ตุ๊กตาเทวา

-

วันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 00.04 น.

  25 บท
  2 วิจารณ์
  18.63K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2564 13.14 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) เหยื่อรายที่ 4

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     กวีลาป่วย

เป็นเรื่องที่น่าแปลกประหลาดอย่างมาก  ประวัติการเข้าเรียนไร้สถานะ ขาด ลา มาสาย ตั้งแต่รู้จักมันมา
จึงเป็นหัวข้อการสนทนาภายในห้องที่หนาหูยิ่งกว่า พาดหัวข่าวใหญ่ ที่พึ่งออกข่าวสดๆร้อนๆเมื่อเช้าเสียอีก 

เจ้าชูใจคาดไม่ผิดว่า คงมีข่าวเหยื่อรายที่  4  เร็วๆนี้ และผ่านมาแค่  3  วัน  ก็มีข่าวออกมา

เนื้อข่าวเดิมๆ ก็ควบคุมข่าวสารกันไปตามที่เขาเห็นสมควร

แต่ยอมรับว่าผมดันมาติดใจเรื่องเจ้ากวีมากกว่า เหมือนคนในห้อง เพราะเมื่อวานผมพึ่งจะถามมันเรื่องที่ไปเจอมันที่ตลาดใหม่  แต่อีกฝ่ายปฏิเสธ  แล้วจู่ๆมาลาหยุดแบบแปลกๆ  ว่าจะเอาไปคุยกับเจ้าชูใจ  แต่มันดันบอกว่ามีธุระ ผมก็เลยต้องกลับบ้านคนเดียวไป

       ก็จริงอยู่ที่ช่วงนี้เขาเลิกเรียนครึ่งวันกัน  แต่ทำไมการบ้านมันยังเยอะเท่าเดิมได้กันละ
หรือผมมันโง่จนใช้เวลาแต่ละวิชาเยอะไป  หันมองนาฬิกา  ที่บ่งบอกเวลา  20.38  น.  ยังไม่ดึกมากนัก ผมจึงตัดสินใจออกมาที่ร้านสะดวกซื้อใกล้ๆซะหน่อย

แต่ถึงอย่างนั้น ร้านที่ใกล้ที่สุดก็ต้องถีบจักรยานออกมาจากซอยบ้าน และข้ามสะพานลอยถนน  4  เลน มายังตลาดใหม่  ตอนนี้ที่นี่เองก็ยังมีแผงลอยข้างทางมากมายสว่างไสวพอดู  ผมใช้เวลาไม่นานก็ออกมาจากร้านเป้าหมาย   มีคนเหมือนคนจรจัดไร้บ้านนั่งขวางทางเดินอยู่  เขาแบมือเหมือนขอข้าวกิน พูดจาไม่รู้เรื่อง  ผมเดินผ่านมาเฉยๆทำเป็นไม่เห็น  ผมมีเหตุผลเดียวนั้นคือ  เจ้านี้ไม่ใช่คน  แต่เป็นพวกสัมพเวสีขอส่วนบุญ  ใช่แล้ว  ผมเป็นพวกคนเห็นผี แต่ไม่เคยบอกใคร  เคยอ่านเรื่องพวกนี้อยู่บ้างว่า พวกสัมพเวสีจะมีภาษาพูดเป็นของตัวเอง  ผมที่ไม่เข้าใจภาษาก็ขออยู่ห่างๆละกัน  แต่สิ่งที่ทำให้ผมสนใจมากกว่าเรื่องผีในตอนนี้ก็คือไอ้คนที่เดินผ่านหน้าผมไปเมื่อกี้

นั้นมันกวีไม่ใช่เรอะ

เสื้อเชิ้ตสีดำ กางเกงยีนส์ขายาว และผมที่ใส่เจลเสยขึ้นแบบนั้น  ยังกับจะไปเที่ยวกลางคืน

ที่หนักกว่านั้นคือ  มันเดินคู่กับเด็กสาว โรงเรียนพาณิชคนหนึ่งอยูด้วย  ไหนว่าลาป่วยไง

กวีคงจะไม่เห็นผมจึงเดินผ่านไปแบบนั้น  เซลล์สมองสีเทาของผมร้องบอกให้ผมตามไป ถึงแม้จะไม่ใช่พวกยุ่งเรื่องชาวบ้าน  แต่อีแบบนี้ผมอยากรู้สุดๆ  ผมเดินตามไปห่างๆ 

2  คนนั้นเดินเข้าไปในตัวตลาดใหม่  และเดินเลี้ยวเขาไปในซอกตึกๆหนึ่งท่ามกลางความมืด  บอกเลยว่าสมองของผมตอนนี้คิดดีไม่ได้เลย

ในซอยนั้นเป็นทางเส้นเดียวหักเลี้ยวไปตามตัวตึก จึงทำให้ผมไปเจอ  2  คนนั้นได้ไม่ยากตรงปลายทาง

ด้านขวาของผมเป็นลานกว้างพอสมควร ซ้ายของผมเป็นตึก 5 ชั้นที่จำได้ว่ามันคืออพาร์ทเม้นท์ ทุกห้องติดแอร์  เสียงใบพัดเครื่องระบายความร้อนส่งเสียงแข่งกันร้องระงมชวนปวดหัว

ตึกขวาร้าง ยังไม่มีคนมาอยู่  ด้านตรงข้ามกับผมเป็นร้านอาหารที่ตอนนี้เหมือนจะปิดแล้ว  ขวาสุดเป็นรั้วไม้กระดานสูง  3  เมตรเห็นจะได้  ลานตรงนี้คือลานทิ้งขยะและรับสินค้าของร้านอาหารดังกล่าว  2  คนนั้นยืนอยู่กลางลาน  พูดคุยอะไรกันที่ผมไม่ได้ยิน  เพราะไอ้พวกเครื่องระบายความร้อนนี่  แต่สมัยนี้ 1  ภาพ ล้านคำพูด  ผมจึงหยิบมือถือขึ้นมาและกดถ่ายวีดีโอเอาไว้ เผื่อว่าจะมีอะไรให้น่าสนใจ  ผมซูมเขาไปใกล้ๆจะใด้ชัดๆก็ดันไปติดใจหน้าตาของผู้หญิงคนนั้น  ไม่ใช่ว่าหลงสเน่ห์อะไรหรอกนะ  แต่มันเหมือนเคยเห็นที่ไหน  เหมือนไม่นานนัก

ในเน็ต ไม่ก็ทีวี

เฮือก!!!!

ตุบ!!

ผมตกใจจนทำของที่พึ่งซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อตกลงพื้น

“นั้นใคร!!?”

กวีหันควับมาทันที  ทั้งๆที่เสียงใบพัดมันน่าจะทำให้ไม่ได้ยินแท้ๆ

ผมเดินออกจากมุมตึก เข้าไปในลาด  กวีท่าทางแปลกใจ  แต่ยังคงสงวนท่าที

“นิพนธ์เรอะ  มาได้ยังไง”

“แกรู้จักผู้หญิงคนนั้นเรอะ”  ผมถามออกไป

“แล้วแกละ ทำไมถึงตามมา ไม่สิ  แกมองเห็นฉันกับเธอด้วยเรอะ” กวีถามกลับโดยไม่ตอบคำถาม

‘มันรู้สินะ’  ผมคิดในใจ 

“จะบอกว่าเป็นฆาตกรก็ดูน่าเชื่อเกินไปนะ”

ผมจำเธอได้ 

พิมฐา  ปัญญาฐาน

เหยื่อคดีอาชญากรรมต่อเนื่องรายที่  4  ที่พึ่งออกข่าวเมื่อเช้านี้เอง  และที่เห็นอยู่นี้คงจะเป็นวิญญาณของเธอ

“แกอย่าพูดมากดีกว่า นิพนธ์  ถ้าแกไม่เกี่ยวก็รีบกลับบ้านไป”

แล้วกวีต้องการอะไรจากเธอ

“ก็บอกมาก่อนสิว่าแกไม่ได้ฆ่าเธอ”  ขอออกตัวไว้เลยว่าผมไม่กลัวถ้ากวีจะเป็นฆาตกรจริงๆ  ผมเองก็มีวิธีป้องกันตัวที่ถูกฝึกมาตั้งแต่เด็ก  แต่ตอนนี้มีสิ่งที่ทำให้ผมเสียวสันหลังยิ่งกว่าก็คือ

แววตาของ พิมฐา จับจ้องมาที่ผม  เป็นแววตาที่ดูสับสน ตกตะลึง สิ้นหวัง  และกลายเป็นเคียดแค้น

“เฮ้ย  หลบ!!”  กวีตะโกนออกมาก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงกรีดร้องแสบแก้วหู  และเหมือนมีอะไรมากระแทกจนผมกระเด็นถอยไป

     ตรงหน้าของผมคือ สิ่งมีชีวิตประหลาดคล้ายเสือใหญ่ ร่างกายที่เป็นสีดำสนิทไหววูบวาบ เหมือนเปลวไฟไม่อยู่นิ่ง  ดวงตากลมโตสีขาวเรื่องแสงมองมาที่ผม  มันยิ้มแสยะโชว์ฟันสีดำ  อุ้งเท้าที่ยื่นออกมาพยายามตะปบคว้าจับผมดูน่ากลัว

ผมตะเกียดตะกายถอยหลังทั้งในท่านั่ง  หนังสือมากมายหล่นกระจายเต็มพื้น  น่าจะมาจากเหล่าชั้นหนังสือรอบๆ

ผมถอยมาจนสุดกำแพง ไร้ทางหนีอีก  ความกลัวแล่นไปทั่วร่าง  รับรู้ว่าความตายกำลังเข้ามา

เพี๊ยะ!!!

“นิพนธ์  ตื่นสิวะ!!”

เสียงของกวีร้องเรียกอย่างเคร่งเครียด  ผมสะดุ้งตื่นจากการถูกตบหน้า  อารมณ์โกรธพุ่งสูงจนหันมาจะต่อว่าซักหน่อย  แต่ก็ต้องหยุดการกระทำนั้นไป   ด้านหน้าคือกวีที่หันหลังให้ผม แผลถลอก เต็มตัวมือข้างหนึ่งที่ยื่นออกไป  มีวัตถุทรงกลมใสครอบเราอยู่  ถัดออกไป  สิ่งมีชีวิตสีดำรูปร่างคล้ายผู้หญิงมีปีก  มือข้างขวาถือหลาวแหลมพยายามกระทุ้งวัตถุโปร่งแสงที่ครอบเราเอาไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย

“หายปากดีเลยเรอะแก”  กวีทักขึ้นก่อน

“อะ  อะไรเนี๊ยะ”

“ผู้หญิงคนเมื่อกี้ไง   แกเห็นผีแต่ไม่รู้เรื่องผีสินะ  ฉันจะปลดเขตอาคมนี่  แล้วแกรีบหนีไปซะ”

“เฮ้ย  แกละ”

“งานของฉันคือ  ส่งยัยนี้ไปภพภูมิที่ถูกต้อง”

“มันอันตรายนะ”

“มันปลอดภัยจนกระทั่งแกไปฟื้นความทรงจะยัยนี้เข้าต่างหาก  คนเราตอนที่ตายใหม่ๆ  จะยังจำเรื่องตอนที่ตายไม่ได้  ช่วงระหว่างนี้จะง่ายต่อการส่งให้ไปสู่สุขคติ แต่ถ้านานเข้าก็จะเริ่มจำได้  ถ้ารับได้ก็ไม่เป็นไร  แต่ถ้ารับไม่ได้ก็จะตกลงสู่จิตสุดท้ายก่อนตาย  จนเป็นผีร้ายแบบนี้ไง  แล้วแกก็ไปฟื้นความจำเข้า  ขอบใจมากๆที่ทำให้งานมันยากขึ้น  ฉันจะนับถึง 3  แกรีบวิ่งเลยนะ”

ผมได้แต่เงียบพูดอะไรไม่ออก

“1”

เพราะเป็นคนที่ทำให้มันแย่ลงขนาดนี้

“2”

ถึงจะเจ็บใจแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ

“3”

ผมออกตัววิ่งไปที่ตรอกเดิมอย่างสุดแรงขา  ร่างดำนั้นเห็นผมวิ่งออกมาก็พุ่งหลาวเข้าใส่

เปรี๊ยง!!!

หลาวนั้นพุ่งกระแทกกำแพงใสจนสลายไป

“อย่าเมินฉันสิเฟ้ย”

เป็นเสียงสุดท้ายของกวีที่ผมได้ยินก่อนจะหนีออกมาโดยไม่หันกลับไปมองอีก

     ผมยืนหอบอยู่ที่ทางออกตรงซอกตึกที่เข้าไป  ปกติออกกำลังกายบ่อยๆ  แต่ที่หอบหนักขนาดนี้คงเพราะกลัวจนลืมวิธีหายใจ  อันตรายแฮะ  แบบนี้ตายได้เลยนะ

ผมรู้สึกเหมือนมีคนยืนมองอยู่จึงหันไป  เห็นเด็กสาวอายุไล่เลี่ยกันยืนอยู่  ชุดพละของโรงเรียนเดียวกับผม มือข้างหนึ่งถือกระเป๋า  ส่วนอีกข้างถือกระบี่หวาย  ผมบ๊อบยาวประบ่ากับหน้ารูปไข่ดูเข้ากันดี คิ้วที่ขมวดกันบ่งบอกอารมณ์ขุ่นเคือง

“สายฝน  แฮก   มาทำ  แฮก  อะไร แฮก”

“อย่าพูดไปหอบไปสิยะ  เดี๋ยวแม่ก็เรียกตำรวจซะนี้” ฝ่ายหญิงพูดใส่อย่างไม่ปราณี

สายฝน  วิริยะเจตสิก

เพื่อนร่วมห้องเดียวกันนี้แหละ  แต่ผมกับยัยนี้  ไม่ค่อยดีกันเท่าไร  เอาจริงๆ  ผมนะเฉยๆ  แต่ยัยนี้รุนแรงตลอดยังกะคนมีระดูตลอดเวลา  แล้วสภาพคือ  ยัยนี้ยังไม่ได้กลับบ้านสินะ  ทำไมคุณพ่อถึงปล่อยปละแบบนี้ละ

“แล้วนายมาทำอะไร”

“ซื้อของนะ”  ผมที่เริ่มหายใจสะดวกขึ้นก็พูดได้ตามปกติ  ไม่ได้กลัวตำรวจหรอกนะ

“ไหนละของ  ช่างเถอะ”  พูดจบสายฝนก็เดินผ่านผมไป

“สายฝน  วันนั้นเธอรู้สึกยังไง?”  คำถามของผมทำให้อีกฝ่ายงงไม่น้อย  เธอหันมามองเอียงคอบ่งบอกว่าไม่เข้าใจ

“วันนั้น  ห้องสมุดที่บ้านฉัน”  ทันทีที่จบประโยคสีหน้าของยัยนั้นก็เปลี่ยนไปทันที  ไม่รู้ว่า ตกใจ ลำบากใจ แต่เธอกลับหันหลังและเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว

“นี้เธอ”

“สิ่งที่ฉันคิดก็คือ  หวังว่านายจะไม่เอานิสัยสอดรู้ของนายไปทำให้ใครเสี่ยงตายด้วยอีก”

และอีกอย่าง  ยัยสายฝนนี้แหละ  คือเพื่อนสนิทที่ตอนนี้ไม่ได้คุยกันแล้ว  ที่ผมเคยบอกไปก่อนหน้านี้

     เปรี๊ยง!!!

ปลายแหลมของหลาวดำพยายามดันผ่านเขตอาคมเข้ามา

เป็นเรื่องที่แปลกมากๆ  ผมทำงานนี้มานาน  แต่ไม่เคยเจอะไรแบบนี้มาก่อน  ปกติหากจิตตกลงต่ำ ร่างกายจะกลายเป็นเดรัจฉานต่างๆ  แต่เจ้านี้ ยังมีรูปร่างเป็นคน  และอาวุธนี่อีก 

เปร๊ยะ เปร๊ยะ

รอยร้าวของเขตอาคมเริ่มกว้าง  ก่อนที่หลาวแหลมนั้นจะทะลุเข้ามา  ผมกลิ้งหลบไปอีกทาง  ฉวยหยิบมีดสั้นที่พกไว้ออกมา  ไม่นึกว่าแค่มาส่งวิญญาณจะต้องใช้อาวุธ

อีกฝ่ายหวดอาวุธกวาดมา  ผมก้มหลบและเห็นช่องว่างจึงพุ่งมีดใส่

มือซ้ายของมันสว่างวาบก่อนจะทุบลงพื้น  คลื่นสายฟ้าระเบิดออกไหลเข้าตัวผมจนเข่าทรุดลง

เจ้านี้ มันใช้เวทย์ได้ด้วยเรอะ  เป็นไปไม่ได้อย่างที่สุด ปกติหากจิตลงต่ำเป็นเดรัจฉาน จะจำพวกบทร่ายไม่ได้

ไม่มีเวลาให้ผมลองหาวิธีแก้สถานการณ์   ปลายแหลมของอาวุธนั้นพุ่งเข้ามา  เป็นภาพช้าที่ผมพยายามจะหลบมันแต่ร่างกายกลับไม่ขยับ

     ‘นกคุ้มเข้ารัง’

ผมพุ่งใส่อย่างเร็วที่สุด  กระบี่หวายในมือฟาดปัดอาวุธอีกฝ่ายจนพลาดเป้าไป

‘หัวขวานตอกไม้’

ปลายหวายแทงเข้าซ้ำๆ ลงไปที่จุดเดียวอย่างแม่นยำ

ร่างดำนั้นกรีดร้องอย่างเจ็บปวดและถอยไป  แต่ทว่ามือซ้ายของมันกลับสว่างวาบขึ้น  ผมยกมือป้องตาตามสัญชาตญาณ  เป็นวินาทีที่ผมรู้ตัวว่ากำลังจะเสียท่าจึงพยายามจะกระโดดถอยหลัง

“อย่าขยับ!!”

เสียงของกวีดังขึ้น  อะไรบางอย่างพุ่งผ่านผมไปทั้งทางซ้ายและขวา

ตูม  ตูม

เสียงระเบิดดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงร้องอย่างโหยหวน  ร่างดำนั้นสลายหายไปกลายเป็นอากาศธาตุ

“ถ้าไม่โจมตีที่แกนของจิตก็ทำอะไรไม่ได้หรอก  กระบี่หวายก็แค่ของเล่น”  กวีพูดขึ้นก่อน  หลังจากที่จบเรื่อง

“หามาได้แค่นี้นี่หว่า”

“กลับมาทำไม”

“มาช่วยแกไง”

“โง่ทั้งเรื่องเรียนและการใช้ชีวิตเลยเรอะ ฉันไม่ใช่พวกเด็กจบใหม่นะเฟ้ย”

“อ้าว  พูดดีๆนะเฮ้ย  ฉันช่วยแกไว้นะ”

“ฉันช่วยแกก่อนต่างหาก  แถมเมื่อกี้กำลังต้องมันจนมุมอยู่แล้ว”

อ่า  เจ้านี้มันไม่ขอบเป็นหนี้ใครแถมเกลียดความพ่ายแพ้สินะ

“จะว่าไป  แกบอกว่าเป็นงานสินะ เจ้ากวี”

“ใช่  ขอบใจที่ทำให้คืนนี้ต้องเขียนรายงาน”

“งาน  เด็กจบใหม่  รายงาน”  ผมพยายามทวนคำที่ผมติดใจจากคำพูดวันนี้ของกวี

ดูเหมือนเขาจะรู้ตัวว่าพูดมากเกินไปจึงพยายามเดินหนี

งานแปลว่ามีค่าตอบแทน

เด็กจบใหม่แปลว่ามีระบบฝึกฝน

เขียนรายงานแปลว่ามีระบบองค์กร

“นี้ๆ แก-“

“ไม่!!!”

“เฮ้ย ยังไม่พูดอะไรเลย”

“ฟังนะนิพนธ์  แกมีทางเลือก  2  ทาง 1.ลืมมันไปซะ  2.ตาย”

ผมนิ่งไปพักหนึ่ง  หลังจบประโยค  แต่ความอยากรู้ของผมมันก็ยังไมยอมหยุดทำงาน

“แหม ไม่ขนาดนั้นมั้ง”

“สรุปแกเลือกตาย”

“ใช่ นายตายแน่  นายนิพนธ์”

เสียงผู้หญิงดังขึ้นด้านหลังกวี  พวกเราหันไปก็พบกับสายฝนยืนจังก้าท่าทางเอาเรื่องอยู่

“สายฝน เธอมาทำไม” ผมถามออกไป  แต่คำตอบที่ได้คือ

“จับเลยค่ะคุณตำรวจ  เจ้าคนหน้าโง่ๆนั้นแหละคะ  ที่ขโมยกระบี่หวายของหนูไป”

“เฮ้ย  ขโมยอะไร  ก็บอกว่าขอยืมไง”

“ก็ฉันบอกไม่ให้ยืม  แต่นายมาคว้าเอาไปเองนะ”

ชายวัยกลางคนในชุดข้าราชการตำรวจเดินเข้ามาหาผมทันที

“ตกลงยังไงน้อง  มาเดินเพ่นพ่านอะไรกันช่วงนี้  แล้วอีกคนบาดเจ็บด้วยนี้  นักเรียนตีกันเรอะ  อยู่โรงเรียนไหน  เอาเบอร์พ่อแม่มา  จะได้ให้ตามไปที่โรงพัก...อ้าวเฮ้ย  อีกคนจะไปไหนนะ!!!”

กวีปีนรั้วกระดานไม้ออกไปอย่างรวดเร็วจนพี่ตำรวจคว้าขาเอาไว้เกือบทัน

ตัวผมเห็นได้จังหวะก็คว้าแขนของสายฝนออกวิ่งไปทางตรอกทันทีโดยไม่ฟังเสียงโวยวายของเธอ

ก็แหงละ  ถาหนีคนเดียวตำรวจเขาก็รู้ข้อมูลของผมกับยัยนี้นะสิ  สรุปคือต้องลากไปด้วยกันยังไงละ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา