ตุ๊กตาเทวา
เขียนโดย ประพันธ์กรขาจร
วันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 00.04 น.
แก้ไขเมื่อ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2564 13.14 น. โดย เจ้าของนิยาย
18) บทที่30 เบี้ยเลื่อนขั้น
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความฝนโปรยปรายเบาบางท้องฟ้าสีเทาแดดจาง
เด็กสาวมีนามว่าสายฝนวิ่งฝ่าม่านฝนจากป้ายรถเมล์มุ่งตรงสู่บ้านตน
เธอเลี้ยวเข้าซอยที่ไม่กว้างมากนัก ชุด รด.สีเขียวเข้มกว่าปกติตรงช่วงบ่าและกางเกงด้านหน้าเพราะเปียกน้ำ เสียงรองเท้าคอมแบทย่ำพื้นเป็นจังหวะดังชัดเจนแข่งกับเสียงฝน
น่าฉงนที่บ้านเรื่อนรอบๆกลับเงียบเชียบ ทั้งที่ตอนนี้เพียงบ่าย 4 โมงครึ่งเท่านั้น
แต่เอาเถิด เธอควรสนใจแต่ตนเองและรีบกลับบ้านก่อนจะเปียกไปมากกว่านี้ นึกเสียดายไม่น่าลืมร่มเอาไว้ที่ศูนย์ฝึกวังน้อย
ดูเมือนจะไม่ใช่เพียงเธอที่ลืมร่ม เบื่องหน้ามีชายสวมชุดบาทหลวงใส่แว่นกลม ไว้เคราและจอนยาวกับหมวกไหมพรมสีเขียวเข้มที่ไม่น่าจะกันฝนได้ซักนิด
"เธอคือ สายฝน วิริยะเจตสิก รึเปล่า"
จู่ๆบาทหลวงก็เอ่ยถามเมื่อเธอเข้าใกล้
เด็กสาวส่งสายตาสงสัยกลับไปแต่ไม่ตอบอะไร และวิ่งผ่านเขาไปดังกับเป็นเพียงเสาไฟฟ้าทั่วไป
"ผู้ใหญ่คุยด้วยแต่วิ่งหนีงั้นเรอะ พ่อแม่สอนมาแบบไหนกัน"
"พ่อแม่สอนว่าห้ามคุยกับคนแปลกหน้าค่ะ แล้ววิ่งตามมาทำไมคะ วิธีชวนเข้าลัทธิแบบใหม่เรอะคะ หนูไม่ศรัทธาพระเจ้าค่ะ หนูนับถือพุทธ แล้วหนูก็เก่งมากด้วยค่ะ"
"สายฝน วิริยะเจตสิก ฉันอยากให้เธอมากับฉัน"
"ก็บอกว่าไม่สนใจเข้าลัทธิไงค่ะ เชื่อในกรรมค่ะ แล้วถ้าคุณลุงเป็นกรรมของหนูก็ขอให้อโหสิกรรมให้ด้วยเถอะค่ะ"
"เดี๋ยวนี้"
"จู่ๆให้ไปกับคนแปลกหน้าที่พึ่งเจอกันไม่มีใครเขาทำกันหรอกค่ะ นอกจากตำรวจกับหมอนะ จะว่าไปตำรวจสมัยนี้เองก็ไม่น่าไว้ใจเหมือนกันนะค่ะ แล้วหนูก็ไม่ใช่สายฝนอะไรนั่นด้วย"
"แต่ชื่อที่เสื้อเธอมันบอกว่าใช่"
"ยืมเขามาค่ะ ไม่สิ ถูกจ้างให้ไปเรียนแทนนะค่ะ ตอนนี้กำลังเอาไปคืนค่ะ"
"งั้นคงต้องบังคับละนะ"
"อ๋อ คิดว่าทำได้ก็ลองดูสิค่ะ"
สายฝนหันมากระทืบพื้นตรงแอ่งน้ำกระเซ็นใส่อีกฝ่ายที่วิ่งตามหลัง
แต่เขาหายไป
เธอหมุนตัวหลบเท้าซ้ายที่พุ่งมาจากด้านหลังหวังถีบใส่ท้ายทอยและหวดเท้าซ้ายของเธอแตะก้านคอคืนกลับไปบ้าง
ติดที่บาทหลวงยกแขนป้องกันได้ทันและเตะต่ำตัดขาเธอ
สายฝนยกเท้าหลบและถีบกลับไปตรงๆที่ใบหน้า
แม้คราวนี้จะยกแขนขึ้นมาป้องกันได้อีก แต่น้ำหนักของรองเท้าและแรงส่งก็ทำให้บาทหลวงถลาถอยไป 2-3 ก้าวทีเดียว
"โห เก่งสมกับที่คุยนี้"
"ถ้ารู้แล้วก็รีบไปหาร้านนวดดีๆนวดแทนเถอะค่ะ อย่ามาลักไก่คิดจะนวดฟรีกับหนูเลย"
สายฝนวางท่าคุยโว แต่มิอาจทำลายความมุ่งมั่นของอีกฝ่ายลงได้
คราวนี้เขาเริ่มด้วยท่าร่าง แน่นอนว่าสายฝนเองก็เช่นกัน
"ถ้าอย่างนั้นฉันเอาจริงก่อนละกัน"
หลังพูดจบ บาทหลวงก็หายไปจากสายตาและปรากฏตัวตรงหน้าของเธอในระยะประชิด
หมัดซ้าย-ขวาส่งประเคนใส่อย่างแม่นยำและรวดเร็ว
แต่มันไม่เข้าเป้าเลย
สายฝนมีสายตาที่ดีพอจะหลบและปัดพวกมันได้หมด เธอไม่คิดจะป้องกันแบบชนเพราะรู้สึกถึงสิ่งแปลกๆบางอย่างที่ปลายหมัดพวกนั้น
แต่การจู่โจมก็กดดันเธอได้พอตัว สายฝนเริ่มถอยไปหลายก้าวและหาจังหวะสวนกลับแบบเมื่อครู่ไม่ได้เลย
บาทหลวงเปลี่ยนเป้ากระทันหัน หมัดขวาของเขาพุ่งต่ำลงเล็งที่หัวเข่าขวาของเธอ
แต่กลายเป็นการก้มต่ำของเขาเปิดช่องให้สายฝนใช้เท้าซ้ายถีบเข้าที่ไหปลาร้ายันกระเด็นให้เขาถอยกลับไปที่เดิมได้
"นี้เอาจริงแล้วเรอะคะ ถ้าใช่ก็พอเถอะค่ะ อย่าให้ครูฝึกของคุณต้องอับอายไปมากกว่านี้เลยค่ะ"
"เด็กสมัยนี้มันปากร้าย หรือแค่เฉพาะเธอที่ปากหมากันนะ"
บาทหลวงกำมือทำท่าเหมือนกระชากอะไรบางอย่าง
"ว้าย!! "
สายฝนจู่ๆก็ล้มลงเหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นดึงไป
ด้ายสีแดงถูกผูกอยู่ที่ข้อเท้าซ้ายของเธอ ที่แท้จังหวะเมื่อครู่คือกับดัก
สายฝนหยิบมีดสปริงที่พกเอาไว้ป้องกันตัวออกมาตัดมัน
แต่ด้ายแดงเหนียวกว่าทุกสิ่งที่เธอเคยเจอ แม้จะใช้ปราณเสริมใบมีดก็มิอาจตัดขาดได้
"เอาละ สายฝน วิริยะเจตสิก เธอจะไปกับฉันดีๆ หรือจะให้ลงมืออีกรอบ"
กวีและแองจี้ที่แบกฟิลลิฟไว้บนหลังกลับมาที่ร้าน Magic Cup
พวกเขาเดินทางด้วยกระจกมิติที่เป็นเครือขายเส้นทางคมนาคมที่รวดเร็ว เรียกให้เข้าใจง่ายๆก็ประตูวาร์ป
แต่เราต้องจำรหัสของประตูที่เราจะไปให้ได้ เหมือนเบอร์โทร
เขาต้องพาฟิลลิฟมาด้วนเพราะ กระจกมิติที่คฤหาสน์นั้น เชื่อมต่อกับหน่วยงานใดๆของ W.A. ไม่ได้เลย นอกจากพวกสาขาย่อยที่ต่างประเทศ
กระจกมิติของร้านอยู่ชั้น2 กวีจึงรีบลงมาทันทีเมื่อมาถึง
แต่ภาพที่เห็นกลับไม่เป็นอย่างที่คิด กลุ่มคน 8 คนสวมเสื้อคลุมยาวถึงข้อเท้า สีน้ำตาลอ่อน
ตราบนอกซ้ายรูปตราชั่งถาดคู่
ในถาดมีขนนกข้างหนึ่งและหัวใจข้างหนึ่ง
พื้นตราเป็นรูปดาว 6แฉก
ดาราตุลาการ มีหน้าทีจับกุม เจ้าหน้าที่ของ W.A. ที่ทำผิดกฏ
และดูท่าว่าคนที่จะถูกจับน่าจะไม่พ้นพวกเรา สาขาไทย
"นี้มันอะไรกันครับ" กวีถามออกไป
แต่เจ้าหน้าที่เหล่านั้นกลับหันมาชูไม้กายสิทธิ์ใส่เขา
"จอมเวทชั้นกลางขั้น1 กวี
จอมเวทชั้นกลางขั้น2 แองเจลินา ดอลล่า
สมาชิกสภาชั้นต้น ปราชญ์ ฟิลลิฟ ฟวอน โฮฟมัน
เราขอจับกุมทั้ง 3 คนข้อหากบฏ โดยมุ่งร้ายไปที่ สมาชิกสภาชั้นสูง จอมปราชญ์ อเล็กซานเดอร์ วันเดอร์วิล"
"เดี๋ยวสิ กบฏอะไรนะ เจ้านั้นต่างหากที่ทรยศเรา" แองจี้โวยวายทันที
"คุณยังไม่มีสิทธิ์พูดตอนนี้ คุณจะพูดได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในชั้นสอบสวนขึ้นไปเท่านั้น" เจ้าหน้าที่คนหนึ่งแจ้งเตือน
"และเราได้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือมาจาก จอมเวทย์สามัญขั้น3 เบล คาร์เตอร์"
กวีและแองจี้หันไปมองเจ้าของชื่อทันที
เจ้าตัวเดินออกมายืนในที่ที่มองได้ชัด ท่าทางมั่นใจและแข็งขันดูต่างจากที่ผ่านมา
"ใช่ค่ะ ดิฉังบังเอิญได้ยินพวกเขาคุยกันถึงการก่อเหตุนี้"
"อะไรนะ" กวีงุนงงกับคำให้การของเบล
"ที่จริง จอมเวทชั้นกลางขั้น3 กบี่ วังป่า ก็ได้ยินเช่นเดียวกันค่ะ แต่น่าเสียดายที่เขาถูกฆ่าปิดปากอย่างที่พวกท่านทราบ"
"อะไรนะ พี่กบี่ตายแล้ว เบล นี้เธอ!! " กวีเดินปรี่เข้าไปหาเบล แต่นักเวทคนหนึ่งมาขวางเอาไว้
"บอกแล้วไง คุณยังไม่มีสิทธิ์พูดในตอนนี้"
"บ้าบอไปกันใหญ่ พวกนายมันสมองกรวง"
"ระวังคำพูดหน่อย คุณดอลล่า"
ภายในร้านเริ่มวุ่นวายมากขึ้น
จนกระทั้งเสียงกระจกแตกดังขัด
กระป๋องปริศนา 2ใบถูกโยนเข้ามาและปล่อยควันสีขาวครอบคลุมด้านในร้านภายในไม่ถึง 5วินาที
"เฮ้ย นี้มันอะไรกัน!! "
"นี้พวกแก อย่าหนีนะ!!! "
"จับไว้ๆ! "
ความอลมานบังเกิด จนม่านควันหายไปเช่นเดียวกับผู้ต้องสงสัยทั้ง 5
เหลือแต่เพียงเหล่าดาราตุลาการและเบล คาร์เตอร์
"ดูเหมือนจะมีคนมาช่วย พวกนั้นเลยหนีไปได้ค่ะ... ดิฉันไม่ทราบค่ะว่าใคร...เดี๋ยวสิค่ะท่าน ที่เราตกลงกัน...ท่านคะ ขอร้องละค่ะ คุณพ่อของดิฉัน...โถ่โว้ย!!! " เบลกำมือถือแน่นด้วยอารมณ์โกรธอย่างสุดแรง ก่อนจะเก็บมันเข้าไปในกระเป๋าเสื้อกันลมตัวโปรด
"คุยกับใครเรอะ เบล"
"พี่พิม!! "
"ตกใจอะไรละ แค่คำถามง่ายๆเองนะ" พิมผกายิ้มหวานส่งให้
ที่ๆทั้ง 2คนอยู่ตอนนี้คือซอยแคบๆที่เกิดจากช่องระหว่างตึกในตลาดใหม่รังสิต พิมยืนขวางปิดทางเข้าจนเบลต้องหันไปอีกทาง
แต่แฟรงค์ที่ไม่รู้มาตั้งแต่เมื่อไรมาขวางเอาไว้
"จะทำอะไรคะ"
"เอาตรงๆละกัน แค่บอกชื่อคนที่เธอคุยด้วยเมื่อกี้ก็พอ แล้วฉันจะไว้ชีวิตเธอเพราะเห็นแก่พ่อของเธอที่นอนป่วยอยู่"
"ที่นี่กลางชุมชนกลางวันแสกๆนะคะ แถมพวกดาราตุลาการอาจจะอยู่แถวนี้ก็ได้"
"งั้นลองดูก็ได้ว้าจะมีคนรู้ไหม"
พูดจบดวงตาของพิมผกาก็เปลี่ยนเป็นสีขุ่นพร้อมกับที่เบลหยิบไม้กายสิทธิ์ออกมา
สายฝนลงไปนอนกองกับพื้นเฉอะแฉะ เสื้อผ้าชุด รด.เปียกชุ่มและสกปรกดูไม่ได้ ร่างกายเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำดำเขียวจากการถูกทำร้ายอย่างไม่ปราณีแม้ว่าเธอจะเป็นเพียงเด็กสาวอายุ 17 ก็ตาม
"ใจจริงฉันก็ไม่อยากทำร้ายเธอขนาดนี้หรอกนะ แม่สาวน้อย แต่เธอมันดื่อด้านเกินไป...เสียเวลากว่าที่คิดนะ ยอมรับว่าฉันพลาดเองที่ไม่ตรวจสอบให้ดี แต่ก็ไม่น่าแปลกใจอะไร สมัยเด็กที่เธอจะสนิทกับนิพนธ์ที่เป็นตัวประหลาดได้ อาจเพราะถูกฝึกทักษะมาคล้ายๆกัน คงจะดึงดูดกันละมั้ง"
โกศลพูดพลางดูนาฬิกาทำให้รู้ว่าตัวเองใช้เวลาเกินไปมาก
"ฉัน..ไม่ไป...กับแก" สายฝนพยายามลุกขึ้น ดูท่าว่าแม้ร่างกายจะบอบช้ำระกำโทรมแค่ไหน แต่จิตใจเธอยังแข็งแกร่งอยู่
"ถ้าอย่างนั้น" บาทหลวงผายมือซ้ายออก
ปรากฏร่างของสิ่งมีชีวิตปริศนา ร่างกายกลมๆหุ้มด้วยโลหะ ปีกใสเหมือนแมลง 2คู่ที่ด้านหลัง
มันลอยเหนือพื้นสักเมตรครึ่ง ก้อนกลมนั้นบานออกดั่งดอกไม้ 4กลีบ เผยมีหนวดระยางที่เคลือบด้วยเมือก 8เส้น กระดุกกระดิกยั้วเยี้ยะน่าขนลุก
หนวดเส้นหนึ่งแตกปลายออกเผยฟันเล็กๆและช่องปาก มันพุ่งเข้ามากัดที่ท้องของสายฝน
ฟันเล็กๆพวกนั้นคมและแข็งพอจะทะลุเสื้อ รด.ได้
ตลอดเส้นหนวดนั้นเคลื่อนไหวดูออกว่ามันกำลังขย้อนบางอย่างส่งไปที่ปลายหนวด
เด็กสาวรู้สึกได้ถึงไออุ่นจากของเหลวที่ถ่ายเข้ามาในท้อง เธอใช้มือทั้ง 2ข้าง พยายามดึงมันออกแต่ไร้ผล เรี่ยวแรงค่อยๆถดถอยลงอย่างประหลาด ของเหลวที่ไหลเข้ามาในร่างกายของเธอคงเป็นยาอะไรซักอย่าง
"แก ไอ้อลัชชีเอ้ย" เธอเค้นเสียงด่าออกไป
โกศลยืนฟังเงียบๆไม่ตอบโต้อะไร เขาคิดว่าเสียแรงเปล่าที่จะไปต่อปากต่อความกับเหยื่อที่กำลังพ่ายแพ้
แต่แล้วก็ดูเหมือนอะไรๆจะไม่เข้าข้างหลวงพ่อนัก
สายฝนบุกขึ้นยืนมาได้ทั้งๆที่ได้รับยาในปริมาณหนึ่งแล้วแท้ๆ
มือซ้ายยังจับหนวดระยางนั่นเอาไว้ ออกแรงกำแน่นบีบรัดจนมันไม่สามารถฉีดยาเธอต่อไปได้
มือขวาชูขึ้นสูงเกิดแท่งแสงสีทองรูปร่างเป็นหอกชนิดแลนเซอร์
ดวงตาของเธอเรืองแสงเป็นสีทองทั้ง 2ข้าง
"ก็บอกว่า ไม่ไปกับแกไง"
เธอพุ่งหอกแสงใส่บาทหลวง
เจ้าหนวดระยางบินมารับเอาไว้แทน แต่แรงของหอกนั้นรุนแรงมากจนทะลุร่างกลมทะยานใส่เป้าหมายเดิม
ร่างประหลาดอีกร่างปรากฏตัวหวดมีดบังตอขนาดใหญ่ปัดหอกแสงออกไปได้
ร่างมนุษย์ครึ่งท่อนบนลอยเหนือพื้นน่าอัศจรรย์ ไร้ผิวหนังปิดบังกล้ามเนื้อ หัวกะโหลกที่ไม่มีกรามล่างชักกะตุกค่อยๆหันมามองเธอแม้ในเบ้าตาจะไม่มีลูกตา
สายฝนเรียกหอกแสงอีกด้ามมาไว้ในมือ แต่เรี่ยวแรงเธอกลับไม่มีพอที่จะยกมันขึ้นเป็นครั้งที่ 2
การมองเห็นเริ่มพล่ามัวและทรงตัวได้ยากขึ้น
เจ้าหนวดระยางสลายไปแล้ว แต่ศัตรูใหม่กำลังเข้ามาหาเธอ
ทันใดนั้นเบื่องหน้าของเธอก็กลายเป็นสีดำ
ไม่ใช่เพราะสลบ แต่มีคนสวมชุดคลุมสีดำมายืนขวางเธอและตัวประหลาด เขาต่อสู้กับอีกฝ่ายใช้เวลาไม่นานนัก บาทหลวงก็ต้องล่าถอย
สุดท้านสายฝนทนไม่ไหวจึงล้มหมดสติลง
ไพศาลเดินมาหยุดยืนอยู่เหนือร่างสาวที่ล้มลงแนบพื้น เขาจับดาบดำคู่ใจกลับด้านยกขึ้นสูงเพื่อพุ่งปักเสียบหัวใจของเธอ
"อาการปลอดภัยแล้วละนะ นอนพักสักหน่อยก็น่าจะดีขึ้นเอง" อาจารย์ประจำห้องพยาบาลบอก
"ขอบคุณมากค่ะ" แองจี้จับมือเขย่ารุนแรงอย่างซาบซึ้นน้ำตาไหลพรากดูเกินเลย ก่อนจะวิ่งไปอีกห้องซึ่งฟิลลิฟนอนพักผ่อนอยู่
กวีและแองจี้ตอนนี้อยู่ที่ตึกแถวแห่งหนึ่งในเขตดอนเมือง ซึ่งเป็นที่พักอาศัยของอาจารย์ประจำห้องพยาบาลโรงเรียนทินกร
"ขอบคุณที่ช่วยเหลือมากครับ เจ้าหน้าที่เหมย" กวียกมือไหว้นอบน้อมหาได้ยาก
"W.A. ติดหนี้ฉันแล้ว ไม่สิ โบสถ์ก็ด้วย ดันทำให้ตัวจริงของฉันเปิดเผยซะได้" เหมยหันไปมองเด็กหนุ่มอีกคนที่ตอนนี้ถอดชุดบาทหลวงออก นั่งจิบชาสบายใจดังกับเป็นบ้านตัวเอง
"แกช่วยเราทำไม ชูใจ" กวีถาม
"ข้อแรก เพราะบาทหลวงโกศลดูท่าว่าจะเป็นตัวอันตราย ไม่สิ เขานะ นอกรีต ใช้เวทมนตร์ผิดต่อคำสอน
ข้อสอง ฉันคิดว่านิพนธ์น่าจะโดนหลอก เทพหรือมารที่ทำคุณนะ ไม่มีใครเขาเอาไปผนึกหรอก เรื่องนี้นายน่าจะรู้ดี"
"ขนาดแกยังเข้าใจ เจ้านิพนธ์มันโง่ซะจริง"
"เพราะยึดติดกับนาฏยาละนะ ฉันอยากช่วยนิพนธ์และกำจัดบาทหลวง ไม่สิ เจ้านั่นไม่ใช่พระอีกแล้ว กำจัดโกศล เพื่อให้โบสถ์สะอาด"
"โกศลไม่ได้ร่วมมือกับคนอื่นในโบสถ์เรอะ"
"คิดว่าไม่ โกศลไม่สนิทกับใครเลยแม่แต่กลุ่มคุ้มกันด้วยกันเอง ฉันไม่คิดว่าจะเป็นการแสดง เพราะถ้าอย่างนั้นเล่นบทคนเฟรนลี่ให้ทุกคนวางใจจะฉลาดกว่าการทำตัวแปลกแยก บอกตรงๆฉันเองก็ไม่ถูกใจพวกนอกรีตอย่างนักเวทนัก แต่ในเมื่ออีกฝ่ายมีเพื่อนเป็นระดับปราชญ์ ฉันเองก็คงต้องหาไว้บ้าง"
"จะกลืนอุดมการณ์ตัวเองรึไง"
"อุดมการณ์ส่วนตัวกับอุดมการณ์องค์กร บางครั้งมันก็ต้องเลือกเอา เหตุผลที่ฉันได้ตำแหน่งรั้งท้ายใน 13ผู้กระทำแทนไม่ใช่ฝีมือ แต่เพราะวิธีการทำงาน จุดนี้ฉันทำให้อดีตผู้บัญชาการของพวกนายเข้าใจผิดไปแล้ว น่าจะพอช่วยให้เขาประมาทได้บ้าง"
"เป้าหมายของพวกนั้นคืออะไร"
"ทำลายสังคมนักเวท แบบถอนรากถอนโคนแล้วสร้างระบบใหม่ ฉันรู้เรื่องไม่เยอะหรอก แอบฟังลำบาก ที่จริงเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับโบสถ์เลยจนกระทั้งท่านวาเนซ่าถูกสังหาร"
"ระดับอาร์คบิชอป ถูกลอบสังหาร ก็คงนิ่งไม่ได้แล้วสินะ"
"มันแย่ยิ่งกว่านั้น เมื่อเรารู้ว่าที่จริง ท่านวาเนซ่าคือ 1ใน กุญแจสำคัญของงานนี้ ถ้าหากฉันรู้เร็วกว่านี้ละก็"
"นายก็ตายไม่ได้มานั่งตรงนี้หรอก" เหมยที่นั่งนิ่งมานานพูดขึ้นบ้าง
"จะประชุมแผนกันก็ไปที่อื่นไป๊ ฉันเป็นมือปราบมาร ไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วย" พูดจบ เหมยก็ลุกเดินออกไปจากตรงนั้น
"แนวทางต่อจากนี้ของแกคืออะไร" กวีหันมาถามต่อ
"ฉันขอเล่าย้อนกลับไปก่อนว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่ผ่านมา จุดที่พวกนั้นทิ้งศพคือการสลักตราเลือดใช้ทำวงเวทขนาดใหญ่
"เหยื่อเป็นใครก็ได้งั้นเรอะ"
"เหยื่อคือคนที่มีปานรูปปีกนกที่หลังตั้งแต่เกิด
ฉันเคยรู้มาว่า ตระกูลของท่านวาเนซาเป็น 1ใน 7ผู้วิเศษ ข้ารับใช้เทพที่มีผลงานเด่นเมื่อ 100กว่าปีก่อน
ลูกหลานของแต่ละตระกูลจะมีปานรูปปีกนกต่างกันที่จำนวน
ของท่านวาเนซ่ามี 3ปีก ตระกูลอื่นก็น่าจะ 1-7ปีก จุดนี้แหละที่จะเป็นตัวชี้ว่าใครคือเป้าหมาย"
"แล้ววงเวท การใช้งานเป็นแบบไหน"
"ฉันไม่รู้ขนาดนั้นหรอก แต่ให้เดาคงถอนผนึกของ 7ผู้วิเศษละนะ"
"เจ้าตัวที่อยู่ในร่างของนิพนธ์ชื่ออะไร"
'RKa'Lpm'
ชูใจเขียนใส่กระดาษให้กวีดู แน่นอนว่าเขาอ่านไม่ออก
"ที่โบสถ์เราเรียกว่า ราคัม ประวัติไม่ดีตามคาด แค้นเคืองมนุษย์ คิดทำลายผู้คนที่สร้างมลพิษจนทำให้เทพไกอาทรุดลง แต่จุดนี้คิดว่านิพนธ์น่าจะถูกเล่าไปอีกแบบ"
"โง่บรม"
"นิพนธ์มันยังถือว่ามือใหม่ในวงการละนะ ราคัมซ่อนตัวตนในร่างของมนุษย์เพื่อหลบรอดสายตาจากพระธรรมชาติที่มีอำนาจในการลงโทษเทพหรือมารต่างมิติที่เดินทางข้ามมิติโดยพละการอย่างเบ็ดเสร็จ และแค่กำลังของเราคงเอาชนะราคัมไม่ได้ ส่วนตัวฉันก็ไม่อยากฆ่านิพนธ์ด้วย"
"แกจะบอกให้เราทำลายผนึกเทพที่ตาขวาเพื่อให้ระบบตรวจจับของมิติทำงานสินะ"
"ให้พระธรรมชาติลงทัณฑ์" ชูใจเน้นเสียง
"ผนึกเทพไม่ใช่อะไรที่เราจะทำลายได้ง่ายๆ"
"นายมีมันอยู่แล้ว กวี ในที่ๆจุดเริ่มต้นของชีวิตนักเวทของนายก่อกำเนิด มีด TPI ของนายถูกสร้างมาเพื่อการนั้น นายแค่ไม่กล้าจะใช้มัน จึงหนีมาอยู่สาขาไทย"
"แกสืบเรื่องของฉัน" ท่าทางกวีไม่ค่อยพอใจนัก
"มันเป็นงาน" ชูใจตอบเสียงเรียบ
"แกเก่งเกินไปนะ ใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงสืบอะไรต่อมิอะไรได้ขนาดนี้"
"เรื่องของนายฉันสืบไว้นานแล้ว แต่เรื่องราคัมมันมีบันทึกในโบสถ์อยู่ แค่รู้ว่าโกศลต้องการใช้ราคัมฉันก็ไปขอให้เพื่อนในกลุ่ม 13ผู้กระทำแทนรื้อมาให้ น่าเสียดายที่เรามารู้ตัวช้า"
"พอโผล่หางออกมาก็กัดซะจมเขี้ยวเลยงั้นสิ"
"แล้วเขาจะได้รู้ว่า กรรมที่เขาทำมันหนักหนาแค่ไหน"
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ