โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  141.51K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

93) ย้ายบ้านอีกครั้ง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

หลังจากข่าวเหตุการณ์ต่างๆ สงบลงโรคละบาดถูกกำจัดไปอย่างสิ้นเชิง   อาเธอร์ก็เริ่มงานก่อสร้างของเขาต่อ   หลังคาถูกติดตั้งอย่างเร่งด่วนพื้นบ้านก็ปูเสร็จแล้ว   เศษไม้แผ่นบางๆ ในห้องครัวมีบันไดวนเล็กๆ นำสู่ห้องใต้ดินอันเป็นที่หลบภัยและที่เก็บเสบียง   เหตุการณ์ทุกวันนี้ดูสงบเอามากๆ แม้แต่มังกรดำก็ไม่มีข่าวคราวของมัน  ให้ได้ยินจนทางสภาแห่งโอรีเวียลดมาตรการรักษาความปรอดภัยลง   โดยยอมเปิดประตูเมืองให้เข้าออกได้ทั้งกลางวันและกลางคืน   อาเธอร์ติดกระจกหน้าต่างเป็นอันดับสุดท้ายบ้านก็พร้อมให้ขนย้ายสิ่งของเข้าไป  ทุกครั้งที่ออกมานอกเมืองอาเธอร์รู้สึกว่าพลังแห่งการปกป้องได้หายไป   แต่เขาก็ยังมั่นใจว่ายังอยู่ในเขตอารักขาของสภาผู้ใช้เวทมนตร์

 

 

            ในวันที่อากาศอบอุ่น   พวกเขาก็ช่วยกันขนย้ายของไปยังบ้านน้อยหลังใหม่   แสงแรกแห่งรุ่งอรุณเพิ่งจับขอบฟ้าเมื่อของชิ้นสุดท้ายถูกขนขึ้นบนเกวียน   ม้าแกลบสองตัวยืนอย่างสงบ   มันคือเบตตี้กับเบตเต้อม้าคู่ชีพที่ร่วมเดินทางมาจากเมืองซีนาร์ย   ภารกิจของมันในครั้งนี้ไม่ได้ไปออกรบแต่เป็นการย้ายบ้าน   สิ่งของบนเกวียนถูกคลุมทับด้วยผ้าใบสีเข้ม   ฟิโลโซเฟอร์กระโดดขึ้นท้ายเกวียนเขาดึงน้องสาวขึ้นมาด้วย   มือข้างหนึ่งของนางหิ้วตะกร้าหวายใบเล็กในนั้นมีกระต่ายลูนอนขดอยู่   อาเธอร์นั่งประจำที่ด้านหน้าคู่กับคาโลไรน์   เขาสวมหมวกปีกกว้าง   แล้วเกวียนก็พาพวกเขามุ่งสู่บ้านหลังน้อยที่อยู่นอกเมือง

 

 

            ดวงอาทิตย์สีส้มอมแดงกำลังโผล่พ้นขอบฟ้า   เมฆสีเทาลอยเกลื่อนนภา   พวกเขาเดินทางกันอย่างมีความสุข   เมื่อพ้นประตูเมืองพวกเขาก็ไปตามถนนดินที่เปียกแฉะเพราะหิมะที่ตกลงมาก่อนหน้านั้นได้ละลายไป   ฤดูหนาวเพิ่งย่างกรายมาถึงความหนาวเย็นจึงไม่มากพอที่จะคงรูปหิมะเอาไว้ได้   เกวียนพาพวกเขามาหยุดอยู่ที่บ้านไม้ซุงหลังน้อย   ประตูไม้โอคสีสดพร้อมเปิดต้อนรับพวกเขาทุกคน   เมื่อลูถูกปล่อยให้เป็นอิสระมันก็รีบวิ่งไปสำรวจรอบๆ บริเวณบ้าน   ที่หน้าบ้านนั้นเองอาเธอร์ได้ทำรั้วไม้สีขาวพอเป็นแนวบังตา   บันใดหินสามขั้นทอดขึ้นสู่ประตูไม้หน้าบ้านที่คุ้นเคย

 

 

อาเธอร์เข้ามายืนเคียงข้างคาโลไรน์

มือข้างหนึ่งโอบรอบเอวของนางเอาไว้

 

“ ที่นี่คืออาณาจักรของเรา   ข้าจะพลิกผืนแผ่นดินให้อุดมสมบูรณ์เหมือนอย่างที่เคยทำอีกครั้ง ”

 

คาโลไรน์เอียงคอวางบนไหล่เขาแล้วยิ้มอย่างเป็นสุข

 

“ ดูนั่นสิ   เมื่อก่อนที่นี่เป็นเพียงทุ่งหญ้ารกร้าง   แต่บัดนี้มีบ้านไม้หลังเล็กๆ เกิดขึ้นมาหลังหนึ่ง   และแน่นอนจะต้องมีสิ่งดีๆ ตามมา   เพราะความขยันอดทน   เราจะสร้างมันให้งดงามยิ่งขึ้น”

 

“ ตอนนี้มันก็เป็นบ้านที่งดงามมากแล้ว ”

 

คาโลไรน์บอก

 

“ ข้ายังต้องตกแต่งเพิ่มเติมอีก   ตอนนี้เห็นต้องเบียดเสียดกันก่อน   แต่พวกเรามีเวลา ”

 

อาเธอร์ว่า

 

“ ไม่ว่าบ้านจะเล็กหรือใหญ่   ขอเพียงพวกเราได้อยู่พร้อมหน้า   ข้าไม่เกี่ยงทั้งนั้น ”

 

 

            พวกเขาช่วยกันขนของเข้าไปไว้ในบ้าน   คาโลไรน์เปิดหน้าต่างทุกบานสายลมอ่อนๆ พัดเข้ามาพอรู้สึกที่นี่เป็นบ้านใหม่   พวกเขากำลังจะเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ ด้วยกันที่นี่   ด้านหลังยังมีโรงนาให้ม้าสองตัวได้อยู่อย่างสบายและเหลือพื้นที่ว่างอีก   ไว้เผื่อวัวนมตัวใหญ่ที่จะมีมาในอนาคต   พวกเขาต่างช่วยกันจัดของให้เข้าที่เข้าทางโต๊ะไม้ที่ห้องอาหารอาเธอร์ต่อเอง   มันดูโปร่งๆ แต่แข็งแรงไม่ขรึมทึมเข้มงวดเหมือนบ้านตึกในเมือง   เขาเลือกเครื่องเรือนให้ดูน่าใช้มากกว่าน่าเกรงขาม

 

 

            คาโอเรียยึดห้องนอนบนชั้นสองและแน่นอนฟิโลโซเฟอร์ได้ห้องใต้หลังคา   มันออกจะดูกว้างขวางแต่เตี้ยไปหน่อย   อาเธอร์เจอะหน้าต่างเล็กๆ ติดกระจกให้ด้วยเพื่อให้ห้องสว่างขึ้น   ที่ห้องนั่งเล่นมีเตาผิงอันใหญ่ก่อด้วยอิฐสีแดง

 

 

            บึงสีเขียวอยู่ไม่ไกลจากหลังบ้าน   ล้อมรอบทั้งบึงไปด้วยต้นอ้อและกกก้านธูป   สายลมปัดผ่านใบเรียวยาวส่งเสียงหวีดหวิวในความเงียบ   คาโลไรน์อบไก่งวงตัวโต  เค้กช็อกโกแลตหอมกรุ่นและผลไม้กวนรสหวานฉ่ำ   พวกเขากางโต๊ะทานอาหารกันนอกบ้านในค่ำวันนั้น   อาเธอร์ก่อไฟกองใหญ่เพื่อให้แสงสว่างและความอบอุ่น   คืนนี้ท้องฟ้าสดใสจนคุ้มค่าที่จะทนหนาวเพื่อชื่นชมดาวนับล้านทอประกายบนฟากฟ้า   ทางช้างเผือกทอดยาวไปสุดขอบฟ้าด้านหนึ่ง   ชั่วขณะพวกเขานึกสงสัยว่าท้องฟ้าที่ซีนาร์ยในตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้างนะ

 

“ อยู่ที่นี่เราจะมีทุกอย่าง   ข้าจะหาซื้อแม่วัวมาให้ได้   เราจะได้มีนมสดบ้าง ”

 

อาเธอร์บอก

 

“ ตอนนี้แค่มีกินก็ดีแล้ว   อย่าเพิ่งคาดหวังอะไรมาก ”

 

คาโลไรน์ติง

 

 

            เปลวไฟไหววูบวาบในเงามืด   แสงหนึ่งได้พุ่งผ่านบนฟากฟ้ายาวไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้   เด็กหญิงชี้ให้ทุกคนดู   บิดาของนางบอกว่ามันคือดาวตก   ฟิโลโซเฟอร์หันไปตามทางที่แสงดาวนั้นพุ่งผ่าน   เทือกเขาสีดำที่เห็นเป็นเหงาทะมึนในความมืดปรากฏให้เห็นแก่สายตา   มันมีอะไรบางอย่างดึงดูดใจอย่างน่าประหลาด   เหมือนใครบางคนกำลังร้องเรียกหาตัวเขาอยู่   หรือไม่เช่นนั้นก็บางสิ่งบางอย่างที่เขามีอยู่

 

ในคืนนั้นพวกเขารับประทานอาหารกันอย่างมีความสุข   แม้ไร้เพื่อนบ้านหรือญาติมิตรทำให้ดูเงียบเหงา   แต่นี่คือบรรยากาศที่คุ้นเคย   บ้านหลังน้อยกลางความเวิ้งว้างของทุ่งหญ้าช่างอิสระเสรี    เบื้องหน้าไกลออกไปแนวเส้นทึบอันแข็งแกร่งของกำแพงเมืองแห่งโอรีเวียทอดผ่านเป็นแนวยาว   คบเพลิงขนาดใหญ่ยืนสงบนิ่ง   คืนนี้ประตูเมืองไม่ได้ปิดลง   ไฟในคบเพลิงจึงไม่ได้ส่องสว่างเช่นเคย   แต่หมู่บ้านนอกกำแพงนั้นยังคงสว่างไสว   เพราะผู้คนที่มากมายที่แออัดกันอยู่ในนั้น

 

เด็กๆ นั่งฟังเรื่องราวการเดินทางผ่านทุ่งหญ้า   ในฤดูหนาวอันทารุณของปีหนึ่ง   ช่วงเวลานั้นอาเธอร์ยังเล็กและเป็นแค่ทหารฝึกหัด   จบภารกิจนั้นด้วยการสูญเสียผู้คนไปกว่าครึ่ง   ไม่ใช่ด้วยฝีมือของข้าศึก   แต่เป็นเพราะความหนาวเย็นนั่นเอง

 

“ แล้วท่านพ่อรอดมาได้อย่างไรครับ ”  

 

ฟิโลโซเฟอร์ถาม

 

“ ก็ท่านพ่อของเราแข็งแกร่งที่สุดในกองทัพ   ย่อมต้องรอดอยู่แล้ว ”

 

น้องสาวว่า

 

“ นี่ข้าถามเอาความรู้นะ   เจ้าอย่าเพิ่งแทรกได้หรือไม่ ” 

 

เด็กชายแยกเขี้ยวใส่

คนเป็นน้องก็หากลัวไม่กระโดดลุกขึ้นพร้อมสู้เหมือนกัน

 

“ พอ   หยุดทั้งสองคน ” 

 

อาเธอร์ยกมือห้ามศึก

 

“ ให้ตายสิ   ถ้าเกิดพวกเจ้าเป็นเด็กชายทั้งคู่   บ้านจะไม่แตกเลยหรือแบบนี้ ” 

 

คาโลไรน์พูดยิ้มๆ

 

“ ชาวซีนาร์ยไม่ตัดสินปัญหาด้วยความรุนแรงนะ ”

 

“ แต่ที่นี่คือโอรีเวีย ”

 

เด็กหญิงว่า

 

นางได้ยินดังนั้นจึงหันไปมองหน้าคนเป็นสามี

พร้อมกับกลั้นหัวเราะ

 

“ เอาล่ะๆ มาเข้าเรื่องของเราดีกว่า ”

 

อาเธอร์ตัดบท

 

แล้วเขาก็เริ่มเล่าถึงการเดินทางในครั้งนั้น   มันเป็นวันที่อากาศแจ่มใสแม้จะเข้าฤดูหนาวแล้ว   กองทัพเดินหน้าตรงโดยไม่วิตกกังวลต่อสิ่งใด   ในตอนบ่ายของวันนั้นเองแอสเธอลาสน้องชายเพียงคนเดียวของเขาก็ปรากฏกายขึ้น   เจ้านั่นลอบเข้ามาหาอาเธอร์   เพื่อจะเยาะเย้ยว่าเขาไม่มีทางไปถึงฐานได้ทันเวลาเพราะพายุกำลังตั้งเค้า   คนขี้ขลาดแบบอาเธอร์คงต้องมุดหัวอยู่ในแค้มป์ไม่กล้าฝ่าพายุไปเป็นแน่   อาเธอร์ได้ไล่ให้น้องชายออกไปด้วยอารมณ์โกรธ   เจ้าเด็กคนนี้   คนที่ทั้งตระกูลต่างชื่นชมกลับแอบหลบจากภารกิจสำคัญเพื่อมาทำสิ่งนี้หรือ   เขาไม่มีวันยอมแพ้หรอกสักวันจะต้องเหนือกว่าให้ได้     

 

หลังจากที่แอสเธอลาสจากไปเพียงไม่นาน   ท้องฟ้าก็มืดลงอย่างปุบปับพร้อมกับเสียงลมพัดหวีดหวิวสูงขึ้นไปเหนือศีรษะ   ทหารชั้นผู้น้อยต่างตื่นตระหนก   ผู้คุมกองจึงสั่งให้แยกกันหาฟืนและเริ่มตั้งแค้มป์   ตอนนั้นเองที่อาเธอร์เริ่มรู้ตัวว่ากระเป๋ามีสิ่งผิดปรกติ   สิ่งที่อยู่ข้างในควรจะเป็นของใช้จำเป็นสำหรับเขา   กลับมีเพียงเสื้อคลุมหนังแกะกับช็อกโกแลตแท่งแข็งๆ ห่อหนึ่ง   มันต้องเป็นฝีมือของเจ้าน้องชายตัวแสบที่คอยกลั่นแกล้งแน่   เขานึกสงสัยว่าหมอนี่แอบสลับของไปตั้งแต่เมื่อไหร่   ช่างไวแท้

 

ด้วยความเดือดดาลและเกรงว่าจะไปไม่ถึงฐานตามเวลานัด   เขาจึงนำเรื่องนี้ไปปรึกษาเพื่อนและชวนกันออกเดินทางก่อนโดยไม่รอให้พายุสงบ   นับเป็นการเสี่ยงชีวิตครั้งใหญ่   แต่ในการรบทุกครั้งเป็นหรือตายเกิดขึ้นได้เสมอ   และพวกเขาต้องยอมรับความสูญเสียนั้น

 

ดังนั้นเมื่อพายุหิมะพัดมาถึง   ทหารนายอื่นๆ หลบเข้าไปอยู่ในที่กำบัง   อาเธอร์และผองเพื่อนจึงลอบเดินฝ่าพายุออกมา   เขาซึ่งทำสัมภาระทั้งหมดหายไปจึงไม่มีทางเลือก   ต้องหยิบเสื้อคลุมหนังแกะที่แอสเธอลาสทิ้งไว้ให้ออกมาสวม   มันทั้งอ่อนนุ่มและบางเบาจนน่ากลัวว่าจะไม่สามารถให้ความอบอุ่นได้   พวกเขาเดินฝ่าสายลมและความมืดออกมาด้วยการเดาสุ่มทิศทาง   มีคนหนึ่งในกลุ่มซึ่งก็คือดาเรน   เขาแข็งแรงและเฉลียวฉลาดจึงได้เป็นผู้นำในครั้งนั้น   ดาเรนบอกว่าพายุนี้น่ากลัวมาก   แค้มป์ชั่วคราวนั้นไม่น่าจะกันไหว   จึงตัดสินใจเดินเสี่ยงออกมาดีกว่านั่งรอความตายอยู่กับที่   ท่ามกลางความมืดสายลมได้พัดกรีดผ่านเสื้อผ้าของพวกเขา   หนาวจนแทบจับเข็งจนต้องเดินเบียดกัน   น่าแปลกที่ชุดคลุมของอาเธอร์กลับอบอุ่นที่สุดอีกทั้งยังเบาสบาย  

 

พวกเขาเดินฝ่าพายุไปทั้งคืน   เมื่อแสงแห่งรุ่งอรุณมาเยือนเงาดำนั้นก็เคลื่อนผ่านไป   ทั้งหมดสามารถเดินมาถึงฐานที่มั่นด้วยอาการทุลักทุเล   ช็อกโกแลตแท่งของอาเธอร์ช่วยให้ทุกคนคืนกำลังอย่างน่าประหลาด  

 

หลังจากนั้นกลุ่มของอาเธอร์และผู้คนจากฐานได้ย้อนกลับไปยังสถานที่ตั้งแค้มป์   จึงได้พบกับความจริงที่ว่าทหารที่หลบอยู่ที่นั่นได้เสียชีวิตไปมากกว่าครึ่ง

 

 

ดังนั้นอาเธอร์จึงได้สอนบุตรทั้งสอง   ให้รับรู้และระวังภัยอันตรายจากพายุหิมะ   รวมทั้งวิธีเอาตัวรอดหากต้องเผชิญหน้ากับมันจริงๆ

 

ดึกมากแล้วกว่าพวกเขาจะกลับเข้านอน   ฟิโลโซเฟอร์ปีนขึ้นไปยังห้องใต้หลังคา   มันแคบและเตี้ยกว่าบ้านตึกในเมืองมากนัก   แต่เขาก็ชอบแบบนี้   เขาอยู่ห้องใต้หลังคามาตลอดตั้งแต่อยู่ที่ซีนาร์ย   เด็กชายหยิบดาบโบราณขึ้นมามันยังอยู่ในห่อผ้าอย่างดี   แล้วจัดการซุกมันไปไว้ยังมุมอับข้างห้อง  

 

ริมผนังด้านหนึ่งมีเตียงเล็กๆ สำหรับนอนได้คนเดียว   พร้อมกับที่นอนและผ้านวมสีเข้ม   เด็กชายมุดขึ้นเตียงไป   สายตาก็จับจ้องแสงของพระจันทร์ที่ลอดผ่านกระจกหน้าต่างเข้ามา   อะไรบางอย่างทำให้คิดถึงพ่อมดน้อยรูปงามคนหนึ่งในชุดคลุมสีขาวราวกับแสงจันทร์   ทั้งที่ล้มตัวลงนอนอย่างเป็นสุขแล้วแท้ๆ    แต่น่าแปลกที่ความฝันของเขาในคืนนั้นกลับดำมืดยิ่งนัก

 

 

อาเธอร์ออกไปไถแปลงหน้าดินตั้งแต่เช้ามืด   ทั้งที่อากาศหนาวเหน็บ   มีน้ำค้างแข็งเกาะตามยอดหญ้าเป็นเม็ดแพรวพราวราวกับลูกปัด  บานไถพลิกม้วนหน้าดินลงไปเผยให้เห็นดินสีดำร่วนซุย   เขายืนเด่นบนคันไถปล่อยให้ม้าสองตัวควบแข่งกันด้วยอารมณ์คึกคัก

 

“ ท่านพ่ออาหารเช้าเสร็จแล้ว ”

 

เด็กชายตะโกนมาจากอีกฝากหนึ่งของคันดิน

 

“ เดี่ยวข้าตามไป ”

 

เขาหันไปตะโกนตอบ 

มือข้างหนึ่งยังจับคันไถไว้มั่น

 

ปีกของหมวกหนังพลิกขึ้นตามแรงลม

ทำท่าว่าจะหลุดปลิวไปถ้าไม่มีเชือกที่รัดไว้ใต้คาง

 

เขายังไถดินต่อไปจนเสร็จ

แล้วจึงรีบกลับบ้าน

 

“ อาเธอร์นี่มันเพิ่งจะเริ่มหน้าหนาวเองนะ ”

 

เสียงคาโลไรน์พูดออกมจากในครัว

 

“ ตอนนี้แหละที่จะต้องรีบ   ผืนดินยังใหม่หญ้าก็มีมาก   เราต้องพลิกขึ้นมาให้หญ้าตาย   พอถึงฤดูเพาะปลูกวัชพืชพวกนี้จะได้ไม่มารบกวน ”

 

อาเธอร์บอก

 

“ แต่น่าแปลกนะ   ตั้งแต่เรามาอยู่ที่นี่   ข้ายังไม่เคยเจอพายุหิมะหนักๆ เลยซักครั้ง ”

 

“ ถ้ามีสิแปลก   โอรีเวียไม่เคยพบกับพายุหิมะ   มันถูกปกป้องด้วยมนต์วิเศษ   ไม่ว่าภัยธรรมชาติหรือภัยจากเวทมนต์ใด   ลูกของเราจะปลอดภัยในปราการแห่งนี้ ”

 

“ ข้าก็หวังว่าจะเป็นจริงดังนั้น ”

 

คาโลไรน์ว่า

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา