กังวาลในสายลม

-

เขียนโดย Kirinthorn7

วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 23.18 น.

  4 บท
  0 วิจารณ์
  3,380 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 30 เมษายน พ.ศ. 2563 23.21 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) โบยบิน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

               พ่อไม่เคยไปแข่งทัวร์นาเมนต์หมากรุกสากลอีกเลยนับจากแม่จากไปทั้งที่ถูกคาดคะเนว่าเรตติ้งในอุดมคติของเขาคือมากกว่า 2700 ซึ่งเป็นฐานเรตติ้งของผู้เล่นระดับสูงสุดของสูงสุดในสมัยนั้นหากไม่นับคาสปารอฟ เขาดูจะไม่สนใจใยดีความใฝ่ฝันอีกต่อไป พระอาทิตย์ขึ้นก็ทำงาน พระอาทิตย์ตกก็ดูแลลูก สุดสัปดาห์ก็พาลูกไปออกกำลังกาย วันหยุดเทศกาลก็ออกไปใช้เงินคลายเครียด ในบางช่วงพ่อหางานอดิเรกใหม่ซึ่งทำได้จากที่บ้าน เช่น เล่นหุ้น, สะสมไวน์, ตีกลอง ฯลฯ สิ่งเหล่านั้นอยู่กับพ่อได้ไม่นาน สุดท้ายแล้วเขาหาความสุขได้จากการนั่งเล่นหมากรุกกับลูกชายทุกเย็น และรังแกคู่แข่งในเว็บออนไลน์เมื่อเหลือเวลาว่าง ชาลีสังเกตว่าไม่มีแววตาของพ่อในช่วงเวลาอื่นของพ่อเปล่างประกายเท่ากับเมื่อเขานั่งอยู่เหนือจัตุรัสหกสิบสี่ช่อง

‘มีคำพูดหนึ่งที่คาร์ปอฟเคยพูด มันเป็นประโยคโง่ๆที่ดูเหมือนจะไม่มีความหมายอะไร แต่มันเปลี่ยนชีวิตพ่อไปอย่างสิ้นเชิง’ พ่อพูดเมื่อชาลีเอ่ยถามถึงในวันหนึ่ง เด็กชายตื่นเต้นด้วยความคาดหวังต่อสิ่งที่พ่อกำลังจะเอ่ย ‘’หมากรุกคือชีวิตของผม แต่ชีวิตของผมไม่ใช่หมากรุก’’ พ่อหัวเราะเมื่อชาลีทำหน้าสับสน ลูบศีรษะเขาก่อนจะทักทายยายม้วนและสตาร์ทรถ

               ชาลีมักจะเดินทางไปกับพ่อตามเมืองต่างๆเพื่อเข้าแข่งขัน ผู้คนต่างชื่นชมถึงทักษะของชาลีซึ่งบ่มเพาะมาอย่างดี ผลงานของชาลียอดเยี่ยมหากเทียบกับรุ่นเดียวกันและทุลักทุเลในการแข่งขันกับผู้ใหญ่ ความอ่อนประสบการณ์และวัยวุฒิที่ยังเด็กของชาลีเป็นสิ่งเดียวที่ขัดขวางเขาจากความสำเร็จสูงสุด ซึ่งถึงแม้ผลงานของชาลีจะเกินมาตรฐานอย่างมหาศาลในประเทศซึ่งไม่มีการสนับสนุนกีฬาด้านนี้แม้แต่น้อย แต่อะไรก็ตามที่ด้อยกว่าอันดับหนึ่งไม่ทำให้พ่อพึงพอใจ เวลาซ้อมยาวนานยิ่งขึ้น และความสำคัญของวิชาอื่นลดลง ถึงอย่างนั้นพ่อก็ไม่เคยเคี่ยวเข็ญหรือบีบคั้นลูกชายมากกว่าที่ควร เขาแค่คาดหวังสิ่งที่ดีที่สุดในตอนที่ยังไม่สายเกินไป

               สุดสัปดาห์และเวลาเย็นซึ่งเคยเป็นช่วงเวลาพักผ่อนไม่ว่าจะตามสวนสาธารณะ ห้างสรรพสินค้า หรือพิพิธภัณฑ์ค่อยๆกลายเป็นช่วงเวลาเก็บตัวซ้อมล่วงหน้าการแข่งขันใหญ่ พ่อเชื่อว่าการแข่งขันใดก็ตามไม่ได้พึ่งแค่ทักษะและความรู้ แต่ต้องปรับอารมณ์ความรู้สึกให้เข้ากับเป้าหมายที่มุ่งมั่นด้วย การปรับพฤติกรรมด้วยการกักตัวซ้อมทั้งจิตใจและร่างกายจึงเกิดขึ้นก่อนทุกรางวัลใหญ่ พ่อกับชาลีจะนั่งเล่นเกมยาวและวิเคราะห์จนถ่องแท้ก่อนจะเริ่มเกมถัดไป กิจวัตรของชาลีวนไปตามนี้ทุกวันเป็นระยะ จากหนึ่งอาทิตย์เป็นสองอาทิตย์ จากสองอาทิตย์เป็นหนึ่งเดือน ชาลีรู้สึกถึงแรงกดทับแต่เข้าใจดีว่าพ่อรู้ดีว่าอะไรที่สุด ช่วงเวลาแห่งการหลบหนีเดียวของชาลีคือก่อนนอนซึ่งมีนิทานอีสปสองตอนค่อยพูดคุยด้วย หลายครั้งที่เขาลืมตามองท้องฟ้าในยามค่ำคืนและพยายามนึกถึงความทรงจำที่ทำให้จิตใจพองโต เช่น ไอศกรีม, สเก็ตน้ำแข็ง, หนังอนิเมชั่น ฯลฯ

               พ่อเริ่มทดลองความสามารถของชาลีไปไกลกว่าแค่ในกระดาน มัดดวงตาของชาลีปิดด้วยเน็คไทเพื่อฝึกให้ความจำผูกเน้นกับการแข่งขัน ชาลีสามารถจำความคิดเป็นภาพในหัวได้อยู่แล้วจึงไม่ยากเย็นอะไร บางครั้งพ่อทดสอบชาลีด้วยวิธีนั้นร่วมครึ่งวัน ชาลีต้องแกล้งทำเป็นเข้าห้องน้ำบ่อยเพื่อให้ไม่รู้สึกอึดอัดในความมืดมากเกินไป ในหลายโอกาสในวันใกล้แข่งพ่อให้ชาลีสวมผ้าอ้อมเพื่อให้การฝึกซ้อมไม่สะดุด เมื่อเห็นว่าชาลีสามารถเล่นแบบปิดตาได้เหมือนปกติจึงเพิ่มกระดานที่เล่นไปเรื่อยจนหยุดที่สิบหกกระดาน

               ความทุ่มเทออกดอกออกผลในเวลาไม่นาน ความคงที่ในผลงานของชาลีปรากฎให้เห็นได้ชัดกว่าที่เคย เขาสามารถนั่งอยู่กับกระดานตรงหน้าได้นับหลายชั่วโมงโดยที่ภาพของมันยังคงติดตาแม้จะลุกไปเข้าห้องน้ำ สร้างปรากฎการณ์ชนะติดกันในทัวร์นาเมนต์ระดับประเทศอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นนับจากยุคของฟิชเชอร์ เขาปีนขึ้นกระดานเป็นอันดับหนึ่งของลำดับเรตติ้งไทยในเวลาไม่นาน สื่อทั้งในประเทศและต่างประเทศนำเสนอเขาว่าเป็น ‘อนันต์คนต่อไป’ ด้วยสไตล์การเล่นและบริบทที่คล้ายคลึงกัน ผู้สนับสนุนชื่อดังในไทยหลายรายเริ่มติดต่อพ่อของชาลีซึ่งยิ้มแก้มปริทุกครั้งที่เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น นั่นเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของเขาเลยก็ว่าได้

               วันหยุดเทศกาลเป็นช่วงเวลาเดียวที่ชาลีได้ออกจากบ้าน เขามักจะนั่งเหม่อมองท้องถนน วิวทิวทัศน์ และอะไรก็ตามที่ไม่ใช่ผู้คน ไม่ว่าจะเป็นฤดูร้อน ฤดูฝน หรือฤดูหนาว ใบหน้าของชาลีเรียบเฉย ยิ้มบ้างกับเหตุการณ์รอบตัว เขารู้สึกกระตือรือร้นที่สุดเมื่อมีใครชวนเล่นหมากรุกเพราะชื่อเสียงที่ติดตามชาลีมา ถึงอย่างนั้นสายตาก็มองแค่กระดานอย่างที่เคยชิน เขาจะชนะแบบที่รู้กันดีและยิ้มให้กับตัวเองอย่างซ่อนเร้น ผู้คนเริ่มไม่เห็นประเด็นในการแข่งกับเขาและเพียงแค่อ้างถึงผลงานของชาลีก่อนจะทำกิจกรรมหมู่คณะตามอารมณ์ ชาลีพอใจที่จะนั่งมองโดยไม่พูดอะไร

               รถตู้แล่นบนท้องถนนขนานไปกับคลื่นทะเลโดยปราศจากอาแก่ ชาลีใช้แขนเท้าคางมองออกไปนอกกระจกรถอย่างเลื่อนลอย เสียงของสายน้ำและฝูงนกไม่ส่งมาถึงเขา พ่อและเพื่อนฝูงสนทนาเกี่ยวกับความเป็นไปได้ซึ่งชาลีไม่เข้าใจ เขาหลับตาและฝันถึงกระดานที่เคยผ่านไปกระดานแล้วกระดาน ซึ่งเขาแพ้ทุกกระดานที่แข่ง เมื่อตื่นขึ้นเขาพบว่ารถจอดอยู่หน้าร้านอาหารริมฝั่ง ทุกคนเดินลงไปเพื่อรับประทานมื้อเที่ยง สายลมพัดกลิ่นของชายหาดมายังฝั่ง แสงแดดร้อนตามฤดูกาลของมัน พวกผู้ใหญ่ยังคงคุยถึงอดีตซึ่งไม่มีชาลีอยู่ในนั้น เขาจึงเพ่งความสนใจไปกับอาหารทะเลซึ่งเติมเต็มกระเพาะของเขาอย่างรวดเร็ว

               ชาลีผละตัวเองออกจากความแออัดในร้านอาหารขณะที่ทุกคนกำลังดูการแข่งขันฟุตบอลถ่ายทอดสดอยู่ และพบตัวเองนั่งชันเข่าอยู่ใต้เงาของต้นมะพร้าว จ้องมองคลื่นน้ำกระทบหินและฝูงนกบินออกไปไกลสุดลิบตา พวกมันกำลังไปที่ไหนกัน และไปทำไมในเมื่อทุกที่ต่างรู้สึกเหมือนเดิม บางทีหากชาลีโบยบินไปกับพวกมันอาจรู้คำตอบก็เป็นได้ แผงใบไม้โบกไสวเหนือศีรษะ เมื่อถึงเวลาแข่งฟุตบอลเสร็จ พ่อก็ออกตามหาชาลี พนักงานชาวพม่าชี้ไปยังต้นมะพร้าวซึ่งเงาชี้ไปยังทิศทางซึ่งต่างจากต้นอื่น เขาปลุกชาลีขึ้นจากภวังค์เพื่อออกเดินทางต่อ ชาลีลืมตาขึ้นและมองไปยังแรงกระเพื่อมไม่สิ้นสุดเบื้องล่าง เงียบเชียบไม่หวั่นไหว พ่อนั่งขัดสมาธิลงข้างลูกชาย พวกเขาไม่พูดอะไรกันอยู่นาน

               ‘พ่อ’ ชาลีพูดขึ้นในที่สุด ‘ผมไม่ชอบหมากรุก’

               พ่อหันมองไปยังรถตู้ซึ่งรอคอยพวกเขาอยู่ ‘ไม่ใช่ทุกคนจะยืนอยู่จุดเดียวกับแบบชาลีได้นะ รู้ใช่ไหม’

               ใบหน้าของชาลียังคงสงบนิ่ง ยังคงจ้องมองไปยังผืนน้ำซึ่งมีฝูงปลาแหวกว่ายและเรือประมงโคจร

               ‘ครับ’ ชาลีตอบ

               ‘แล้วชาลีชอบอะไร’ พ่อถาม

               ชาลีนิ่งเงียบ พ่อมองไปยังทิศทางที่ลูกชายจ้องมองเพื่อตามหาความหมายในมัน

               ‘ถ้าไม่เห็นตัวเองในนั้น เห็นพ่อในนั้นบ้างก็แล้วกัน’ เขาตบไหล่ชาลีก่อนจะเดินกลับไปยังการเดินทาง ชาลีใช้มือทั้งสองเช็ดหน้าก่อนจะวิ่งเหยาะตามไป พยายามใช้เวลาร่วมกับเพื่อนพ่อในมื้อดึกซึ่งพวกเขานั่งล้อมวงกันอยู่ที่ชานหน้าบ้านพักตากอากาศของพ่อ ร้องเพลงที่หลงยุคแต่ถูกร้องให้ฟังทุกปีจนจำได้ ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับผู้คนหลงยุคแต่ถูกย้ำให้ฟังจนรู้จัก พระจันทร์ส่องสว่างเป็นพิเศษในคืนนั้น

               กิจวัตรดำเนินไปเช่นเคย ผู้คนรู้สึกแปลกตากับภาพลักษณ์ใหม่ของชาลี เขาสวมเสื้อสูทและรองเท้าหนังอย่างดี ทรงผมถูกจัดแต่งสะดุดตาโดยช่างทำผมมืออาชีพ เขายิ้มอย่างมั่นใจเมื่อช่างถ่ายภาพต่างชาติแวะเข้ามาทักทาย ตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษอย่างฉะฉาน สร้างความประทับใจให้กับสื่อสิ่งพิมพ์เป็นอย่างมาก แน่นอนว่าเขาไม่ลืมที่จะเอ่ยชื่อผู้อุปการะอย่างครบถ้วนด้วยความขอบคุณอย่างจริงใจ เมื่อสายตาจากหลากหลายแหล่งเห็นว่าชาลีคงคุณภาพผลงานได้ดี พวกเขาก็ปรากฎตัวเคียงข้างเด็กชายในฐานะนาฬิกา, น้ำหอม และอื่นๆซึ่งชาลีไม่เคยรู้ว่าขาดไปในชีวิตจนกระทั่งได้มา ชื่อเสียงของชาลีดังจนเป็นผู้เล่นไทยคนแรกที่เปิดนิทรรศการเล่นสดในไทย ผู้คนต่างพากันจองที่นั่งเพื่อโอกาสในการพ่ายแพ้ให้กับเด็กอัจฉริยะ มองดูชาลีเดินไปรอบโต๊ะแข่งขันทั่วทั้งห้องโถง เดินหมากเพื่อทำลายกลยุทธ์ที่ถูกคิดมานับหลายนาทีของพวกเขาในไม่ถึงวินาที ครั้งหนึ่งชาลีได้ลงข่าวหน้าหนึ่งด้วยการปิดตาเล่นพร้อมกันทีเดียวยี่สิบสี่กระดาน ชนะสิบเก้าและเสมอห้า ภาพชาลีนั่งกอดอกสงบนิ่งโดยมีน้ำตาไหลลางเลือนใต้ผ้าปิดตาหลังจากการแข่งนับห้าชั่วโมงเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่ได้รับชม ‘นี่คือโฉมหน้าของผู้ที่ทุ่มเททุกสิ่งให้กับอนาคตการกีฬาของชาติไทย’ ผู้สื่อข่าวชื่อดังพูดถึงภาพนี้ในรายการ

               พ่อเริ่มผ่อนปรนกิจกรรมเกี่ยวกับหมากรุกลงและซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องแรกให้กับชาลี การละความสนใจจากหมากรุกเปิดช่องว่างให้เกมซีดีและโลกออนไลน์เข้ามาแทนที่ ชาลีเสพติดพวกมันอย่างรวดเร็วจนยายม้วนต้องคอยหาอะไรให้ชาลีทำเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ความเร็วของอินเตอร์เน็ตไม่มากนักแต่พอที่จะเติมเต็มความสนใจใคร่รู้ ชาลีเริ่มละเว้นจากการถามพ่อและหันไปพึ่งพากูเกิ้ลแทน ถึงกระนั้นคำถามก็ยังคงไร้เดียงสาตามประสาเด็ก

               เวลาล่วงเลยไปจนถึงใกล้ปีใหม่ พ่อพาชาลีออกเดินทางไปยังภาคเหนือเช่นเคย คุณตาสวมกอดชาลีแน่นจนเสื้อยืดตัวโปรดของเขายับยู่ยี่ อากาศเย็นเยือกแต่ชาลีชอบที่จะรับลมเย็นก่อนจะยอมแพ้สวมเสื้อกันหนาว พ่อใช้เวลาทำความสะอาดห้องของแม่ขณะที่ชาลีนั่งฟังเสียงพิณของตาที่บรรเลงไปพร้อมกับเสียงร้องอ่อนโยน

               ‘อะโล โลโล ไปเมืองโกตวยปี้เงี้ยว
หนตางก๊ดเลี้ยว ข้าน้อย ขอเหลียวหลังถาม
หนตางเส้นนี้ เป็นถนนก่อเมิงพาน
เฮย...ป้อเฮย ผ้าสีปูเลย ป้าดเกิ่งตุ๊มเกิ่ง...

               ‘เสเลเมา บ่าเด่วเปิ๊กเซิ๊ก
ข้ามน้ำเลิ้ก ก็บ่ได้ขอดขาถง
หนามเก็ดเก๊า มาจ้องเอาขนก่อแมวโพง
ต๋าวันลง เจ้นจะแผวต๋าฝั่ง...’

               ชาลีไม่เข้าใจความหมายของเสียงเพลง จ้องมองเปลวเพลิงเต้นระบำไม่หยุดไม่หย่อน สีส้มของมันกลายเป็นขาวและดำด้วยเหตุผลบางประการ เมื่อเสียงพิณหยุดลง ชาลีกอดตาแน่น ชายชราตกใจเล็กน้อยแต่รีบตบบ่าของหลานเพื่อปลอบใจ วางพิณลงใต้เก้าอี้ไม้ก่อนจะใช้มือลูบหลัง รู้สึกถึงความเปียกบนเสื้อม่อฮ่อม เสียงสะเก็ดฟืนยังคงหลอมละลายปะทุเป็นระยะ เสียงกิ่งไม้ลู่ลมยังคงดังเปาะแปะไปตามสายลม เสียงเข็มนาฬิกายังคงหมุนวนตามกาลเวลา ในที่สุดชาลีก็ผละออกจากอ้อมกอด น้าสาวทำกับข้าวเย็นเสร็จ พวกเขาทานอาหารพื้นบ้านพร้อมหน้าอย่างเอร็ดอร่อย

               ถึงแม้ทั้งโลกจะมองชาลีเป็นตัวเต็งสำคัญในพาประเทศไปสู่อันดับหนึ่ง ชาลียังคงเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งสำหรับตา หลังจากส่งหลานเข้านอนด้วยการร้องเพลงภาษาเหนือกล่อม เขาพักพิงร่างกายลงบนเปลหน้าชานบ้าน จุดใบยาสูบส่งควันลอยไปในอากาศ ห่างไปกว่าสามเมตรในสวนคือเอกซึ่งกำลังโยกตัวค่อยอยู่บนชิงช้าไม้ ถึงแม้ว่าตาไม่เห็นใบหน้าของเขา แต่อิริยาบถนี้ทำให้ตานึกถึงเอกคนที่เขาเจอวันแรก ยังคงแน่วแน่ ยังคงกังวล ยังคงไม่ปล่อยวาง บางทีนั่นอาจเป็นสิ่งที่ลูกสาวมองไม่เห็นในตัวพ่อจึงต้องลงไปตามหาในตัวใครสักคนถึงกรุงเทพ ตาหยุดความคิดตัวเองไว้เท่านั้น เปลวไฟส่งไอร้อนช่วยให้หลับสบาย เขาหลับตาลงพร้อมกับรอยยิ้ม ภาพของเอกและทุกสิ่งเบลอลงในสมอง เขาฝันถึงปอเปี๊ยะทอดซึ่งเป็นอาหารจานโปรดและไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา