โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
7.3
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
188 บทที่
11 วิจารณ์
137.76K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
127) เรื่องความอัปยศของบิดาเจ้า
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความชั่วโมงเรียนของวิชาประวัติศาสตร์ว่าด้วยสงครามโค่นปีศาจในยุคกลาง ดารีลและเด็กชายตัวน้อยมาถึงเมื่อเพื่อนๆ เข้าประจำที่กันหมดแล้ว
พ่อมดน้อยนั้น อยู่ในสภาพมึนงงเหมือนเพิ่งตื่นนอนหมาดๆ ส่วนฟิโลโซเฟอร์ที่เดินมาข้างๆ ก็ดูพึงพอใจในตนเองเป็นอย่างมาก
ดารีลผลักคนอายุน้อยกว่าให้นั่งลงข้างๆ ฟีไลร่า ส่วนตัวเขาเดินเลยไปนั่งข้างหลังสุด ตามลำพังเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา
สายตาของเด็กนักเรียนทุกคนจ้องมาที่พวกเขา หลายคนสงสัยว่าคนทั้งคู่มาด้วยกันได้อย่างไร เพราะการที่ผู้ใช้เวทมนตร์จะไปไหนมาไหนกับคนธรรมดานั้นยากนัก
“ ไหนเจ้าบอกลืมหนังสือมิใช่หรือ แล้วไงมากับหมอนี่ได้ ที่หายไปนานสองนานนี่ตกลงไปทำอะไรแน่ ”
โลธอร์หันมาถาม
“ ข้าขึ้นไปเอาหนังสือจริงๆ แล้วก็เผลอหลับเท่านั้นเอง ”
“ แค่หยิบหนังสือนี่นะถึงกับนอนหลับ เจ้าช่างประหลาดคนจริง ”
อีเลียสว่าบ้าง
เขาชำเลืองมองดารีล
ซึ่งตอนนี้ทำเป็นหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน
เหมือนว่าไม่มีสิ่งใดผิดปรกติ
“ แล้วตกลงพวกเจ้ามาพร้อมกันได้อย่างไร ”
ฟีไลร่ายังคงสงสัย
“ ดารีลก็แค่แวะมาให้คำแนะนำเรื่องดาบ พอดีกับว่าเราเรียนวิชาเดียวกันจึงเดินมาพร้อมกันก็เท่านั้นเอง ทำไมล่ะมีอะไรหรือ ”
“ เปล่าหรอก ข้าก็นึกว่าพวกเจ้ามีความลับอะไร ”
นางว่า
เด็กชายชาวซีนาร์ยหัวเราะ
ดวงตาเป็นประกายน่าพิศวง
“ เมื่อครู่ไม่มีอะไรหรอก แต่ก่อนหน้านั้นไม่แน่ ”
เหมือนจะได้ผล
ฟีไลร่าติดกับทันที
ทั้งที่นั่งใกล้กันอยู่แล้วนางยังขยับเข้ามาชิดอีก
สองมือจับแขนของเขาเขย่า
“ ยังไงหรือ ก่อนหน้านั้นมีเรื่องอะไรที่ข้าไม่รู้ บอกข้าบ้างสิ ”
หินก้อนหนึ่งหล่นปุ๊กลงกลางโต๊ะของคนทั้งคู่
โดยไม่รู้ที่ไปที่มา
เด็กชายหันขวับไปมองดารีลทันที
หนุ่มน้อยคนนั้นทำหน้าตึงใส่
แล้วตวัดหางตาไปทางประตูเข้า
อาจารย์โดเฮเกนกำลังเดินผ่านประตูเข้ามา
ฟิโลโซเฟอร์จึงรีบนั่งตัวตรง
และอยู่ในความเรียบร้อย
อันที่จริงวิชานี้ออกจะน่าเบื่อ
เพราะคนสอนเอาแต่เล่าประวัติคนนั้นคนนี้
แต่ไม่เคยกล่าวถึงจุดเริ่มต้นหรือจุดสิ้นสุดของสงคราม
นอกจากนั้นยังคอยหลบเลี่ยงคำถามประหลาดของนักเรียน
มีคำเล่าลือกันว่า
เป็นเพราะเขาหวาดกลัวสายตาของจอมเวทวาลาน
เรื่องนี้คงสำคัญไม่น้อย
จนต้องส่งคนสนิทเช่นดารีลมาตามประกบ
แต่ก็อย่างที่เห็น
ยิ่งต้องห้ามยิ่งน่าสนใจ
แม้อาจารย์โดเฮเกนจะระวังตัวแจ
เมื่อถูกรบเร้าก็ต้องมีเผลอตัว
ยิ่งดารีลทำตัวเป็นนักเรียนที่ดี
นอกจากจะตั้งใจเรียนแล้วยังคอยจดรายละเอียดไม่เคยเว้น
แม้แต่ตำราของเขายังเล่มหนากว่าครูผู้สอน
สิ่งเหล่านี้ทำให้โดเฮเกนลืมไปว่า
ดารีลมาที่ห้องนี้เพื่ออะไร
“ จริงหรือเปล่าที่อาจารย์เคยร่วมรบในสงครามเมืองคาเล ”
เสียงนักเรียนคนหนึ่งถามขึ้น
ทำเอาทั้งห้องหยุดชะงัก
แม้ดารีลเองยังถึงกับถือปากกาขนนกค้าง
แต่สีหน้ายังนิ่งงัน
“ เรื่องนี้เกิดขึ้นคนละยุคกับที่เรากำลังเรียนอยู่ ”
อาจารย์โดเฮเกนตอบเรียบๆ
“ ถึงจะเกิดคนละยุคแต่อาจารย์ก็เล่าเป็นเกร็ดความรู้ได้นี่นา ”
นักเรียนอีกคนพูดขึ้น
“ ใช่ๆ พวกเราอยากรู้เหตุใดเรื่องนี้จึงไม่มีการเรียนการสอน ยุคของซาเหวจลอร์ดน่ะนานเกินไป มันก็แค่นิทานเรื่องหนึ่งรู้ไปก็เท่านั้น แต่เรื่องเมื่อสิบปีที่แล้วนี่มันยังไงกันแน่ ในเมื่อเรามีผู้รู้จริงนั่งอยู่ตรงนี้แล้ว ใยไม่เล่าให้ฟังว่าสงครามเมืองคาเลนั้นเริ่มต้นอย่างไรและจบลงได้อย่างไร ”
เมื่อถูกเยินยอมากเข้า
อาจารย์โดเฮเกนก็อดใจไม่ไหว
เขาจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นโดยย่อ
นักเรียนนั่งฟังและตั้งใจจดเนื้อหาอย่างกระตือรือร้น
มีเพียงดารีลเท่านั้นที่นั่งนิ่ง
ใช้ปากกาขนนกปากเหล็กเคาะกับกระดาษจดเบาๆ
“ ในตอนนั้นตอนปลายของสงคราม เหล่านักรบต่างล้อมเมืองเอาไว้ถึงเจ็ดเดือนและในคืนวันที่สิบสาม มหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่นามว่าลีลล์ก็สามารถหาวิธีทำลายกำแพงเมืองนั้นลง พวกเราได้เข้าไปกวาดล้างสิ่งชั่วร้ายที่อยู่ในเมืองนั้น จอมปีศาจหนีร่นเข้าไปในตัวปราสาท เราต้องใช้ยักษ์โทรลช่วยถล่มป้อมปราสาท ฝูงมังกรดำถูกคาถาศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าพ่อมดสกัดไว้ทำให้เข้ามาช่วยในปราสาทไม่ได้ แล้วควอซาร์ก็ได้หนีขึ้นไปอยู่บนหอสูงเพียงลำพัง ร่ายคำสาบที่ชั่วร้ายที่นั่นหลังจากนั้นเขาก็ฆ่าตัวตายเพื่อหนีความพ่ายแพ้ ”
เขาหยุดพูด
เมื่อเห็นดารีลยกมือขึ้นช้าๆ
แววตาที่มองมาทางอาจารย์ผู้ชรานั้นเย็นเยือก
“ ว่าอย่างไรล่ะ ”
อาจารย์โดเฮเกน
“ กล่าวกันว่าคนพูดโกหกให้พูดซ้ำอีกครั้งมักจะไม่ตรง หากท่านไม่สามารถพูดความจริงได้ สู้ไม่พูดอะไรเลยดีกว่าไหม สามครั้งที่ท่านพูดเรื่องนี้ราวกับว่าเป็นคนละเรื่องกัน ความจริงแล้วท่านไม่รู้อะไรเลยหรือท่านรู้ดีแต่พยายามซ่อนอะไรบางอย่างอยู่ ”
“ ข้าแน่ใจว่าเจ้าเพิ่งเข้าเรียนกับข้าเป็นครั้งแรก พูดเช่นนี้เจ้าต้องการอะไรกันดารีล ”
“ ข้าเองก็เคยเตือนท่านว่า ข้ามาที่นี่เพื่อคอยจับตาดูท่าน เรื่องวันนี้หรือนับย้อนหลังจากนี้ เป็นความจำเป็นของข้าที่ต้องรู้ ”
ดารีลว่า
“ มีข่าวลือหนาหูว่าเจ้ายืนคนละฝั่งกับจอมเวทวาลาน ตอนนี้เห็นได้ชัดแล้วว่าไม่จริง เจ้ามันก็ลิ่วล้อของเขาดีๆ นี่เอง ”
น้ำเสียงของโดเฮเกนนั้นเย้ยหยัน
“ ต่อหน้านักเรียนทั้งหลาย ท่านพูดถึงฝั่งฝ่ายในโอรีเวียเมืองแห่งพันธมิตรได้อย่างไรกัน ความแตกแยกเป็นลางร้ายแห่งความล่มสลาย ไม่ว่าเมืองใดก็ตามต้องระวังสิ่งนี้ให้ดี วาลานเป็นนายสูงสุดหากข้าไม่เชื่อฟังเขา จะให้ข้าเชื่อฟังท่านอย่างนั้นหรือ ”
ดารีลตอบโต้อย่างไร้อารมณ์
ราวกับเรื่องทั้งหลายล้วนไร้สาระ
“ เจ้าอยากฟังเรื่องจริงสินะ ”
หนุ่มน้อยไม่ตอบ
เขาแค้ใช้ปลายขนนกลูบไล้ปลายคางตนเอง
“ เรื่องความอัปยศของบิดาเจ้าน่ะ ”
อาจารย์โดเฮเกนเน้นทีละคำ
ซึ่งก็เรียกเสียงพึมพำจากนักเรียนได้ไม่น้อย
สายตาหลายคู่จับจ้องมาที่หนุ่มน้อยคนนี้
ดารีลนั้นเม้มปากบางเฉียบจนใครหลายคนคิดว่าเขาคงจะโกรธ
แต่แล้วเขาก็ระบายรอยยิ้มบางๆ
พร้อมกับแววตาที่รู้เท่าทัน
“ น่าสนใจดีและข้าสมควรได้รู้ ว่ามาสิ เรื่องที่มันทับถมอยู่ในใจท่านจนเส้นผมต้องหงอกขาวและร่วงโรยไปก่อนเวลาอันควร บางทีมันอาจจะดีต่อท่านเองแม้วันข้างหน้าหากตายไปจะได้ตายตาหลับ เพราะไม่มีสิ่งใดค้างคาใจแล้ว ”
“ ข้าไม่ได้ทำ! บิดาของเจ้าโกหก ”
อาจารย์หน้าแดงก่ำ
สองมือกำแน่นจนสั่นระริก
เขาพยายามหลับตาเพื่อระงับอารมณ์
“ ดาเรนนั้นวิปลาสไปแล้ว แม้แต่ชื่อบุตรของตนเองยังจำไม่ได้ กล่าวหาว่าเขาโกหกไม่ใจร้ายไปหน่อยหรือ จริงอยู่คำพูดของเขาเชื่อถือไม่ได้ แต่เขาก็ไม่เคยกล่าวอะไร นอกจากออกท่องเที่ยวเพื่อตามหาบุตรภรรยาที่เชื่อว่าถูกลักพาตัวไป ก็เท่านั้นเอง ”
“ เขาทำพลาดเอง กลายเป็นแบบนั้นก็สาสมแล้ว ปล่อยควอซาร์ร่ายคำสาปจนสำเร็จไม่พอยังปล่อยทายาทของเขาให้หลุดรอดมาได้ สงครามที่ควรจะจบจึงไม่จบ เรื่องนี้ใครสมควรต้องรับผิดชอบ ”
อาจารย์ผู้ชราขึ้นเสียง
“ ในเวลานั้นไม่มีใครรู้ว่าควอซาร์มีทายาท จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่รู้แน่ แม้คำสาปนั้นใครเป็นผู้สร้างก็ยังไม่มีคำยืนยัน ต่อหน้าวาลานท่านไม่อาจเอ่ยสิ่งเหล่านี้ แต่ต่อหน้าข้าท่านกลับพูดชัดเต็มถ้อยคำ เช่นนั้นแล้วข้าสมควรเชื่อหรือไม่ ในบันทึกบอกว่าท่านเป็นหนึ่งในห้าที่เข้าถึงควอซาร์ในวันนั้น สามคนได้ตายไปหนึ่งคนเสียสติจึงเหลือท่านเพียงคนเดียวที่จะกล่าวอะไรก็ได้ ไม่มีใครโต้แย้งได้แล้ว ”
เสียงของดารีลนั้นเย็นเยือก
อาจารย์โดเฮเกนถอนหายใจยาว
“ ดารีล ดารีล สิ่งหนึ่งที่เจ้าไม่รู้ข้ากับบิดาของเจ้าเคยเป็นเพื่อนรักกัน มีเรื่องมากมายที่ข้าไม่ได้พูดและพูดไม่ได้ เจ้านั้นเป็นผู้ใช้เวทมนตร์จะเข้าถึงก็ลำบาก เจ้าไม่รู้หรอกข้าเองก็เสียใจไม่น้อยที่บิดาของเจ้ากลายเป็นเช่นนั้น เอาล่ะเราจะยุติเรื่องนี้กันเพียงเท่านี้ ตอนเย็นมาหาข้าที่ห้องพักสิ ข้าจะตอบทุกคำถามของเจ้า ”
“ วันนี้หลังสามทุ่ม ”
ดารีลบอก
“ ข้ามีนัดกับครูใหญ่ ต้องจัดการปัญหาสำคัญก่อน ”
“ ไม่มีใครเตือนเจ้าหรือไง หมอนั้นไม่น่าคบสักนิด ”
อาจารย์โดเฮเกนว่า
ส่วนดารีลยิ้มบางๆ แทนคำตอบ
พ่อมดน้อยนั้น อยู่ในสภาพมึนงงเหมือนเพิ่งตื่นนอนหมาดๆ ส่วนฟิโลโซเฟอร์ที่เดินมาข้างๆ ก็ดูพึงพอใจในตนเองเป็นอย่างมาก
ดารีลผลักคนอายุน้อยกว่าให้นั่งลงข้างๆ ฟีไลร่า ส่วนตัวเขาเดินเลยไปนั่งข้างหลังสุด ตามลำพังเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา
สายตาของเด็กนักเรียนทุกคนจ้องมาที่พวกเขา หลายคนสงสัยว่าคนทั้งคู่มาด้วยกันได้อย่างไร เพราะการที่ผู้ใช้เวทมนตร์จะไปไหนมาไหนกับคนธรรมดานั้นยากนัก
“ ไหนเจ้าบอกลืมหนังสือมิใช่หรือ แล้วไงมากับหมอนี่ได้ ที่หายไปนานสองนานนี่ตกลงไปทำอะไรแน่ ”
โลธอร์หันมาถาม
“ ข้าขึ้นไปเอาหนังสือจริงๆ แล้วก็เผลอหลับเท่านั้นเอง ”
“ แค่หยิบหนังสือนี่นะถึงกับนอนหลับ เจ้าช่างประหลาดคนจริง ”
อีเลียสว่าบ้าง
เขาชำเลืองมองดารีล
ซึ่งตอนนี้ทำเป็นหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน
เหมือนว่าไม่มีสิ่งใดผิดปรกติ
“ แล้วตกลงพวกเจ้ามาพร้อมกันได้อย่างไร ”
ฟีไลร่ายังคงสงสัย
“ ดารีลก็แค่แวะมาให้คำแนะนำเรื่องดาบ พอดีกับว่าเราเรียนวิชาเดียวกันจึงเดินมาพร้อมกันก็เท่านั้นเอง ทำไมล่ะมีอะไรหรือ ”
“ เปล่าหรอก ข้าก็นึกว่าพวกเจ้ามีความลับอะไร ”
นางว่า
เด็กชายชาวซีนาร์ยหัวเราะ
ดวงตาเป็นประกายน่าพิศวง
“ เมื่อครู่ไม่มีอะไรหรอก แต่ก่อนหน้านั้นไม่แน่ ”
เหมือนจะได้ผล
ฟีไลร่าติดกับทันที
ทั้งที่นั่งใกล้กันอยู่แล้วนางยังขยับเข้ามาชิดอีก
สองมือจับแขนของเขาเขย่า
“ ยังไงหรือ ก่อนหน้านั้นมีเรื่องอะไรที่ข้าไม่รู้ บอกข้าบ้างสิ ”
หินก้อนหนึ่งหล่นปุ๊กลงกลางโต๊ะของคนทั้งคู่
โดยไม่รู้ที่ไปที่มา
เด็กชายหันขวับไปมองดารีลทันที
หนุ่มน้อยคนนั้นทำหน้าตึงใส่
แล้วตวัดหางตาไปทางประตูเข้า
อาจารย์โดเฮเกนกำลังเดินผ่านประตูเข้ามา
ฟิโลโซเฟอร์จึงรีบนั่งตัวตรง
และอยู่ในความเรียบร้อย
อันที่จริงวิชานี้ออกจะน่าเบื่อ
เพราะคนสอนเอาแต่เล่าประวัติคนนั้นคนนี้
แต่ไม่เคยกล่าวถึงจุดเริ่มต้นหรือจุดสิ้นสุดของสงคราม
นอกจากนั้นยังคอยหลบเลี่ยงคำถามประหลาดของนักเรียน
มีคำเล่าลือกันว่า
เป็นเพราะเขาหวาดกลัวสายตาของจอมเวทวาลาน
เรื่องนี้คงสำคัญไม่น้อย
จนต้องส่งคนสนิทเช่นดารีลมาตามประกบ
แต่ก็อย่างที่เห็น
ยิ่งต้องห้ามยิ่งน่าสนใจ
แม้อาจารย์โดเฮเกนจะระวังตัวแจ
เมื่อถูกรบเร้าก็ต้องมีเผลอตัว
ยิ่งดารีลทำตัวเป็นนักเรียนที่ดี
นอกจากจะตั้งใจเรียนแล้วยังคอยจดรายละเอียดไม่เคยเว้น
แม้แต่ตำราของเขายังเล่มหนากว่าครูผู้สอน
สิ่งเหล่านี้ทำให้โดเฮเกนลืมไปว่า
ดารีลมาที่ห้องนี้เพื่ออะไร
“ จริงหรือเปล่าที่อาจารย์เคยร่วมรบในสงครามเมืองคาเล ”
เสียงนักเรียนคนหนึ่งถามขึ้น
ทำเอาทั้งห้องหยุดชะงัก
แม้ดารีลเองยังถึงกับถือปากกาขนนกค้าง
แต่สีหน้ายังนิ่งงัน
“ เรื่องนี้เกิดขึ้นคนละยุคกับที่เรากำลังเรียนอยู่ ”
อาจารย์โดเฮเกนตอบเรียบๆ
“ ถึงจะเกิดคนละยุคแต่อาจารย์ก็เล่าเป็นเกร็ดความรู้ได้นี่นา ”
นักเรียนอีกคนพูดขึ้น
“ ใช่ๆ พวกเราอยากรู้เหตุใดเรื่องนี้จึงไม่มีการเรียนการสอน ยุคของซาเหวจลอร์ดน่ะนานเกินไป มันก็แค่นิทานเรื่องหนึ่งรู้ไปก็เท่านั้น แต่เรื่องเมื่อสิบปีที่แล้วนี่มันยังไงกันแน่ ในเมื่อเรามีผู้รู้จริงนั่งอยู่ตรงนี้แล้ว ใยไม่เล่าให้ฟังว่าสงครามเมืองคาเลนั้นเริ่มต้นอย่างไรและจบลงได้อย่างไร ”
เมื่อถูกเยินยอมากเข้า
อาจารย์โดเฮเกนก็อดใจไม่ไหว
เขาจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นโดยย่อ
นักเรียนนั่งฟังและตั้งใจจดเนื้อหาอย่างกระตือรือร้น
มีเพียงดารีลเท่านั้นที่นั่งนิ่ง
ใช้ปากกาขนนกปากเหล็กเคาะกับกระดาษจดเบาๆ
“ ในตอนนั้นตอนปลายของสงคราม เหล่านักรบต่างล้อมเมืองเอาไว้ถึงเจ็ดเดือนและในคืนวันที่สิบสาม มหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่นามว่าลีลล์ก็สามารถหาวิธีทำลายกำแพงเมืองนั้นลง พวกเราได้เข้าไปกวาดล้างสิ่งชั่วร้ายที่อยู่ในเมืองนั้น จอมปีศาจหนีร่นเข้าไปในตัวปราสาท เราต้องใช้ยักษ์โทรลช่วยถล่มป้อมปราสาท ฝูงมังกรดำถูกคาถาศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าพ่อมดสกัดไว้ทำให้เข้ามาช่วยในปราสาทไม่ได้ แล้วควอซาร์ก็ได้หนีขึ้นไปอยู่บนหอสูงเพียงลำพัง ร่ายคำสาบที่ชั่วร้ายที่นั่นหลังจากนั้นเขาก็ฆ่าตัวตายเพื่อหนีความพ่ายแพ้ ”
เขาหยุดพูด
เมื่อเห็นดารีลยกมือขึ้นช้าๆ
แววตาที่มองมาทางอาจารย์ผู้ชรานั้นเย็นเยือก
“ ว่าอย่างไรล่ะ ”
อาจารย์โดเฮเกน
“ กล่าวกันว่าคนพูดโกหกให้พูดซ้ำอีกครั้งมักจะไม่ตรง หากท่านไม่สามารถพูดความจริงได้ สู้ไม่พูดอะไรเลยดีกว่าไหม สามครั้งที่ท่านพูดเรื่องนี้ราวกับว่าเป็นคนละเรื่องกัน ความจริงแล้วท่านไม่รู้อะไรเลยหรือท่านรู้ดีแต่พยายามซ่อนอะไรบางอย่างอยู่ ”
“ ข้าแน่ใจว่าเจ้าเพิ่งเข้าเรียนกับข้าเป็นครั้งแรก พูดเช่นนี้เจ้าต้องการอะไรกันดารีล ”
“ ข้าเองก็เคยเตือนท่านว่า ข้ามาที่นี่เพื่อคอยจับตาดูท่าน เรื่องวันนี้หรือนับย้อนหลังจากนี้ เป็นความจำเป็นของข้าที่ต้องรู้ ”
ดารีลว่า
“ มีข่าวลือหนาหูว่าเจ้ายืนคนละฝั่งกับจอมเวทวาลาน ตอนนี้เห็นได้ชัดแล้วว่าไม่จริง เจ้ามันก็ลิ่วล้อของเขาดีๆ นี่เอง ”
น้ำเสียงของโดเฮเกนนั้นเย้ยหยัน
“ ต่อหน้านักเรียนทั้งหลาย ท่านพูดถึงฝั่งฝ่ายในโอรีเวียเมืองแห่งพันธมิตรได้อย่างไรกัน ความแตกแยกเป็นลางร้ายแห่งความล่มสลาย ไม่ว่าเมืองใดก็ตามต้องระวังสิ่งนี้ให้ดี วาลานเป็นนายสูงสุดหากข้าไม่เชื่อฟังเขา จะให้ข้าเชื่อฟังท่านอย่างนั้นหรือ ”
ดารีลตอบโต้อย่างไร้อารมณ์
ราวกับเรื่องทั้งหลายล้วนไร้สาระ
“ เจ้าอยากฟังเรื่องจริงสินะ ”
หนุ่มน้อยไม่ตอบ
เขาแค้ใช้ปลายขนนกลูบไล้ปลายคางตนเอง
“ เรื่องความอัปยศของบิดาเจ้าน่ะ ”
อาจารย์โดเฮเกนเน้นทีละคำ
ซึ่งก็เรียกเสียงพึมพำจากนักเรียนได้ไม่น้อย
สายตาหลายคู่จับจ้องมาที่หนุ่มน้อยคนนี้
ดารีลนั้นเม้มปากบางเฉียบจนใครหลายคนคิดว่าเขาคงจะโกรธ
แต่แล้วเขาก็ระบายรอยยิ้มบางๆ
พร้อมกับแววตาที่รู้เท่าทัน
“ น่าสนใจดีและข้าสมควรได้รู้ ว่ามาสิ เรื่องที่มันทับถมอยู่ในใจท่านจนเส้นผมต้องหงอกขาวและร่วงโรยไปก่อนเวลาอันควร บางทีมันอาจจะดีต่อท่านเองแม้วันข้างหน้าหากตายไปจะได้ตายตาหลับ เพราะไม่มีสิ่งใดค้างคาใจแล้ว ”
“ ข้าไม่ได้ทำ! บิดาของเจ้าโกหก ”
อาจารย์หน้าแดงก่ำ
สองมือกำแน่นจนสั่นระริก
เขาพยายามหลับตาเพื่อระงับอารมณ์
“ ดาเรนนั้นวิปลาสไปแล้ว แม้แต่ชื่อบุตรของตนเองยังจำไม่ได้ กล่าวหาว่าเขาโกหกไม่ใจร้ายไปหน่อยหรือ จริงอยู่คำพูดของเขาเชื่อถือไม่ได้ แต่เขาก็ไม่เคยกล่าวอะไร นอกจากออกท่องเที่ยวเพื่อตามหาบุตรภรรยาที่เชื่อว่าถูกลักพาตัวไป ก็เท่านั้นเอง ”
“ เขาทำพลาดเอง กลายเป็นแบบนั้นก็สาสมแล้ว ปล่อยควอซาร์ร่ายคำสาปจนสำเร็จไม่พอยังปล่อยทายาทของเขาให้หลุดรอดมาได้ สงครามที่ควรจะจบจึงไม่จบ เรื่องนี้ใครสมควรต้องรับผิดชอบ ”
อาจารย์ผู้ชราขึ้นเสียง
“ ในเวลานั้นไม่มีใครรู้ว่าควอซาร์มีทายาท จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่รู้แน่ แม้คำสาปนั้นใครเป็นผู้สร้างก็ยังไม่มีคำยืนยัน ต่อหน้าวาลานท่านไม่อาจเอ่ยสิ่งเหล่านี้ แต่ต่อหน้าข้าท่านกลับพูดชัดเต็มถ้อยคำ เช่นนั้นแล้วข้าสมควรเชื่อหรือไม่ ในบันทึกบอกว่าท่านเป็นหนึ่งในห้าที่เข้าถึงควอซาร์ในวันนั้น สามคนได้ตายไปหนึ่งคนเสียสติจึงเหลือท่านเพียงคนเดียวที่จะกล่าวอะไรก็ได้ ไม่มีใครโต้แย้งได้แล้ว ”
เสียงของดารีลนั้นเย็นเยือก
อาจารย์โดเฮเกนถอนหายใจยาว
“ ดารีล ดารีล สิ่งหนึ่งที่เจ้าไม่รู้ข้ากับบิดาของเจ้าเคยเป็นเพื่อนรักกัน มีเรื่องมากมายที่ข้าไม่ได้พูดและพูดไม่ได้ เจ้านั้นเป็นผู้ใช้เวทมนตร์จะเข้าถึงก็ลำบาก เจ้าไม่รู้หรอกข้าเองก็เสียใจไม่น้อยที่บิดาของเจ้ากลายเป็นเช่นนั้น เอาล่ะเราจะยุติเรื่องนี้กันเพียงเท่านี้ ตอนเย็นมาหาข้าที่ห้องพักสิ ข้าจะตอบทุกคำถามของเจ้า ”
“ วันนี้หลังสามทุ่ม ”
ดารีลบอก
“ ข้ามีนัดกับครูใหญ่ ต้องจัดการปัญหาสำคัญก่อน ”
“ ไม่มีใครเตือนเจ้าหรือไง หมอนั้นไม่น่าคบสักนิด ”
อาจารย์โดเฮเกนว่า
ส่วนดารีลยิ้มบางๆ แทนคำตอบ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ