Oh, My Baby Doll
-
เขียนโดย IamRanya
วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 20.04 น.
4 ตอน
1 วิจารณ์
5,009 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 30 เมษายน พ.ศ. 2563 20.12 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) ตอนที่ ๑, พระเนตรของเจ้าชาย (The Prince's Eyes)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ๑
พระเนตรของเจ้าชาย
หัวค่ำที่อบอ้าวคืนหนึ่งในต้อนฤดูร้อนของนอร์ธลาสเวกัส, เนวาดา, ปี ๑๙๖๘
ผู้หมวดเดวอน เฮนดริกสันไม่เคยพิจารณาตนเองว่าเป็นคนเหยียดเพศ แม้เขาจะยืนกรานตลอดชีวิตการทำงานว่าหากผู้หญิงอยากทำงานในกรมตำรวจ พวกหล่อนก็เหมาะจะอยู่หน้าโต๊ะต้อนรับ ไม่ก็รับโทรศัพท์หรือจัดการเอกสารอยู่ด้านหลัง งานสายตรวจไม่เหมาะเพราะร่างกายพวกหล่อนไม่ได้ถูกสร้างมาให้ฟัดกับผู้ชายน้ำหนักสองร้อยปอนด์ที่อาจจะก่อเรื่องทะเลาะวิวาทเมื่อไหร่ ตรงไหนในเส้นทางลาดตระเวนของเธอก็ได้ ด้วยเหตุนั้น ไม่ต้องพูดถึงงานปราบปรามเลย ส่วนงานสืบสวนสอบสวนน่ะหรือ? ทีแรกเขาก็ไม่มั่นใจพอจะตัดสินเรื่องนี้เพราะผู้หญิงไม่มากที่สนใจงานสายดังกล่าว อย่างน้อยก็ผู้หญิงที่เขารู้จัก แต่จากประสบการณ์จากการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้หญิงทั่วไป เขาก็คิดว่าพวกหล่อนอ่อนไหว และนิยมอารมณ์มากกว่าเหตุผลจนมันอาจบดบังการวิเคราะห์ และตัดสินใจ
จนกระทั่งหลังได้ใช้เวลาเกือบครึ่งหนึ่งของชีวิตหลังจบการศึกษาในกรมตำรวจลาสเวกัสหม่นหมอง และเบื่อหน่ายหลังภรรยาและลูกสาวรับไม่ได้กับอันตรายในสายงานของเขาแล้วทิ้งเขาไป เขาถูกจับคู่กับตำรวจสาวหน้าใหม่ไฟแรง เจย์ลีน เรเวลล์ผู้รับทำคดีที่ดูเหมือนจะง่ายด้วยการไล่บี้แก๊งอาชญากรเล็กแก๊งอาชญากรน้อยจนกว่าจะเจอเด็ก ๆ ที่ถูกลักพาตัวไปอย่างต่อเนื่อง แต่กลายกลับเป็นคดีที่ใหญ่ที่สุดในทศวรรษนี้ของเมืองโดยไม่มีใครคาดคิด หนังสือพิมพ์เรียกคนร้ายที่ยังไม่พบตัวว่า บูกี้แมน – เดวอนเชื่อว่าถ้าเขามีโอกาสได้ตั้งชื่อหมา เขายังจะทำได้มีรสนิยมกว่านี้
เจย์ลีน นางฟ้าผิวขาวผมบลอนด์ผู้ฝักใฝ่จะกำจัดความโสมมในแดนที่แม้แสงของพระผู้เป็นเจ้ายังส่องมาไม่ถึง เธอไม่เคยรบกวนเขาด้วยความเป็นผู้หญิงหากไม่นับความจริงที่ว่าหน้าตาของเธอดึงดูดสายตาเขาไปจากความชั่วร้ายที่แวดล้อมอยู่อันทำลายสมาธิของเขาในลางที เธอมุ่งมั่น และกระตือรือร้นเสียจนบางทีก็ทำให้เดวอนต้องร้องคราง ซึ่งตอนนี้เขาก็ทำอยู่ในใจ หิวมื้อเย็น สิ้นหวัง และกำลังสูบบุหรี่มวนสุดท้ายของซองที่ไหม้จนเหลือแต่ก้นกรองไปแล้วเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะโยนมันใส่ถาดเขี่ยบุหรี่ตรงหน้ารถ แสงไฟสีอุ่นของเสาไฟข้างถนนส่องเข้ามาวูบวาบเป็นจังหวะตามระยะห่าง ทำนองปลุกเร้าของเพลงไวลด์ธิงส์ของวงพังก์สัญชาติอังกฤษ[๑] ชื่อเดอะทร็อกส์ กำลังเล่นจากแผงวิทยุด้านหน้า ขณะที่เธอนั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถฟอร์ดธันเดอร์เบิร์ดของเขา บนถนนที่การจราจรเบาบาง ยืนยันที่จะไม่ปล่อยให้ตำรวจนอร์ธเวกัสทำงานตามวิธีของตัวเองเพื่อหาสถานที่ที่เด็กทั้งสี่คนอยู่ เพราะตลอดสองสัปดาห์ที่คดีเริ่มเกิดขึ้นบริเวณนี้ ตำรวจพวกนั้นยังไม่รายงานความคืบหน้าอะไรเลยสักอย่าง ไม่มีแม้แต่การจับแก๊งอะไรมาสอบสวนเลยด้วยซ้ำ
ที่จริงเธอก็ไม่มีความคืบหน้าของคดีเหมือนกัน ทั้งหมดที่เธอรู้ตอนนี้คือสองคดีแรกเกิดที่ซันไรซ์เมเนอร์ ตามด้วยนอร์ธลาสเวกัส และตัวเมืองลาสเวกัส ไม่มีพยานมาเปิดเผยตัวสักคนเดียว เด็กที่ตกเป็นเหยื่อล้วนเป็นเด็กหญิงหน้าตาน่ารักอายุสี่ถึงเก้าปี ไม่ใช่การเรียกค่าไถ่ เธอจึงสันนิษฐานว่าเป็นการค้ามนุษย์ เธอเข้ามาจับงานนี้ตอนที่เหยื่อคนที่สี่หายไป ก่อนหน้านี้คดีถูกปฏิบัติอย่างตามมีตามเกิดโดยเจ้าพนักงานท้องถิ่นอย่างเป็นเรื่องไม่สำคัญตามประสาคดีคนหายทั่วไป ไม่มีการตามสืบอย่างเชิงลึก แต่เมื่อเด็กคนที่สี่เป็นลูกของนักท่องเที่ยว และเกิดขึ้นในตัวเมือง หนังสือพิมพ์ก็ประโคมข่าวเสียใหญ่โตจนไปถึงข่าวระดับรัฐ คดีถูกโอนมาที่เวกัส ซึ่งดูจะมีความพร้อมในการดำเนินงานมากที่สุด เจย์ลีนจึงรับไว้ เพราะมันเป็นกะงานของหล่อน เธอขอความร่วมมือให้ตำรวจสืบหาโกดัง หรือสถานที่ที่เคยพบว่าเป็นที่ซ่อนแก๊งท้องถิ่น รวมทั้งสอบปากคำแก๊ง หรืออดีตแก๊งที่อาจลักเด็ก แต่เรื่องก็เป็นอย่างที่ว่ามาแล้ว
“งานแบบนี้เธอจะทำตามสัญชาตญาณไม่ได้” เดวอนปรับเบาะของตัวเองให้เอนราบ “ชาตินี้ก็ไม่เจอหรอก และเผื่อเธอดูนาฬิกาไม่เป็น – หมดเวลางานมาเป็นชั่วโมงแล้ว”
“ขอเป็นที่สุดท้ายค่ะ ฉันอยากจะทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่”
“เกินหน้าที่สิไม่ว่า”
“ถ้าคุณไม่เห็นแก่หน้าที่ ก็เห็นแก่เด็ก ๆ เถอะ เดวอน”
“อย่างน้อยพวกเด็ก ๆ ก็น่าจะได้กินเย็นแล้ว”
บางทีความวางเฉยของเดวอนก็ทำให้เธอนึกฉิว เขาได้เลื่อนขั้นมาอยู่ในตำแหน่งปัจจุบันหลังได้ปราบ ปรามมาเฟียอิตาลีก๊กหนึ่งในปี ๑๙๕๒ เธอชื่นชมผลงานของเขาในกรณีดังกล่าว แต่หลังจากนั้นก็ไม่เคยมีผลงานโดดเด่นอีก ปัญหาส่วนตัวก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งคงได้บังเกิด แล้วพรากความกระตือรือร้นทั้งปวงจากเขาไปทว่าเธอก็ไม่คิดว่าสิ่งเหล่านั่นเป็นข้อแก้ตัวที่จะปล่อยให้เด็กไม่รู้ประสากลุ่มหนึ่งต้องสูญเสียชีวิตที่พวกเธอควรจะมีไป
“งั้นให้ฉันเลี้ยงเหล้าคุณหลังเลิกงาน แลกกับความกระตือรือร้นสักนิดของคุณ”
“ขอบุหรี่ กับข้าวเย็นถึงตกลง”
“ช่างเจรจานะคะ”
“เธอใช้ภาษาอังกฤษไม่เก่งเลยนะ เขาเรียกรักษาผลประโยชน์”
ความคิดเกิดขึ้น ขณะที่ตาของเธอยังทอดตรงไปบนถนน “แถวนี้มีกล้องวงจรปิดเยอะจัง ของตำรวจหรือของพลเรือนเหรอคะ?”
“ของเจ้าชาย” คู่หูของเธอไม่ยี่หระ และได้หลับตาลงแล้ว
“อะไรนะคะ?”
“บ้างก็เรียกเจ้าชาย บ้างก็เรียกนักบุญหลังเขาก่อตั้งองค์กรการกุศลไม่แสวงหากำไรนักบุญฟลอเรียน แต่ที่จริงก็แค่นักธุรกิจบ้าเทคโนโลยีที่อาศัยอยู่แถวนี้น่ะ” แล้วทีนี้เขาก็เอาแขนปิดตา บังแสงวาบวามเหนือหัว “เธอไม่ค่อยมาเขตนี้สินะ”
“งั้นทำไมเราไม่ดูกล้องวงจรปิดของเขาล่ะ? ตำรวจที่นี่ไม่เคยรายงานเรื่องกล้องเลย”
“ไม่มีใครใช้กล้องนี้เป็นนอกจากเขา ตำรวจพวกนั้นไม่อยากดูโง่มั้ง”
“คุณไม่เคยบอกฉันเรื่องกล้องวงจรปิด”
“บอกแล้วจะตามเจ้าชายกลับมาเปิดมันได้หรือไง?”
มาถึงตรงนี้ เดวอนทำให้เธอนึกถึงแมวแก่ที่ครอบครัวเธอเคยเลี้ยง มันเป็นเบาหวานตายตอนที่เธอเด็ก “แล้วเจ้าชายพระองค์นี้อยู่ไหนคะ?”
“ช่วงหน้าร้อนเขาไม่ค่อยจะอยู่หรอก ตอนนี้คงอยู่ทางเหนือของประเทศไม่ก็ยุโรป”
“คุณรู้จักเขาดีจังนะคะ”
ในที่สุดเขาก็เอาแขนออก “เลี้ยวขวาตรงแยกข้างหน้า โกดังจะอยู่ขวามือ”
เธอปฏิบัติตาม โดมหลังคาสังกะสีสนิมเขรอะที่เคยมีสีขาวดูกลืนไปกับความหมองมัวของอาคารที่แวดล้อมอยู่ “ฉันอยากเจอเจ้าชาย”
“เธอต้องเริ่มจากเต้นรำกับเขา แล้วอ่อยด้วยการทิ้งรองเท้าไว้ดูต่างหน้า”
หล่อนเหลือบมองเพื่อสืบหาสีหน้าที่ว่าเขาจริงจังกับคำแนะนำนี้แค่ไหน แต่ปรากฏว่าเขายกแขนมาปิดหน้าอีกรอบ ไม่วายสั่ง “ถึงโกดังแล้วปลุกฉันด้วย”
โกดังแห่งนี้เคยใช้เก็บเนื้อสัตว์ ทั้งจากที่ผลิตได้ในเมืองนี้และเมืองอื่น ก่อนจะส่งออกไปตามร้านอาหาร มันถูกปิดและทิ้งร้างเมื่อผู้ประกอบการได้สร้างโกดังที่ดีกว่าโดยไม่แม้แต่จะรื้อถอนหลังเก่าให้ลุล่วง หลังจากนั้นเคยถูกพบว่าเป็นที่เก็บสินค้าของแก๊งค้ายาขนาดย่อม และถูกปราบปรามไปแล้ว ในช่วงไม่กี่วันมานี้ เจย์ลีน และคู่หูผู้ไม่ให้ความร่วมมือทางความคิดของเธอตระเวนมาในที่เสื่อมโทรมคราวนี้กว่าสิบแห่ง และไม่พบอะไรนอกจากหนู แมลงสาบ นกพิราบ และแมงมุม
รถถูกจอดในตรอกเล็ก ๆ ข้างโกดังเธอตบไหล่คู่หู เรียกให้ตื่น แล้วลงจากรถ
ข่าวร้ายคือรั้วด้านหน้าถูกโซ่สายใหญ่และแม่กุญแจสายยูล่ามไว้ ข่าวดีคือมันยังดูใหม่เมื่อเทียบกับสภาพแวดล้อมอื่น ๆ เจย์ลีนปีนเข้าไป และเดวอนไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากทำตาม “ตอนงีบเมื่อกี้ฉันฝันด้วย”
เจย์ลีนเปิดไฟฉายกระบอกเล็ก ส่องหาประตูทางเข้าตัวอาคารขณะเดินเข้าใกล้ “ฝันว่าอะไรเหรอคะ?”
“ฝันว่าเธอเดินเข้าประตูไปแล้วโดนคนร้ายตีหัวสลบ ฉันก็โดนคนร้ายทุบจากข้างหลัง” เขาเปิดไฟฉายตัวเอง ชี้แสงไปที่ประตูที่เธอพยายามหา มันเป็นประตูเหล็กบานใหญ่บนพื้นยกสูง เป็นทางผ่านจากสินค้าสู่รถบรรทุกด้านนอก
“แล้วอย่างไรต่อ?”
“ฉันก็ตื่น แล้วกำลังมองชีวิตตัวเองที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายตรงหน้า”
“ปรกติลางสังหรณ์คุณเชื่อได้ไหม?”
“ไม่รู้ แต่ฉันก็เชื่ออยู่ตลอด” เขาคลำหาปืนข้างสะเอว ใต้เสื้อนอกอย่างงุ่มง่ามความสำเร็จของมันน่าประทับใจพอ ๆ กับการเห็นม้าสามขาวิ่งเข้าเส้นชัยเป็นที่โหล่
“งั้นฉันขอเชื่อด้วยคนนะคะ” เธอคว้าปืนบาเร็ตตา เอ็ม๑๙๓๕ ออกจากซองในจุดเดียวกัน เอามือข้างซ้ายที่เธอไฟฉายมาวางขัดไว้ใต้แขนข้างที่ถือปืน
เมื่อไปถึงประตูเหล็กบานดังกล่าวก็พบว่าไม่ได้ลงกลอนไว้ แล้วก็เป็นอย่างเคย เดวอนมักจะนำไปก่อนเมื่องานดูเหมือนจะได้เรื่อง ไม่ว่าก่อนหน้านั้นเขาจะโอดครวญคัดค้านขนาดไหน
เดวอนผลักประตูเปิดออกสู่ห้องโถงยาวปูกระเบื้องสีขาว ด้านบนเป็นราวโลหะพร้อมตะขอแขวนเนื้อ ส่องสำรวจดูหลังบานประตูแล้วเดินต่อโดยเจย์ลีนเดินตาม พื้นเต็มไปด้วยคราบเหนียวสกปรกและชั้นฝุ่นหนา มีรอยเท้าใหม่ ๆ หลายคู่บนนั้น เธอกระชับปืนในมือเพื่อให้อุ่นใจ
เกิดเสียงคลุกคลักจากด้านหลัง กระป๋องดีบุกวาบสะท้อนแสงไฟฉายหล่นจากเคาน์เตอร์ทำเสียงก้อง หนูสีน้ำตาลตัวหนึ่งกระโดดลงจากเคาน์เตอร์ไปซ่อนหลังประตูที่เปิดค้างไว้ เดวอนคลายใจที่เดจาวูที่เกิดขึ้นเป็นแค่ความอ่อนล้าและกังวลของตัวเองจริง ๆ และตอนที่กำลังคิดอย่างนั้น อ้ายหนูเวรอีกตัวก็วิ่งผ่านมาบนเท้าเขาทำเสียสะดุ้ง เกือบจะได้สบถด้วยซ้ำ
ห้องต่อไปเป็นห้องโถงโล่งกว้างสำหรับเก็บเนื้อชิ้นเล็กที่ไม่จำเป็นต้องแขวน มีชั้นลอยอีกชั้นด้านบน จะว่าไปจะเรียกว่าโล่งก็ไม่เชิง ตรงมุมลิบ ๆ นั้นมีกล่องกระดาษสีน้ำตาลวางซ้อนกันอยู่ ดูใหม่จนผิดสังเกต และตอนที่ตัดสินใจจะไปสำรวจตรงบริเวณนั้นนั่นเอง เขาก็ได้ยินเสียงบางสิ่งลากบดกับพื้นคอนกรีตเนื้อหยาบ ก่อนที่จะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เขาก็ได้ยินเสียงเจย์ลีนร้องเรียงชื่อเขา รู้สึกถึงแรงฟาดหนักหน่วงตรงท้ายทอย ปืนนัดหนึ่งลั่น ตามด้วยเสียงร้องของเจย์ลีนที่เกิดจากลมพุ่งหนีออกจากปอดอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกในสรรพางค์กายหายไปโดยเริ่มจากมือ ไฟฉายที่อยู่บนพื้นด้านหน้าดูคล้ายจะส่องขึ้นไปในแนวดิ่งขณะที่แก้มของเขาแนบกับพื้น แล้วทุกสิ่งก็มืดดับ
______________________________________
[๑]ปัจจุบันเรียก garage rock เพื่อกันความสับสนกับพังก์ร็อกในทศวรรษที่ ๗๐
พระเนตรของเจ้าชาย
หัวค่ำที่อบอ้าวคืนหนึ่งในต้อนฤดูร้อนของนอร์ธลาสเวกัส, เนวาดา, ปี ๑๙๖๘
ผู้หมวดเดวอน เฮนดริกสันไม่เคยพิจารณาตนเองว่าเป็นคนเหยียดเพศ แม้เขาจะยืนกรานตลอดชีวิตการทำงานว่าหากผู้หญิงอยากทำงานในกรมตำรวจ พวกหล่อนก็เหมาะจะอยู่หน้าโต๊ะต้อนรับ ไม่ก็รับโทรศัพท์หรือจัดการเอกสารอยู่ด้านหลัง งานสายตรวจไม่เหมาะเพราะร่างกายพวกหล่อนไม่ได้ถูกสร้างมาให้ฟัดกับผู้ชายน้ำหนักสองร้อยปอนด์ที่อาจจะก่อเรื่องทะเลาะวิวาทเมื่อไหร่ ตรงไหนในเส้นทางลาดตระเวนของเธอก็ได้ ด้วยเหตุนั้น ไม่ต้องพูดถึงงานปราบปรามเลย ส่วนงานสืบสวนสอบสวนน่ะหรือ? ทีแรกเขาก็ไม่มั่นใจพอจะตัดสินเรื่องนี้เพราะผู้หญิงไม่มากที่สนใจงานสายดังกล่าว อย่างน้อยก็ผู้หญิงที่เขารู้จัก แต่จากประสบการณ์จากการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้หญิงทั่วไป เขาก็คิดว่าพวกหล่อนอ่อนไหว และนิยมอารมณ์มากกว่าเหตุผลจนมันอาจบดบังการวิเคราะห์ และตัดสินใจ
จนกระทั่งหลังได้ใช้เวลาเกือบครึ่งหนึ่งของชีวิตหลังจบการศึกษาในกรมตำรวจลาสเวกัสหม่นหมอง และเบื่อหน่ายหลังภรรยาและลูกสาวรับไม่ได้กับอันตรายในสายงานของเขาแล้วทิ้งเขาไป เขาถูกจับคู่กับตำรวจสาวหน้าใหม่ไฟแรง เจย์ลีน เรเวลล์ผู้รับทำคดีที่ดูเหมือนจะง่ายด้วยการไล่บี้แก๊งอาชญากรเล็กแก๊งอาชญากรน้อยจนกว่าจะเจอเด็ก ๆ ที่ถูกลักพาตัวไปอย่างต่อเนื่อง แต่กลายกลับเป็นคดีที่ใหญ่ที่สุดในทศวรรษนี้ของเมืองโดยไม่มีใครคาดคิด หนังสือพิมพ์เรียกคนร้ายที่ยังไม่พบตัวว่า บูกี้แมน – เดวอนเชื่อว่าถ้าเขามีโอกาสได้ตั้งชื่อหมา เขายังจะทำได้มีรสนิยมกว่านี้
เจย์ลีน นางฟ้าผิวขาวผมบลอนด์ผู้ฝักใฝ่จะกำจัดความโสมมในแดนที่แม้แสงของพระผู้เป็นเจ้ายังส่องมาไม่ถึง เธอไม่เคยรบกวนเขาด้วยความเป็นผู้หญิงหากไม่นับความจริงที่ว่าหน้าตาของเธอดึงดูดสายตาเขาไปจากความชั่วร้ายที่แวดล้อมอยู่อันทำลายสมาธิของเขาในลางที เธอมุ่งมั่น และกระตือรือร้นเสียจนบางทีก็ทำให้เดวอนต้องร้องคราง ซึ่งตอนนี้เขาก็ทำอยู่ในใจ หิวมื้อเย็น สิ้นหวัง และกำลังสูบบุหรี่มวนสุดท้ายของซองที่ไหม้จนเหลือแต่ก้นกรองไปแล้วเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะโยนมันใส่ถาดเขี่ยบุหรี่ตรงหน้ารถ แสงไฟสีอุ่นของเสาไฟข้างถนนส่องเข้ามาวูบวาบเป็นจังหวะตามระยะห่าง ทำนองปลุกเร้าของเพลงไวลด์ธิงส์ของวงพังก์สัญชาติอังกฤษ[๑] ชื่อเดอะทร็อกส์ กำลังเล่นจากแผงวิทยุด้านหน้า ขณะที่เธอนั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถฟอร์ดธันเดอร์เบิร์ดของเขา บนถนนที่การจราจรเบาบาง ยืนยันที่จะไม่ปล่อยให้ตำรวจนอร์ธเวกัสทำงานตามวิธีของตัวเองเพื่อหาสถานที่ที่เด็กทั้งสี่คนอยู่ เพราะตลอดสองสัปดาห์ที่คดีเริ่มเกิดขึ้นบริเวณนี้ ตำรวจพวกนั้นยังไม่รายงานความคืบหน้าอะไรเลยสักอย่าง ไม่มีแม้แต่การจับแก๊งอะไรมาสอบสวนเลยด้วยซ้ำ
ที่จริงเธอก็ไม่มีความคืบหน้าของคดีเหมือนกัน ทั้งหมดที่เธอรู้ตอนนี้คือสองคดีแรกเกิดที่ซันไรซ์เมเนอร์ ตามด้วยนอร์ธลาสเวกัส และตัวเมืองลาสเวกัส ไม่มีพยานมาเปิดเผยตัวสักคนเดียว เด็กที่ตกเป็นเหยื่อล้วนเป็นเด็กหญิงหน้าตาน่ารักอายุสี่ถึงเก้าปี ไม่ใช่การเรียกค่าไถ่ เธอจึงสันนิษฐานว่าเป็นการค้ามนุษย์ เธอเข้ามาจับงานนี้ตอนที่เหยื่อคนที่สี่หายไป ก่อนหน้านี้คดีถูกปฏิบัติอย่างตามมีตามเกิดโดยเจ้าพนักงานท้องถิ่นอย่างเป็นเรื่องไม่สำคัญตามประสาคดีคนหายทั่วไป ไม่มีการตามสืบอย่างเชิงลึก แต่เมื่อเด็กคนที่สี่เป็นลูกของนักท่องเที่ยว และเกิดขึ้นในตัวเมือง หนังสือพิมพ์ก็ประโคมข่าวเสียใหญ่โตจนไปถึงข่าวระดับรัฐ คดีถูกโอนมาที่เวกัส ซึ่งดูจะมีความพร้อมในการดำเนินงานมากที่สุด เจย์ลีนจึงรับไว้ เพราะมันเป็นกะงานของหล่อน เธอขอความร่วมมือให้ตำรวจสืบหาโกดัง หรือสถานที่ที่เคยพบว่าเป็นที่ซ่อนแก๊งท้องถิ่น รวมทั้งสอบปากคำแก๊ง หรืออดีตแก๊งที่อาจลักเด็ก แต่เรื่องก็เป็นอย่างที่ว่ามาแล้ว
“งานแบบนี้เธอจะทำตามสัญชาตญาณไม่ได้” เดวอนปรับเบาะของตัวเองให้เอนราบ “ชาตินี้ก็ไม่เจอหรอก และเผื่อเธอดูนาฬิกาไม่เป็น – หมดเวลางานมาเป็นชั่วโมงแล้ว”
“ขอเป็นที่สุดท้ายค่ะ ฉันอยากจะทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่”
“เกินหน้าที่สิไม่ว่า”
“ถ้าคุณไม่เห็นแก่หน้าที่ ก็เห็นแก่เด็ก ๆ เถอะ เดวอน”
“อย่างน้อยพวกเด็ก ๆ ก็น่าจะได้กินเย็นแล้ว”
บางทีความวางเฉยของเดวอนก็ทำให้เธอนึกฉิว เขาได้เลื่อนขั้นมาอยู่ในตำแหน่งปัจจุบันหลังได้ปราบ ปรามมาเฟียอิตาลีก๊กหนึ่งในปี ๑๙๕๒ เธอชื่นชมผลงานของเขาในกรณีดังกล่าว แต่หลังจากนั้นก็ไม่เคยมีผลงานโดดเด่นอีก ปัญหาส่วนตัวก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งคงได้บังเกิด แล้วพรากความกระตือรือร้นทั้งปวงจากเขาไปทว่าเธอก็ไม่คิดว่าสิ่งเหล่านั่นเป็นข้อแก้ตัวที่จะปล่อยให้เด็กไม่รู้ประสากลุ่มหนึ่งต้องสูญเสียชีวิตที่พวกเธอควรจะมีไป
“งั้นให้ฉันเลี้ยงเหล้าคุณหลังเลิกงาน แลกกับความกระตือรือร้นสักนิดของคุณ”
“ขอบุหรี่ กับข้าวเย็นถึงตกลง”
“ช่างเจรจานะคะ”
“เธอใช้ภาษาอังกฤษไม่เก่งเลยนะ เขาเรียกรักษาผลประโยชน์”
ความคิดเกิดขึ้น ขณะที่ตาของเธอยังทอดตรงไปบนถนน “แถวนี้มีกล้องวงจรปิดเยอะจัง ของตำรวจหรือของพลเรือนเหรอคะ?”
“ของเจ้าชาย” คู่หูของเธอไม่ยี่หระ และได้หลับตาลงแล้ว
“อะไรนะคะ?”
“บ้างก็เรียกเจ้าชาย บ้างก็เรียกนักบุญหลังเขาก่อตั้งองค์กรการกุศลไม่แสวงหากำไรนักบุญฟลอเรียน แต่ที่จริงก็แค่นักธุรกิจบ้าเทคโนโลยีที่อาศัยอยู่แถวนี้น่ะ” แล้วทีนี้เขาก็เอาแขนปิดตา บังแสงวาบวามเหนือหัว “เธอไม่ค่อยมาเขตนี้สินะ”
“งั้นทำไมเราไม่ดูกล้องวงจรปิดของเขาล่ะ? ตำรวจที่นี่ไม่เคยรายงานเรื่องกล้องเลย”
“ไม่มีใครใช้กล้องนี้เป็นนอกจากเขา ตำรวจพวกนั้นไม่อยากดูโง่มั้ง”
“คุณไม่เคยบอกฉันเรื่องกล้องวงจรปิด”
“บอกแล้วจะตามเจ้าชายกลับมาเปิดมันได้หรือไง?”
มาถึงตรงนี้ เดวอนทำให้เธอนึกถึงแมวแก่ที่ครอบครัวเธอเคยเลี้ยง มันเป็นเบาหวานตายตอนที่เธอเด็ก “แล้วเจ้าชายพระองค์นี้อยู่ไหนคะ?”
“ช่วงหน้าร้อนเขาไม่ค่อยจะอยู่หรอก ตอนนี้คงอยู่ทางเหนือของประเทศไม่ก็ยุโรป”
“คุณรู้จักเขาดีจังนะคะ”
ในที่สุดเขาก็เอาแขนออก “เลี้ยวขวาตรงแยกข้างหน้า โกดังจะอยู่ขวามือ”
เธอปฏิบัติตาม โดมหลังคาสังกะสีสนิมเขรอะที่เคยมีสีขาวดูกลืนไปกับความหมองมัวของอาคารที่แวดล้อมอยู่ “ฉันอยากเจอเจ้าชาย”
“เธอต้องเริ่มจากเต้นรำกับเขา แล้วอ่อยด้วยการทิ้งรองเท้าไว้ดูต่างหน้า”
หล่อนเหลือบมองเพื่อสืบหาสีหน้าที่ว่าเขาจริงจังกับคำแนะนำนี้แค่ไหน แต่ปรากฏว่าเขายกแขนมาปิดหน้าอีกรอบ ไม่วายสั่ง “ถึงโกดังแล้วปลุกฉันด้วย”
โกดังแห่งนี้เคยใช้เก็บเนื้อสัตว์ ทั้งจากที่ผลิตได้ในเมืองนี้และเมืองอื่น ก่อนจะส่งออกไปตามร้านอาหาร มันถูกปิดและทิ้งร้างเมื่อผู้ประกอบการได้สร้างโกดังที่ดีกว่าโดยไม่แม้แต่จะรื้อถอนหลังเก่าให้ลุล่วง หลังจากนั้นเคยถูกพบว่าเป็นที่เก็บสินค้าของแก๊งค้ายาขนาดย่อม และถูกปราบปรามไปแล้ว ในช่วงไม่กี่วันมานี้ เจย์ลีน และคู่หูผู้ไม่ให้ความร่วมมือทางความคิดของเธอตระเวนมาในที่เสื่อมโทรมคราวนี้กว่าสิบแห่ง และไม่พบอะไรนอกจากหนู แมลงสาบ นกพิราบ และแมงมุม
รถถูกจอดในตรอกเล็ก ๆ ข้างโกดังเธอตบไหล่คู่หู เรียกให้ตื่น แล้วลงจากรถ
ข่าวร้ายคือรั้วด้านหน้าถูกโซ่สายใหญ่และแม่กุญแจสายยูล่ามไว้ ข่าวดีคือมันยังดูใหม่เมื่อเทียบกับสภาพแวดล้อมอื่น ๆ เจย์ลีนปีนเข้าไป และเดวอนไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากทำตาม “ตอนงีบเมื่อกี้ฉันฝันด้วย”
เจย์ลีนเปิดไฟฉายกระบอกเล็ก ส่องหาประตูทางเข้าตัวอาคารขณะเดินเข้าใกล้ “ฝันว่าอะไรเหรอคะ?”
“ฝันว่าเธอเดินเข้าประตูไปแล้วโดนคนร้ายตีหัวสลบ ฉันก็โดนคนร้ายทุบจากข้างหลัง” เขาเปิดไฟฉายตัวเอง ชี้แสงไปที่ประตูที่เธอพยายามหา มันเป็นประตูเหล็กบานใหญ่บนพื้นยกสูง เป็นทางผ่านจากสินค้าสู่รถบรรทุกด้านนอก
“แล้วอย่างไรต่อ?”
“ฉันก็ตื่น แล้วกำลังมองชีวิตตัวเองที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายตรงหน้า”
“ปรกติลางสังหรณ์คุณเชื่อได้ไหม?”
“ไม่รู้ แต่ฉันก็เชื่ออยู่ตลอด” เขาคลำหาปืนข้างสะเอว ใต้เสื้อนอกอย่างงุ่มง่ามความสำเร็จของมันน่าประทับใจพอ ๆ กับการเห็นม้าสามขาวิ่งเข้าเส้นชัยเป็นที่โหล่
“งั้นฉันขอเชื่อด้วยคนนะคะ” เธอคว้าปืนบาเร็ตตา เอ็ม๑๙๓๕ ออกจากซองในจุดเดียวกัน เอามือข้างซ้ายที่เธอไฟฉายมาวางขัดไว้ใต้แขนข้างที่ถือปืน
เมื่อไปถึงประตูเหล็กบานดังกล่าวก็พบว่าไม่ได้ลงกลอนไว้ แล้วก็เป็นอย่างเคย เดวอนมักจะนำไปก่อนเมื่องานดูเหมือนจะได้เรื่อง ไม่ว่าก่อนหน้านั้นเขาจะโอดครวญคัดค้านขนาดไหน
เดวอนผลักประตูเปิดออกสู่ห้องโถงยาวปูกระเบื้องสีขาว ด้านบนเป็นราวโลหะพร้อมตะขอแขวนเนื้อ ส่องสำรวจดูหลังบานประตูแล้วเดินต่อโดยเจย์ลีนเดินตาม พื้นเต็มไปด้วยคราบเหนียวสกปรกและชั้นฝุ่นหนา มีรอยเท้าใหม่ ๆ หลายคู่บนนั้น เธอกระชับปืนในมือเพื่อให้อุ่นใจ
เกิดเสียงคลุกคลักจากด้านหลัง กระป๋องดีบุกวาบสะท้อนแสงไฟฉายหล่นจากเคาน์เตอร์ทำเสียงก้อง หนูสีน้ำตาลตัวหนึ่งกระโดดลงจากเคาน์เตอร์ไปซ่อนหลังประตูที่เปิดค้างไว้ เดวอนคลายใจที่เดจาวูที่เกิดขึ้นเป็นแค่ความอ่อนล้าและกังวลของตัวเองจริง ๆ และตอนที่กำลังคิดอย่างนั้น อ้ายหนูเวรอีกตัวก็วิ่งผ่านมาบนเท้าเขาทำเสียสะดุ้ง เกือบจะได้สบถด้วยซ้ำ
ห้องต่อไปเป็นห้องโถงโล่งกว้างสำหรับเก็บเนื้อชิ้นเล็กที่ไม่จำเป็นต้องแขวน มีชั้นลอยอีกชั้นด้านบน จะว่าไปจะเรียกว่าโล่งก็ไม่เชิง ตรงมุมลิบ ๆ นั้นมีกล่องกระดาษสีน้ำตาลวางซ้อนกันอยู่ ดูใหม่จนผิดสังเกต และตอนที่ตัดสินใจจะไปสำรวจตรงบริเวณนั้นนั่นเอง เขาก็ได้ยินเสียงบางสิ่งลากบดกับพื้นคอนกรีตเนื้อหยาบ ก่อนที่จะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เขาก็ได้ยินเสียงเจย์ลีนร้องเรียงชื่อเขา รู้สึกถึงแรงฟาดหนักหน่วงตรงท้ายทอย ปืนนัดหนึ่งลั่น ตามด้วยเสียงร้องของเจย์ลีนที่เกิดจากลมพุ่งหนีออกจากปอดอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกในสรรพางค์กายหายไปโดยเริ่มจากมือ ไฟฉายที่อยู่บนพื้นด้านหน้าดูคล้ายจะส่องขึ้นไปในแนวดิ่งขณะที่แก้มของเขาแนบกับพื้น แล้วทุกสิ่งก็มืดดับ
______________________________________
[๑]ปัจจุบันเรียก garage rock เพื่อกันความสับสนกับพังก์ร็อกในทศวรรษที่ ๗๐
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ