โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
7.3
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
188 บทที่
11 วิจารณ์
137.53K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
68) รอยแผลและความทรงจำ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความฟีไลร่ากับพรรคพวกกินข้าวกันจนเกือบจะอิ่มแล้ว เมื่อเด็กชายทั้งสามเดินเข้ามาในสภาพที่ใบหน้าและผมเปียกโชกไปด้วยน้ำ คาโอเรียนั่งอยู่ข้างๆ เลโอน่าทำจมูกย่น นางเลื่อนกระป๋องใส่อาหารไปให้พี่ชาย แต่โลธอร์คว้าเอาไปเสียก่อน แม้เด็กชายคนนี้จะสามารถรับประทานเครื่องเทศได้แล้ว แต่มารดาของเขาก็ยังทำอาหารใส่กระป๋องให้ทุกวัน และเด็กๆ ในกลุ่มของเขาก็ชอบฝีมือทำอาหารของนางมากๆ โดยเฉพาะโลธอร์
“ ข้าว่าล้างหน้าอย่างเดียวคงไม่พอ พวกเจ้าต้องจุ่มลงไปทั้งตัว ”
เลโอน่าว่า
“ ข้าสั่งอาหารไว้รอแล้วพวกเจ้านี่ชักช้ากันจัง ”
ฟีไลร่าบ่นบ้าง
“ ตอนบ่ายมีแค่วิชาประวัติศาสตร์ยุคกลางเท่านั้นเวลาเหลือเฟือน่า ”
อีเลียสบอก
“ คาโอเรียเรียนวิชาอะไรต่อล่ะ ”
เด็กชายชาวซีนาร์ยหันไปถามน้องสาว
“ ทำขนมหวานกับนิทานพื้นบ้าน ”
เด็กหญิงตอบ
“ ไม่เห็นต้องเรียนเรื่องนั้นเลย ”
โลธอร์ว่า
“ เรื่องทำอาหารให้แม่เจ้าสอนไม่ดีกว่าหรือ ฝีมือนางอร่อยที่สุดแล้ว ”
“ เอาไว้สักวันข้าจะชวนพวกเจ้าไปเที่ยวที่บ้าน แต่ตอนนี้พวกเรายุ่งกันมากเลยไม่มีเวลาต้อนรับ ”
ฟิโลโซเฟอร์บอกพลางเลื่อนชามมันบดเข้ามาหาตัวเอง
“ พวกเจ้ากำลังทำอะไรกันล่ะไม่ชวนพวกเราไปช่วย ”
เด็กหญิงผมสีเงินเอ่ยถาม
“ ทำบ้าน พวกเรากำลังสร้างบ้านหลังใหม่ในทุ่งหญ้านอกเมืองโอรีเวีย ”
เพื่อนๆ ได้ยินดังนั้นต่างผงะด้วยความตกใจ
“ พวกเจ้าต้องเป็นบ้าไปแล้ว เหตุใดจึงออกไปนอกเมือง ไม่คิดว่ามันจะเสี่ยงอันตรายไปหน่อยหรือ ”
อีเลียสกล่าวตะกุกตะกัก
“ ไม่หรอก ที่ดินของเราอยู่เลยหมู่บ้านนอกกำแพงออกไปไม่ไกล และแถวนั้นไม่เคยมีประวัติว่าถูกโจมตี แล้วท่านพ่อก็บอกว่าจะทำห้องใต้ดินไว้ด้วยเผื่อฉุกเฉิน พวกเราผ่านอะไรมามากพอสมควร คิดว่าพอดูแลตัวเองได้ อีกอย่างในเมืองโอรีเวียเองก็ใช่ว่าจะปรอดภัย ถ้าถามหาความเสี่ยง ข้าคิดว่าก็พอๆ กันนั่นแหละ ”
เด็กชายตอบ
แล้วก้มหน้าก้มตากินอาหาร
ส่วนของกินในกระป๋องโดนโลธอร์ยึดไปเรียบร้อยแล้ว
“ มือของเจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า ข้าเห็นผ้าพันอยู่นานแล้วตอนแรกคิดว่าพันเล่นๆ ”
ฟีไลร่าสงสัย
“ เป็นแผลนิดหน่อยน่ะ ”
เด็กชายตอบ
“ ไหนขอดูหน่อยสิ ”
ไม่พูดเปล่านางเอื้อมมือไปจับตรงแผลของฟิโลโซเฟอร์
แต่เด็กชายดึงมือกลับอย่างรวดเร็ว
“ แค่มีดบาดน่ะ แผลไม่ได้ใหญ่มาก ไม่เป็นไรหรอกไกลหัวใจมากโขอยู่ ”
เด็กชายว่าไปอย่างนั้นเพราะอยากให้ฟีไลร่ารู้สึกว่าเขาเข้มแข็งพอ
“ พี่ชายบอกเสมอว่านักรบย่อมต้องมีบาดแผล แต่นี่ยังไม่ทันไปรบที่ไหนมือก็จะขาดเสียแล้ว ”
คาโอเลียเย้า
“ เดี๋ยวเถอะยัยเด็กบ้า ”
ฟิโลโซเฟอร์ขึ้นเสียง
เพื่อนๆ ต่างหัวเราะชอบใจ
หลังจากรับประทานอาหารเที่ยงเรียบร้อยแล้ว
คาโอเรียก็แยกตัวออกไป
ส่วนกลุ่มเด็กที่เหลือต่างมุ่งหน้าสู่ห้องสมุด
“ เอาล่ะเราทุกคนจะต้องแยกกันหาหนังสือเกี่ยวกับเอลฟ์สโนว์ แล้วกลับมารวมกันที่นี่ ส่วนที่เหลือข้าจะเรียบเรียงเอง ”
อีเลียสว่า
“ ทำไมเราต้องเรียนวิชาสมุนไพรพวกนี้ด้วย ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับข้าเลย ”
โลธอร์บ่น
“ ก็เป็นเพราะฟีไลร่าสนใจเรื่องนี้อย่างไรล่ะก็เลยบังคับพวกเรา มันเป็นวิชาหลักของผู้ใช้เวทมนตร์ พวกเราเรียนไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมา รู้ไปก็แค่นั้นใช้ประโยชน์ไม่ได้ ”
เลโอน่ามีท่าทีไม่ค่อยพอใจ
“ ไม่หรอกน่า มีบางอย่างที่ต้องปรุงโดยผู้ใช้เวทมนตร์เท่านั้น แต่สมุนไพรบางอย่างแค่ปรุงครบตามสูตรก็ได้แล้ว สิ่งที่เราเรียนมันคือศาสตร์ปรุงยาที่คนธรรมดาสามารถปรุงเองได้ เรียนรู้เอาไว้น่ะดีแล้วไม่ได้ไร้ประโยชน์อย่างแน่นอน เผื่อมีเหตุฉุกเฉินเราก็สามารถรักษาด้วยตัวเองไม่ต้องตามหมอให้ยุ่งยาก ”
อีเลียสอธิบายอย่างมีเหตุผล
แม้แต่โลธอร์ก็ยังต้องพยักหน้าเห็นด้วย
เมื่อเป็นดังนั้นเด็กๆ จึงแยกย้ายกันออกไปหาหนังสือ
ตามชั้นวางที่สูงท่วมหัว
เด็กชายชาวซีนาร์ยเดินวนจนเหนื่อยก็ยังหาไม่ครบทุกชั้น
เพราะห้องสมุดแห่งนี้กว้างขวางและซับซ้อนมาก
เขาเดินลึกเข้าจนสุดฝั่งหนึ่ง
ในอ้อมแขนมีหนังสือสามเล่มที่หนาและฝุ่นเขลอะ
ที่ปลายสุดของห้องร่างสูงในชุดคลุมดำกำลังยืนหลังพิงผนัง
มือถือหนังสือปกหนากางปิดบังใบหน้าอยู่
ฟิโลโซเฟอร์เห็นดังนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปหา
คนผู้นั้นปิดหนังสือดังฉับแล้วเอียงคอน้อยๆ จ้องมองดูเขา
“ ไม่นึกว่าคนอย่างเจ้านอกจากจะก่อเรื่องไปวันๆ แล้วยังรู้จักศึกษาตำราเป็นกับเขาด้วย ”
เสียงของดารีลทักขึ้นก่อน
“ เจ้าก็พูดเกินไป จริงๆ ข้าเป็นคนขยันและตั้งใจเรียนมาก ”
หนุ่มน้อยคนนั้นพยักหน้า
แต่ท่าทางแสดงออกว่าไม่เชื่อคำพูดนั้นเลยสักนิด
แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นหนังสือที่ฟิโลโซเฟอร์ถืออยู่
“ เอลฟ์สโนว์ หยิบมาตั้งสามเล่มเลยหรือ อะไรทำให้เจ้าสนใจมันได้ถึงเพียงนี้ ”
“ เปล่าสนใจ แต่ต้องทำรายงานส่งครูสอนวิชาสมุนไพร พูดตามตรงข้าก็เพิ่งเคยเห็นตัวเป็นๆ น่ารักเหมือนกันนะ คาโอเรียคงชอบ ”
ดารีลได้ยินดังนั้นถึงกับผงะ
“ เอลฟ์สโนว์ไม่ใช่สมุนไพรพื้นฐาน การกรองเอลฟ์ออกจากนมต้องใช้ความละเอียดมาก ถ้ามีซากตกลงไปแม้แต่ตัวเดียวยาที่ปรุงได้จะเป็นพิษ แต่ถ้าเผลอทำตัวที่ยังเป็นๆ หล่นลงไปด้วยนี่ถึงตายเลยนะ ข้าคิดว่าเด็กๆ ยังขาดความรอบคอบ ให้ทำแบบนี้ไม่อันตรายไปหน่อยหรือ ”
“ อ้าว เห็นบางคนบอกว่าใช้ทำอาหารได้ด้วยข้าก็นึกว่าปรอดภัย ”
ฟิโลโซเฟอร์ว่า
“ มันก็ปรอดภัยและเป็นสมุนไพรชั้นสูงนั่นแหละ เพียงแต่ขั้นตอนการทำผิดพลาดไม่ได้เลย แล้วเด็กๆ ในชั้นของพวกเจ้าแน่ใจว่ากรองได้เรียบร้อยทุกคน ”
พอคิดย้อนไปเด็กชายก็ขนลุก
เด็กๆ วุ่นวายกันจริงในวันนั้น
แล้วครูผู้สอนก็ไม่ได้สนใจพวกเขาแม้แต่น้อย
“ มือของเจ้าเหตุใดยังพันผ้าอยู่ล่ะ ข้าแน่ใจว่าทำแผลให้แล้วนี่นา ”
ดารีลถาม
“ อ้อนี่หรือ ไม่มีอะไรหรอกอย่าสนใจเลย ”
เด็กชายชูมือข้างนั้นให้ดู
แต่ดารีลก็คว้าไปแกะผ้าออกอย่างรวดเร็ว
คิ้วเรียวงามขมวดมุ่นเข้าหากัน
ดวงตาสีดำคมกริบกระพริบถี่ด้วยความประหลาดใจ
“ เป็นไปได้อย่างไรกันนี่ ข้าไม่เคยผิดพลาดขนาดนี้ ทำไมแผลยังอยู่ล่ะ ”
“ เจ้าไม่ต้องกังวล แผลเดิมมันหายไปแล้ว ที่เห็นนี่คือข้ากรีดเพิ่มลงไปเอง ”
ฟิโลโซเฟอร์ว่าพลางดึงมือกลับ
แต่ดารีลรวบเอาไว้แน่นขึ้นไม่ยอมปล่อยง่ายๆ
“ เหตุผลล่ะ ทำแบบนี้ไปทำไมกัน ”
“ เรื่องของข้าน่าเจ้าอย่าสนใจไปเสียทุกเรื่องเลย ”
เด็กชายว่าพลางพยายามสลัดจากการเกาะกุมนั้น
มือของดารีลแม้จะดูเรียวเล็กแต่ทว่าแข็งแกร่งราวกับปลอกเหล็ก
“ ถ้าเจ้าไม่พูดความจริงก็อย่าหวังว่าจะได้ไปจากตรงนี้ ”
เสียงที่ดุดันนั้นบอกให้รู้ว่าเขาเอาจริง
“ ก็ได้ๆ ข้าบอกเจ้าก็ได้ ”
เด็กชายยอมแพ้
“ ข้าจำเป็นต้องสร้างรอยแผลเอาไว้ เพื่อจะย้ำเตือนตัวเองเพราะความไม่ระวังของข้า ทำให้เจ้าต้องบาดเจ็บ และนี่เป็นสัญญาว่าจะไม่เกิดเหตุแบบนั้นอีก ”
ดารีลจ้องคนอายุน้อยกว่าตรงหน้าแล้วถอนหายใจ
“ เจ้านอกจากจะเป็นเด็กนรกจอมเพ้อเจ้อแล้วยังนิยมความรุนแรงอีกด้วย ให้ตายสิชีวิตของข้าต้องเจออะไรแบบนี้ด้วยหรือ ”
เขาว่าพลางล้วงมือหยิบขวดเล็กๆ สีอำพันออกมา
“ ไม่นะ ข้าไม่ทายาหรอกปล่อยให้มันกลายเป็นแผลเป็นไปเถอะ ”
เด็กชายพยายามขัดขืน
“ ยานี่จะกันไม่ให้แผลเน่าเจ้าเด็กโง่ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่อยากเห็นเจ้าต้องมือขาด ”
ดารีลว่าพลางหยดยาใส่แผล
แล้วจัดการพันผ้าคืนให้อย่างเรียบร้อยสวยงาม
“ แล้วก็จำใส่ใจเอาไว้เลยว่า เพราะเจ้าข้าจึงเสียยาชั้นดีที่ปรุงยากที่สุดไปห่อหนึ่งโดยไร้ประโยชน์ ถ้าอยากได้แผลเป็นนักล่ะก็ บอกไว้เลยนิสัยแบบเจ้าไม่เกินสามสิบ ถ้าไม่ตายเสียก่อนคงได้ลายพร้อยไปทั้งตัวแน่ ”
“ ข้าว่าล้างหน้าอย่างเดียวคงไม่พอ พวกเจ้าต้องจุ่มลงไปทั้งตัว ”
เลโอน่าว่า
“ ข้าสั่งอาหารไว้รอแล้วพวกเจ้านี่ชักช้ากันจัง ”
ฟีไลร่าบ่นบ้าง
“ ตอนบ่ายมีแค่วิชาประวัติศาสตร์ยุคกลางเท่านั้นเวลาเหลือเฟือน่า ”
อีเลียสบอก
“ คาโอเรียเรียนวิชาอะไรต่อล่ะ ”
เด็กชายชาวซีนาร์ยหันไปถามน้องสาว
“ ทำขนมหวานกับนิทานพื้นบ้าน ”
เด็กหญิงตอบ
“ ไม่เห็นต้องเรียนเรื่องนั้นเลย ”
โลธอร์ว่า
“ เรื่องทำอาหารให้แม่เจ้าสอนไม่ดีกว่าหรือ ฝีมือนางอร่อยที่สุดแล้ว ”
“ เอาไว้สักวันข้าจะชวนพวกเจ้าไปเที่ยวที่บ้าน แต่ตอนนี้พวกเรายุ่งกันมากเลยไม่มีเวลาต้อนรับ ”
ฟิโลโซเฟอร์บอกพลางเลื่อนชามมันบดเข้ามาหาตัวเอง
“ พวกเจ้ากำลังทำอะไรกันล่ะไม่ชวนพวกเราไปช่วย ”
เด็กหญิงผมสีเงินเอ่ยถาม
“ ทำบ้าน พวกเรากำลังสร้างบ้านหลังใหม่ในทุ่งหญ้านอกเมืองโอรีเวีย ”
เพื่อนๆ ได้ยินดังนั้นต่างผงะด้วยความตกใจ
“ พวกเจ้าต้องเป็นบ้าไปแล้ว เหตุใดจึงออกไปนอกเมือง ไม่คิดว่ามันจะเสี่ยงอันตรายไปหน่อยหรือ ”
อีเลียสกล่าวตะกุกตะกัก
“ ไม่หรอก ที่ดินของเราอยู่เลยหมู่บ้านนอกกำแพงออกไปไม่ไกล และแถวนั้นไม่เคยมีประวัติว่าถูกโจมตี แล้วท่านพ่อก็บอกว่าจะทำห้องใต้ดินไว้ด้วยเผื่อฉุกเฉิน พวกเราผ่านอะไรมามากพอสมควร คิดว่าพอดูแลตัวเองได้ อีกอย่างในเมืองโอรีเวียเองก็ใช่ว่าจะปรอดภัย ถ้าถามหาความเสี่ยง ข้าคิดว่าก็พอๆ กันนั่นแหละ ”
เด็กชายตอบ
แล้วก้มหน้าก้มตากินอาหาร
ส่วนของกินในกระป๋องโดนโลธอร์ยึดไปเรียบร้อยแล้ว
“ มือของเจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า ข้าเห็นผ้าพันอยู่นานแล้วตอนแรกคิดว่าพันเล่นๆ ”
ฟีไลร่าสงสัย
“ เป็นแผลนิดหน่อยน่ะ ”
เด็กชายตอบ
“ ไหนขอดูหน่อยสิ ”
ไม่พูดเปล่านางเอื้อมมือไปจับตรงแผลของฟิโลโซเฟอร์
แต่เด็กชายดึงมือกลับอย่างรวดเร็ว
“ แค่มีดบาดน่ะ แผลไม่ได้ใหญ่มาก ไม่เป็นไรหรอกไกลหัวใจมากโขอยู่ ”
เด็กชายว่าไปอย่างนั้นเพราะอยากให้ฟีไลร่ารู้สึกว่าเขาเข้มแข็งพอ
“ พี่ชายบอกเสมอว่านักรบย่อมต้องมีบาดแผล แต่นี่ยังไม่ทันไปรบที่ไหนมือก็จะขาดเสียแล้ว ”
คาโอเลียเย้า
“ เดี๋ยวเถอะยัยเด็กบ้า ”
ฟิโลโซเฟอร์ขึ้นเสียง
เพื่อนๆ ต่างหัวเราะชอบใจ
หลังจากรับประทานอาหารเที่ยงเรียบร้อยแล้ว
คาโอเรียก็แยกตัวออกไป
ส่วนกลุ่มเด็กที่เหลือต่างมุ่งหน้าสู่ห้องสมุด
“ เอาล่ะเราทุกคนจะต้องแยกกันหาหนังสือเกี่ยวกับเอลฟ์สโนว์ แล้วกลับมารวมกันที่นี่ ส่วนที่เหลือข้าจะเรียบเรียงเอง ”
อีเลียสว่า
“ ทำไมเราต้องเรียนวิชาสมุนไพรพวกนี้ด้วย ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับข้าเลย ”
โลธอร์บ่น
“ ก็เป็นเพราะฟีไลร่าสนใจเรื่องนี้อย่างไรล่ะก็เลยบังคับพวกเรา มันเป็นวิชาหลักของผู้ใช้เวทมนตร์ พวกเราเรียนไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมา รู้ไปก็แค่นั้นใช้ประโยชน์ไม่ได้ ”
เลโอน่ามีท่าทีไม่ค่อยพอใจ
“ ไม่หรอกน่า มีบางอย่างที่ต้องปรุงโดยผู้ใช้เวทมนตร์เท่านั้น แต่สมุนไพรบางอย่างแค่ปรุงครบตามสูตรก็ได้แล้ว สิ่งที่เราเรียนมันคือศาสตร์ปรุงยาที่คนธรรมดาสามารถปรุงเองได้ เรียนรู้เอาไว้น่ะดีแล้วไม่ได้ไร้ประโยชน์อย่างแน่นอน เผื่อมีเหตุฉุกเฉินเราก็สามารถรักษาด้วยตัวเองไม่ต้องตามหมอให้ยุ่งยาก ”
อีเลียสอธิบายอย่างมีเหตุผล
แม้แต่โลธอร์ก็ยังต้องพยักหน้าเห็นด้วย
เมื่อเป็นดังนั้นเด็กๆ จึงแยกย้ายกันออกไปหาหนังสือ
ตามชั้นวางที่สูงท่วมหัว
เด็กชายชาวซีนาร์ยเดินวนจนเหนื่อยก็ยังหาไม่ครบทุกชั้น
เพราะห้องสมุดแห่งนี้กว้างขวางและซับซ้อนมาก
เขาเดินลึกเข้าจนสุดฝั่งหนึ่ง
ในอ้อมแขนมีหนังสือสามเล่มที่หนาและฝุ่นเขลอะ
ที่ปลายสุดของห้องร่างสูงในชุดคลุมดำกำลังยืนหลังพิงผนัง
มือถือหนังสือปกหนากางปิดบังใบหน้าอยู่
ฟิโลโซเฟอร์เห็นดังนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปหา
คนผู้นั้นปิดหนังสือดังฉับแล้วเอียงคอน้อยๆ จ้องมองดูเขา
“ ไม่นึกว่าคนอย่างเจ้านอกจากจะก่อเรื่องไปวันๆ แล้วยังรู้จักศึกษาตำราเป็นกับเขาด้วย ”
เสียงของดารีลทักขึ้นก่อน
“ เจ้าก็พูดเกินไป จริงๆ ข้าเป็นคนขยันและตั้งใจเรียนมาก ”
หนุ่มน้อยคนนั้นพยักหน้า
แต่ท่าทางแสดงออกว่าไม่เชื่อคำพูดนั้นเลยสักนิด
แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นหนังสือที่ฟิโลโซเฟอร์ถืออยู่
“ เอลฟ์สโนว์ หยิบมาตั้งสามเล่มเลยหรือ อะไรทำให้เจ้าสนใจมันได้ถึงเพียงนี้ ”
“ เปล่าสนใจ แต่ต้องทำรายงานส่งครูสอนวิชาสมุนไพร พูดตามตรงข้าก็เพิ่งเคยเห็นตัวเป็นๆ น่ารักเหมือนกันนะ คาโอเรียคงชอบ ”
ดารีลได้ยินดังนั้นถึงกับผงะ
“ เอลฟ์สโนว์ไม่ใช่สมุนไพรพื้นฐาน การกรองเอลฟ์ออกจากนมต้องใช้ความละเอียดมาก ถ้ามีซากตกลงไปแม้แต่ตัวเดียวยาที่ปรุงได้จะเป็นพิษ แต่ถ้าเผลอทำตัวที่ยังเป็นๆ หล่นลงไปด้วยนี่ถึงตายเลยนะ ข้าคิดว่าเด็กๆ ยังขาดความรอบคอบ ให้ทำแบบนี้ไม่อันตรายไปหน่อยหรือ ”
“ อ้าว เห็นบางคนบอกว่าใช้ทำอาหารได้ด้วยข้าก็นึกว่าปรอดภัย ”
ฟิโลโซเฟอร์ว่า
“ มันก็ปรอดภัยและเป็นสมุนไพรชั้นสูงนั่นแหละ เพียงแต่ขั้นตอนการทำผิดพลาดไม่ได้เลย แล้วเด็กๆ ในชั้นของพวกเจ้าแน่ใจว่ากรองได้เรียบร้อยทุกคน ”
พอคิดย้อนไปเด็กชายก็ขนลุก
เด็กๆ วุ่นวายกันจริงในวันนั้น
แล้วครูผู้สอนก็ไม่ได้สนใจพวกเขาแม้แต่น้อย
“ มือของเจ้าเหตุใดยังพันผ้าอยู่ล่ะ ข้าแน่ใจว่าทำแผลให้แล้วนี่นา ”
ดารีลถาม
“ อ้อนี่หรือ ไม่มีอะไรหรอกอย่าสนใจเลย ”
เด็กชายชูมือข้างนั้นให้ดู
แต่ดารีลก็คว้าไปแกะผ้าออกอย่างรวดเร็ว
คิ้วเรียวงามขมวดมุ่นเข้าหากัน
ดวงตาสีดำคมกริบกระพริบถี่ด้วยความประหลาดใจ
“ เป็นไปได้อย่างไรกันนี่ ข้าไม่เคยผิดพลาดขนาดนี้ ทำไมแผลยังอยู่ล่ะ ”
“ เจ้าไม่ต้องกังวล แผลเดิมมันหายไปแล้ว ที่เห็นนี่คือข้ากรีดเพิ่มลงไปเอง ”
ฟิโลโซเฟอร์ว่าพลางดึงมือกลับ
แต่ดารีลรวบเอาไว้แน่นขึ้นไม่ยอมปล่อยง่ายๆ
“ เหตุผลล่ะ ทำแบบนี้ไปทำไมกัน ”
“ เรื่องของข้าน่าเจ้าอย่าสนใจไปเสียทุกเรื่องเลย ”
เด็กชายว่าพลางพยายามสลัดจากการเกาะกุมนั้น
มือของดารีลแม้จะดูเรียวเล็กแต่ทว่าแข็งแกร่งราวกับปลอกเหล็ก
“ ถ้าเจ้าไม่พูดความจริงก็อย่าหวังว่าจะได้ไปจากตรงนี้ ”
เสียงที่ดุดันนั้นบอกให้รู้ว่าเขาเอาจริง
“ ก็ได้ๆ ข้าบอกเจ้าก็ได้ ”
เด็กชายยอมแพ้
“ ข้าจำเป็นต้องสร้างรอยแผลเอาไว้ เพื่อจะย้ำเตือนตัวเองเพราะความไม่ระวังของข้า ทำให้เจ้าต้องบาดเจ็บ และนี่เป็นสัญญาว่าจะไม่เกิดเหตุแบบนั้นอีก ”
ดารีลจ้องคนอายุน้อยกว่าตรงหน้าแล้วถอนหายใจ
“ เจ้านอกจากจะเป็นเด็กนรกจอมเพ้อเจ้อแล้วยังนิยมความรุนแรงอีกด้วย ให้ตายสิชีวิตของข้าต้องเจออะไรแบบนี้ด้วยหรือ ”
เขาว่าพลางล้วงมือหยิบขวดเล็กๆ สีอำพันออกมา
“ ไม่นะ ข้าไม่ทายาหรอกปล่อยให้มันกลายเป็นแผลเป็นไปเถอะ ”
เด็กชายพยายามขัดขืน
“ ยานี่จะกันไม่ให้แผลเน่าเจ้าเด็กโง่ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่อยากเห็นเจ้าต้องมือขาด ”
ดารีลว่าพลางหยดยาใส่แผล
แล้วจัดการพันผ้าคืนให้อย่างเรียบร้อยสวยงาม
“ แล้วก็จำใส่ใจเอาไว้เลยว่า เพราะเจ้าข้าจึงเสียยาชั้นดีที่ปรุงยากที่สุดไปห่อหนึ่งโดยไร้ประโยชน์ ถ้าอยากได้แผลเป็นนักล่ะก็ บอกไว้เลยนิสัยแบบเจ้าไม่เกินสามสิบ ถ้าไม่ตายเสียก่อนคงได้ลายพร้อยไปทั้งตัวแน่ ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ