เจาะเวลาตามตากสิน

-

เขียนโดย ปากกาสีชาต

วันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 20.32 น.

  1 ตอน
  0 วิจารณ์
  2,678 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 เมษายน พ.ศ. 2563 20.40 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) 1

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก

       ใบหน้าคมคายหันกวาดสายตามองซ้ายขวา สีหน้าของเขาค่อยเปลี่ยนเป็นตกตะลึง ฝ่ามือชุ่มด้วยเหงื่อ ร่างกายสั่นเทาดูน่าเวทนา


เบื้องหน้าของไกรภพมีบ้านหลายสิบหลัง แต่หาใช่บ้านแบบธรรมดา ผนังของบ้านแต่ละหลังปิดด้วยไม้สานบางๆ หลังคามุงด้วยฟางแห้งสีน้ำตาลอ่อน       
       ขณะที่ไกรภพกำลังสบสันกับภาพด้านหน้า สายตามองเห็นหญิงสาวนางหนึ่งเดินตรงเข้ามา


นางเป็นหญิงสาวแรกแย้มอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดปี ใบหน้างดงามหมดจด ผมดำขลิบถักเปียออกสองข้างเรียบร้อย นางเดินเข้ามาประชิดถามว่า 
 
       “เจ้า...เหตุไฉนจึงมานอนคลุกกองดินเช่นนี้ หากคุณท่านมาเห็น ประเดี๋ยวก็โดนโบยจนหลังขดหรอก”


ไกรภพมีสีหน้ามึนงง แสดงว่าคล้ายไม่เข้าใจคำพูดของสตรีน้อยตรงหน้า หลังวิเคราะห์คำพูดครู่หนึ่ง จึงกล่าวตอบ “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน นอนหลับในห้องอยู่ๆดี ตื่นมาก็มาโผล่ที่นี้ สงสัยไอ้พวกรูมเมทชั่วมันแกล้งอีกตามเคย”


 
       สตรีน้อยสีหน้างงงันยิ่งกว่าเขา นางกล่าวว่า “ข้าไม่เข้าใจที่เจ้าพูด รูมมงรูมเมทอันใด แล้วเจ้าบอกข้าได้หรือไม่  ว่าเจ้าเป็นบ่าวเรือนหลังไหน”


ไกรภพได้ยินก็ยิ้มเจือนๆออกมา สตรีน้อยเห็นก็ยิ้มน้อยๆตอบกลับมา พลางพยุงร่างใหญ่ของไกรภพลุกขึ้น เดินจูงเดินตรงไปยังบ้านฟาง ไม่สิ ต้องเรียกว่ากระท่อมน่าจะเข้าทีกว่า


 
       นางถือขันเงินใส่น้ำเปล่ามาเต็มใบ ยื่นมอบให้ไกรภพ ที่ตอนนี้นั่งอยู่บนโต๊ะไม้ไผ่เตี้ย สีหน้านิ่งเฉย พลางกล่าวแผ่วเบาว่า “เช่นนั้น เจ้ากินน้ำให้ชุ่มคอก่อนเถิด เผื่อเจ้าจะนึกอะไรขึ้นมาได้”


 
       ภาพล่าสุดที่ไกรภพจำได้ คือ เขานอนเล่นอยู่ในห้องเพราะมีวิกฤตโรคระบาด จนมีการประกาศเคอร์ฟิว ทำให้ออกไปไหนไม่ได้ ทำได้แค่นอนดูซีรีย์ทั้งวันทั้งคืน สุดท้ายกลับมาโผล่ที่นี่แต่เพราะเหตุใดก็ไม่ทราบได้


 
       หรือว่าอาจจะเป็นเหมือนซีรีย์ที่ดู?เราย้อนเวลาหรอ?แล้วจะกลับไปยังไงว่ะเนี่ย?


       ความสับสนไหลหลากเข้ามายังหัวของไกรภพ สีหน้าเคร่งเครียดจนสตรีน้อยสังเกตได้ ถามว่า “ดูแล้ว เจ้าจงตอบอะไรข้าไม่ได้สินะ เช่นนั้น บอกชื่อแก่ข้าหน่อยสิ”


 
       ไกรภพหยุดคิด มองจ้องใบหน้าของนาง ตอบว่า “ชื่อเต็มของผมคือไกรภพ หรือจะเรียกว่าภพเฉยๆก็ได้”


สตรีน้อยทำตาแป๋วกระพริบสองสามทีคล้ายไม่เข้าใจ ไกรภพค่อยกล่าวต่อ “ภพ ข้าชื่อภพ”


     
        ได้ฟังคำที่เรียบง่ายคล้ายว่าเข้าใจ เผยเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าเนียนสวยของนาง กล่าวถามว่า “แล้วเจ้าเป็นบ่าวของเรือนไหนหรือ”


ไกรภพในโลกปกติเขาเป็นนักโบราณคดี ทั้งยังมีร่างกายที่สูงถึงร้อยแปดสามเซนติเมตร ผิวพรรณเนียนขาว ต่างจากสตรีน้อยที่มีผิวสีคล้ำไปหน่อย และเพราะใบหน้าที่หล่อเหลาคมคาย จนสตรีน้อยที่ยืนมองเผยยิ้มหวานเยิ้มออกมา


       
       เมื่อหมดหนทาง ไกรภพกล่าวโป้ปดว่า “ขอโทษเจ้าด้วย ข้าเป็นบ่าวของเรือนของอีกเมือง”


     
       สตรีน้อยมองฟังไม่เข้าใจ กล่าวตัดบทว่า “ช่างมันเถอะ ว่าแต่เหตุเจ้าถึงมีร่างกายสูงใหญ่นัก ขนาดข้าเคยไปกรุงราชธานียังมิเคยเห็นคนสูงเช่นเจ้า ผิวก็ขาวราวกับพวกคนฝรั่ง”


     
        ไกรภพลอบยินดีขึ้นมาในใจ คิดว่าหากไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน อย่างน้อยก็ขอรู้ว่ายุคสมัยไหนก็ยังดี จึงกล่าวว่า “แล้วกรุงราชธานีที่เจ้าพูดถึง มันคือที่ใด”


 
       สตรีน้อยคิดครู่หนึ่ง จ้องหน้าไกรภพ กล่าวว่า “เจ้านี้ก็มีน่าตาหล่อเหลา แต่เสียดายที่โง่ขนาดนี้ เรื่องแค่นี้เจ้ายังมิรู้หรือ กรุงราชธานีก็คือกรุงศรีอยุธยา หรือเจ้าจะให้เป็นที่อื่นใด”


 
       ที่แท้ย้อนกลับมาถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา แต่ว่ากรุงศรีอยุธยามีประวัติศาสตร์ยืนยาวกว่าสี่ร้อยปี ถ้าจะให้เดาว่าอยู่ในช่วงเวลาไหนก็คงยากเกินไป ดังนั้นด้วยความรู้ทางโบราณคดีของเขา หากทราบถึงช่วงปีคงเพียงพอจะทำให้อยู่รอดได้


 
       เขาฉีกยิ้มให้แก่สตรีน้อย จนนางใบหน้าแดงขึ้นวูบหนึ่ง ไกรภพค่อยถามต่อว่า “แล้วตอนนี้ให้ใครเป็นพระมหากษัตริย์ เจ้ารู้หรือไม่”


สตรีน้อยส่ายศีรษะไปมา กล่าวว่า “ข้ารู้เพียงว่าตอนนี้ เป็นราชวงศ์บ้านพลูหลวง แต่พ่อเหนือตัวข้าเองก็มิรู้ว่าเป็นผู้ใด”


เพียงเท่านี้ นักประวัติศาสตร์เช่นเขาก็พอจะทราบได้ในทันทีว่า นี้คงอยู่ในช่วงปี2300 เพราะเวลานี้มีการแย่งชิงอำนาจของเจ้านายระหว่างเจ้าฟ้าเอกทัศและเจ้าฟ้าอุทุมพร เลยทำให้นางไม่สามารถบอกได้ว่าใครเป็นพระมหากษัตริย์ และช่วงนี้เองจะเป็นช่วงที่พม่าเริ่มยกทัพรุกร้านกรุงศรีอยุธยา


 
      ไกรภพยิ้มปลอบ กล่าวถามต่อ “แล้วเวลานี้ มีข่าวว่าทัพของกรุงอังวะบุกกรุงราชธานีหรือไม่”


นางหัวร่อฮิฮะ กล่าวน้ำเสียงติดตลกว่า “เจ้าบ้าหรือเปล่า สยามของเรามิได้รบติดศึกกับต่างแดนมาเป็นร้อยปีแล้ว พม่าจะมาบุกกรุงราชธานีเพราะเหตุอันใด”


 
       จริงอย่างที่นางพูดเพราะในช่วงยุคปลายกรุงศรีอยุธยา สยามประเทศแทบไม่มีการรบจากต่างแดน มีเพียงแต่การรบกันเองภายในประเทศเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางการค้าจากแดนตะวันตก ประกอบกับเน้นการทำการเกษตรกรรมเป็นหลัก ทำให้ความเจริญและความศิวิไลซ์เริ่มถูกนำเข้ามา จากประเทศที่เก่งเรื่องศึกการรบกลายเป็นนักรบการทางค้า


 
       ไกรภพเองก็ศึกษาประวัติศาสตร์มามากไม่นาน ช่วงเวลาที่นับเป็นช่วงที่ปวดใจของเขาที่สุด จากประเทศที่กำลังเจริญพุ่งแรง กลับมาแตกแยกเพราะคนในชาติ ดังคำว่ายามศึกเรารบ ยามสงบเรารบกันเอง


 
        สตรีน้อยเห็นเขาหน้าถอดสีอีกครั้ง จึงถามว่า “เจ้ามีเรื่องกลุ้มใจอันใดหรือ พี่ภพ ข้าเห็นเจ้าทำใบหน้าอมทุกข์มาสองคราแล้ว”


 
        ไกรภพเปลี่ยนสีหน้ารีบยิ้มตอบกลับ “เปล่ามิมีอันใด แต่ว่าเจ้ามีชื่อเรียกอันใด บอกแก่ข้าได้หรือไม่”


 
         นางค่อยยื่นใบหน้าเนียนสวยเข้ามาใกล้ พลางกระซิบที่ข้างหูว่า “ข้าชื่อจันทร์” กล่าวจบก็หัวเราะคิกคัก


 
         แต่ขณะที่กำลังพูดคุยกันอย่างออกรส ด้านหลังของทั้งสองก็มีเสียงหญิงสาวตวัดดังขึ้น “อีจันทร์ ไฉนมึงมิยอมไปตักน้ำมาเติมโอ่ง มึงจะให้กูอาบดินอาบโคลนหรือ”


 
         เจ้าของเสียงเป็นสตรีสูงศักดิ์ ใบหน้างดงามหมดจดไร้ริ้วรอยคาดว่าอายุคงไม่เกินยี่สิบห้ายี่สิบหก ผิวพรรณก็ดูเนียนตา ผิวเป็นออกสองสีไม่ได้คล้ำเหมือนสตรีน้อย และนางยังดูเป็นสาวเป็นแส้มากกว่าสตรีร้อยมาก ทั้งยังมีเนินอกที่ตั้งชันแน่นสไบผ้าไหม จนไกรภพที่กักตัวอยู่ภายในบ้านมาสองเดือน อยากจะลุกเดินไปกอดรัดกับนางเสียเดี๋ยวนั้น


 
        เมื่อนางเหลือบเห็นชายหนุ่มหน้าตาคม ดวงตากลมโตของนางหดลงคล้ายกำลังจ้องมองเขา ก่อนชั่วครู่นางจะเอ่ยถามว่า “แล้วไอ้นั้นเป็นผู้ใด ผัวมึงหรืออีจันทร์”


 
         จันทร์รีบกล่าวลุกลี้ลุกลนว่า “ไม่ใช่เจ้าค่ะ ข้าเห็นมันมานอนอยู่ที่หน้าเรือนทาส ก็เลยพามันมากินน้ำเจ้าค่ะ”


ใบหน้าเชิดหยิ่งชายตาหยาดเยิ้มให้ไกรภพ พลางถามว่า “แล้วเจ้าหนุ่มมึงเป็นใคร มิใช่ว่าติดพันธุ์อีนี้เลยตามมันมาหรอกนะ ยิ่งได้ยินชาวบ้านแถวนี้เล่ากันว่าอีจันทร์ชอบไปยั่วยวนผัวชาวบ้านไปทั่ว”


 
        แม้มีใบหน้าสวยงาม แต่เมื่อรวมกับท่าทางและการพูดจา ทำให้ไกรภพหมดอารมณ์พิศวาสต่อนางไปหลายส่วน กล่าวสีหน้าเรียบเฉย “ข้ามิได้มาติดพันธุ์กับแม่นางผู้นี้หรอก นายหญิง เพียงแต่ข้าถูกคนจากเรือนอื่นไล่มา แต่ได้แม่นางงดงามเช่นนี้ช่วยไว้เท่านั้น”


 
        นางกล่าวต่อว่า “คงเพราะเป็นชู้กับเมียนายเรือนกระมัง”


 
        ไกรภพยิ้มหวานตอบกลับ “สงสัยคงเป็นเช่นนั้น”


 
        ท่าทางจองหองของเขา ทำให้นายหญิงสูงศักดิ์บัดเกิดอารมณ์โกรธ หยิบฉวยไม้หวายก้านยาว ปรี่เดินตรงหมายจะฟาดไกรภพให้หยุดทำท่า


 จันทร์ที่มองอยู่รีบหยิบถังน้ำดึงท่อนแขนลากไกรภพออกจากเรือนไป ทั้งสองกึ่งเดินกึ่งวิ่งได้ประมาณห้าร้อยเมตร ค่อยเห็นริมน้ำอยู่ไกลๆ รอบข้างบ้านเรือนหลายหลัง ผู้คนทั้งชายและหญิงต่างถอดเสื้อ เผยให้เห็นทรวงอกอูม แต่ส่วนมากก็เป็นหญิงชราจึงไม่น่าดูนัก ไกรภพระหว่างเดินตามจึงถามว่า “เหตุใดคนที่นี้ถึงถอดเสื้อกันจนหมดสิ้น”


 
       จันทร์เช็ดเหงื่อที่ไหลย้อยบนใบหน้า ตอบว่า “ก็ร้อนนะสิ เจ้าไม่ร้อนเลยหรือ แสงแดดส่องแรงขนาดนี้”


 
       ไกรภพหัวร่อ พลางกล่าว “จากที่ที่ข้ามาร้อนกว่านี้เป็นอันมาก หากเจ้าไปอยู่คงไม่กล้าออกไปไหนเป็นแน่”


 
       นางมองดูคล้ายไม่เชื่อ กล่าวว่า “จริงหรือ ข้าว่าเจ้าหลอกข้าแล้ว”


 
        ไกรภพหยุดหัวเราะ พลางส่งสายตาเจ้าชู้ให้แก่นาง ถามว่า “แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่ถอดเสื้อคลุมนอกออกเหมือนพวกตายายพวกนั้น จะได้หายร้อน”


 
        จันทร์ใบหน้าร้อนแผ่วจนเป็นสีชมพู ไม่ตอบคำถามของชายหนุ่ม รีบวิ่งถือถังใบใหญ่ไปยังริมน้ำ ส่วนไกรภพที่มองนางก็ค่อยเดินตามไป


ท่อนแขนน้อยๆยกถังใหญ่ประมาณสองส่วนสามของลำตัวนาง จนสั่นเกรงทั่วร่างกายราวกับคนถูกผีเข้า ไกรภพที่มองอยู่รีบแย่งถังใหญ่มาจากนาง กล่าวอย่างยียวนว่า “ผู้หญิงอย่างเจ้า ให้ยกไปคงมิทันการ เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ ข้ายกเองดีกว่า” ก่อนนางจะอ้าปากเอ่ยสิ่งใด ไกรภพก็เดินนำไปไกลหลายก้าว


 
         จันทร์เดินแนบข้างชายหนุ่ม สายตากวาดมองลำแขนที่ล่ำสัน ทั้งกรามที่สันเป็นคม เกิดมานางเพิ่งเคยพบบุรุษที่รูปงามหมดจดขนาดนี้ หลังเดินแบกถังน้าได้ไม่นานก็กับมาถึงยังเรือน พบเห็นนายหญิงคนเดิมยืนจ้องตาเขม็งอยู่เรือนไม้ ทั้งสองจึงก้มศีรษะแสดงความเคารพ ไม่เพียงเท่านั้นไกรภพยังแอบชายตาหวานหยดให้นางคราหนึ่ง


 
        เมื่อเทน้ำลงโอ่งดินเผาจนเต็ม แม้อากาศตอนนี้สำหรับไกรภพจะกล่าวได้ว่าไม่ร้อน แต่หลังจากต้องแบกถังน้ำหนักหลายสิบกิโลไปกลับหลายรอบ ก็ทำให้ร่างกายแสดงความเหนื่อยหอบออกมา จันทร์ที่มองดูอยู่ข้างๆเห็น จึงปรี่เดินไปตักน้ำมาให้แก่เขาหลายขัน


ครั้นดื่มน้ำดับกระหาย ชายหนุ่มเอ่ยถามว่า “แล้วข้าวปลาอาหาร ข้าต้องไปหากินจากที่ใดหรือ”


 
       จันทร์สีหน้าคล้ายงุนงงกับชายตรงหน้า ในคราแรกนางเพียงชื่นชมใบหน้าหล่อเหลาของมัน ตอนนี้กลับเริ่มชอบใจในความมีน้ำใจและความเป็นสุภาพบุรุษ จึงกล่าวอย่างใจเย็น "ต้องรอพวกเจ้านายกินกันเรียบร้อยก่อน พวกทาสเช่นพวกเราจึงจะได้กินต่อเจ้าไม่รู้หรอกหรือ ตอนนี้ห้าโมงเย็นแล้วพวกคุณท่านคงกำลังกินข้าวเย็นกันอยู่ อีกเดียวก็ถึงคราวของพวกเราแล้ว”


 
       เวลาผ่านเลยจนถึงหัวค่ำ หลังจากทาสที่เรือนทาสกินอาหารเหลือจากเรือนใหญ่จนหมดสิ้น เหล่าทาสหลายคนที่เพิ่งพบเห็นไกรภพต่างเดินเข้ามาพูดคุย แม้จะรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่ก็สามารถสร้างสัมพันธ์อันดีกับพวกนั้นได้อยู่พอสมควร เหล่าทาสหญิงสาวหลายคนจ้องมองร่างกายกำยำของไกรภพตาไม่กระพริบ ไม่นานหลายคนก็ขอตัวแย่งย้ายเข้านอนตามที่ของตน ส่วนไกรภพเดินออกมาจากเรือนนั่งเล่นเพียงลำพัง


 
       ที่ด้านนอก ในระยะสายตาเห็นบ้านบ้านหลายหลังที่ตอนนี้ดับไฟจนมืดมิด มีเพียงดวงดาวบนฟากฟ้าที่ทอประกายสวยงาม แม้เขาจะรู้สึกคิดถึงยุคสมัยปกติของตัวเอง แต่เมื่อได้สัมผัสธรรมชาติที่ยังไม่ถูกทำลายโดยฝีมือมนุษย์ก็ชื่นชอบมันอย่างบอกไม่ถูก


 
        เสียงแง่มประตูดังขึ้นจากด้านหลัง หญิงสาวคุ้นหน้าแทรกร่างเล็กๆของมาจากประตู นั่งข้างกันกับไกรภพ นางกล่าวว่า “นี้ก็สามทุ่มแล้ว เหตุใดเจ้าจึงยังไม่ไปนอน คิดถึงเรือนหลังเก่าของเจ้าหรือ”


ไกรภพสีหน้าเศร้าสร้อยนั่งนิ่งคล้ายไม่ได้ยิน จนนางต้องสะกิดแขนถามอีกครั้ง เขาจึงค่อยหันยิ้มตอบว่า “ใช่ ในใจหนึ่งก็คิดถึงบ้านของข้า อีกใจหนึ่งก็รู้สึกชอบที่นี่”


 
        จันทร์ได้ฟังคำบอกเล่าเศร้าของเขา พลันบังเกิดความเห็น กล่าวว่า "เจ้าอย่าคิดมากเลย สักวันก็คงได้กลับไป"


กล่าวจบนางก็ยกวงแขนน้อยโอบลำตัวหนาใหญ่ของเขาเองไว้หวังปลอบประโลม แต่เมื่อเนินอกในชุดตัวบางของสาวแรกรุ่นเช่นนางกระทบใบหน้า ล้วนชวนบุรุษให้เกิดอารมณ์พิศวาส ทั้งกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ใช้ล้างตัว ส่งกลิ่นหอมอบอวลลอยจากลำตัวของนางออกมา ชวนให้ไกรภพเกิดอาการกระเส้าอย่างห้ามตัวเองไม่ได้


 
       ไกรภพค่อยยื่นมือลูบสัมผัสที่ต้นขาของสตรีน้อยอย่างนุ่มนวล ในที่แรกนางเพียงเข้าใจว่าชายหนุ่มจะสื่อความนัยแก่ตนว่า‘ไม่เป็นไร’ แต่อยู่ๆกลับใช้ใบหน้าถูไถไปกับเสื้อบางบริเวณหน้าอก พลางบีบคลำอย่างช้าๆ ก่อนชะโงกหน้าใช้ริมฝีปากเลียที่ใบน้อยๆหูของนาง


จันทร์โดนรุกกระทำเช่นนี้ นางกลับมิได้ขันขืนแต่อย่างใด ทั้งยังสอดมือปลอดเปลื้องเสื้อผ้าของตนออก เผยให้เห็นเน้นอมอูมเต่งตึงปลายสีน้ำตาลตั้งชันชี้ตรง ไกรภพตอนนี้คล้ายกับสัตว์ป่ารีบกัดหัวนมดูดอย่างหื่นกระหาย พลันใช้ท้วงท่าร่วมรักสอดใส่ จนทาสสตรีน้อยที่เพิ่งเคยถูกกระทำเป็นครั้งแรก ส่งเสียงครวญครางดังออกมา


       ภายใต้เสียงจันทร์ยามค่ำคืน มีเสียงลมหายใจขาดตอนฮึดฮัดดังข้างเรือนทาส เหงื่อที่มีกลิ่นหอมของดอกไม้ไหลอาบเต็มกายของคนทั้งสอง ที่เอวของไกรภพมีเลือดติดอยู่กองหนึ่ง จึงคาดได้ว่าเขาเป็นคนเปิดบริสุทธิ์นางสตรีน้อยผู้นี้ เมื่อร่วมรักจนเสร็จสิ้น ร่างน้อยๆค่อยทรุดหลับลงในอ้อมอกของเขา

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

นิยายเรื่องนี้มีจุดที่ต้องปรับปรุงเยอะไหมครับ

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา