ตุ๊กตาเทวา
เขียนโดย ประพันธ์กรขาจร
วันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 00.04 น.
แก้ไขเมื่อ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2564 13.14 น. โดย เจ้าของนิยาย
15) บทที่ 21 นักล่าสลับเหยื่อ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
เป็นอีกวันที่ผมไม่ได้ไปร่วมกิจกรรมของห้องที่โรงเรียน
ถึงแม้วันนี้ผมจะมาโรงเรียน แต่ผมก็ไปแค่เดินเล่น หามุมที่แน่ใจว่าจะไม่มีคนสังเกต อยู่จนกระทั้งงานเลิกแล้วก็กลับ
“เหงาเรอะค่ะ มาด่อมๆมองๆอยู่ในงานนะ”
คิดว่าทุกคนคงจะรู้กันอยู่แน่ว่าใคร
รัตติกาล จิตรัก
“เธอไม่ต้องไปคุมงานรึไง” ผมถามกลับไป
“พอดีให้ลูกน้องดูแทนแล้วน่ะค่ะ”
“โห ทั้งๆที่ตัวเองอายุน้อยกว่าแท้ๆ วางอำนาจน่าดูนะเธอนะ”
“ก็หนูเป็นประธานนักเรียนนี้ค่ะ ไม่เห็นจะแปลก” ท่านประธานยืดอกท่าทางวางโต
“เฮ้อ เอาเถอะ ฉันกลับก่อนละ” ผมหันหลังเดินหนียกมือบอกลา
“เดี๋ยวสิค่ะ พี่นิพนธ์” อีกฝ่ายรั้งผมเอาไว้
“มีอะไร”
“แหม คือยังไงดีละค่ะ” รัตติกาลบิดตัวไปมาท่าทางกระมิดกระเมี้ยน ส่งสายตากลับไปมาทำตัวอ้ำอึ้ง
จนผมเองที่เริ่มอึดอัดต้องเอ่ยปากเอง
“มีอะไร รีบพูดมา”
“คือ วันนั้น เจ็บมากไหมคะ”
อ่า หมายถึงวันที่ยายนั้นตีตราผมด้วยฝ่าเท้าสินะ
“จะลองไหมละ” ผมตอบ
อีกฝ่ายหัวเราะปากกว้างท่าทางชอบใจ
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่อยากขอโทษเท่านั้นเอง”
“ไม่เป็นไร ฉันยกโทษให้” พูดจบผมก็ออกเดินอีกครั้ง
“เอ่ ยกโทษให้ส่งๆแบบนี้ไม่จริงใจเลยนิคะ” รัตติกาลเดินแซงมาปาดหน้าส่งลูกตื้อขวางทาง
ผมเหนื่อยใจกับยายนี้จริงๆ ที่ผ่านมาเห็นวางตัวเหนือกว่าตลอด ทำไมคราวนี้ทำหน้าสาวน้อยแบบนั้นละ
“งั้นเอามาร้อยหนึ่ง” ผมแบมือไถเงินกันตรงๆทันที
“ไถเงินรุ่นน้องงั้นเรอะคะ น่าเกลียดจริงๆ”
“แล้วจะเอาไง”
“ไปที่ห้องฉันไหมคะ”
“ห๊ะ!!” ผมตกใจแสดงอาการตื่นตลึงในคำพูดที่ดูใจกล้าของรุ่นน้อง นี้มันอะไรกัน ชวนผู้ชายไปห้องกันตรงๆแบบนี้ พ่อแม่ว่ายังไงละนั้น
“ฉันอยู่คนเดียวนะคะ”
อ่านใจได้เรอะ!! แล้วมันยังไงละ พ่อแม่ไม่อยู่เลยชวนผู้ชายไปห้องเลยงั้นเรอะ
“ฉันแค่จะทำอาหารเลี้ยงเฉยๆค่ะ ตกใจอะไรขนาดนั้นคะ ผู้ชายเนี่ย คิดแต่เรื่องแบบนั้นกันรึไงนะ เห็นแบบนี้นะ แต่ที่จริงหนูทำอาหารเก่งนะจะบอกให้ เคยได้แชมป์ระดับเขตมาแล้วตอน ม.ต้นละค่ะ”
“ก็เธอพูดจาแปลกๆเองต่างหาก ว่าแต่เก่งขนาดนั้นเลยงั้นเรอะเธอนะ”
“อะฮ่าๆๆๆ อยากรู้ก็ต้องพิสูจน์นะคะ”
“ไม่ละ”
“เอาเป็นว่าตกลงแล้วนะคะ ตามมาทางนี้ค่ะ คุณพี่นิพนธ์”
ฟังคนอื่นบ้างสิโว้ย เอาแต่ใจเหมือนกันแฮะยายนี้ เอาตรงๆผมเองก็มองว่านี้อาจจะเป็นโชคเข้าข้างก็ได้ เพราะที่จริงผมเองก็ยังหาทางเข้าหายายนี้ไม่ได้ การที่อีกฝ่ายเข้ามาหาเองแบบนี้คงต้องคว้าเอาไว้ซะแล้ว
“เชิญค่าๆ ห้องใหญ่โตไปหน่อย ไม่ต้องตกใจหรอกนะคะ อะ แต่รู้มาว่าบ้านพี่นิพนธ์เองก็ใหญ่โตเหมือนกันนิคะ กลายเป็นว่าทางนี้เองต่างหากที่จะเล็กกว่ารึเปล่า”
ไม่รู้ทำไมแต่ผมหมั่นไส้คำพูดของยายนี้ชะมัด
แต่ต้องยอมรับว่าใหญ่โตจริงๆแฮะ ผมรู้มาว่าที่นี้แต่ละะห้องจะมีขนาดไม่เท่ากัน รวมถึงราคาด้วย ห้องที่อยู่สูงๆจะมีขนาดใหญ่ขึ้นและราคาแพงขึ้น ยายนี้อยู่ชั้นบนสุด แปลว่าแพงและใหญ่ที่สุดสินะ เป็นลูกคนรวยอีกคนงั้นรึ
ส่วนห้องของนาฏยาอยู่ใต้ห้องนี้สินะ
เมื่อเข้ามาแล้วจะพบกับทางเดินแคบๆทางเดินต่างระดับแยกพื้นที่หน้าประตูกับทางเดินตรงไปด้านใน
เจ้าของห้องถอดรองเท้าเอาไว้ไม่ค่อยเป็นระเบียบ
รองเท้าแตะยางราคาถูก รองเท้าผ้าใบมียี่ห้อที่ใช้ถีบผมวันนั้น รองเท้านักเรียน รองเท้าพละ รองเท้าใส่เดินในบ้านอย่างละคู่
“สาวโสดอยู่คนเดียวก็แบบนี้ละค่ะ” เธอว่า ก่อนจะสวมรองเท้าใส่ในบ้านและเดินนำเข้าไป
“หนูไม่มีแขกเท่าไร ก็เลยไม่มีรองเท้าสำหรับแขกนะคะ”
“อืม ไม่เป็นไร” ผมถอดรองเท้าเดินเข้าไปด้วยถุงเท้าเปล่า พื้นเย็นเอาเรื่องแฮะ
เมื่อพ้นทางเดินหน้าประตูสั้นๆนั้นมาแล้ว ด้านซ้ายเป็นส่วนของห้องนั่งเล่นที่มีทีวีจอแบนที่ดูทันสมัยแขวนติดกำแพง ชุดโซฟาถูกจัดเอาไว้ที่กลางห้อง หากหันหน้าเข้าหาทีวี ด้านขวาจะเป็นระเบียงที่กั้นเอาไว้ด้วยประตูเลื่อนบานกระจกใสแบบเต็มตัว 4 บานยาวตลอดแนว ด้านตรงข้ามกับทีวีเป็นครัวเล็กๆสะอาดน่ามอง เท่าที่ดูจากอุปกรณ์แล้ว ก็ครบครันพร้อมจะใช้งานได้จริง
ครัวและห้องนั่งเล่นถูกกั้นด้วยเคาท์เตอร์เล็กๆที่ทำจากหินอ่อนสีดำ
ติดกับครัวด้านซ้ายมีประตูบานหนึ่งปิดอยู่ ที่ดูจากพรมหน้าห้องนี้คาดว่าน่าจะเป็นห้องน้ำ
ด้านตรงข้ามกับระเบียงยังมีประตูอีกหนึ่งบาน รวมถึงผนังด้านเดียวกับทีวีก็ยังมีประตูที่อยู่ทางด้านซ้ายเช่นกัน ซึ่งทั้งหมดถูกปิดเอาไว้
แอร์ปรับอากาศของที่นี่เป็นแบบช่องแอร์ติดเป็นพื้นระนาบเดียวกันกับเพดาน เธอสั่งให้มันเปิดด้วยเสียง รวมถึงการปรับอุณหภูมิและการกระจายของทิศทางลมด้วย
“ที่บอกว่าสาวโสดอยู่คนเดียวนี่ หมายถึงไม่มีใครอยู่ด้วยเลยงั้นเรอะ” ผมถามหลังจากดูรอบๆแล้วไม่พบอะไรที่จะบ่งบอกถึงคนอื่นเลย รองเท้า ร่ม รูปภาพ แก้วน้ำในตู้ที่ครัว ช้อน ร่องรอยว่าจะมีคนอื่นอยู่ด้วยนั้นไม่มี
“ถามอะไรทะลึ่งจัง”
“ฉันถามเพราะกลัวว่าจะเสียหาย”
“ถ้าไม่รุนแรงก็ไม่มีอะไรเสียหายหรอกค่ะ” รุ่นน้องหัวเราะคิกคักท่าทางอารมณ์ดี
“ฉันกลับละ” ผมหันหลังกลับบอกลาทันทีเพราะรับมือไม่ไหว
“อ่า เดี๋ยวก่อนสิค่ะ” รัตติกาลเอื่อมมือเล็กๆมาจับเอาไว้ส่งสายตาท่าทางจริงจังมาให้
“ฉันบอกว่าจะเลี้ยงข้าวแท้ๆ แขกกลับมาหนีแบบนี้ก็กลายเป็นว่าฉันเป็นเจ้าบ้านที่ไม่ดีนะสิคะ”
“ก็สมควร” ผมดึงแขนตัวเองกลับมาให้หลุดจากมือของอีกฝ่าย
“งั้นก็ถือว่าช่วยเหลือลูกแกะตัวน้อยๆตัวนี้ไม่ให้ต้องอับอายขายขี้หน้าชาวบ้านเขาละกันนะคะ”
เธอหันกลับเข้าไปในครัว ผมเดินตามไปยืนอยู่ที่ด้านหน้าเคาท์เตอร์มองดูอีกฝ่ายที่เริ่มหยิบจับอุปกรณ์ครัว
“เธอจะทำอะไร ฉันไม่เห็นเธอจะซื้ออะไรมาสักอย่าง”
“ฉันมีอยู่แล้วนะคะ เชิญนั่งรอได้เลย” เธอผายมือส่งไปที่โซฟา
ผมมองว่าไหนๆก็มาถึงขั้นนี้แล้ว กินของฟรีก็ดีเหมือนกัน
เอาละทีนี้
เข้ามาในห้องได้แล้ว แต่จะหาข้อมูลหรือหลักฐานยังไงดี ตามที่ผมคิดเอาไว้ ยายนี้แหละคือคนที่ทำให้ทุกคนหมดสติไป แต่ผมไม่มีหลักฐาน
วันนี้ที่ผมไปที่โรงเรียนก็เพื่อแอบสังเกตพฤติกรรมของยายนี้ แต่กลับเสียเปล่าไม่ได้อะไรเลยทั้งวัน
หลักฐานมันจะอยู่ในห้องที่ปิดประตูห้องไหนซักห้องหนึ่งในนี้งั้นเรอะ
หรือว่าอยู่ในตู้เย็น หรือตู้ไซบอร์ดในครัว หลังทีวีหรือเปล่า
ถ้าลองถามอะไรมากขึ้นก็ดูท่าว่าจะโดนหาว่า ลามกอีกแน่ๆ
ว่าแต่ทำไมยายนี้ถึงพาผมมาทีนี้กันละ ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นเสียหน่อย แค่ถีบแค่นี้ เอาจริงๆเลี้ยงข้าวที่ร้านอาหารทั่วไปก็ได้นี้ ทำไมต้องถึงขั้นทำเองด้วยละ
ทว่าความคิดของผมก็หยุดชะงักปักเลนทันที
ผมเสียวสันหลังวูบขนลุกไปทั่วตัวทั้งๆที่แอร์มันก็ไม่ได้หนาวขนาดนั้นแท้ๆ
ยายนี้รู้ตัวแล้วว่าถูกผมตามจึงพามาปิดปากงั้นเรอะ
ตลอดทั้งวัน ผมก็ลบจิตและไม่ใช้ปราณเลยแท้ๆ แต่ยังไม่พอสำหรับยายนี้งั้นเรอะ
ชูใจเคยเตือนผมแล้วว่า ผมคนเดียวคงเอาไม่อยู่แน่
นั้นสินะ ไม่อย่างนั้นยายนั้นจะตามผมมาตอนที่ผมกำลังจะกลับบ้านได้ยังไง ถ้าไม่รู้ตัวอยู่แล้วว่าผมอยู่ที่โรงเรียนด้วย
ผมนี้มันโง่ชะมัด เห็นว่าเป็นโอกาสของตัวเองซะได้
ผมต่างหากที่เป็นเหยื่อ
“เสร็จแล้วค่า!! อ้าวเป็นอะไรไปค่ะพี่นิพนธ์ ทำไมเหงื่อออกอย่างนั้นละคะ นี้ก็ 25 องศา แล้วนะคะ หรือเอาให้เย็นกว่านี้ดีไหมคะ”
“ไม่ๆ พอแล้ว”
แค่นี้ก็ขนลุกมากพอแล้ว
อาหารที่ยายนี้ยกมาคือ สปาเกตตี้แบบซอสแดง
“ไหนว่าเลี้ยงข้าว” ผมถาม
“แหม ภาษาไทยมันก็ใช้รวมๆกันได้แบบนี้ละคะ อย่าคิดมากเลย มาๆ กินกันดีกว่า”
รัตติกาลกระตือรือร้นรีบม้วนเส้นใส่จานมาให้ผม
บอกตรงๆว่ามันก็น่าอร่อยอยู่หรอก แต่ผมไม่มีอารมณ์จะกระเดือกมันลงไปแม้แต่น้อย ใส่ยาอะไรรึเปล่า
ยาแบบที่มนุษย์กินไม่ได้นะ คิดมากก็เริ่มคอแห้งจนขยับมือไปหยิบแก้วน้ำ แต่ก็ดันชะงักมือด้วยเหตุผลเดียวกัน
“อ้าว เป็นอะไรไปละคะ แหม หนูนะไม่ใส่อะไรแปลกๆลงไปหรอกค่ะ”
อ่านใจได้รึไง!!
“เปล่า แค่รู้สึกไม่ค่อยสบายนะ...ขอโทษนะ ฉันขอกลับเลยละกัน”
ผมลุกขึ้นพร้อมกระเป๋าโดยไม่สนใจสายตาของอีกฝ่ายที่ส่งมาอย่างผิดหวังแม้แต่น้อย
เสียดายก็แต่อุตส่าห์เข้าถ้ำเสือมาได้แล้วแท้ๆแต่ดันไม่ได้แม้แต่หนวดเสือ
แต่ไม่ทันจะก้าวเท้าผมก็รู้สึกมึนๆ เหมือนห้องมันหมุนได้ อะไรกัน ผมไม่ได้กินอะไรเลยไม่ใช่รึไง
และทุกอย่างก็มืดลง สติของผมขาดไปทั้งๆอย่างนั้นทันที
“ก็บอกแล้วไงคะ ว่าไม่ได้ใส่อะไรลงไปในอาหาร แต่ใส่ในอากาศต่างหาก อืม ป่านนี้คงไม่ได้ยินแล้วละมั้ง คงไม่ต้องแกล้งทำเป็นเด็กแล้วสินะ หึหึ พวกผู้ชายนี้ ไม่ว่าจะสมัยไหนก็เหมือนกันหมดเลยนะ แค่ออดอ้อนนิดหน่อยก็ติดกับซะแล้ว”
เด็กสาวที่เผยธาตุแท้ออกมาเลื่อนจานอาหารออกไปให้พ้นทางเพื่อข้ามโต๊ะกระจกตัวเตี้ยมาหาอาหารจานหลักของเธอ
“ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เจอคนน่าอร่อยอย่างคนที่ชื่อนาฏยาแท้ๆ แต่ดันมีไอ้เวรที่ไหนก็ไม่รู้มาตัดหน้าไปซะได้ งั้นก็ขอข้ามมาจัดการนายแทนก็แล้วกันนะ ท่าทางนายน่าอร่อยมากกว่าซะด้วยสิ”
รัตติกาลยื่นมือขวาที่มีเล็บยาวและคมผิดลักษณะมนุษย์ทั่วไปโดยเล็งที่หัวใจของเหยื่อที่หมดสติไม่อาจตอบโต้ได้
เลือดสดกระเด็นสาดพุ่งเลอะแม้แต่เพดานห้อง แขนเรียวของนักล่าที่กำลังจะพุ่งไปสังหารเหยือกลับเป็นฝ่ายที่ถูกตัดขาดกลิ้งหลุดออกไปอีกทาง รวมถึงโต๊ะกระจกตัวเตี่ยที่ถูกตัดเรียบอย่างสวยงามก็เช่นกัน
“แหมๆ พลาดซะได้ นึกว่าแกจะขาดเป็น 2 ท่อนซะอีก ดันกลายเป็นแค่แขนขวากับโต๊ะ”
เสียงที่ไพเราะดังออกมาจากปากของเด็กหนุ่มที่ไม่น่าจะขยับได้เพราะยาสลบที่เธอวางใส่ไปในอากาศแท้ๆ
เขาถือดาบแสงในมือ ลุกขึ้นนั่งท่าทางแข็งแรงดี ตาขวาที่เคยเป็นสีทองกลับเรืองแสงอ่อนๆเป็นสีฟ้าสุกใสแทน
“อย่างนี้นี่เอง ความรู้สึกที่ว่าไอ้เด็กนี้มันน่าอร่อย มาจากแกเองสินะ” รัตติกาลที่กระโดดถอยออกไปเกือบจะสุดทีวีใช้แขนอีกข้างบีบแขนขวาเอาไว้ไม่ให้เลือดไหลออกมากนัก
“ถือเป็นคำชมละกันนะ แต่เดรัจฉานชั้นต่ำอย่างแก หวังสูงจะแตะต้องตุ๊กตาของฉันนะ คงให้อภัยไม่ได้”
“หึหึ เดรัจฉานงั้นเรอะ อาจจะใช่ งั้นที่แกแอบสิงอยู่ในร่างของเด็กคนนี้มีแผนอะไรละ แกนะเป็นเทพต่างมิติใช่ไหมละ ถึงต้องสิงร่างคนจากมิตินี้ ตามกฎแล้ว หากเดินทางข้ามมิติมาสุ่มสี่สุ่มห้า เทพประจำมิติจะมีอำนาจลงโทษเด็ดขาด พวกเทพหรือมารที่หลบๆซ่อนๆอย่างแกนะ ไม่มีตนไหนมันทำเรื่องดีๆกันหรอก”
“เป็นหนอนแมลงที่รู้เยอะจังนะ แบบนี้ยิ่งปล่อยเอาไว้ไม่ได้มากกว่าเดิม”
เกิดแรงปะทะตรึงให้รัตติกาลกระเด็นไปติดหนึบอยู่กับทีวีด้านหลัง เทพในร่างของนิพนธ์ตั้งท่าเตรียมพร้อมพุ่งดาบเสียบปักหัวใจของผีดูดเลือดให้สิ้นซากไปทั้งอย่างนั้น
ทว่าเลือดที่อยู่ในแขนข้างที่ขาดตกพื้นอยู่นั้น กลับทะลักออกมาจนแขนข้างนั้นแห้งเหี่ยวไปอย่างรวดเร็ว
ของเหลวสีแดงนั้นครอบคลุมร่างของนิพนธ์เอาไว้ทำให้เขาขยับไม่ได้ แต่ไม่ทันไร แรงระเบิดโดยมีจุดศูนย์กลางคือนิพนธ์ก็ซัดทุกอย่างรอบๆให้ปลิวกระจายออกไป
รัตติกาลหนีออกมาทางระเบียง เธอลอยอยู่กลางอากาศด้วยปีกสีแดงที่ทำมาจากเลือดของเธอเอง
ห้องที่เคยสวยงามบัดนี้แทบจะจำสภาพเดิมไม่ได้อีก
“ลูกเล่นแบบนี้ แกคือ Crimson Wing สินะ” เทพต่างมิติในร่างของนิพนธ์กล่าวถึงตัวตนอีกฝ่าย
“เป็นเกียรติที่ได้รู้จัก” รัตติกาลตอบเสียงเครียด เธอรับรู้ได้ว่าคราวนี้แหละ คือวิกฤติของจริง ขนาดพวกผู้กระทำแทนของโบสถ์ยังไม่ฉีกเลือดที่เธอควบคุมอยู่ได้ง่ายๆแบบนี้
หากอีกฝ่ายเป็นเทพต่างมิติจริงก็คงต้องหนีลูกเดียวแล้ว เพราะการที่ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน นั้นหมายถึงไม่รู้จุดแข็งจุดอ่อนไปด้วย แถมเป็นระดับเทพแบบนี้ จะให้ไปเรียนรู้ไปสู้ไปเห็นท่าว่าเธอจะคงไม่จบแค่สละแขนขวาแน่ๆ
“แกนี้ทำให้ฉันอารมณ์เสียมากขึ้นอีกแล้วนะ ฉันไม่ชอบเลยที่แมลงวันอย่างแกมามองฉันในที่สูงกว่าแบบนี้นะ”
จิตสังหารของอีกฝ่ายรุ่นแรงจนเธอแทบจะหยุดมีชีวิตไปเสียดื่อๆ
แต่ก่อนที่จะมีอะไรเกิดขึ้น
ร่างของนิพนธ์ก็สูญเสียแสงสีฟ้าที่ตาขวาไปและเข่าทรุดล้มลงไปนอนกับพื้นจนสร้างความแปลกใจให้รัตติกาล
แต่ยังไม่ทันที่เธอจะหาคำถามใดๆมาไตร่ตรอง เสียงปืนก็ดังขึ้นก่อนที่ไหล่ซ้ายของเธอจะถูกกระสุนปืนพุ่งทะลุผ่านไปอย่างจัง
เด็กหนุ่มสวมแว่นในชุดบาทหลวงยืนอยู่บนดาดฟ้าของตึกถัดไป เขากำลังใส่กระสุนปืนลงในรังเพลิงของปืนไรเฟิลรุ่นเก่าเก็บเพื่อจะยิงนัดที่ 2
ชูใจ อุษาจิต
เธอตัดสินใจหนีทันทีแบบไม่รีรอ
‘หน่อยไอ้เทพเฮงซวย พอมีมือที่ 3 มาเกี่ยวก็รีบหนีทันทีเลยนะ แสดงว่าเหตุผลที่มันมาสิงร่างเด็กนี้ เป็นเรื่องที่คนอื่นจะรู้ไม่ได้แน่ๆ’
รัตติกาลบินหนีไปทางทิศตะวันตก แถวนั้นยังมีพื้นที่ที่เป็นป่าละเมาะอยู่
เมื่อร่อนลงในดงพฤกษา ก็เบาใจได้นิดหน่อยว่า พลแม่นปืนคงจะไม่ส่งลูกปืนมาให้เธอง่ายๆแบบเมื่อครู่แน่นอน
“ชิ” เสียงอาการความไม่พอใจลอดออกมาจากปาก
เหยื่อที่อุตส่าห์เล็งไว้ทั้ง 2 คน คนแรกก็โดนตัดหน้าไป อีกคนก็มีคนจองอยู่แล้ว
แถมคราวนี้ยังถูกเจ้าผู้กระทำแทนนั้นเห็นหน้าแล้วจนได้ ทั้งๆที่หลบมาได้หลายปีแท้ๆ
คงจะกลับไปเป็น รัตติกาล จิตรัก อีกไม่ได้แล้ว
ได้เวลาชิ่งแล้วสินะ
ส่วนมณฑาก็ถูกวางเอาไว้เป็นเหยื่อล่อพวกนักเวทให้ไปทางนั้นเอาไว้ตามคาดจังหวะนี้คงไม่มีใครมาขวางทางหนีเธอได้
“เหล่าคนบาปแห่งอนันตริยกรรม โทษทัณฑ์จึงแผดเผาเจ้าให้เป็นเถ้าถ่าน เพลิงอเวจี”
เปลวไฟสว่างวาบพุ่งตรงมาจากด้านหน้า เธอกระพือปีกอย่างเร็วที่สุดเพื่อหลบไฟนั้น
แต่นั่นคือตัวล่อ การโจมตีของจริงตามมาในจังหวะนี้
มีดติดโซ่พุ่งมาจากความมืดหลายทิศทาง แต่รัตติกาลก็ชำนาญด้านการบินมากพอที่จะหลบได้ทั้งหมด
เธอลงสู่พื้นดินพุ่งเข้าไปหลบหลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง มีดติดโซ่เหล่านั้นหายวับไปทันทีบ่งบอกว่ามันถูกสร้างมาจากเวทมนตร์
พวกผู้กระทำแทนอีกคนงั้นเรอะ พวกนี้มันทำงานกันเป็นคู่
แต่ไม่สิ พวกนี้ใช้แต่เวทศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น เวทศักดิ์สิทธิ์เมื่อสลายจะกลายเป็นละอองแสงสีทอง
แต่นี้ไม่ใช่
พวก W.A. ไม่น่าจะรู้ตัวไวขนาดนี้
มือปราบมารงั้นเรอะ!!
เอาเถอะ จะใครก็ช่างมันแล้ว ต้องรีบหนีก่อนจะถูกตีโอบ
รัตติกาลรีดเลือดออกมาจากแผล มันลอยตัวเป็นก้อนกลมขนาดประมาณ 1000 cc เห็นจะได้ เธอสะบัดวาดมันออกไป ในแนวนอนขนานกับพื้น
ก้อนเลือดนั้นถูกกรีดให้บางและคมเหมือนมีดพุ่งออกไป ตัดกวาดเอาทุกสิ่งในเส้นทาง ต้นไม้ทุกต้นถูกตัดเรียบสวยงามเป็นระเบียบ
แต่กลับมีจุดหนึ่งที่แตกต่าง คมมีดโลหิตนั้นไม่อาจตัดผ่านไปได้
‘ตรงนั้นสินะ’
ผีดูดเลือดเปรียนรูปแบบของอาวุธ มีดเลือดนั้นแตกตัวออกเป็นเม็ดกลมเล็กๆลอยไปทั่ว และพุ่งเข้าจู่โจมในจุดนั้นรอบทิศทาง
กระสุดเลือดส่วนหนึ่งก็พุ่งไปทางด้านหลังของรัตติกาล
มันทะลุต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่อยู่ด้านหลังของเธอเป็นรูพรุนเหมือนรังผึ้ง
“ซ่อนตัวไม่เก่งเลยนะหลวงพ่อ”
เธอพูดทิ้งท้ายก่อนทะยานขึ้นด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่เธอจะอาจหาญทำได้ หากขึ้นไปถึงลมบนท่ามกลางหมู่เมฆและแสงดาวก็ไม่มีใครทำอะไรเธอได้
ฉายา Crimson Wing กล่าวถึงอสูรปีกสีชาด ที่ส่งมอบความตายให้มนุษย์จากฟากฟ้า
ตำนานของเธอ
ถูกทำลายด้วยหน้าแข้งเรียวบางที่หวดฟาดเข้ากลางลำตัวอย่างจังจนเธอต้องร่วงลงกลับสู่พื้นดิน
ปีกโลหิตนั้นกลายเป็นลูกบอลห่อหุ้มร่างกายเธอเอาไว้ก่อนตกกระแทกพื้นเพื่อป้องกันอันตราย
แต่ในทางตรงข้าม ฝ่ายที่สกัดเธอเอาไว้กลับลอยตัวลงมาด้วยท่าทางสง่างาม จากปีกเวทเล็กๆที่เรื่องแสงอยู่ที่เท้าทั้ง 2 ข้าง
กินรี อาจารย์ห้องพยาบาลของโรงเรียน
เธอมาในชุดสูทสีดำกับกางเกงขายาวแค่ข้อเท้าดูแปลกตากว่าทุกที
เข็มกลัดรูปหัวกะโหลกที่มีเปลวไฟที่หน้าผากและดาบไขว่กับมีดที่ปกเสื้อ
รัตติกาลเดาถูก คนที่มาดักรอเธอก็คือ มือปราบมาร องค์กรเบื่องหลังอย่างเป็นทางการของประเทศนี้และได้รับแรงสนับสนุนจากรัฐบาลจนเรียกได้ว่าน่าจะเป็นองค์กรรัฐวิสาหกิจองค์กรหนึ่งของประเทศ
ถึงแม้ประชาชนน้อยคนจะรู้ถึงการมีอยู่ของพวกเขาก็ตาม
แม้ว่ารัตติกาลจะกำลังสงสัยว่าโบสถ์กับมือปราบมารร่วมมอกันอยู่หรือแค่แย่งเหยื่อกัน
ทั้งหมดก็ลงมาสรุปที่ข้อเดียว ถ้าไม่ฆ่าให้หมด เธอเองก็ไม่รอด
“หึหึหึ ไอ้หนูทั้งหลาย พวกแกนะ จะเอาชีวิตมาทิ้งกันเปล่าๆ เกือบ 700 ปีของข้า จะแสดงให้ดูเองว่าผ่านอะไรมาบ้าง”
เสียงปืนดังขึ้น รัตติกาลถูกลูกปืนกระแทกเข้าจากด้านหลังในตำแหน่งหัวใจพอดี แต่กระสุนดันติดที่กระดูกสันหลัง เธอล้มหน้าคว่ำลงไปนอนแนบกับพื้นดินเย็นเฉียบ แม้จะยังไม่ตายแต่ทำให้เธอขยับได้ลำบาก
“สัญชาติงูร้าย ผู้ใดแนะนำให้ท่านหนีการลงโทษที่กำลังมาถึง
จงประพฤติตนให้เหมาะสมกับที่ได้กลับใจแล้วเถิด อย่าอ้างว่า เรามีอับราฮัมเป็นบิดา
ข้าพเจ้าบอกท่านทั้งหลายว่า พระเจ้าจะทรงบันดาลให้หินเหล่านั้นกลายเป็นลูกของอับราฮัม
บัดนี้ขวานกำลังจออยู่ ณ รากต้นไม้ ต้นใดให้ผลไม่ดีจะถูกโค่นและโยนลงในกองไฟ”
เสียงสวดดังลอยมาในความมืด ปรากฏร่างของบาทหลวงถือปืนยาว Snider-Enfield
ชูใจวาดมือเป็นรูปกางเขนตรงหน้าอกแบบที่เห็นได้ทั่วไป
เสียงครางพยายามลุกขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้แม้ว่าการตะเกียกตะกายนั้นจะไร้ผลก็ตาม
“7ปีที่ฉันได้รับมอบหมายให้ตามล่าแกตั้งแต่ตอนอยู่ที่อังกฤษจนมาอยู่ที่ไทยนี่ ในที่สุดก็จะจบลงแล้วละนะ
แอน ล็อค”
ชูใจพูดจบก็ปรากฏกางเขนแสงสีขาวพุ่งขึ้นมาจากรูกระสุนที่กลางหลังของรัตติกาล ขาของกางเขนแทงทะลุหัวใจ
ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือร่างของรัตติกาลกลายเป็นของเหลวสีแดงเจิ่งนองอยู่บนพื้นดังกับว่าพึ่งมีคนมาทำถังน้ำคว่ำแถวนี้
ตัวปลอม!!!
“อะไรกันเนี่ย นายไปทางนั้น ฉันจะลองกลับไปที่คอนโด”
“อย่ามาทำเป็นสั่งน่า”
ชูใจแสดงอาการไม่ค่อยพอใจเท่าไร แต่เขารู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลา การรีบตามหา เป้าหมายให้เร็วที่สุดต่างหากคือสิ่งสำคัญ
พวกเขาจึงรีบแยกย้ายอย่างรวดเร็ว
เสียงหอบถี่ๆบ่งบอกอาการอ่อนล้าทางร่างกายถึงกับต้องใช้ปากช่วยหายใจ เด็กหญิงตัวน้อยประมาณ ม.ต้นในร่างเปลือยเล่ากำลังนั่งคุดคู้ อยู่ที่มุมหนึ่ง
มีเพียงรัตติกาลคนเดียวที่อยู่ในโกดังอะไรซักอย่างในตอนนี้ ทำให้เธอผ่อนคลายได้บ้าง แต่ถึงอย่างนั้นโกดังแห่งนี้ก็อยู่ไม่ไกลจาก 2 คนนั้นเท่าไรนัก หากปล่อยตัวไม่ระวังมากเกินไปเพียงชั่วลัดนิ้วมือ 2 คนนั้นก็อาจจะตามมาทันก็ได้
ที่ผ่านมาเธอมักใช้เลือดเป็นอาวุธ เพราะมันมีธาตุเหล็กเยอะ จนทุกคนคิดไปเองว่าความสามารถของเธอคือควบคุมเลือด
แต่นั้นผิด
ความสามรถจริงๆของเธอคือ การของปรับเปลี่ยนสถานะระหว่างของเหลวและของแข็งของร่างกาย
ตอนที่เธอใช้ปีกเลือดเอามาหุ้มตัวเองก่อนจะตกถึงพื้นนั้น
เธอได้สร้างตัวปลอมขึ้นมาจากเลือด เนื้อ และกระดูกที่เธอแบ่งหลอมเป็นของเหลวแล้วหล่อกลับเป็นรูปร่างอีกครั้ง
ส่วนร่างจริงเปลี่ยนเป็นของเหลว ไหลหลบหนีจนมาถึงที่นี้
การแบ่งร่างต้องใช้พลังเยอะจนร่างกายจากเด็ก ม.ปลาย กลายเป็นดูเหมือนเด็ก ม.ต้นไปแล้ว เธอคงจะสู้ต่อไปไม่ไหว
คงต้องหาเหยื่อก่อนซักคนเพื่อฟื้นพลังแล้วค่อยออกจากประเทศนี้ซะ
เธอยันตัวลุกขึ้นออกเดินไปอย่างเงียบๆ
แต่เท้ากลับต้องหยุดชะงัก อะไรบางอย่างรั้งเธอเอาไว้ เมื่อก้มมองดูก็พบกับดาบคมด้านเดียวสีดำที่แทงจากด้านหลังทะลุกลางหัวใจของเธอ
อีกฝ่ายกระชากดาบออก อสูรสาวล้มลงอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่อาจลุกขึ้นมาได้อีก ร่างกายกลายเป็นขี้เถ้ากองอยู่ตรงนั้น
ไพศาลในชุดคุลมสีดำสนิทยืนอยู่จนแน่ใจว่าเหยื่อของเขาจากไปอย่างแน่นอนแล้ว เขาจึงเก็บดาบเข้าฝักและหยิบเอาหน้ากากรูปยักษ์มาส่วนใส่ก่อนจะเดินจากไปอย่างเงียบๆ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ