โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
66) ครูฝึกดาบ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเด็กชายเดินตามระเบียงยาวลงไปด้านล่างสู่โรงฝึก เขาพบว่าโลธอร์รออยู่ก่อนแล้ว เด็กร่างอ้วนกำลังยืนคุยอยู่กับนักเรียนกลุ่มใหญ่ ส่วนครูฝึกคนใหม่ของเขายังคงนั่งอยู่บนโต๊ะมีดาบเล่มหนึ่งพาดอยู่บนตัก ผนังด้านหลังเต็มไปด้วยดาบชนิดต่างๆ เรียงรายอยู่เต็มไปหมด ครูคนนี้มีร่างกายกำยำผมหยาบๆ สีดำเข้มรวบไปด้านหลัง แก้มด้านหนึ่งมีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่พาดผ่าน ในท่าทีสงบนิ่งมีบางครั้งที่เขาแอบมองนักเรียนจากทางหางตา
“ เอาละ นักเรียนมากันครบแล้วใช่ไหม ”
เขาว่าพลางเดินตรงมาทางกลุ่มเด็กๆ มือข้างหนึ่งถือดาบมาด้วย
“ บางคนอาจยังไม่รู้ นี่คือดาบบาเรียนถูกตีขึ้นเมื่อ 800 ปีก่อน ในสมัยของกษัตริย์เอนลิน ”
เขาชักดาบออกจากฝักแล้วฟันหินที่วางอยู่ใกล้ๆ ขาดเป็นสองท่อน
นักเรียนเข้าไปดูรอยแผลที่หินต่างพากันครางฮือรอยแผลนั้นเรียบเนียน
“ มันเป็นดาบที่ลือชื่อมากในสมัยนั้น เคยสังหารคนมาแล้วนับไม่ถ้วนจนได้รับสมญานามว่าเจ้าแห่งยมทูต แต่หลังจากสิ้นยุคของเอนลินมันก็ไม่เคยดื่มโลหิตใครอีกเลย แท้จริงแล้วความชั่วร้ายไม่ได้เกิดจากดาบ หากแต่เกิดจากมือที่จับดาบนั่นเอง ”
ครูคนนั้นพูด
“ ที่นี่นอกจากเราจะค้นหาความชำนาญแล้ว เรายังต้องค้นหาจิตวิญญาณของนักดาบ เราต้องเป็นนายของดาบจงอย่าให้ดาบมาเป็นนายของเรา ”
เมื่อเขากล่าวจบเด็กๆ หลายคนก็ขอสัมผัสดาบของครูด้วยความรู้สึกชื่นชม
“ แน่นอนว่าเป็นความใฝ่ฝันของนักดาบที่จะมีดาบดีๆไว้ในครอบครอง จนบางครั้งดาบก็นำความตายมาสู่นายของมันเอง ดังนั้นเมื่อมีดาบอยู่ในมือแล้วจงถือไว้ให้มั่น สติต้องมาก่อนเมื่อบวกกับความสามารถแล้วนั่นแหละพวกเจ้าจึงจะมีชีวิตรอดในสนามรบ ”
เขาสั่งให้เด็กนักเรียนเข้าแถวพลางอธิบายต่อ
“ การใช้ดาบเป็นศิลปะอย่างหนึ่งท่วงทำนองที่ดุดันด้องมีความพลิ้วไหวด้วย ”
อาจารเฮอร์เมสส่งดาบไม้ให้แก่เด็กนักเรียน
“ เก็บดาบของพวกเจ้าไปเสีย เพราะนี่คือชั้นเรียนหาใช่สนามรบไม่ ข้าไม่อยากเห็นการบาดเจ็บนองเลือดที่นี่ ”
หลังจากปล่อยเด็กๆ ให้จับคู่ฟันดาบกันเอง
โดยที่ครูผู้สอนเอาแต่นั่งจิบเบียร์ไม่แม้แต่จะหันไปมอง
จนเวลาผ่านไปนานเด็กนักเรียนก็รู้สึกเหนื่อย
พวกเขาจึงพากันนั่งพัก
ฟิโลโซเฟอร์กับโลธอร์ก็หยุดพักด้วย
ทั้งคู่ได้มานั่งรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ
เด็กๆ ต่างนำดาบประจำกายขึ้นมาอวดกันและกัน
ต่างเล่าถึงที่ไปที่มาด้วยความภาคภูมิใจ
แล้วสายตาของเด็กคนหนึ่งก็พบกับดาบของฟิโลโซเฟอร์เข้า
“ ดาบของเจ้าชื่ออะไรเหตุใดดูประหลาดนัก ”
“ มันคือดาบไม้แต่ช่างเขาสลักลวดลายลงไปด้วย ไม่มีชื่อหรอก ข้าเพิ่งได้มันมาเมื่อไม่นานมานี้ ”
เด็กน้อยตอบ
“ แล้วดาบจริงๆ ของเจ้าล่ะ พวกที่เป็นโลหะอย่างของข้านี่ เป็นดาบของท่านปู่ตกทอดมา ”
เพื่อนอีกคนถาม
“ ยังหรอก ก่อนหน้านั้นข้าฝึกธนูเลยมีแค่ธนูคันหนึ่ง ตอนนี้มาเรียนฟันดาบด้วยพ่อของข้าเลยบอกว่า ให้ใช้ดาบไม้คล่องเสียก่อนจึงจะถือดาบจริงได้ ”
“ กลับกันนะพ่อของข้าบอกว่าชายชาตรีต้องถือดาบไม่ห่างกาย ข้าจึงมีดาบเป็นของตัวเองตั้งแต่เริ่มหัดเดิน ความคิดของพ่อเจ้าประหลาดจริง แต่อย่าห่วงไปเลยหากเจ้ามีเงินพอ ข้าจะพาไปร้านขายดาบเอาที่ราคาไม่แพงก็ได้ ถือเอาไว้จะได้ไม่อายใคร ”
ฟิโลโซเฟอร์ไม่ตอบโต้
เขาเพียงแต่ยิ้มรับเท่านั้น
เด็กชายคนนี้เชื่อใจบิดาของเขามาก
อะไรที่อาเธอร์ว่าดีเขาก็ดีตามสิ่งใดที่ว่าถูกต้องเขาก็พร้อมจะเชื่อตามนั้น
และหากวันนั้นมาถึง
เขาแน่ใจว่าอาเธอร์ต้องหาดาบชั้นดีมาให้อย่างแน่นอน
“ ไม่เห็นจำเป็นที่บุรุษทุกคนต้องถือดาบนี่นา ”
โลธอร์ว่าพลางหยิบขวานกับค้อนออกมา
“ ชาวเมืองคีรีคาร์มักจะถือสองสิ่งนี้ติดตัวเสมอ มันใช้งานได้ดีในเหมืองและเป็นอาวุธระยะใกล้เหมือนกันกับดาบนั่นแหละ นอกจากนั้นอานุภาพการขว้างก็ไกลและรุนแรงพอสมควร แต่สำหรับข้าไม่จำเป็นไม่นิยมปาขวานหรอกนะ ขี้เกียจตามเก็บน่ะ ”
“ นี่พวกเจ้ายังไม่พักกันอีกหรือ ”
อีเลียสว่า
เขาเดินมานั่งลงข้างๆ เพื่อนทั้งสอง
เด็กชายคนนี้ปรกติก็ตัวเล็กผอมบางอยู่แล้ว
เมื่อเข้ามาอยู่ในกลุ่มฝึกนักรบก็เลยดูตัวเล็กลงไปอีก
“ ข้ายังไม่ได้ยินเสียงระฆังเลยอีกอย่าง ”
โลธอร์ว่าพลางชี้นิ้วไปที่เก้าอี้นั่งของอาจารย์ซึ่งในตอนนี้ว่างเปล่า
“ อ้าว หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่หิวข้าวก็ไม่บอก แอบไปกินก่อนนักเรียนเสียอย่างนั้น ใช้ไม่ได้เลยแบบนี้ ”
“ มันคือความตกต่ำของโอรีเวีย แต่วิชาปรัชญายังดีอยู่ไม่ย้ายไปเรียนกับข้าล่ะ ”
อีเลียสว่าพลางวางหนังสือปกหนาลงข้างตัว
“ อะไรคือความตกต่ำที่เจ้าหมายถึง ”
นักเรียนชายคนหนึ่งถาม
“ ไม่มีใครสังเกตเลยหรือ พวกอาจารย์ไม่ตั้งใจสอนกันเลย ซ้ำบางคนยังมีท่าทีหน่ายชีวิต แต่เดิมทีมีตำรากล่าวไว้ว่าเมืองโอรีเวียนั้นตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นสถานฝึกสอนนักปราชญ์ แต่ตอนนี้ไม่เหลือเค้าเดิมเลย ทุกอย่างถูกตีราคาเป็นค่าเงินและผู้คนก็แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ”
เด็กร่างผอมนามว่าอีเลียสตอบ
“ แปลกจริง ข้าไม่ยักเห็นเจ้าชายเอลานอส หมอนั่นต้องชอบการต่อสู้อย่างแน่นอน หรือเขาจะเป็นเด็กฝึกยิงธนู ฟิลอสเจ้าเห็นเขาบ้างหรือเปล่า ”
โลธอร์ถาม
“ ฟิโลโซเฟอร์ต่างหากเล่า นี่เจ้าเคยเรียกถูกสักครั้งหรือไม่ ”
เสียงอีเลียสดูเหนื่อยหน่าย
“ ก็แหม คนบ้าอะไรชื่อเรียกยากชะมัด ”
“ มีเจ้าคนเดียวนั่นแหละที่เรียกผิด ”
“ ช่างเถอะข้าไม่ถือหรอก ”
ฟิโลโซเฟอร์ตัดบทก่อนที่ทั้งคู่จะเริ่มทะเลาะกันอีก
แล้วชวนเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับชื่อของเขา
“ จะว่าไปข้าก็ไม่เคยเห็นเจ้าชายจอมกร่างนั่นในชั้นเรียนยิงธนู เขาอาจจะเรียนเกี่ยวกับการปกครองก็ได้ ”
“ ไม่หรอกเขาอยู่ในกลุ่มฝึกนักรบนั่นแหละ เพียงแต่ไม่ใช่ในปราสาทขาว ที่นี่มันไร้ค่าเกินไปสำหรับเขา ”
เด็กชายผู้มากความรู้บอก
“ ไม่ใช่ในปราสาทขาว แล้วที่ไหนกัน มีที่ไหนให้ไปฝึกได้ ”
โลธอร์สงสัย
“ พวกเจ้าเพิ่งมาจากต่างเมืองคงไม่รู้เรื่องสินะ แต่เรื่องนี้เกิดขึ้นมานานมากแล้ว เหล่าตระกูลนักรบเก่งๆ ของเมืองโอรีเวียได้ตั้งค่ายฝึกผู้กล้าในด้านต่างๆ ขึ้น ต่างรับศิษย์ด้วยตัวเองไม่เกี่ยวข้องกับปราสาทขาว พวกเขาทำกำไรได้มาก ใครอยากเก่งอยากมีชื่อเสียงต้องมีต้นสังกัดคอยดัน สุดท้ายคนที่มาเรียนในปราสาทขาวก็น้อยลง ครูเก่งๆ ก็ลาออกไปตั้งสำนักเอง ส่วนที่เหลือก็เป็นอย่างที่พวกเจ้าเห็นนั่นแหละ ”
“ แล้วเหตุใดเจ้าจึงยังอยู่ในปราสาทขาวล่ะ ”
ฟิโลโซเฟอร์สงสัย
“ ข้าไม่ได้อยากเป็นนักรบนี่ ในปราสาทขาวไม่มีครูเก่งๆ ก็จริง แต่มีสมุดบันทึกตำราที่เก่าแก่และดีที่สุด สำหรับข้าแล้วความรอบรู้คือพลังอำนาจที่แข็งแกร่ง ”
“ เหอะ ”
โลธอร์ย่นจมูก
“ เป็นอย่างนี้เกิดพลัดหลงเข้าไปในสนามรบ ถ้ามีแค่สมองเจ้าตายแหงแก๋ ข้าแนะนำให้ไปฝึกวิ่งด้วย เพราะที่นั่นคงไม่มีใครเขาจะมานั่งถกปัญหาทางปรัชญากับเจ้าแน่ ”
“ พูดถึงค่ายฝึกที่เจ้าว่ามีที่ไหนบ้าง ถ้าข้าอยากเข้าร่วมต้องทำอย่างไร ”
เด็กชายชาวซีนาร์ยยังสนใจเรื่องนี้อยู่
เพราะเขาก็อยากเป็นนักรบที่มีฝีมือคนหนึ่ง
ไม่ใช่ว่าเขามักใหญ่ใฝ่สูง
แต่เป็นเพราะเด็กคนนี้มีใครบางคนที่เขาอยากปกป้อง
“ เรื่องนี้เจ้าน่าจะรู้ดีกว่าข้า บิดาของเจ้าคืออาเธอร์ใช่หรือไม่ ปู่ของเจ้าชื่อโอดีรุสเมื่อก่อนเขาก็เคยมีค่ายฝึกทหารแต่ตอนนี้ได้ปิดตัวลงแล้ว ”
“ จริงหรือข้าไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย ”
ฟิโลโซเฟอร์ประหลาดใจ
แต่ก็อย่างว่าเป็นเพราะบิดาของเขาไม่เคยเล่าเรื่องเหล่านี้ไห้ฟังเลยสักครั้ง
“ ดูเหมือนเจ้าจะรู้ดีไปเสียทุกเรื่องเลยนะ ”
โลธอร์ว่า
“ แน่อยู่แล้วเรื่องนี้เป็นข่าวดังมาก ข้าไม่รู้สิแปลก ก็ค่ายทหารของปู่ฟิโลโซเฟอร์น่ะขึ้นชื่อที่สุด อีกทั้งบุตรชายคนเล็กของเขารู้สึกจะชื่อแอสเธอลาสได้เป็นถึงผู้พิทักษ์หน้ากากทอง เรื่องนี้ส่งผลดีต่อค่ายยิ่งนักแต่น่าประหลาด หลังจากการหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยของแอสเธอลาสคนน้อง อาเธอร์คนพี่ที่กำลังมีชื่อเสียงก็หนีไปอีก ค่ายฝึกทหารที่กำลังเฟื่องฟูก็เป็นอันพังพาบไป น่าเสียดายยิ่งนัก ”
“ เยี่ยม ไม่นึกมาก่อนว่าตระกูลของเจ้าจะโด่งดังถึงเพียงนี้ แต่เจ้าเคยบอกว่าเป็นลูกชาวนามิใช่หรือ ”
โลธอร์ว่า
“ ก็จริงอยู่ เรื่องราวในโอรีเวียข้าไม่เคยรู้เลย แต่ตอนนี้พอเข้าใจความเกลียดชังของปู่น้อยต่อท่านพ่อแล้วล่ะ ร้ายไปกว่านั้น ข้าเพิ่งรู้ว่ามีคนชื่อแอสเธอลาสเป็นน้องชายของพ่อตอนเดินทางมาถึงโอรีเวียแล้วนี่แหละ ”
“ ขอโทษนะที่ข้าต้องบอกว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากล บิดาของเจ้าคงพยายามปกป้องครอบครัวอยู่จึงต้องกันเจ้าออกไป แต่โชคร้ายที่ชะตากรรมพาเขากลับมาที่โอรีเวียอีกครั้ง อันที่จริงมีเหตุการณ์อีกเหตุการณ์หนึ่งที่คล้ายกันมากและเกิดขึ้นในระยะเวลาใกล้เคียงกันด้วย ข้าไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกันหรือไม่ ”
“ เรื่องอะไรล่ะ ”
โลธอร์อยากรู้
“ มันเป็นเรื่องของตระกูลฝึกนักฆ่าที่โด่งดังที่สุดในโอรีเวีย ตระกูลของลอร์ดเดเวอร์ลอส ”
“ บ้านของดารีลน่ะหรือ เกิดอะไรขึ้นกับเขา ”
ฟิโลโซเฟอร์ถึงกับสะดุ้ง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ