โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
7.3
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
188 บทที่
11 วิจารณ์
137.71K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
93) ย้ายบ้านอีกครั้ง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหลังจากข่าวเหตุการณ์ต่างๆ สงบลงโรคละบาดถูกกำจัดไปอย่างสิ้นเชิง อาเธอร์ก็เริ่มงานก่อสร้างของเขาต่อ หลังคาถูกติดตั้งอย่างเร่งด่วนพื้นบ้านก็ปูเสร็จแล้ว เศษไม้แผ่นบางๆ ในห้องครัวมีบันไดวนเล็กๆ นำสู่ห้องใต้ดินอันเป็นที่หลบภัยและที่เก็บเสบียง เหตุการณ์ทุกวันนี้ดูสงบเอามากๆ แม้แต่มังกรดำก็ไม่มีข่าวคราวของมัน ให้ได้ยินจนทางสภาแห่งโอรีเวียลดมาตรการรักษาความปรอดภัยลง โดยยอมเปิดประตูเมืองให้เข้าออกได้ทั้งกลางวันและกลางคืน อาเธอร์ติดกระจกหน้าต่างเป็นอันดับสุดท้ายบ้านก็พร้อมให้ขนย้ายสิ่งของเข้าไป ทุกครั้งที่ออกมานอกเมืองอาเธอร์รู้สึกว่าพลังแห่งการปกป้องได้หายไป แต่เขาก็ยังมั่นใจว่ายังอยู่ในเขตอารักขาของสภาผู้ใช้เวทมนตร์
ในวันที่อากาศอบอุ่น พวกเขาก็ช่วยกันขนย้ายของไปยังบ้านน้อยหลังใหม่ แสงแรกแห่งรุ่งอรุณเพิ่งจับขอบฟ้าเมื่อของชิ้นสุดท้ายถูกขนขึ้นบนเกวียน ม้าแกลบสองตัวยืนอย่างสงบ มันคือเบตตี้กับเบตเต้อม้าคู่ชีพที่ร่วมเดินทางมาจากเมืองซีนาร์ย ภารกิจของมันในครั้งนี้ไม่ได้ไปออกรบแต่เป็นการย้ายบ้าน สิ่งของบนเกวียนถูกคลุมทับด้วยผ้าใบสีเข้ม ฟิโลโซเฟอร์กระโดดขึ้นท้ายเกวียนเขาดึงน้องสาวขึ้นมาด้วย มือข้างหนึ่งของนางหิ้วตะกร้าหวายใบเล็กในนั้นมีกระต่ายลูนอนขดอยู่ อาเธอร์นั่งประจำที่ด้านหน้าคู่กับคาโลไรน์ เขาสวมหมวกปีกกว้าง แล้วเกวียนก็พาพวกเขามุ่งสู่บ้านหลังน้อยที่อยู่นอกเมือง
ดวงอาทิตย์สีส้มอมแดงกำลังโผล่พ้นขอบฟ้า เมฆสีเทาลอยเกลื่อนนภา พวกเขาเดินทางกันอย่างมีความสุข เมื่อพ้นประตูเมืองพวกเขาก็ไปตามถนนดินที่เปียกแฉะเพราะหิมะที่ตกลงมาก่อนหน้านั้นได้ละลายไป ฤดูหนาวเพิ่งย่างกรายมาถึงความหนาวเย็นจึงไม่มากพอที่จะคงรูปหิมะเอาไว้ได้ เกวียนพาพวกเขามาหยุดอยู่ที่บ้านไม้ซุงหลังน้อย ประตูไม้โอคสีสดพร้อมเปิดต้อนรับพวกเขาทุกคน เมื่อลูถูกปล่อยให้เป็นอิสระมันก็รีบวิ่งไปสำรวจรอบๆ บริเวณบ้าน ที่หน้าบ้านนั้นเองอาเธอร์ได้ทำรั้วไม้สีขาวพอเป็นแนวบังตา บันใดหินสามขั้นทอดขึ้นสู่ประตูไม้หน้าบ้านที่คุ้นเคย
อาเธอร์เข้ามายืนเคียงข้างคาโลไรน์
มือข้างหนึ่งโอบรอบเอวของนางเอาไว้
“ ที่นี่คืออาณาจักรของเรา ข้าจะพลิกผืนแผ่นดินให้อุดมสมบูรณ์เหมือนอย่างที่เคยทำอีกครั้ง ”
คาโลไรน์เอียงคอวางบนไหล่เขาแล้วยิ้มอย่างเป็นสุข
“ ดูนั่นสิ เมื่อก่อนที่นี่เป็นเพียงทุ่งหญ้ารกร้าง แต่บัดนี้มีบ้านไม้หลังเล็กๆ เกิดขึ้นมาหลังหนึ่ง และแน่นอนจะต้องมีสิ่งดีๆ ตามมา เพราะความขยันอดทน เราจะสร้างมันให้งดงามยิ่งขึ้น”
“ ตอนนี้มันก็เป็นบ้านที่งดงามมากแล้ว ”
คาโลไรน์บอก
“ ข้ายังต้องตกแต่งเพิ่มเติมอีก ตอนนี้เห็นต้องเบียดเสียดกันก่อน แต่พวกเรามีเวลา ”
อาเธอร์ว่า
“ ไม่ว่าบ้านจะเล็กหรือใหญ่ ขอเพียงพวกเราได้อยู่พร้อมหน้า ข้าไม่เกี่ยงทั้งนั้น ”
พวกเขาช่วยกันขนของเข้าไปไว้ในบ้าน คาโลไรน์เปิดหน้าต่างทุกบานสายลมอ่อนๆ พัดเข้ามาพอรู้สึกที่นี่เป็นบ้านใหม่ พวกเขากำลังจะเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ ด้วยกันที่นี่ ด้านหลังยังมีโรงนาให้ม้าสองตัวได้อยู่อย่างสบายและเหลือพื้นที่ว่างอีก ไว้เผื่อวัวนมตัวใหญ่ที่จะมีมาในอนาคต พวกเขาต่างช่วยกันจัดของให้เข้าที่เข้าทางโต๊ะไม้ที่ห้องอาหารอาเธอร์ต่อเอง มันดูโปร่งๆ แต่แข็งแรงไม่ขรึมทึมเข้มงวดเหมือนบ้านตึกในเมือง เขาเลือกเครื่องเรือนให้ดูน่าใช้มากกว่าน่าเกรงขาม
คาโอเรียยึดห้องนอนบนชั้นสองและแน่นอนฟิโลโซเฟอร์ได้ห้องใต้หลังคา มันออกจะดูกว้างขวางแต่เตี้ยไปหน่อย อาเธอร์เจอะหน้าต่างเล็กๆ ติดกระจกให้ด้วยเพื่อให้ห้องสว่างขึ้น ที่ห้องนั่งเล่นมีเตาผิงอันใหญ่ก่อด้วยอิฐสีแดง
บึงสีเขียวอยู่ไม่ไกลจากหลังบ้าน ล้อมรอบทั้งบึงไปด้วยต้นอ้อและกกก้านธูป สายลมปัดผ่านใบเรียวยาวส่งเสียงหวีดหวิวในความเงียบ คาโลไรน์อบไก่งวงตัวโต เค้กช็อกโกแลตหอมกรุ่นและผลไม้กวนรสหวานฉ่ำ พวกเขากางโต๊ะทานอาหารกันนอกบ้านในค่ำวันนั้น อาเธอร์ก่อไฟกองใหญ่เพื่อให้แสงสว่างและความอบอุ่น คืนนี้ท้องฟ้าสดใสจนคุ้มค่าที่จะทนหนาวเพื่อชื่นชมดาวนับล้านทอประกายบนฟากฟ้า ทางช้างเผือกทอดยาวไปสุดขอบฟ้าด้านหนึ่ง ชั่วขณะพวกเขานึกสงสัยว่าท้องฟ้าที่ซีนาร์ยในตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้างนะ
“ อยู่ที่นี่เราจะมีทุกอย่าง ข้าจะหาซื้อแม่วัวมาให้ได้ เราจะได้มีนมสดบ้าง ”
อาเธอร์บอก
“ ตอนนี้แค่มีกินก็ดีแล้ว อย่าเพิ่งคาดหวังอะไรมาก ”
คาโลไรน์ติง
เปลวไฟไหววูบวาบในเงามืด แสงหนึ่งได้พุ่งผ่านบนฟากฟ้ายาวไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เด็กหญิงชี้ให้ทุกคนดู บิดาของนางบอกว่ามันคือดาวตก ฟิโลโซเฟอร์หันไปตามทางที่แสงดาวนั้นพุ่งผ่าน เทือกเขาสีดำที่เห็นเป็นเหงาทะมึนในความมืดปรากฏให้เห็นแก่สายตา มันมีอะไรบางอย่างดึงดูดใจอย่างน่าประหลาด เหมือนใครบางคนกำลังร้องเรียกหาตัวเขาอยู่ หรือไม่เช่นนั้นก็บางสิ่งบางอย่างที่เขามีอยู่
ในคืนนั้นพวกเขารับประทานอาหารกันอย่างมีความสุข แม้ไร้เพื่อนบ้านหรือญาติมิตรทำให้ดูเงียบเหงา แต่นี่คือบรรยากาศที่คุ้นเคย บ้านหลังน้อยกลางความเวิ้งว้างของทุ่งหญ้าช่างอิสระเสรี เบื้องหน้าไกลออกไปแนวเส้นทึบอันแข็งแกร่งของกำแพงเมืองแห่งโอรีเวียทอดผ่านเป็นแนวยาว คบเพลิงขนาดใหญ่ยืนสงบนิ่ง คืนนี้ประตูเมืองไม่ได้ปิดลง ไฟในคบเพลิงจึงไม่ได้ส่องสว่างเช่นเคย แต่หมู่บ้านนอกกำแพงนั้นยังคงสว่างไสว เพราะผู้คนที่มากมายที่แออัดกันอยู่ในนั้น
เด็กๆ นั่งฟังเรื่องราวการเดินทางผ่านทุ่งหญ้า ในฤดูหนาวอันทารุณของปีหนึ่ง ช่วงเวลานั้นอาเธอร์ยังเล็กและเป็นแค่ทหารฝึกหัด จบภารกิจนั้นด้วยการสูญเสียผู้คนไปกว่าครึ่ง ไม่ใช่ด้วยฝีมือของข้าศึก แต่เป็นเพราะความหนาวเย็นนั่นเอง
“ แล้วท่านพ่อรอดมาได้อย่างไรครับ ”
ฟิโลโซเฟอร์ถาม
“ ก็ท่านพ่อของเราแข็งแกร่งที่สุดในกองทัพ ย่อมต้องรอดอยู่แล้ว ”
น้องสาวว่า
“ นี่ข้าถามเอาความรู้นะ เจ้าอย่าเพิ่งแทรกได้หรือไม่ ”
เด็กชายแยกเขี้ยวใส่
คนเป็นน้องก็หากลัวไม่กระโดดลุกขึ้นพร้อมสู้เหมือนกัน
“ พอ หยุดทั้งสองคน ”
อาเธอร์ยกมือห้ามศึก
“ ให้ตายสิ ถ้าเกิดพวกเจ้าเป็นเด็กชายทั้งคู่ บ้านจะไม่แตกเลยหรือแบบนี้ ”
คาโลไรน์พูดยิ้มๆ
“ ชาวซีนาร์ยไม่ตัดสินปัญหาด้วยความรุนแรงนะ ”
“ แต่ที่นี่คือโอรีเวีย ”
เด็กหญิงว่า
นางได้ยินดังนั้นจึงหันไปมองหน้าคนเป็นสามี
พร้อมกับกลั้นหัวเราะ
“ เอาล่ะๆ มาเข้าเรื่องของเราดีกว่า ”
อาเธอร์ตัดบท
แล้วเขาก็เริ่มเล่าถึงการเดินทางในครั้งนั้น มันเป็นวันที่อากาศแจ่มใสแม้จะเข้าฤดูหนาวแล้ว กองทัพเดินหน้าตรงโดยไม่วิตกกังวลต่อสิ่งใด ในตอนบ่ายของวันนั้นเองแอสเธอลาสน้องชายเพียงคนเดียวของเขาก็ปรากฏกายขึ้น เจ้านั่นลอบเข้ามาหาอาเธอร์ เพื่อจะเยาะเย้ยว่าเขาไม่มีทางไปถึงฐานได้ทันเวลาเพราะพายุกำลังตั้งเค้า คนขี้ขลาดแบบอาเธอร์คงต้องมุดหัวอยู่ในแค้มป์ไม่กล้าฝ่าพายุไปเป็นแน่ อาเธอร์ได้ไล่ให้น้องชายออกไปด้วยอารมณ์โกรธ เจ้าเด็กคนนี้ คนที่ทั้งตระกูลต่างชื่นชมกลับแอบหลบจากภารกิจสำคัญเพื่อมาทำสิ่งนี้หรือ เขาไม่มีวันยอมแพ้หรอกสักวันจะต้องเหนือกว่าให้ได้
หลังจากที่แอสเธอลาสจากไปเพียงไม่นาน ท้องฟ้าก็มืดลงอย่างปุบปับพร้อมกับเสียงลมพัดหวีดหวิวสูงขึ้นไปเหนือศีรษะ ทหารชั้นผู้น้อยต่างตื่นตระหนก ผู้คุมกองจึงสั่งให้แยกกันหาฟืนและเริ่มตั้งแค้มป์ ตอนนั้นเองที่อาเธอร์เริ่มรู้ตัวว่ากระเป๋ามีสิ่งผิดปรกติ สิ่งที่อยู่ข้างในควรจะเป็นของใช้จำเป็นสำหรับเขา กลับมีเพียงเสื้อคลุมหนังแกะกับช็อกโกแลตแท่งแข็งๆ ห่อหนึ่ง มันต้องเป็นฝีมือของเจ้าน้องชายตัวแสบที่คอยกลั่นแกล้งแน่ เขานึกสงสัยว่าหมอนี่แอบสลับของไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ช่างไวแท้
ด้วยความเดือดดาลและเกรงว่าจะไปไม่ถึงฐานตามเวลานัด เขาจึงนำเรื่องนี้ไปปรึกษาเพื่อนและชวนกันออกเดินทางก่อนโดยไม่รอให้พายุสงบ นับเป็นการเสี่ยงชีวิตครั้งใหญ่ แต่ในการรบทุกครั้งเป็นหรือตายเกิดขึ้นได้เสมอ และพวกเขาต้องยอมรับความสูญเสียนั้น
ดังนั้นเมื่อพายุหิมะพัดมาถึง ทหารนายอื่นๆ หลบเข้าไปอยู่ในที่กำบัง อาเธอร์และผองเพื่อนจึงลอบเดินฝ่าพายุออกมา เขาซึ่งทำสัมภาระทั้งหมดหายไปจึงไม่มีทางเลือก ต้องหยิบเสื้อคลุมหนังแกะที่แอสเธอลาสทิ้งไว้ให้ออกมาสวม มันทั้งอ่อนนุ่มและบางเบาจนน่ากลัวว่าจะไม่สามารถให้ความอบอุ่นได้ พวกเขาเดินฝ่าสายลมและความมืดออกมาด้วยการเดาสุ่มทิศทาง มีคนหนึ่งในกลุ่มซึ่งก็คือดาเรน เขาแข็งแรงและเฉลียวฉลาดจึงได้เป็นผู้นำในครั้งนั้น ดาเรนบอกว่าพายุนี้น่ากลัวมาก แค้มป์ชั่วคราวนั้นไม่น่าจะกันไหว จึงตัดสินใจเดินเสี่ยงออกมาดีกว่านั่งรอความตายอยู่กับที่ ท่ามกลางความมืดสายลมได้พัดกรีดผ่านเสื้อผ้าของพวกเขา หนาวจนแทบจับเข็งจนต้องเดินเบียดกัน น่าแปลกที่ชุดคลุมของอาเธอร์กลับอบอุ่นที่สุดอีกทั้งยังเบาสบาย
พวกเขาเดินฝ่าพายุไปทั้งคืน เมื่อแสงแห่งรุ่งอรุณมาเยือนเงาดำนั้นก็เคลื่อนผ่านไป ทั้งหมดสามารถเดินมาถึงฐานที่มั่นด้วยอาการทุลักทุเล ช็อกโกแลตแท่งของอาเธอร์ช่วยให้ทุกคนคืนกำลังอย่างน่าประหลาด
หลังจากนั้นกลุ่มของอาเธอร์และผู้คนจากฐานได้ย้อนกลับไปยังสถานที่ตั้งแค้มป์ จึงได้พบกับความจริงที่ว่าทหารที่หลบอยู่ที่นั่นได้เสียชีวิตไปมากกว่าครึ่ง
ดังนั้นอาเธอร์จึงได้สอนบุตรทั้งสอง ให้รับรู้และระวังภัยอันตรายจากพายุหิมะ รวมทั้งวิธีเอาตัวรอดหากต้องเผชิญหน้ากับมันจริงๆ
ดึกมากแล้วกว่าพวกเขาจะกลับเข้านอน ฟิโลโซเฟอร์ปีนขึ้นไปยังห้องใต้หลังคา มันแคบและเตี้ยกว่าบ้านตึกในเมืองมากนัก แต่เขาก็ชอบแบบนี้ เขาอยู่ห้องใต้หลังคามาตลอดตั้งแต่อยู่ที่ซีนาร์ย เด็กชายหยิบดาบโบราณขึ้นมามันยังอยู่ในห่อผ้าอย่างดี แล้วจัดการซุกมันไปไว้ยังมุมอับข้างห้อง
ริมผนังด้านหนึ่งมีเตียงเล็กๆ สำหรับนอนได้คนเดียว พร้อมกับที่นอนและผ้านวมสีเข้ม เด็กชายมุดขึ้นเตียงไป สายตาก็จับจ้องแสงของพระจันทร์ที่ลอดผ่านกระจกหน้าต่างเข้ามา อะไรบางอย่างทำให้คิดถึงพ่อมดน้อยรูปงามคนหนึ่งในชุดคลุมสีขาวราวกับแสงจันทร์ ทั้งที่ล้มตัวลงนอนอย่างเป็นสุขแล้วแท้ๆ แต่น่าแปลกที่ความฝันของเขาในคืนนั้นกลับดำมืดยิ่งนัก
อาเธอร์ออกไปไถแปลงหน้าดินตั้งแต่เช้ามืด ทั้งที่อากาศหนาวเหน็บ มีน้ำค้างแข็งเกาะตามยอดหญ้าเป็นเม็ดแพรวพราวราวกับลูกปัด บานไถพลิกม้วนหน้าดินลงไปเผยให้เห็นดินสีดำร่วนซุย เขายืนเด่นบนคันไถปล่อยให้ม้าสองตัวควบแข่งกันด้วยอารมณ์คึกคัก
“ ท่านพ่ออาหารเช้าเสร็จแล้ว ”
เด็กชายตะโกนมาจากอีกฝากหนึ่งของคันดิน
“ เดี่ยวข้าตามไป ”
เขาหันไปตะโกนตอบ
มือข้างหนึ่งยังจับคันไถไว้มั่น
ปีกของหมวกหนังพลิกขึ้นตามแรงลม
ทำท่าว่าจะหลุดปลิวไปถ้าไม่มีเชือกที่รัดไว้ใต้คาง
เขายังไถดินต่อไปจนเสร็จ
แล้วจึงรีบกลับบ้าน
“ อาเธอร์นี่มันเพิ่งจะเริ่มหน้าหนาวเองนะ ”
เสียงคาโลไรน์พูดออกมจากในครัว
“ ตอนนี้แหละที่จะต้องรีบ ผืนดินยังใหม่หญ้าก็มีมาก เราต้องพลิกขึ้นมาให้หญ้าตาย พอถึงฤดูเพาะปลูกวัชพืชพวกนี้จะได้ไม่มารบกวน ”
อาเธอร์บอก
“ แต่น่าแปลกนะ ตั้งแต่เรามาอยู่ที่นี่ ข้ายังไม่เคยเจอพายุหิมะหนักๆ เลยซักครั้ง ”
“ ถ้ามีสิแปลก โอรีเวียไม่เคยพบกับพายุหิมะ มันถูกปกป้องด้วยมนต์วิเศษ ไม่ว่าภัยธรรมชาติหรือภัยจากเวทมนต์ใด ลูกของเราจะปลอดภัยในปราการแห่งนี้ ”
“ ข้าก็หวังว่าจะเป็นจริงดังนั้น ”
คาโลไรน์ว่า
ในวันที่อากาศอบอุ่น พวกเขาก็ช่วยกันขนย้ายของไปยังบ้านน้อยหลังใหม่ แสงแรกแห่งรุ่งอรุณเพิ่งจับขอบฟ้าเมื่อของชิ้นสุดท้ายถูกขนขึ้นบนเกวียน ม้าแกลบสองตัวยืนอย่างสงบ มันคือเบตตี้กับเบตเต้อม้าคู่ชีพที่ร่วมเดินทางมาจากเมืองซีนาร์ย ภารกิจของมันในครั้งนี้ไม่ได้ไปออกรบแต่เป็นการย้ายบ้าน สิ่งของบนเกวียนถูกคลุมทับด้วยผ้าใบสีเข้ม ฟิโลโซเฟอร์กระโดดขึ้นท้ายเกวียนเขาดึงน้องสาวขึ้นมาด้วย มือข้างหนึ่งของนางหิ้วตะกร้าหวายใบเล็กในนั้นมีกระต่ายลูนอนขดอยู่ อาเธอร์นั่งประจำที่ด้านหน้าคู่กับคาโลไรน์ เขาสวมหมวกปีกกว้าง แล้วเกวียนก็พาพวกเขามุ่งสู่บ้านหลังน้อยที่อยู่นอกเมือง
ดวงอาทิตย์สีส้มอมแดงกำลังโผล่พ้นขอบฟ้า เมฆสีเทาลอยเกลื่อนนภา พวกเขาเดินทางกันอย่างมีความสุข เมื่อพ้นประตูเมืองพวกเขาก็ไปตามถนนดินที่เปียกแฉะเพราะหิมะที่ตกลงมาก่อนหน้านั้นได้ละลายไป ฤดูหนาวเพิ่งย่างกรายมาถึงความหนาวเย็นจึงไม่มากพอที่จะคงรูปหิมะเอาไว้ได้ เกวียนพาพวกเขามาหยุดอยู่ที่บ้านไม้ซุงหลังน้อย ประตูไม้โอคสีสดพร้อมเปิดต้อนรับพวกเขาทุกคน เมื่อลูถูกปล่อยให้เป็นอิสระมันก็รีบวิ่งไปสำรวจรอบๆ บริเวณบ้าน ที่หน้าบ้านนั้นเองอาเธอร์ได้ทำรั้วไม้สีขาวพอเป็นแนวบังตา บันใดหินสามขั้นทอดขึ้นสู่ประตูไม้หน้าบ้านที่คุ้นเคย
อาเธอร์เข้ามายืนเคียงข้างคาโลไรน์
มือข้างหนึ่งโอบรอบเอวของนางเอาไว้
“ ที่นี่คืออาณาจักรของเรา ข้าจะพลิกผืนแผ่นดินให้อุดมสมบูรณ์เหมือนอย่างที่เคยทำอีกครั้ง ”
คาโลไรน์เอียงคอวางบนไหล่เขาแล้วยิ้มอย่างเป็นสุข
“ ดูนั่นสิ เมื่อก่อนที่นี่เป็นเพียงทุ่งหญ้ารกร้าง แต่บัดนี้มีบ้านไม้หลังเล็กๆ เกิดขึ้นมาหลังหนึ่ง และแน่นอนจะต้องมีสิ่งดีๆ ตามมา เพราะความขยันอดทน เราจะสร้างมันให้งดงามยิ่งขึ้น”
“ ตอนนี้มันก็เป็นบ้านที่งดงามมากแล้ว ”
คาโลไรน์บอก
“ ข้ายังต้องตกแต่งเพิ่มเติมอีก ตอนนี้เห็นต้องเบียดเสียดกันก่อน แต่พวกเรามีเวลา ”
อาเธอร์ว่า
“ ไม่ว่าบ้านจะเล็กหรือใหญ่ ขอเพียงพวกเราได้อยู่พร้อมหน้า ข้าไม่เกี่ยงทั้งนั้น ”
พวกเขาช่วยกันขนของเข้าไปไว้ในบ้าน คาโลไรน์เปิดหน้าต่างทุกบานสายลมอ่อนๆ พัดเข้ามาพอรู้สึกที่นี่เป็นบ้านใหม่ พวกเขากำลังจะเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ ด้วยกันที่นี่ ด้านหลังยังมีโรงนาให้ม้าสองตัวได้อยู่อย่างสบายและเหลือพื้นที่ว่างอีก ไว้เผื่อวัวนมตัวใหญ่ที่จะมีมาในอนาคต พวกเขาต่างช่วยกันจัดของให้เข้าที่เข้าทางโต๊ะไม้ที่ห้องอาหารอาเธอร์ต่อเอง มันดูโปร่งๆ แต่แข็งแรงไม่ขรึมทึมเข้มงวดเหมือนบ้านตึกในเมือง เขาเลือกเครื่องเรือนให้ดูน่าใช้มากกว่าน่าเกรงขาม
คาโอเรียยึดห้องนอนบนชั้นสองและแน่นอนฟิโลโซเฟอร์ได้ห้องใต้หลังคา มันออกจะดูกว้างขวางแต่เตี้ยไปหน่อย อาเธอร์เจอะหน้าต่างเล็กๆ ติดกระจกให้ด้วยเพื่อให้ห้องสว่างขึ้น ที่ห้องนั่งเล่นมีเตาผิงอันใหญ่ก่อด้วยอิฐสีแดง
บึงสีเขียวอยู่ไม่ไกลจากหลังบ้าน ล้อมรอบทั้งบึงไปด้วยต้นอ้อและกกก้านธูป สายลมปัดผ่านใบเรียวยาวส่งเสียงหวีดหวิวในความเงียบ คาโลไรน์อบไก่งวงตัวโต เค้กช็อกโกแลตหอมกรุ่นและผลไม้กวนรสหวานฉ่ำ พวกเขากางโต๊ะทานอาหารกันนอกบ้านในค่ำวันนั้น อาเธอร์ก่อไฟกองใหญ่เพื่อให้แสงสว่างและความอบอุ่น คืนนี้ท้องฟ้าสดใสจนคุ้มค่าที่จะทนหนาวเพื่อชื่นชมดาวนับล้านทอประกายบนฟากฟ้า ทางช้างเผือกทอดยาวไปสุดขอบฟ้าด้านหนึ่ง ชั่วขณะพวกเขานึกสงสัยว่าท้องฟ้าที่ซีนาร์ยในตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้างนะ
“ อยู่ที่นี่เราจะมีทุกอย่าง ข้าจะหาซื้อแม่วัวมาให้ได้ เราจะได้มีนมสดบ้าง ”
อาเธอร์บอก
“ ตอนนี้แค่มีกินก็ดีแล้ว อย่าเพิ่งคาดหวังอะไรมาก ”
คาโลไรน์ติง
เปลวไฟไหววูบวาบในเงามืด แสงหนึ่งได้พุ่งผ่านบนฟากฟ้ายาวไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เด็กหญิงชี้ให้ทุกคนดู บิดาของนางบอกว่ามันคือดาวตก ฟิโลโซเฟอร์หันไปตามทางที่แสงดาวนั้นพุ่งผ่าน เทือกเขาสีดำที่เห็นเป็นเหงาทะมึนในความมืดปรากฏให้เห็นแก่สายตา มันมีอะไรบางอย่างดึงดูดใจอย่างน่าประหลาด เหมือนใครบางคนกำลังร้องเรียกหาตัวเขาอยู่ หรือไม่เช่นนั้นก็บางสิ่งบางอย่างที่เขามีอยู่
ในคืนนั้นพวกเขารับประทานอาหารกันอย่างมีความสุข แม้ไร้เพื่อนบ้านหรือญาติมิตรทำให้ดูเงียบเหงา แต่นี่คือบรรยากาศที่คุ้นเคย บ้านหลังน้อยกลางความเวิ้งว้างของทุ่งหญ้าช่างอิสระเสรี เบื้องหน้าไกลออกไปแนวเส้นทึบอันแข็งแกร่งของกำแพงเมืองแห่งโอรีเวียทอดผ่านเป็นแนวยาว คบเพลิงขนาดใหญ่ยืนสงบนิ่ง คืนนี้ประตูเมืองไม่ได้ปิดลง ไฟในคบเพลิงจึงไม่ได้ส่องสว่างเช่นเคย แต่หมู่บ้านนอกกำแพงนั้นยังคงสว่างไสว เพราะผู้คนที่มากมายที่แออัดกันอยู่ในนั้น
เด็กๆ นั่งฟังเรื่องราวการเดินทางผ่านทุ่งหญ้า ในฤดูหนาวอันทารุณของปีหนึ่ง ช่วงเวลานั้นอาเธอร์ยังเล็กและเป็นแค่ทหารฝึกหัด จบภารกิจนั้นด้วยการสูญเสียผู้คนไปกว่าครึ่ง ไม่ใช่ด้วยฝีมือของข้าศึก แต่เป็นเพราะความหนาวเย็นนั่นเอง
“ แล้วท่านพ่อรอดมาได้อย่างไรครับ ”
ฟิโลโซเฟอร์ถาม
“ ก็ท่านพ่อของเราแข็งแกร่งที่สุดในกองทัพ ย่อมต้องรอดอยู่แล้ว ”
น้องสาวว่า
“ นี่ข้าถามเอาความรู้นะ เจ้าอย่าเพิ่งแทรกได้หรือไม่ ”
เด็กชายแยกเขี้ยวใส่
คนเป็นน้องก็หากลัวไม่กระโดดลุกขึ้นพร้อมสู้เหมือนกัน
“ พอ หยุดทั้งสองคน ”
อาเธอร์ยกมือห้ามศึก
“ ให้ตายสิ ถ้าเกิดพวกเจ้าเป็นเด็กชายทั้งคู่ บ้านจะไม่แตกเลยหรือแบบนี้ ”
คาโลไรน์พูดยิ้มๆ
“ ชาวซีนาร์ยไม่ตัดสินปัญหาด้วยความรุนแรงนะ ”
“ แต่ที่นี่คือโอรีเวีย ”
เด็กหญิงว่า
นางได้ยินดังนั้นจึงหันไปมองหน้าคนเป็นสามี
พร้อมกับกลั้นหัวเราะ
“ เอาล่ะๆ มาเข้าเรื่องของเราดีกว่า ”
อาเธอร์ตัดบท
แล้วเขาก็เริ่มเล่าถึงการเดินทางในครั้งนั้น มันเป็นวันที่อากาศแจ่มใสแม้จะเข้าฤดูหนาวแล้ว กองทัพเดินหน้าตรงโดยไม่วิตกกังวลต่อสิ่งใด ในตอนบ่ายของวันนั้นเองแอสเธอลาสน้องชายเพียงคนเดียวของเขาก็ปรากฏกายขึ้น เจ้านั่นลอบเข้ามาหาอาเธอร์ เพื่อจะเยาะเย้ยว่าเขาไม่มีทางไปถึงฐานได้ทันเวลาเพราะพายุกำลังตั้งเค้า คนขี้ขลาดแบบอาเธอร์คงต้องมุดหัวอยู่ในแค้มป์ไม่กล้าฝ่าพายุไปเป็นแน่ อาเธอร์ได้ไล่ให้น้องชายออกไปด้วยอารมณ์โกรธ เจ้าเด็กคนนี้ คนที่ทั้งตระกูลต่างชื่นชมกลับแอบหลบจากภารกิจสำคัญเพื่อมาทำสิ่งนี้หรือ เขาไม่มีวันยอมแพ้หรอกสักวันจะต้องเหนือกว่าให้ได้
หลังจากที่แอสเธอลาสจากไปเพียงไม่นาน ท้องฟ้าก็มืดลงอย่างปุบปับพร้อมกับเสียงลมพัดหวีดหวิวสูงขึ้นไปเหนือศีรษะ ทหารชั้นผู้น้อยต่างตื่นตระหนก ผู้คุมกองจึงสั่งให้แยกกันหาฟืนและเริ่มตั้งแค้มป์ ตอนนั้นเองที่อาเธอร์เริ่มรู้ตัวว่ากระเป๋ามีสิ่งผิดปรกติ สิ่งที่อยู่ข้างในควรจะเป็นของใช้จำเป็นสำหรับเขา กลับมีเพียงเสื้อคลุมหนังแกะกับช็อกโกแลตแท่งแข็งๆ ห่อหนึ่ง มันต้องเป็นฝีมือของเจ้าน้องชายตัวแสบที่คอยกลั่นแกล้งแน่ เขานึกสงสัยว่าหมอนี่แอบสลับของไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ช่างไวแท้
ด้วยความเดือดดาลและเกรงว่าจะไปไม่ถึงฐานตามเวลานัด เขาจึงนำเรื่องนี้ไปปรึกษาเพื่อนและชวนกันออกเดินทางก่อนโดยไม่รอให้พายุสงบ นับเป็นการเสี่ยงชีวิตครั้งใหญ่ แต่ในการรบทุกครั้งเป็นหรือตายเกิดขึ้นได้เสมอ และพวกเขาต้องยอมรับความสูญเสียนั้น
ดังนั้นเมื่อพายุหิมะพัดมาถึง ทหารนายอื่นๆ หลบเข้าไปอยู่ในที่กำบัง อาเธอร์และผองเพื่อนจึงลอบเดินฝ่าพายุออกมา เขาซึ่งทำสัมภาระทั้งหมดหายไปจึงไม่มีทางเลือก ต้องหยิบเสื้อคลุมหนังแกะที่แอสเธอลาสทิ้งไว้ให้ออกมาสวม มันทั้งอ่อนนุ่มและบางเบาจนน่ากลัวว่าจะไม่สามารถให้ความอบอุ่นได้ พวกเขาเดินฝ่าสายลมและความมืดออกมาด้วยการเดาสุ่มทิศทาง มีคนหนึ่งในกลุ่มซึ่งก็คือดาเรน เขาแข็งแรงและเฉลียวฉลาดจึงได้เป็นผู้นำในครั้งนั้น ดาเรนบอกว่าพายุนี้น่ากลัวมาก แค้มป์ชั่วคราวนั้นไม่น่าจะกันไหว จึงตัดสินใจเดินเสี่ยงออกมาดีกว่านั่งรอความตายอยู่กับที่ ท่ามกลางความมืดสายลมได้พัดกรีดผ่านเสื้อผ้าของพวกเขา หนาวจนแทบจับเข็งจนต้องเดินเบียดกัน น่าแปลกที่ชุดคลุมของอาเธอร์กลับอบอุ่นที่สุดอีกทั้งยังเบาสบาย
พวกเขาเดินฝ่าพายุไปทั้งคืน เมื่อแสงแห่งรุ่งอรุณมาเยือนเงาดำนั้นก็เคลื่อนผ่านไป ทั้งหมดสามารถเดินมาถึงฐานที่มั่นด้วยอาการทุลักทุเล ช็อกโกแลตแท่งของอาเธอร์ช่วยให้ทุกคนคืนกำลังอย่างน่าประหลาด
หลังจากนั้นกลุ่มของอาเธอร์และผู้คนจากฐานได้ย้อนกลับไปยังสถานที่ตั้งแค้มป์ จึงได้พบกับความจริงที่ว่าทหารที่หลบอยู่ที่นั่นได้เสียชีวิตไปมากกว่าครึ่ง
ดังนั้นอาเธอร์จึงได้สอนบุตรทั้งสอง ให้รับรู้และระวังภัยอันตรายจากพายุหิมะ รวมทั้งวิธีเอาตัวรอดหากต้องเผชิญหน้ากับมันจริงๆ
ดึกมากแล้วกว่าพวกเขาจะกลับเข้านอน ฟิโลโซเฟอร์ปีนขึ้นไปยังห้องใต้หลังคา มันแคบและเตี้ยกว่าบ้านตึกในเมืองมากนัก แต่เขาก็ชอบแบบนี้ เขาอยู่ห้องใต้หลังคามาตลอดตั้งแต่อยู่ที่ซีนาร์ย เด็กชายหยิบดาบโบราณขึ้นมามันยังอยู่ในห่อผ้าอย่างดี แล้วจัดการซุกมันไปไว้ยังมุมอับข้างห้อง
ริมผนังด้านหนึ่งมีเตียงเล็กๆ สำหรับนอนได้คนเดียว พร้อมกับที่นอนและผ้านวมสีเข้ม เด็กชายมุดขึ้นเตียงไป สายตาก็จับจ้องแสงของพระจันทร์ที่ลอดผ่านกระจกหน้าต่างเข้ามา อะไรบางอย่างทำให้คิดถึงพ่อมดน้อยรูปงามคนหนึ่งในชุดคลุมสีขาวราวกับแสงจันทร์ ทั้งที่ล้มตัวลงนอนอย่างเป็นสุขแล้วแท้ๆ แต่น่าแปลกที่ความฝันของเขาในคืนนั้นกลับดำมืดยิ่งนัก
อาเธอร์ออกไปไถแปลงหน้าดินตั้งแต่เช้ามืด ทั้งที่อากาศหนาวเหน็บ มีน้ำค้างแข็งเกาะตามยอดหญ้าเป็นเม็ดแพรวพราวราวกับลูกปัด บานไถพลิกม้วนหน้าดินลงไปเผยให้เห็นดินสีดำร่วนซุย เขายืนเด่นบนคันไถปล่อยให้ม้าสองตัวควบแข่งกันด้วยอารมณ์คึกคัก
“ ท่านพ่ออาหารเช้าเสร็จแล้ว ”
เด็กชายตะโกนมาจากอีกฝากหนึ่งของคันดิน
“ เดี่ยวข้าตามไป ”
เขาหันไปตะโกนตอบ
มือข้างหนึ่งยังจับคันไถไว้มั่น
ปีกของหมวกหนังพลิกขึ้นตามแรงลม
ทำท่าว่าจะหลุดปลิวไปถ้าไม่มีเชือกที่รัดไว้ใต้คาง
เขายังไถดินต่อไปจนเสร็จ
แล้วจึงรีบกลับบ้าน
“ อาเธอร์นี่มันเพิ่งจะเริ่มหน้าหนาวเองนะ ”
เสียงคาโลไรน์พูดออกมจากในครัว
“ ตอนนี้แหละที่จะต้องรีบ ผืนดินยังใหม่หญ้าก็มีมาก เราต้องพลิกขึ้นมาให้หญ้าตาย พอถึงฤดูเพาะปลูกวัชพืชพวกนี้จะได้ไม่มารบกวน ”
อาเธอร์บอก
“ แต่น่าแปลกนะ ตั้งแต่เรามาอยู่ที่นี่ ข้ายังไม่เคยเจอพายุหิมะหนักๆ เลยซักครั้ง ”
“ ถ้ามีสิแปลก โอรีเวียไม่เคยพบกับพายุหิมะ มันถูกปกป้องด้วยมนต์วิเศษ ไม่ว่าภัยธรรมชาติหรือภัยจากเวทมนต์ใด ลูกของเราจะปลอดภัยในปราการแห่งนี้ ”
“ ข้าก็หวังว่าจะเป็นจริงดังนั้น ”
คาโลไรน์ว่า
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ