DREAMS COME TRUE จากฝัน...ถึงเธอ
10.0
เขียนโดย winnerella
วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 12.04 น.
17 บท
0 วิจารณ์
16.73K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 17.42 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) ธารา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความวันหยุดช่วงปิดเทอมของนักศึกษาแพทย์ปีสามอย่างผมคือ นอนครับ เพิ่งสอบผ่านใบประกอบวิชาชีพขั้นตอนที่หนึ่งเสร็จก็ได้เวลาพักผ่อนยาวๆ หลังจากต้องอ่านหนังสืออย่างหนัก หนักแบบที่เช้าถึงเช้าเลยครับ การนอนถือเป็นการเตรียมตัวที่จะขึ้นปีสี่อย่างเป็นทางการได้ดีที่สุด
จากที่ฟังรุ่นพี่เล่ามาการเรียนปีสี่มันแตกต่างจากปีหนึ่งถึงสามที่ผ่านมาเยอะมากครับ เดิมเราจะเรียนเป็นแบบเลคเชอร์มีอาจารย์เข้ามาสอนในหัวข้อต่างๆ แต่การเรียนปีสี่ถึงหกนั้นต้องเรียนรู้จากผู้ป่วยจริงบนหอผู้ป่วยหรือที่เรียกว่าวอร์ด การเรียนเลคเชอร์แบบเดิมจะน้อยลง จะต้องมีการอยู่เวรประจำวันอีก ฟังดูแล้วเหนื่อยไม่ใช่น้อย การนอนคือคำตอบที่สุด
ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้เกิดมาเก่งไปทุกอย่าง กว่าจะเอาตัวรอดจากการเรียนหมอมาถึงตอนนี้ ก็แทบตายเหมือนกัน ยังดีที่ผมจัดการกับเวลาของตัวเองได้ดี เลยพอมีเวลาพักผ่อนทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ ผมชอบเล่นกีตาร์คนเดียวที่ริมระเบียงของห้องนอนผม หรือไม่ก็จะเดินมาตรงบันไดทางขึ้นหอ ผมมักเลือกช่วงเวลาเล่นกีตาร์ในตอนที่ไม่ค่อยมีคน ผมกลัวคนอื่นรำคาญ ห้องพักผมอยู่ชั้นหนึ่งของหอพักรวมคณะแพทย์ ดีหน่อยที่ผมได้อยู่ห้องคนเดียวเพราะรูมเมทผมย้ายออกไปนอนหอนอก จึงทำให้ผมใช้ชีวิตได้อย่างอิสระในห้องนี้
ที่จริงผมไม่รู้ว่าการเรียนหมอนั้นเหมาะกับผมจริงๆไหม ผมเคยคิดว่าผมเรียนหมอตามสัญญาที่ให้ไว้กับคนที่ผมรักคนหนึ่ง แต่ตอนนี้ความคิดของผมมันเปลี่ยนไป มันชอบหมอเข้าแล้วจริงๆ
“ไอ้ธาร ตื่นหรือยัง” เสียงเพื่อนสนิทของผมที่อยู่ห้องตรงข้ามตะโกนจากข้างหน้าห้องผม พร้อมเสียงทุบประตูอย่างบ้าคลั่ง
“เออตื่นแล้วๆ เดี๋ยวกูตามลงไป”
“อย่ามาช้านะ กูอยากเริ่มประชุมเร็วๆ จะได้รีบเลิก”
“เออ”
ถึงแม้จะเป็นช่วงปิดเทอมของผม แต่ผมไม่ได้กลับบ้านผมหรอกครับ บ้านผมอยู่ไกลเกือบจะพ้นเขตจังหวัดพิษณุโลก และอีกอย่างช่วงปิดเทอมนี้ผมกับเพื่อนๆ ต้องเป็นคนเตรียมกิจกรรมรับน้องที่จะเกิดขึ้นอีกไม่ถึงสองอาทิตย์ข้างหน้า ในฐานะพี่วินัยอย่างผมก็ต้องจำใจอยู่หอในไปจนเปิดเทอม จะให้ผมไปๆ กลับๆ ก็คงไม่ไหว
ผมจัดการตัวเองเสร็จแต่งตัวด้วยเสื้อนักศึกษาถูกระเบียบ ผมต้องไปประชุมที่คณะ ฉะนั้นให้แต่งตัวชิวๆ สบายๆ เห็นว่าจะไม่สมควร ผมขับรถมอเตอร์ไซค์สีดำคันโปรดของผมไปคณะ ผมซื้อมันมาได้เกือบสามปีแล้วตั้งแต่เข้าปีหนึ่งมาใหม่ๆ มันถือว่าเป็นคู่หูคู่ใจของผม จะไปไหนก็ได้ ถ้ามีมัน
ตารางการประชุมนั้นมีทั้งวันตั้งแต่เช้าจรดเย็น โดยมีเพื่อนสนิทผมอย่าง สายฟ้า ที่มันพวงด้วยตำแหน่งหัวหน้าพี่วินัย เป็นคนที่ดำเนินการ ตำแหน่งหัวหน้าพี่วินัยของมันไม่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่มันได้มาเพราะรุ่นพี่ช่วย มันไปอ้อนวอนพี่วินัยรุ่นก่อนว่ามันอยากเป็นหัวหน้าพี่วินัยเพราะมันอยากโชว์รุ่นน้องให้เห็นความเท่ของมัน มันทั้งแต่งตัวเนี้ยบ ทรงผมมันถือว่าเรียบร้อยดีเหมาะสมที่จะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับน้อง เพียงแต่มันเป็นคนชอบใส่เจลบนผมมากเกินไปทำให้หัวมันมันวาวตลอดเวลา
เราประชุมกันตั้งแต่เรื่องรับน้องห้องเชียร์ การคัดลีดคณะ การเลือกดาวเดือน รวมทั้งเรื่องรับน้องนอกสถานที่ ซึ่งปีนี้เป็นปีแรกที่ทางคณะอนุญาตให้จัดได้ โดยทางคณะระบุว่าต้องไปในรูปแบบกิจกรรมอาสาช่วยเหลือสังคม เราจึงต้องมานั่งหาสถานที่ที่เราจะสามารถไปทำกิจกรรมได้ รวมทั้งจะไปทำอะไรดี
การประชุมดำเนินไปตามหัวข้อการประชุมที่เราจัดเตรียมไว้ จนสุดท้ายเราต้องมาเลือกกันว่าจะไปรับน้องนอกสถานที่กันที่ไหน ทุกคนต่างเสนอสถานที่ในดวงใจของแต่ละคน ผมเป็นคนหนึ่งไม่ค่อยชอบออกความคิดเห็นเท่าไรเลยนั่งฟังเงียบๆ
“ไอ้ธาร!!...”หัวหน้าพี่วินัยอย่างไอ้สายฟ้ามันไม่ยอมให้ผมนั่งเงียบเฉยๆหรอก แถมที่จริงผมไม่ได้อยากเป็นพี่วินัยอะไรกับมันหรอก แต่ถูกมันขอร้องให้มาเป็นกับมัน แถมมันยังให้ตำแหน่งรองหัวหน้าพี่วินัยแก่ผม
“...มึงอยากจะเสนอสถานที่อะไรไหม นั่งเงียบอยู่นั่นแหละ”
“เอาเลย ที่ไหนก็ได้หมด แล้วแต่ทุกคนเลย”
“มึงต้องพูด!!” น้ำเสียงเข้มขรึมของมัน ที่ฟังดูแล้วไม่ได้มีใครจะกลัวมันสักเท่าไร พูดบังคับให้ผมออกความคิดเห็น
“เออ ไปแถวบ้านกูไหมล่ะ ที่นั่นมีโรงเรียนเล็กๆ ในหมู่บ้านเราจะได้ไปทำกิจกรรมอาสาที่นั่นกันด้วย แถมหลังโรงเรียนก็มีน้ำตกให้เล่นด้วย” ผมเสนอความคิดเห็นอย่างยาวเหยียดไป ไม่รู้ว่ามีใครจะสนใจหรือเห็นชอบกับผมไหม โรงเรียนนั้นก็คือโรงเรียนของผมนั่นแหละครับ คิดว่าสถานที่ไกลขนาดนั้นไม่มีใครอยากจะไปหรอก เลยพูดส่งๆไป แต่...
“อะ กูเห็นด้วย” เสียงหัวหน้าพี่วินัยดังขึ้นเป็นเสียงแรก
“ชั้นก็เห็นด้วย” ตามด้วยเลขาฯการประชุม
คุณพระ กูแค่พูดเล่นๆ เอาจริงด้วย
"ก็ดีนะ มีโรงเรียน มีที่เที่ยวพักผ่อน ครบดี ไม่ต้องไปหลายที" เสริมทัพด้วยเหล่าสมาชิกผู้ทรงเกียรติ
“แต่การเดินทางมันลำบากนะ” ผมชิงพูดขึ้นมาก่อนจะมีใครเห็นด้วยกับผมไปมากกว่านี้
“เออน่า ครั้งแรกก็ลองดู ถ้ามันลำบากมากจริง จะได้รู้ไว้ว่าครั้งหน้าอย่ามาอีก” หัวหน้าพี่วินัยสรุปการประชุมเลือกสถานที่เป็นที่เรียบร้อย
เรื่องต่างๆ ก็น่าจะผ่านไปด้วยดี เหลือแค่แต่ละฝ่ายไปจัดการกิจกรรมของตัวเอง ส่วนผมก็ได้รับหน้าที่ในการติดต่อเรื่องรับน้องนอกสถานที่ไปโดยปริยาย
“เฮ้ยพวกเรา ไปกินหมูกระทะกัน” หน้าที่ของหัวหน้าพี่วินัยของมันยังทำหน้าที่เหมือนอย่างเช่นเคย การชวนเพื่อนไปกินหมูกระทะ ถือเป็นหน้าที่ที่มันทำอยู่เป็นประจำเวลาเราประชุมเสร็จ แต่ก็ไม่มีใครขัดมันหรอกครับ เพราะเวลาตอนนี้ก็หกโมงเย็นแล้ว ความหิวมันก็เข้ามาไม่ทันตั้งตัว เราแยกย้ายกันไปเจอกันที่ร้าน ร้านหมูกระทะอยู่แค่หลังมหา’ลัยเท่านั้นเอง เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาก็ถึงแล้ว พอที่ผมจะขับมอเตอร์ไซค์ไปได้
ร้านนี้ขอบอกเลยว่ามันเป็นร้านที่ทุกคนที่อยู่ในมหา’ลัยต้องรู้จัก รู้จักในเรื่องว่ามันถูก สะอาด น้ำจิ้มอร่อย ถึงแม้ร้านมันจะดูเก่าไปหน่อยเพราะมันเปิดมานานมาก นานจนแบบว่า เดิมมันเคยชื่อร้านข้างมอ ปัจจุบันมันเปลี่ยนเป็นชื่อ ‘เคียงคู่มอ’ เคยถามเจ้าของร้านเหมือนกันเขาบอกว่าใช้ชื่อข้างมอมาเกือบสามสิบปีแล้ว ไม่อยากจะข้างอีกต่อไปอย่างเคียงคู่กับมอไปนานๆ
ถึงที่ร้านเราขอให้ทางร้านจัดโต๊ะนั่งให้เราแบบโต๊ะติดกันยาวเพราะเรามากันเกือบสิบกว่าชีวิตทั้งพี่วินัย พี่ลีด พี่สันทนาการ เราขนกันมากินหมด ต่างคนต่างเดินไปตักอาหารของตัวเองไม่สนใจใครทั้งนั้นเพราะหิวมาก ถามว่าเครื่องดื่มคู่ใจสำหรับหมูกระทะของผมขอแค่น้ำอัดลมก็พอแล้ว ต่างจากไอ้สายฟ้าเครื่องดื่มคู่ใจของมันคือเบียร์ เหตุผลหลักของการชวนเพื่อนมากินหมูกระทะไม่ใช่ว่ามันอยากกินหรอกครับ มันแค่อยากกินเบียร์ โดยเฉพาะถ้าเป็นเบียร์วุ้นคือที่สุดสำหรับมัน เมื่อไรก็ตามที่เบียร์เข้าปากมัน ภาพลักษณ์หัวหน้าพี่วินัยสุดเท่ของมันจะกลายเป็นสภาพหมาวัดทันที
“อ้าว โชนนนนนนนน โชนนนนนนน”
"โชนนนนน"
“กูว่ามึงเบาๆ หน่อยก็ดีนะ” เพื่อนคนหนึ่งในโต๊ะเอ่ยขึ้นเพราะทนเห็นสภาพมันไม่ไหวแล้ว มันดื่มไปร่วมๆ หกขวดแล้ว
“โอ๊..เย โอ๊เย โอ๊โอ๊เย โอ๊เย โอ๊เย โอ๊โอ๊เย โอ๊เย โอ๊เย โอ๊โอ๊เย โอ๊เย โอ๊เย...”
มันเอาแต่แหกปากไปมาอยู่หลายนาที ด้วยท่อนเพลงท่อนนี้ ที่ไม่สามารถร้องท่อนอื่นได้ มันร้องวนอยู่อย่างนั้น พลางแซวคนโน้นทีคนนี้ที จนประโยคหนึ่งของมันถามผมจนทำให้ผมถึงกับนิ่งไปไม่ถูก
“อ้ายยย ธาร มะ มึงเคยบอกกู ชายมาย ว่ามึง เคยมีแฟน อ้าวแล้วแฟนมึงไปอยู่หนายแล้วล่ะ” ต่อให้ประโยคของไอ้สายฟ้ามันจะฟังไม่ค่อยจะรู้เรื่อง แต่ก็พอจับใจความได้
คำถามมันเหมือนเป็นคำถามที่แทงใจผมซะเหลือเกิน ผมรู้สึกปวดตรงหัวใจราวกับว่ามีใครมาบีบมันอย่างแรง ใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะ เหงื่อออกมาไม่รู้ตัว ตัวผมแข็งทื่อขยับไม่ได้
“เฮ้ยๆๆ พอๆ มึงเมามากแล้ว นั่งๆ” ผมได้ยินเสียงเพื่อนในโต๊ะพูดกับไอ้สายฟ้า แต่ผมไม่สามารถรับรู้ได้ว่ามันเป็นเสียงใคร สมองผมเหมือนไม่รับรู้อะไรอีกแล้วหลังจากได้ยินคำถามนั้น
“กูขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” ผมรู้เพียงว่าผมต้องออกไปจากตรงนี้ก่อนที่ผมจะแย่ไปมากกว่านี้
ทางเดินไปห้องน้ำของร้านมันออกจะมืดกว่าในร้านมาก ผมเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังเดินออกมาจากห้องน้ำนั้น เขาใส่ชุดนักเรียนเรียบร้อย ผมรองทรงยาวพอประมาณ ผมมองหน้าเขายังไม่ชัดเจนเท่าไร จนเราสองคนได้เดินสวนกัน เราสบตาเพียงครู่หนึ่ง พอจะทำให้เรามองเห็นลักษณะของกันและกันได้ชัดเจนมากขึ้น ใจผมเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง ไม่ได้ยินเสียงรอบกาย มีเพียงเสียงหัวใจที่ดังขึ้น
ทำไมกัน แววตาคู่นั้นดูคุ้นเคย...
ใบหน้านั้น ทำไมถึงทำให้คิดถึงคนคนหนึ่งที่ผมรักมาก...
ถึงแม้ตอนนี้เขาจะจากผมไปแล้ว...
หยดน้ำตาไหลมันออกมาจากดวงตาของผม ความรู้สึกเย็นของหยดน้ำเหล่านั้นผ่านลงมาที่แก้มผมทั้งสองข้าง ผมรู้สึกเหงาอย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกตอนนี้เหมือนบรรยากาศรอบตัวผมเงียบสงบ ผมรู้สึกว่าการเฝ้ารอที่จะพบเจออีกครั้งมันจบลงแล้ว ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกของผมตอนนี้มันเกิดขึ้นเพราะอะไร
ผมรู้แต่เพียงว่าคิดถึง
ผมคิดถึงมาก...
“ป่าน” เสียงผมพูดอย่างแผ่วเบา ไม่รู้ว่าคนที่สวนผมจะได้ยินหรือเปล่า
หลังจากที่ผมตั้งสติ ล้างคราบน้ำตา มองกระจกเก่าๆในห้องน้ำ ใบหน้าผมที่สะท้อนในกระจกดูสับสนเหลือเกิน ไม่รู้ว่าสิ่งที่เจอตอนนี้เป็นความฝันหรือความจริง ผมลองตบหน้าตัวเองเบาๆ พอให้มีความรู้สึกว่านี่ไม่ใช่ความฝันมันคือความจริง ผมเดินออกจากห้องน้ำมาที่โต๊ะ สภาพไอ้สายฟ้ายังคงเหมือนหมา ทุกคนคิดว่าเราควรจะกินกันแค่นี้แหละ ต้องรีบพาคนเมาไปเก็บก่อน
“น้องครับ/พี่ครับ” เสียงเรียกเก็บเงินของเพื่อนผมดังขึ้มพร้อมกับลูกค้าอีกโต๊ะหนึ่งที่นั่งห่างเราประมาณสามโต๊ะ
แต่พนักงานคนนั้นยืนใกล้โต๊ะนั้นมากกว่าโต๊ะเรา จึงทำให้พนักงานไปที่โต๊ะนั้นก่อน เราจึงต้องรอตามคิว โต๊ะนั้นเป็นโต๊ะของนักเรียนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือคนที่สวนผมออกมาจากห้องน้ำ
ไม่นานพนักงานก็มาเก็บเงินเรา เราทยอยลุกออกไปนอกร้าน สภาพไอ้สายฟ้าคือขาลากกับพื้นแขนสองข้างมันพาดบ่าของเพื่อน เราต่างจัดแจ้งรถเพื่อไปส่งมัน ตอนมาคนเมาขับรถเองได้ แต่ขากลับเพื่อนต้องขับให้
“โอ๊..เย โอ๊เย โอ๊โอ๊เย โอ๊เย โอ๊เย โอ๊โอ๊เย โอ๊เย โอ๊เย โอ๊โอ๊เย โอ๊เย โอ๊เย...”
"ธาร กูไปส่งมันก่อนล่ะ มึงขับกลับดีๆนะ" เสียงเพื่อนวินัยอีกคน พูดรับผิดชอบกับคนเมาแล้วทีนี้ผมก็ลอยตัว
ผมเดินไปที่มอเตอร์ไซค์ของผมก่อนจะขับออกไป ใส่หมวกกันน็อกแต่ยังไม่ได้ปิดที่กันลมลง ผมมาถึงทางออกของร้านก่อนจะเห็นรถยนต์คันหนึ่งกำลังขับออกมาพร้อมกัน ผมมองไปที่กระจกรถยนต์ด้านหน้า ต่อให้สภาพในรถมันมืดเพียงใด แต่ผมก็พอเห็นว่าคนในรถเป็นนักเรียนที่มากินหมูกะทะกลุ่มนั้น คนที่นั่งข้างคนขับสบสายตากับผม ตุบ ตุบ ตุบ ใจผมเต้นแรงขึ้น ก่อนผมจะละสายตา ปิดที่กันลมลงแล้วขับออกไป
ความรู้สึกแบบนี้ ที่จริงแล้ว มันคืออะไรกันแน่...
ผมกับมาถึงห้องนอนของผม ว่างกระเป๋า ปลดเนคไทออก ถอดเสื้อนักศึกษาที่เหม็นกลิ่นหมูกะทะใส่ลงที่ตะกร้าเสื้อผ้าที่เตรียมจะส่งซัก ผมนั่งลงตรงเก้าอีกที่โต๊ะอ่านหนังสือ ผมมองข้อมือขวาของผมที่มันมีสร้อยข้อมือจี้รูปดาวห้อยอยู่ ผมใช้มือสัมผัสมันเบาๆ ผมจำมันได้ดีของสิ่งนี้มันมีความสำคัญกับผมมาก
ผมยื่นมือไปเปิดลิ้นชักโต๊ะ มองไปที่ซองพลาสติกใสเล็กที่ภายในบรรจุของสิ่งเดียวกับข้อมือของผม
‘พี่หนูมีอะไรจะให้ ดูนี่ สร้อยข้อมือจี้รูปดาว อันนี้ของพี่ ส่วนอันนี้ของหนู’
ความทรงจำของผมยังได้ยินคำพูดของเธอชัดเจน
‘ดวงดาวสองดวงนี้จะคู่กันไปตลอดนะ...’
ผมจำรอยยิ้มของคนที่พูดประโยคนี้ ได้ดี
ผมตบหน้าตัวเองเบาๆให้สติผมกลับมา บรรยากาศรอบตัวยังคงไม่ได้มีเสียงอะไรรบกวน เวลาผ่านไปก็นานหลายปีแล้วนะ ทำไมวันนี้ถึงคิดถึงมันอีก ผมได้แต่คิดวนไปวนมากับเรื่องราวในอดีต พร้อมกับเรื่องในวันนี้...
น้องคนนั้น คือใครกันนะ...
จะได้เจอกันอีกครั้งไหม...
จากที่ฟังรุ่นพี่เล่ามาการเรียนปีสี่มันแตกต่างจากปีหนึ่งถึงสามที่ผ่านมาเยอะมากครับ เดิมเราจะเรียนเป็นแบบเลคเชอร์มีอาจารย์เข้ามาสอนในหัวข้อต่างๆ แต่การเรียนปีสี่ถึงหกนั้นต้องเรียนรู้จากผู้ป่วยจริงบนหอผู้ป่วยหรือที่เรียกว่าวอร์ด การเรียนเลคเชอร์แบบเดิมจะน้อยลง จะต้องมีการอยู่เวรประจำวันอีก ฟังดูแล้วเหนื่อยไม่ใช่น้อย การนอนคือคำตอบที่สุด
ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้เกิดมาเก่งไปทุกอย่าง กว่าจะเอาตัวรอดจากการเรียนหมอมาถึงตอนนี้ ก็แทบตายเหมือนกัน ยังดีที่ผมจัดการกับเวลาของตัวเองได้ดี เลยพอมีเวลาพักผ่อนทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ ผมชอบเล่นกีตาร์คนเดียวที่ริมระเบียงของห้องนอนผม หรือไม่ก็จะเดินมาตรงบันไดทางขึ้นหอ ผมมักเลือกช่วงเวลาเล่นกีตาร์ในตอนที่ไม่ค่อยมีคน ผมกลัวคนอื่นรำคาญ ห้องพักผมอยู่ชั้นหนึ่งของหอพักรวมคณะแพทย์ ดีหน่อยที่ผมได้อยู่ห้องคนเดียวเพราะรูมเมทผมย้ายออกไปนอนหอนอก จึงทำให้ผมใช้ชีวิตได้อย่างอิสระในห้องนี้
ที่จริงผมไม่รู้ว่าการเรียนหมอนั้นเหมาะกับผมจริงๆไหม ผมเคยคิดว่าผมเรียนหมอตามสัญญาที่ให้ไว้กับคนที่ผมรักคนหนึ่ง แต่ตอนนี้ความคิดของผมมันเปลี่ยนไป มันชอบหมอเข้าแล้วจริงๆ
“ไอ้ธาร ตื่นหรือยัง” เสียงเพื่อนสนิทของผมที่อยู่ห้องตรงข้ามตะโกนจากข้างหน้าห้องผม พร้อมเสียงทุบประตูอย่างบ้าคลั่ง
“เออตื่นแล้วๆ เดี๋ยวกูตามลงไป”
“อย่ามาช้านะ กูอยากเริ่มประชุมเร็วๆ จะได้รีบเลิก”
“เออ”
ถึงแม้จะเป็นช่วงปิดเทอมของผม แต่ผมไม่ได้กลับบ้านผมหรอกครับ บ้านผมอยู่ไกลเกือบจะพ้นเขตจังหวัดพิษณุโลก และอีกอย่างช่วงปิดเทอมนี้ผมกับเพื่อนๆ ต้องเป็นคนเตรียมกิจกรรมรับน้องที่จะเกิดขึ้นอีกไม่ถึงสองอาทิตย์ข้างหน้า ในฐานะพี่วินัยอย่างผมก็ต้องจำใจอยู่หอในไปจนเปิดเทอม จะให้ผมไปๆ กลับๆ ก็คงไม่ไหว
ผมจัดการตัวเองเสร็จแต่งตัวด้วยเสื้อนักศึกษาถูกระเบียบ ผมต้องไปประชุมที่คณะ ฉะนั้นให้แต่งตัวชิวๆ สบายๆ เห็นว่าจะไม่สมควร ผมขับรถมอเตอร์ไซค์สีดำคันโปรดของผมไปคณะ ผมซื้อมันมาได้เกือบสามปีแล้วตั้งแต่เข้าปีหนึ่งมาใหม่ๆ มันถือว่าเป็นคู่หูคู่ใจของผม จะไปไหนก็ได้ ถ้ามีมัน
ตารางการประชุมนั้นมีทั้งวันตั้งแต่เช้าจรดเย็น โดยมีเพื่อนสนิทผมอย่าง สายฟ้า ที่มันพวงด้วยตำแหน่งหัวหน้าพี่วินัย เป็นคนที่ดำเนินการ ตำแหน่งหัวหน้าพี่วินัยของมันไม่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่มันได้มาเพราะรุ่นพี่ช่วย มันไปอ้อนวอนพี่วินัยรุ่นก่อนว่ามันอยากเป็นหัวหน้าพี่วินัยเพราะมันอยากโชว์รุ่นน้องให้เห็นความเท่ของมัน มันทั้งแต่งตัวเนี้ยบ ทรงผมมันถือว่าเรียบร้อยดีเหมาะสมที่จะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับน้อง เพียงแต่มันเป็นคนชอบใส่เจลบนผมมากเกินไปทำให้หัวมันมันวาวตลอดเวลา
เราประชุมกันตั้งแต่เรื่องรับน้องห้องเชียร์ การคัดลีดคณะ การเลือกดาวเดือน รวมทั้งเรื่องรับน้องนอกสถานที่ ซึ่งปีนี้เป็นปีแรกที่ทางคณะอนุญาตให้จัดได้ โดยทางคณะระบุว่าต้องไปในรูปแบบกิจกรรมอาสาช่วยเหลือสังคม เราจึงต้องมานั่งหาสถานที่ที่เราจะสามารถไปทำกิจกรรมได้ รวมทั้งจะไปทำอะไรดี
การประชุมดำเนินไปตามหัวข้อการประชุมที่เราจัดเตรียมไว้ จนสุดท้ายเราต้องมาเลือกกันว่าจะไปรับน้องนอกสถานที่กันที่ไหน ทุกคนต่างเสนอสถานที่ในดวงใจของแต่ละคน ผมเป็นคนหนึ่งไม่ค่อยชอบออกความคิดเห็นเท่าไรเลยนั่งฟังเงียบๆ
“ไอ้ธาร!!...”หัวหน้าพี่วินัยอย่างไอ้สายฟ้ามันไม่ยอมให้ผมนั่งเงียบเฉยๆหรอก แถมที่จริงผมไม่ได้อยากเป็นพี่วินัยอะไรกับมันหรอก แต่ถูกมันขอร้องให้มาเป็นกับมัน แถมมันยังให้ตำแหน่งรองหัวหน้าพี่วินัยแก่ผม
“...มึงอยากจะเสนอสถานที่อะไรไหม นั่งเงียบอยู่นั่นแหละ”
“เอาเลย ที่ไหนก็ได้หมด แล้วแต่ทุกคนเลย”
“มึงต้องพูด!!” น้ำเสียงเข้มขรึมของมัน ที่ฟังดูแล้วไม่ได้มีใครจะกลัวมันสักเท่าไร พูดบังคับให้ผมออกความคิดเห็น
“เออ ไปแถวบ้านกูไหมล่ะ ที่นั่นมีโรงเรียนเล็กๆ ในหมู่บ้านเราจะได้ไปทำกิจกรรมอาสาที่นั่นกันด้วย แถมหลังโรงเรียนก็มีน้ำตกให้เล่นด้วย” ผมเสนอความคิดเห็นอย่างยาวเหยียดไป ไม่รู้ว่ามีใครจะสนใจหรือเห็นชอบกับผมไหม โรงเรียนนั้นก็คือโรงเรียนของผมนั่นแหละครับ คิดว่าสถานที่ไกลขนาดนั้นไม่มีใครอยากจะไปหรอก เลยพูดส่งๆไป แต่...
“อะ กูเห็นด้วย” เสียงหัวหน้าพี่วินัยดังขึ้นเป็นเสียงแรก
“ชั้นก็เห็นด้วย” ตามด้วยเลขาฯการประชุม
คุณพระ กูแค่พูดเล่นๆ เอาจริงด้วย
"ก็ดีนะ มีโรงเรียน มีที่เที่ยวพักผ่อน ครบดี ไม่ต้องไปหลายที" เสริมทัพด้วยเหล่าสมาชิกผู้ทรงเกียรติ
“แต่การเดินทางมันลำบากนะ” ผมชิงพูดขึ้นมาก่อนจะมีใครเห็นด้วยกับผมไปมากกว่านี้
“เออน่า ครั้งแรกก็ลองดู ถ้ามันลำบากมากจริง จะได้รู้ไว้ว่าครั้งหน้าอย่ามาอีก” หัวหน้าพี่วินัยสรุปการประชุมเลือกสถานที่เป็นที่เรียบร้อย
เรื่องต่างๆ ก็น่าจะผ่านไปด้วยดี เหลือแค่แต่ละฝ่ายไปจัดการกิจกรรมของตัวเอง ส่วนผมก็ได้รับหน้าที่ในการติดต่อเรื่องรับน้องนอกสถานที่ไปโดยปริยาย
“เฮ้ยพวกเรา ไปกินหมูกระทะกัน” หน้าที่ของหัวหน้าพี่วินัยของมันยังทำหน้าที่เหมือนอย่างเช่นเคย การชวนเพื่อนไปกินหมูกระทะ ถือเป็นหน้าที่ที่มันทำอยู่เป็นประจำเวลาเราประชุมเสร็จ แต่ก็ไม่มีใครขัดมันหรอกครับ เพราะเวลาตอนนี้ก็หกโมงเย็นแล้ว ความหิวมันก็เข้ามาไม่ทันตั้งตัว เราแยกย้ายกันไปเจอกันที่ร้าน ร้านหมูกระทะอยู่แค่หลังมหา’ลัยเท่านั้นเอง เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาก็ถึงแล้ว พอที่ผมจะขับมอเตอร์ไซค์ไปได้
ร้านนี้ขอบอกเลยว่ามันเป็นร้านที่ทุกคนที่อยู่ในมหา’ลัยต้องรู้จัก รู้จักในเรื่องว่ามันถูก สะอาด น้ำจิ้มอร่อย ถึงแม้ร้านมันจะดูเก่าไปหน่อยเพราะมันเปิดมานานมาก นานจนแบบว่า เดิมมันเคยชื่อร้านข้างมอ ปัจจุบันมันเปลี่ยนเป็นชื่อ ‘เคียงคู่มอ’ เคยถามเจ้าของร้านเหมือนกันเขาบอกว่าใช้ชื่อข้างมอมาเกือบสามสิบปีแล้ว ไม่อยากจะข้างอีกต่อไปอย่างเคียงคู่กับมอไปนานๆ
ถึงที่ร้านเราขอให้ทางร้านจัดโต๊ะนั่งให้เราแบบโต๊ะติดกันยาวเพราะเรามากันเกือบสิบกว่าชีวิตทั้งพี่วินัย พี่ลีด พี่สันทนาการ เราขนกันมากินหมด ต่างคนต่างเดินไปตักอาหารของตัวเองไม่สนใจใครทั้งนั้นเพราะหิวมาก ถามว่าเครื่องดื่มคู่ใจสำหรับหมูกระทะของผมขอแค่น้ำอัดลมก็พอแล้ว ต่างจากไอ้สายฟ้าเครื่องดื่มคู่ใจของมันคือเบียร์ เหตุผลหลักของการชวนเพื่อนมากินหมูกระทะไม่ใช่ว่ามันอยากกินหรอกครับ มันแค่อยากกินเบียร์ โดยเฉพาะถ้าเป็นเบียร์วุ้นคือที่สุดสำหรับมัน เมื่อไรก็ตามที่เบียร์เข้าปากมัน ภาพลักษณ์หัวหน้าพี่วินัยสุดเท่ของมันจะกลายเป็นสภาพหมาวัดทันที
“อ้าว โชนนนนนนนน โชนนนนนนน”
"โชนนนนน"
“กูว่ามึงเบาๆ หน่อยก็ดีนะ” เพื่อนคนหนึ่งในโต๊ะเอ่ยขึ้นเพราะทนเห็นสภาพมันไม่ไหวแล้ว มันดื่มไปร่วมๆ หกขวดแล้ว
“โอ๊..เย โอ๊เย โอ๊โอ๊เย โอ๊เย โอ๊เย โอ๊โอ๊เย โอ๊เย โอ๊เย โอ๊โอ๊เย โอ๊เย โอ๊เย...”
มันเอาแต่แหกปากไปมาอยู่หลายนาที ด้วยท่อนเพลงท่อนนี้ ที่ไม่สามารถร้องท่อนอื่นได้ มันร้องวนอยู่อย่างนั้น พลางแซวคนโน้นทีคนนี้ที จนประโยคหนึ่งของมันถามผมจนทำให้ผมถึงกับนิ่งไปไม่ถูก
“อ้ายยย ธาร มะ มึงเคยบอกกู ชายมาย ว่ามึง เคยมีแฟน อ้าวแล้วแฟนมึงไปอยู่หนายแล้วล่ะ” ต่อให้ประโยคของไอ้สายฟ้ามันจะฟังไม่ค่อยจะรู้เรื่อง แต่ก็พอจับใจความได้
คำถามมันเหมือนเป็นคำถามที่แทงใจผมซะเหลือเกิน ผมรู้สึกปวดตรงหัวใจราวกับว่ามีใครมาบีบมันอย่างแรง ใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะ เหงื่อออกมาไม่รู้ตัว ตัวผมแข็งทื่อขยับไม่ได้
“เฮ้ยๆๆ พอๆ มึงเมามากแล้ว นั่งๆ” ผมได้ยินเสียงเพื่อนในโต๊ะพูดกับไอ้สายฟ้า แต่ผมไม่สามารถรับรู้ได้ว่ามันเป็นเสียงใคร สมองผมเหมือนไม่รับรู้อะไรอีกแล้วหลังจากได้ยินคำถามนั้น
“กูขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” ผมรู้เพียงว่าผมต้องออกไปจากตรงนี้ก่อนที่ผมจะแย่ไปมากกว่านี้
ทางเดินไปห้องน้ำของร้านมันออกจะมืดกว่าในร้านมาก ผมเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังเดินออกมาจากห้องน้ำนั้น เขาใส่ชุดนักเรียนเรียบร้อย ผมรองทรงยาวพอประมาณ ผมมองหน้าเขายังไม่ชัดเจนเท่าไร จนเราสองคนได้เดินสวนกัน เราสบตาเพียงครู่หนึ่ง พอจะทำให้เรามองเห็นลักษณะของกันและกันได้ชัดเจนมากขึ้น ใจผมเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง ไม่ได้ยินเสียงรอบกาย มีเพียงเสียงหัวใจที่ดังขึ้น
ทำไมกัน แววตาคู่นั้นดูคุ้นเคย...
ใบหน้านั้น ทำไมถึงทำให้คิดถึงคนคนหนึ่งที่ผมรักมาก...
ถึงแม้ตอนนี้เขาจะจากผมไปแล้ว...
หยดน้ำตาไหลมันออกมาจากดวงตาของผม ความรู้สึกเย็นของหยดน้ำเหล่านั้นผ่านลงมาที่แก้มผมทั้งสองข้าง ผมรู้สึกเหงาอย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกตอนนี้เหมือนบรรยากาศรอบตัวผมเงียบสงบ ผมรู้สึกว่าการเฝ้ารอที่จะพบเจออีกครั้งมันจบลงแล้ว ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกของผมตอนนี้มันเกิดขึ้นเพราะอะไร
ผมรู้แต่เพียงว่าคิดถึง
ผมคิดถึงมาก...
“ป่าน” เสียงผมพูดอย่างแผ่วเบา ไม่รู้ว่าคนที่สวนผมจะได้ยินหรือเปล่า
หลังจากที่ผมตั้งสติ ล้างคราบน้ำตา มองกระจกเก่าๆในห้องน้ำ ใบหน้าผมที่สะท้อนในกระจกดูสับสนเหลือเกิน ไม่รู้ว่าสิ่งที่เจอตอนนี้เป็นความฝันหรือความจริง ผมลองตบหน้าตัวเองเบาๆ พอให้มีความรู้สึกว่านี่ไม่ใช่ความฝันมันคือความจริง ผมเดินออกจากห้องน้ำมาที่โต๊ะ สภาพไอ้สายฟ้ายังคงเหมือนหมา ทุกคนคิดว่าเราควรจะกินกันแค่นี้แหละ ต้องรีบพาคนเมาไปเก็บก่อน
“น้องครับ/พี่ครับ” เสียงเรียกเก็บเงินของเพื่อนผมดังขึ้มพร้อมกับลูกค้าอีกโต๊ะหนึ่งที่นั่งห่างเราประมาณสามโต๊ะ
แต่พนักงานคนนั้นยืนใกล้โต๊ะนั้นมากกว่าโต๊ะเรา จึงทำให้พนักงานไปที่โต๊ะนั้นก่อน เราจึงต้องรอตามคิว โต๊ะนั้นเป็นโต๊ะของนักเรียนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือคนที่สวนผมออกมาจากห้องน้ำ
ไม่นานพนักงานก็มาเก็บเงินเรา เราทยอยลุกออกไปนอกร้าน สภาพไอ้สายฟ้าคือขาลากกับพื้นแขนสองข้างมันพาดบ่าของเพื่อน เราต่างจัดแจ้งรถเพื่อไปส่งมัน ตอนมาคนเมาขับรถเองได้ แต่ขากลับเพื่อนต้องขับให้
“โอ๊..เย โอ๊เย โอ๊โอ๊เย โอ๊เย โอ๊เย โอ๊โอ๊เย โอ๊เย โอ๊เย โอ๊โอ๊เย โอ๊เย โอ๊เย...”
"ธาร กูไปส่งมันก่อนล่ะ มึงขับกลับดีๆนะ" เสียงเพื่อนวินัยอีกคน พูดรับผิดชอบกับคนเมาแล้วทีนี้ผมก็ลอยตัว
ผมเดินไปที่มอเตอร์ไซค์ของผมก่อนจะขับออกไป ใส่หมวกกันน็อกแต่ยังไม่ได้ปิดที่กันลมลง ผมมาถึงทางออกของร้านก่อนจะเห็นรถยนต์คันหนึ่งกำลังขับออกมาพร้อมกัน ผมมองไปที่กระจกรถยนต์ด้านหน้า ต่อให้สภาพในรถมันมืดเพียงใด แต่ผมก็พอเห็นว่าคนในรถเป็นนักเรียนที่มากินหมูกะทะกลุ่มนั้น คนที่นั่งข้างคนขับสบสายตากับผม ตุบ ตุบ ตุบ ใจผมเต้นแรงขึ้น ก่อนผมจะละสายตา ปิดที่กันลมลงแล้วขับออกไป
ความรู้สึกแบบนี้ ที่จริงแล้ว มันคืออะไรกันแน่...
ผมกับมาถึงห้องนอนของผม ว่างกระเป๋า ปลดเนคไทออก ถอดเสื้อนักศึกษาที่เหม็นกลิ่นหมูกะทะใส่ลงที่ตะกร้าเสื้อผ้าที่เตรียมจะส่งซัก ผมนั่งลงตรงเก้าอีกที่โต๊ะอ่านหนังสือ ผมมองข้อมือขวาของผมที่มันมีสร้อยข้อมือจี้รูปดาวห้อยอยู่ ผมใช้มือสัมผัสมันเบาๆ ผมจำมันได้ดีของสิ่งนี้มันมีความสำคัญกับผมมาก
ผมยื่นมือไปเปิดลิ้นชักโต๊ะ มองไปที่ซองพลาสติกใสเล็กที่ภายในบรรจุของสิ่งเดียวกับข้อมือของผม
‘พี่หนูมีอะไรจะให้ ดูนี่ สร้อยข้อมือจี้รูปดาว อันนี้ของพี่ ส่วนอันนี้ของหนู’
ความทรงจำของผมยังได้ยินคำพูดของเธอชัดเจน
‘ดวงดาวสองดวงนี้จะคู่กันไปตลอดนะ...’
ผมจำรอยยิ้มของคนที่พูดประโยคนี้ ได้ดี
ผมตบหน้าตัวเองเบาๆให้สติผมกลับมา บรรยากาศรอบตัวยังคงไม่ได้มีเสียงอะไรรบกวน เวลาผ่านไปก็นานหลายปีแล้วนะ ทำไมวันนี้ถึงคิดถึงมันอีก ผมได้แต่คิดวนไปวนมากับเรื่องราวในอดีต พร้อมกับเรื่องในวันนี้...
น้องคนนั้น คือใครกันนะ...
จะได้เจอกันอีกครั้งไหม...
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ