน้าคดีแรกของเรา 1 อาทิตย์  มันมีเรื่องขับรถชนคนตายที่ตรงนั้นด้วย”
“แกรู้ได้ไง”  กวีถามด้วยท่าทางสงสัยสุดๆ ดูเหมือนเขาไม่เชื่อคำพูดของผมเท่าไร
“เพื่อนบอกมา”
“อ๋อ  คนใส่แว่นที่อยู่ห้อง 2 ที่มีพ่อเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์สินะ”
“แกรู้จักด้วยเรอะ?”  ที่จริงอยู่โรงเรียนเดียวกันจะรู้จักกันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกละนะ
“นิพนธ์  แกนะ ยังไม่ได้รับความไว้วางใจจากเรานะ  แกน่าจะรู้  เราก็ต้องสืบทุกคนรอบตัวแก  แล้วยังไง คนชนกับคนที่ตายคือใคร”
“คนชนคือหลานของ สจ. ที่นี่ และคนที่ตายคือลูกชายของพนักงานเทศบาลคนหนึ่ง”
กวีเงียบไป  เขาดึงเก้าอี้มานั่งลงฝั่งตรงข้ามกับผม หน้าตาเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เขาจ้องมาทางผมด้วยความประหลาดใจ
“อะไร แกสงสัยอะไร?”
“แกโง่เรื่องเรียน  แต่กลับฉลาดกับเรื่องแบบนี้นะ”
“เกรดมันวัดความเป็นคนในสังคมได้นะโว้ย!!”
“แต่วัดความขยันได้นะ”
ชิ  ไอ้พวกนี้มันมีปัญหาอะไรกับการเรียนของผมนักนะ
“จะว่าไปฉันยังมีข้อที่สงสัยอยู่ ฉันคิดว่านี้คือการแก้แค้น แต่ทำไมยันต์มันดันทำงานกับคนทั่วไป  ไม่เจาะจงคนที่ชน”
กลายเป็นผมที่เป็นฝ่ายถามบ้าง
“ก็คิดได้หลายเหตุผล ที่เห็นได้ชัดก็คงเพราะใส่หมวกกันน็อคจึงไม่เห็นหน้า  ก็เลยไปเล็งจุดอื่นที่ใกล้เคียงแทน
พอคราวนี้เป็นหลานของ สจ.  จริงๆ เมื่อคืนถึงไม่มีอะไรเกิดขึ้นสินะ  งั้นเราต้องลงมือคืนนี้”
“ทำไมละ?”
“เพราะหลานของ สจ.คนนั้นเมื่อคืนอยู่ห้อง ICU แต่วันนี้ได้ข่าวว่าออกมาพักที่ห้องปกติแล้ว”
“แกจะบอกว่า เขาจะเอาถึงตายเลยงั้นเรอะ”
“ใครจะรู้”
 
      ล่มไม่เป็นท่า
กวีและเฮียเหยาไปที่บ้านของพนักงานเทศบาลหญิงคนหนึ่ง  ซึ่งเป็นแม่ของผู้ตายที่ถูกหลานชายของ สจ. ชนเสียชีวิต
แฟรงค์  เหยา  คือนักเวทคนที่ที่ร้านส่งมาตามตืบผมก่อนหน้านี้นี่แหละ
แต่ไปถึงก็คว้าน้ำเหลว  เพราะผู้หญิงคนนี้ ได้ฆ่าตัวตายด้วยการผูกคอคาบ้านไปนานแล้ว  ซึ่งศพยังตั้งอยู่ที่วัดรอการฌาปนกิจอยู่เลย
“แต่รูปการณ์มันดูเหมือนการแก้แค้นมากๆเลยนะ” ผมยืนบ่นคนเดียว ด้วยอาการผิดหวังสุดๆ
“ตัวละครในตอนนี้มันใช่มากๆ   แกยังบอกเลยนี่เจ้ากวี ว่าได้ปลาตัวที่ต้องการแล้วนะ”
ผมยังบ่นต่อ  กวีถอนหายใจเฮือกใหญ่  ดูเขาก็ผิดหวังอยู่ไม่น้อย
“เธอต้องยอมรับนะนิพนธ์ ว่าเธอคิดผิดนะ”  พี่พิมเตือน
ผมนั่งเงียบไม่มีอะไรจะพูด ใจหนึ่งก็คิดว่าตัวเองคงจะคิดผิดจริงๆ  แต่อีกใจหนึ่งก็ยังไม่อยากยอมรับ
“ในเมื่อวันนี้ยังไม่ได้อะไรก็แยกย้ายกันไปก่อน  คืนนี้ เหยากับกบี่ไปซุ่มดูอีกรอบละกันเพื่อความแน่ใจ”
 
      กลับบ้าน
หึ  บอกตรงๆว่านี้เป็นครั้งแรกในชีวิตของผมที่รู้สึกว่า  ยอมไม่ได้และต้องออกมาทำอะไรสักอย่าง  ถ้าเป็นปกติผมจะโยนมันทิ้ง  และลืมๆมันไปซะกับเรื่องที่ช่วยไม่ได้
แต่ไม่ใช่กับคราวนี้
ตอนนี้ผมอยู่ที่โรงพยาบาลที่หลานของ สจ. คนนั้นพักอยู่
ผมรู้แค่ว่าเขาชื่อ คมกฤษ  ปัญหาตอนนี้มี 2 อย่าง คือจะหานามสกุลเขายังไงเพราะผมรู้มาว่าเขาใช้คนละนามสกุลกับ ท่านสจ.  โทรไปหาเจ้าชูใจตอนนี้น่าจะได้  แต่อีกปัญหาคือ จะรู้ได้ยังไงว่าอยู่ห้องไหน  ไล่หาทีละห้องเลยดีไหม?
“ฉันว่าแล้วว่าแกต้องมา นิพนธ์”
ผมตกใจหันหลังไปเจอกับกวีที่ยืนอยู่
“แกมาทำไม?” ผมถามออกไป
“ถ้าสืบจากคนก่อเหตุไม่ได้ ก็สืบจากเหยื่อแทนสิ”
 
      เราเดินมาจนถึงหน้าห้องของเป้าหมาย  กวีใช้อักษรรูนทำให้คนอื่นมองไม่เห็นเรา  ไม่ใช่การล่องหน  แต่เป็นการเบนสายตาที่มันเคยบอกว่าใช้ประจำ  ตอนที่มันร่ายเวทรูนให้ผม ผมก็ไม่รู้สึกแตกต่างอะไร  แต่การที่มันเดินเข้าไปที่ คอมฯของพยาบาลหาข้อมูลและเดินผ่านวอดพยาบาลมาได้หน้าตาเฉยก็บ่งบอกว่า รูนของมันใช้ได้จริง
กวีดันประตูเข้าไปอย่างเบามือ  ขวาคือประตูห้องน้ำ  ภายในห้องนั้นมืดสนิดและเงียบ  มีเพียงแสงที่ลอดผ่านผ้าม่านบางๆเข้ามาทำให้เราพอมองเห็นทางเดินได้   เมื่อเดินพ้นห้องน้ำ ก็จะพบกับเตียงผู้ป่วย
ซึ่งว่างเปล่า  มันมีลักษณะบ่งบอกว่าเคยมีคนนอนจากผ้าห่ม  กวีเดินไปจับที่กลางเตียงซึ่งผมเดาว่าน่าจะวัดอุณหภูมิ
“เขาออกไปได้สักพักแล้ว  ไปที่ดาดฟ้ากัน”  กวีรีบวิ่งออกไปทันทีที่พูดจบ
“แกรู้ได้ไง”
“ฉันสัมผัสได้ ตามมา”
ใช้เวลาไม่นานเราก็มาถึงดาดฟ้าของโรงพยาบาล  ชายคนหนึ่งในชุดผู้ป่วยยืนอยู่ทามกลางสายลมที่พัดกรรโชค  บนพื้นรอบตัวเขามีเทียนไขที่ถูกจุดแล้ว  ซึ่งน่าแปลกที่ลมแรงขนาดนี้แต่มันกลับไม่ดับลง  ใต้เทียนมีขวดแก้วแปลกๆที่ปิดผนึกปากขวดวางอยู่  ในขวดเหล่านั้นมีแสงกลมๆสว่างจางๆที่บอกได้ยากว่าคืออะไร เทียนถูกว่างอย่างมีนัย  ที่พื้นมาการวาดวงเวทที่ผมไม่เข้าใจด้วยช็อคขาว  ดูจากน้ำตาเทียนทำให้เข้าใจได้ว่าเขาพึ่งเริ่มพิธีมานานนักหรืออาจจะกำลังเริ่ม
“ไฟพวกนี้เกิดจากเวทมนตร์ มันจึงไม่ดับด้วยแรงลม”
กวีตอบยังกับว่าอ่านใจผมได้
“คุณกำลังทำอะไร คุณคมกฤษ”  กวีร้องทักออกไป
ชายในชุดผู้ป่วยหันมา หน้าตาเขาดูแย่มาก  ความทุกข์ใจมันแสดงออกมาได้ชัดเจนจากแววตาของเขา  มือทั้ง 2 ขวดโหลขนาดกลางๆที่ฝาปิดผนึกเอาไว้  ด้านในมีกลุ่มควันสีดำเคลื่อนไหวเหมือนมีชีวิต
“พวก  พวกเธอเป็นใครนะ?”  เขาตะโกนถามกลับมา
“แบบนี้เอง ฉันกับแกถึงไม่เจอวิณญาณคนตาที่ป้ายรถเมล์  เจ้านี่มันจับมาใส่ขวด” กวีหันมากระซิบกับผม
“เขาดูเศร้าๆนะ หรือจะสำนึกผิด”  ผมพูด
“แต่วงเวทมันบ่งบอกไปอีกอย่าง  คุณพยายามจะทำอะไรคุณคมกฤษ”
“เธอไม่เข้าใจหรอก   ฉันรู้ว่ามันดูบ้านะ  แต่  แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจ  เขาบอกว่าฉันแก้ไขมันได้ถ้าฉันทำตามที่เขาบอก”
“ใครบอก  แล้วเขาบอกให้ทำอะไร?”  กวีค่อยๆเดินเข้าไปหาเขาอย่างระมันระวัง
“ฉันไม่รู้  เอ่อ  เป็นผู้ชาย  เขาสวมผ้าคลุม เอ่อ  แล้ว  เอ่อ  ช่างมันเถอะ   ถ้าสำเร็จฉันจะไถ่บาปได้  เขา  ผู้ชายคนนี้  ผู้ชายในขวดนี้  เขาจะได้ไปสู่สุคติ”  คมกฤษยกขวดโหลที่เขาถืออยู่ให้ดู
“เขาเป็นคนทำ  ทั้งหมดเลย”  กวีหันมาคุยกับผมอีก
“อะไร? ยังไง?”
“ยันต์พวกนั้น  วงเวทนี่  รวมถึงที่เขาขับรถเขาเสาด้วย เขาทำเอง มันเป็นแผนของเขา” กวียังค่อยๆก้าวเข้าไปเรื่อยๆ
“คุณเข้าใจผิดอยู่นะ  ที่คุณทำนะ  ไม่ว่าใครจะบอกอะไรคุณ  เขาก็ไปสู่สุคติด้วยวิธีนี้ไม่ได้หรอก”
“เธอไม่เข้าใจ  เธอหาว่าฉันบ้าใช่ไหมละ  วิธีแบบนี้นะ  ไม่มีใครเชื่อหรอก สมัยนี้ ฉันรู้   แม้แต่ฉัน  แต่ว่า  แต่ว่าเขาแสดงให้เห็นแล้วว่ามันมีจริงนะ  เด็กอย่างเธอนะ  คงไม่เชื่อใช่ไหมละ”
“ไม่ๆ ผมเชื่อคุณนะ  แต่ว่าวิธีที่คุณทำอยู่นะ มันไม่ใช่”
“ฉันรู้ว่าเธอไม่เชื่อ  เหมือนฉันก่อนหน้านี้”
คมกฤษก้มมองนาฬิกาข้อมือที่เขาใส่อยู่  รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า  เป็นรอยยิ้มแห่งความยินดี  รอยยิ้มแห่งความหวัง
“ได้เวลาแล้ว”
ทันทีที่พูดจบ  เขาก็ทุ่มขวดแก้วลงพื้นทันทีอย่างไม่รีรอ  เศษแก้วแตกกระจายเต็มพื้น  ควันดำฟุ้งกระจายและกลับมารวมตัวกันอย่างรวดเร็วเหมือนภาพที่เล่นย้อนหลัง  แต่ทว่ามันกลับรวมตัวกันแล้วกลายเป็นอะไรที่น่าทึ่งกว่าสิ่งที่อยู่ในขวดโหล  นกดำตัวใหญ่ปรากฏขึ้นจากการรวมตัวนั้น  มันสูงซัก  4  เมตรเห็นจะได้  ตาสีขาวสว่างดูน่ากลัวพิกล มันทำให้ผมนึกถึงเสือดำตัวนั้น  ที่บ้านของผม
“อีกาเรอะ?”  ผมร้องทัก
“Steal crow  สัญลักษณ์ ของความโลภ” กวีตอบ
เจ้านกนั้นกางปีกออกสุด  แหกปากร้องใส่เราดูน่ากลัว
“ฮะ ฮะฮะ ใช่แล้ว  ใช่  นี้แหละ  เป็นไปตามที่ผู้ชายคนนั้นบอกเลย  นายได้กลายเป็นนก  กลายเป็นนก และบินขึ้นสู่สวรรค์เพื่อไปสู่สุคติได้  นั้น  ช่วยอโหสิกรรมให้ฉันทีนะ”
คมกฤษคุกเข่าลง เขาพนมมืออ้อนวอนเจ้านกยักษ์นั่น  มันเอียงคอจ้องมองอย่างสงสัยเหมือนที่พวกนกจริงๆทำตามธรรมชาติ
ฉัวะ!!!
“อ๊ากกกกกกกกกก!!”
มันพุ่งจงอยู่ปากงับชายที่คุกเข่าอยู่ไปครึ่งตัวอย่างรวดเร็ว  เลือดที่ทะลักออกมาบ่งบอกความแรง  เสียงร้องอย่างเจ็บปวดชวนเสียวสันหลัง 
“ช่วยด้วย!!!  ช่วยด้วย!!!”
นายคมกฤษส่งเสียงขอความช่วยเหลืออย่างน่าสมเพช
เจ้านกดำใช้กรงเล็บอีกข้าง จิกเข้าไปที่ท่อนล่างของเขา มันพยายามจะฉีกร่างของเขาออกเป็น 2 ท่อน เพื่อให้กลายเป็นชิ้นเนื้อที่เล็กพอจะกินได้
ถึงผมจะเคยอ่านเจอฉากสยองในนิยายมาเยอะก็จริง  แต่ว่าพอได้มาเจอกับเหตุการณ์จริงๆตรงหน้าก็ขอบอกเลยว่ามันแตกต่าง  ทั้งเสียงร้อง  กลิ่น  ภาพ  มันเกินกว่าที่ผมจะรับไหว
ผมได้แต่ยืนนิ่งไม่ขยับ  ถ้าแค่วิวาทกันธรรมดาก็พอไหว  แต่แบบนี้มัน
กวีวาดอักษรรูนกลางอากาศ 4 ตัว  รูนพวกนั้นกลายเป็นโซ่พุ่งเข้าไปรัดคอเจ้านกผีจนมันอ้าปากคายเหยื่อออกมา
ถ้าจะยังไม่ถึงขั้นถูกแยกส่วน  แต่จากสภาพแล้วผมว่าไม่น่าจะรอด
พรึบ
มันพระพือปีกพุ่งเข้ามาหาพวกเรา กวีกางโล่เวทขึ้นป้องกันได้ทันจนมันพุ่งมากระแทกเข้าอย่างจัง
มันใช้กรงเล็บเกี่ยวเอาโช่เวทที่รัดคอขาดกระจุยภายในทีเดียว มันกางปีกทำท่าเหมือนจะบินขึ้น
“ไม่ให้หนีหรอกเฟ้ย”
กวีกางโล่เวทเหนือหัวของมันจนมันลอยไปกระแทกและร่วงกลับลงมาที่พื้นอีกครั้ง
เขาวาดรูนอีกครั้ง  แต่คราวนี้มีจำนวนเยอะกว่าเดิมมาก รูนพวกนั้นเรียงตัวกันล้อมรอบเจ้านกผีและค่อยๆบีบตัวเล็กลงจนนักโทษถูกบีบอัดแน่นอยู่ในคุกเวท  ทว่าจู่ๆ เปลวเทียนที่จุดอยู่จากสีเหลืองสว่างไสว  กลายเป็นสีดำหม่นหมอง  แสงจากในขวดที่วางอยู่ตามพื้นใต้เทียนทั้งหมดก็ค่อยๆมอดลง  เปลวไฟสีดำกลายเป็นสายยาวพุ่งเข้าหานักโทษของเรา
ตูม!!!!
มันฉีกคุกเวทของกวีออกด้วยปีกทั้ง 2 ข้างอย่างง่ายดาย
“ฤทธิ์เยอะนักนะแก  มันดูดพลังจากวิญญาณในขวดพวกนี้  นิพนธ์แกดึงความสนใจมันให้ที”
“หา  ทำยังไง?”
“ไม่รู้”
“บ๊ะ!!!”
เจ้านี่คืออีกา แถมเจ้ากวีบอกว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความโลภสิน  ถ้าอย่างนั้น
กรุ้งกริ้งๆ
ผมกำเหรียญทั้งหมดที่มีโปรยใส่หน้าไปตรงๆ  ซึ่งได้ผลตามคาด  แสงที่สะท้องจากเหรียญขนาดต่างๆเรียกร้องความสนใจของมันได้ผลชะงัด
แต่ผมรู้ว่าแค่นี้ไม่พอ
ผมเร่งปราณไปที่เท้า  เคลื่อนที่อย่างเร็วที่สุด  อ้อมไปด้านหลังและกระโดดขึ้นไปเหนือหัว
เปลี่ยนการจับกระบอกเหล็กจากปกติเป็นแบบกลับด้าน
‘เล็บเหยี่ยวจู่โจม’
ผมแทงปลายกระบองลงไปที่กระดูกหัวไหล่อย่างสุดแรงทั้ง 2 ข้าง แม้จะไม่รู้ว่ามันมีกระดูกไหม
เจ้ากานั้นร้องลั่น  มันเซถลาไปอีกทาง  ผมเองก็หลบออกมาเช่นกัน
มันหันมาทางผมท่าทางโกรธไม่เบา
“เฮ้ย ไอ้นก”  เสียงกวีตะโกนเรียก  ผมและเจ้านกผีหันไปตามเสียง
ตอนนี้ตรงกลางวงเวทกลายเป็นกวีที่ไปยืนแทนที่  เขาประกบมือระดับหน้าอก  มีมีดประจำตัวเล่มที่ผมคุ้นเคยถืออยู่
“กุญแจผู้ไขไปสู่ความลับอันดำมืดให้สว่างไสวเช่นสุริยะยามเที่ยงวัน ดั่งจันทรายามเที่ยงคืน  ข้า  กวี ผู้เป็นนายของเจ้า ขอสั่งให้เจ้า เปิดเผยร่างที่แท้จริง   ‘******’”
ผมฟังคำสุดท้ายของกวีไม่ออก  แต่ทันทีที่พูดจบ  เขาปักมีดลงไปที่พื้น  ใบมีดปักทะลุพื้นปูนอย่างง่ายดาย 
อักขระและลวยลายสัญลักษณ์ต่างๆถูกจัดเรียงใหม่จากเดิมอย่างน่าอัศจรรย์
เจ้านกผีหันมาพุ่งใส่กวีอย่างเต็มแรง
“ช้าไปเฟ้ย”
ฟิ้ว-
ชิ้ง!!!
บุคคลปริศนาปรากฏกายขึ้นข้างๆกวีอย่างกับหายตัวมา  ดาบยาวตรงมีคมด้านเดียวในมือของเขาหวดเข้าหากวีอย่างจงใจ
กวีเองก็ไวพอจะยกมีดสั้นขึ้นมาป้องกันได้  แต่ทว่าความแรงมันกลับทำให้เขากระเด็นออกไป
บุคคลปริศนานั้นสวมชุดคลุมสีดำตั้งแต่หัวจรดเท้า ทำให้มองไม่เห็นใบหน้าหรือรูปร่าง  อักขระและลวดลายสัญลักษณ์ต่างๆของวงเวทกลับไปเป็นแบบเดิมอีกครั้ง  เขาวางกระดาษแผ่นหนึ่งบนพื้น  แสงเปลวของเทียนถูกดูดเข้าไปในกระดาษแผ่นนั้น  และขวดเล็กๆที่เขาเอาออกมาทีหลังก็ดูดเจ้านกกาผีตรงหน้าผมเข้าไปอยู่ในนั้นอย่างรวดเร็ว  ทั้งหมดที่เขาทำเกิดขึ้นเพียงแค่ไม่กี่วินาที
“แกคือคนที่บอกให้เขาทำแบบนี้งั้นเรอะ?”  กวีร้องถาม
ซูม!!!!
คำตอบกลับไม่ใช่คำพูดแต่อย่างใด  แต่เป็นการตวัดดาบกลับมา  คลื่นพลังพุ่งกระจายออกมา
‘อินทรีย์กระพือปีก’ 
ผมตวัดดาบออกสร้างแรงต้านหักล้างกับพลังของอีกฝ่าย  ส่วนกวีก็สร้างเกราะเวทป้องกัน
เมื่อกลับมาเป็นปกติ ทุกอย่างก็หายไปหมด  เจ้านั้นลบร่องรอยวงเวทและอุปกรณ์ต่างๆไปด้วย  เหลือเพียงไว้แต่ร่างไร้วิญญาณของนายคมกฤษที่นอนจมกองเลือดของตัวเอง
 
      “บ้าเอ้ยๆๆๆๆๆๆๆๆ”  ผมสบถยาวหลังจากกลับมาที่ร้าน  เพราะกวีต้องการรายงานเรื่องนี้ให้ไวที่สุด
กวีสรุปได้ว่าใบปลิวหนี้นอกระบบบางใบถูกเปลี่ยนเป็นยนต์อาถรรพ์  ดูท่าจะจริงแต่ผิดตรงที่คนที่ทำมันขึ้นมาคือตัวนายคมกฤษเองโดยมีใครบางคนเป้นคนสอนให้
กวีคิดว่าคนปริศนาที่โผล่มาในตอนท้ายนั้นถ้ามีส่วนเกี่ยวข้องก็คือคนสอนเอง
เขาอาศัยความสำนึกผิดของนายคมกฤษเป็นจุดเริ่มต้น  โดยหลอกว่านายคมกษฤสามารถพาคนที่ตนชนตายไปสู่สุคติได้  อุบัติเหตุที่ผ่านมาทั้งหมดคือวัตถุดิบในพิธีนี้  อาการเจ็บป่วยจะพาจิตให้ตกต่ำลงได้
ในขวดโหลเล็กๆที่วางตามพื้นก็คือวิญญาณของคนที่เกิดอุบัติเหตุที่ผ่านมา  แม้ไม่ตายแต่การที่ไร้สติขนาดสลบก็พาให้วิญญาณออกจากร่างได้เช่นกัน  โดยนายคมกฤษไม่รู้เลยว่า พิธีที่เขาทำนั้น มันจะให้ผลตรงกันข้าม
เหตุผลที่นายคมกฤษต้องประสบอุบัติเหตุด้วยนั้น  กวีคาดว่ามี 2 เหตุผล

เขาต้องการขึ้นไปบนดาดฟ้าของโรงพยาบาลเพื่อทำพิธี การเป็นผู้ป่วยในโรงพยาบาลอยู่แล้วจะทำได้ง่าย  และโรงพยาบาลก็เป็นหนึ่งในสถานที่เหมาะกับการประกอบพิธีอะไรพวกนี้ 
เพื่อให้ตัวเองไม่ถูกสงสัย ข้อนี้ชัดเลยว่าคนที่วางแผนรู้ถึงการมีตัวตนของ W.A. แห่งนี้

ในตอนสุดท้ายคนใช้ดาบที่โผล่ออกมาคงจะรีบเข้ามาเก็บกวาดทุกอย่างกลับไป เพราะดูท่าว่าแผนจะล่มจากการกระทำบางอย่างของกวี 
ส่วนที่ผมโวยวายอยู่นี่ก็เพราะว่า  ไอ้เจ้าคนคนนั้นมันไม่ได้เก็บแค่อุปกรณ์ของมันไปด้วย
แต่เศษเหรียญของผมทั้งหมดมันก็ดันเก็บไปไม่เหลือด้วยสักกะบาทเดียว  โถ่โว้ย!!!  ไอ้หัวขโมย!!
จบการรายงานของกวีพวกเราก็แยกย้ายกันกลับบ้าน  คดีอาถรรพ์ปิดลงแบบครึ่งๆกลางๆก็ต้องพักเอาไว้เพราะสายป่านที่เราอุตส่าห์คว้ามาได้มันดันถูกตัดออกในตอนท้ายเสียได้  ได้แต่หวังว่าครั้งหน้าเราจะจัดการได้ก่อนที่จะมีคนตาย
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา