DREAMS COME TRUE จากฝัน...ถึงเธอ

10.0

เขียนโดย winnerella

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 12.04 น.

  17 บท
  0 วิจารณ์
  16.72K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 17.42 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

13) ร่องรอย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
...(ปอ)...
สองอาทิตย์แรกของการเปิดเทอมของผมดูเป็นสิ่งที่แปลกใหม่ในชีวิตผมอีกครั้งหนึ่ง ทุกๆเช้าผมลงมาจากหอจะเห็นเหล่าเฟรชชี่หลากหลายคณะเดินกันอย่างพลุกพล่านตามทางเดิน ศูนย์อาหารหน้าหอใน บรรยากาศคึกคักมากเมื่อเทียบกับช่วงที่เราเรียนปรับพื้นฐานตอนปิดเทอม
หน้าที่ของผมในทุกๆเช้าต้องค่อยปลุกเพื่อนสนิทรูมเมทของผมอย่างไอ้ดิว เข้าใจมันนะครับ มันคงเหนื่อยกับการซ้อมลีดของคณะที่ต้องซ้อมทุกๆเย็น ประมาณเกือบสองชั่วโมงในทุกๆวัน บางวันการซ้อมก็ยาวนานจนบางครั้งดิวกลับมานอนที่ห้องตอนไหนผมยังไม่รู้เลย เพราะเวลานั้นผมอาจจะหลับไปแล้ว
“ดิวตื่นได้แล้ว เดี๋ยวไปเรียนสาย”
“เออ ตื่นแล้วๆ” มันยังคงนอนหลับอยู่บนเตียงของมันเหมือนเดิม กว่ามันจะลุกก็อีกสิบนาทีข้างหน้า
“เร็วนะกูหิวข้าว มึงไม่อยากเจอแพรวเร็วๆหรอ”
ประโยคไหนมีคำว่า’แพรว’ มันเป็นเหมือนตัวกระตุ้นให้กับไอ้ดิวได้เป็นอย่างดี แต่ผมไม่รู้นะว่าความสัมพันธ์ของมันกับแพรวจริงๆแล้วเป็นอย่างไร เพราะมันยังไม่เล่าให้ผมฟังสักที
ในทุกเช้าผมยังต้องซ้อนรถมอเตอร์ไซค์ของไอ้ดิวไปเรียน การเรียนปีหนึ่งนั้นส่วนใหญ่จะเรียนวิชาพื้นฐานทั่วๆที่ทางมหา’ลัยจัดให้ เริ่มเรียนประมาณแปดโมงครึ่งจนถึงประมาณสี่โมงเย็น โครตเหนื่อยเลยครับ บางวันอาจจะมียกเลิกคลาสเรียนบ้างเป็นสิ่งที่ผมชอบที่สุดแล้ว
อย่างวันนี้ ตอนบ่ายโมงนั้นถูกยกเลิกคลาสไป จะมีเรียนอีกที่ก็บ่ายสามโมงเย็นทำให้เราพอมีเวลานั่งกินข้าวกลางวันกันนานกว่าปกติ บรรยากาศใต้ถุนอาคารเรียนรวมของมหา’ลัยคึกคักมากในช่วงพักกลางวัน บรรยากาศดูคล้ายกับตอนที่เรามาสอบเข้าที่นี่ แต่แตกต่างตรงที่ตอนนี้คนที่อยู่ในที่นี่เป็นนักศึกษาปีหนึ่งจากคณะต่างๆ
"มึง ไอ้ปอ มึงนั่งเหม่ออะไรว่ะ" เสียงพูดกระชากสติของไอ้ดิว ทำเอาผมพูดไม่เป็นประโยค
"อะ เออ มะ ไม่มีอะไร"
"ตั้งแต่มึงกลับมาจากรับน้อง มึงดูเปลี่ยนไปนะ"
ความผิดปกติของผมคงทำให้คนรอบข้างสังเกต
"..."
"หรือว่าพี่ธารบอกชอบมึง"
จึก!
"จะบ้าหรอ คิดอะไรกันไปใหญ่"
“หรือว่าพี่ธารทิ้งมึงไป”
แม่งประโยคที่ทำให้ใจผมเจ็บกว่าประโยคแรกที่มันพูดอีก ผมเองก็ไม่รู้ ผมถูกทิ้งหรือป่าว
"แต่ช่วงนี้ พี่ธารก็มักจะมาให้เราเห็นบ่อยๆเหมือนกันนะ" พาวน้องรหัสของพี่ธารพูดขึ้น ต่างเป็นข้อสงสัยให้กับผมเหมือนกัน "ปกติพี่ธาร เรียนปีสี่ ไม่ได้เรียนที่โรงพยาบาลหรอ"
"นั่นไง กูว่าแหละ พี่ธารต้องคิดอะไรกับมึงแน่ๆ" คำพูดของไอ้ดิว มันทิ่มแทงหัวใจของผม
              "ก็ปกติหรือเปล่า ใครๆก็เจอได้นิ"
              "ใช่มันจะปกติ ถ้าเจอที่หออะ กูว่ามันไม่ปกติ ถ้าเจอที่นี่อ่ะ..."
              คำว่า'ที่นี่'ของไอ้ดิวคือที่ไหน
"ปอ" เสียงเรียกอันคุ้นเคยดังมาจากข้างหลังผม 
"พะ พี่ธาร" ผมเข้าใจคำว่า'ที่นี่'ของไอ้ดิวแล้ว
"พี่สายฟ้าฝากหนังสือมาให้นะ" ผมยื่นมือไปรับหนังสือจากพี่ธาร ก่อนจะได้ยินประโยคกวนประสาทของไอ้ดิว
"แหม่พี่ธาร ทำไมพี่สายฟ้าไม่เอามาให้น้องรหัสสุดที่รักเองล่ะ ทำไมพี่ต้องมาแทน"
"ไอ้ดิว!!" ผมได้แต่ตวาดกลับทันที สีหน้าพี่ธารดูจืดๆไปเลย 
"อะ เออ ไอ้สายฟ้ามันไม่ว่างพี่เลยเอามาให้แทน"
"อ่อคร้าบบบบบ" เสียงกวนประสาทไอ้ดิวทำให้พี่ธารถึงกลับไปไม่เป็น
"ขอบคุณนะครับพี่ธาร พี่กินข้าวรึยังครับ" ผมรีบตัดบทเพื่อเปลี่ยนเรื่อง ก่อนที่พี่ธารจะแย่ไปกว่านี้ เพราะคำพูดไอ้ดิว
"กินแล้วครับ งั้นพี่ไปก่อนนะ"
"ครับ"
พี่ธารเดินจากโต๊ะเราไป ความคิดผมก็คิดอย่างไอ้ดิวแหละ เพราะช่วงนี้ดูเจอพี่ธารบ่อยยังไงไม่รู้ แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจถึงเหตุผลเท่าไร รู้แต่เพียงทุกครั้งที่เจอหัวใจผมเต้นรัวตลอด หรือจะเป็นความรักอย่างที่ไอ้ดิวเคยบอก
“เห็นไหม พูดกับไอ้ปอ อย่างเพราะ คิดอะไรแน่ๆ”
แต่ผมไม่ได้สนใจอะไรกับสิ่งที่ไอ้ดิวพูด ผมนั่งกินข้าวต่อไป แต่ในใจของผมกับรู้สึกว่าคำพูดของมันแต่ละประโยคกับทำให้ผมเขินทุกครั้งจริงๆ
ตลอดเวลาที่ผมกลับมาจากการรับน้องนอกสถานที่ เหมือนกับว่าความรู้สึกบางอย่างในตัวผมมันเปลี่ยนไป วันๆผมเอาแต่นั่งเหม่อคิดถึงคนคนหนึ่งตลอดเวลา 'ป่าน' ชื่อของคนคนนี้ยังอยู่ในหัวผมตลอดเวลา ผมรู้สึกผูกพันกับเธอมากราวกับว่าเราสองคนนั้นเป็นคนคนเดียวกับ มีบางอย่างเชื่อมเราสองคนเอาไว้  แต่อีกคนที่ทำให้ใจเต้นแรงทุกครั้งที่เจอนั้นก็คือ พี่ธาร...
ในทุกๆคืนความฝันของผมมันกลับเด่นชัดขึ้นมาอย่างมาก ทั้งสถานที่ ทั้งช่วงเวลา ทั้งใบหน้าของเธอ และคนที่เธอรัก คนคนนั้นไม่ได้เป็นคนอื่นไกล แต่กับเป็นพี่ธาร พี่คนนั้นที่ครั้งแรกที่ผมเจอก็ทำให้ใจของผมสั่น ความคิดถึงมันมากขึ้นทุกครั้งที่มองไปยังผู้ชายที่ชื่อธาร ราวกับว่าความรู้สึกของป่านนั้นผ่านมาที่ผม หรือจริงๆมันคือความรู้สึกของผมกันแน่
 เรื่องราวในความฝันถูกบันทึกผ่านไดอารี่เล่มนั้นเสมอ คำขึ้นต้นของทุกๆเรื่องราวจะไม่ขึ้นต้นด้วยวันเดือนปีเหมือนไดอารี่หน้าอื่นๆ แต่กลับขึ้นตอนด้วยคำว่า ความฝัน...
ความคิดของผมมักฟุ้งซ่านเสมอเมื่อได้อ่านเรื่องราวของความฝันของป่าน ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าตลอดห้าปีที่ผมฝันถึงเรื่องราวของใครคนคนหนึ่งมาตลอด ตอนนี้ผมรู้แล้วว่ามันคือเรื่องราวของป่าน แต่ผมไม่รู้ว่าตอนนี้เธออยู่ที่ใด สิ่งเดียวที่จะทำให้ผมรู้ความจริงได้มากขึ้น ผมต้องถามพี่ธาร
 
กิจกรรมรับน้องสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ตอนนี้ก็คือกิจกรรมหาตัวแทนดาวเดือนของคณะเพื่อเข้าร่วมในงานเฟรชชี่ไนท์ที่จะมาถึงในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า เย็นวันนี้หลังเลิกเรียนน้องๆปีหนึ่งจึงมารวมตัวกันที่หอประชุมกลางของหอในอีกครั้ง หัวหน้าพี่วินัยที่พวงกับตำแหน่งพี่สายรหัสผมประกาศวิธีการลงคะแนนเลือกตัวแทน โดยการแจกกระดาษให้เราเขียนชื่อเพื่อนที่คิดว่าเหมาะสมกับเป็นตัวแทนลงดาวเดือนของคณะในปีนี้ลงไป
"ไอ้ปอ เพื่อนรักของกู มึงจะเขียนชื่อใครลงไปหรอ" เสียงพูดของไอ้ดิวดูอ้อนวอนแนวกวนๆ ผมรู้ได้ทันทีว่ามันคงอยากจะให้ผมเขียนชื่อมันลงไปในส่วนของตำแหน่งเดือนคณะ
"เฮ้ยอีกและ มึงกะจะไม่ให้กูเขียนชื่อคนอื่นเลยหรอวะ"
"นะ นะ นะ เขียนชื่อกู คู่กับแพรว มึงคิดดูนะ คนหล่อๆอย่างกูเป็นเดือนคู่กับคนสวยๆอย่างแพรวมันจะเป็นคู่ที่สมบูรณ์แบบขนาดไหน" เรื่องความสวยความน่ารักของแพรว ผมเองไม่ติดใจหรอกที่จะเขียนชื่อแพรวลงไปในตำแหน่งดาว เพราะเชื่อว่าใครหลายคนในคณะก็ต้องเขียนชื่อแพรวลงไปอย่างแน่นอน แต่ติดที่ชื่อมึงเนียแหละที่กูไม่อยากจะเขียน
ผมต้องจำใจเขียนชื่อมันลงไปคู่กับแพรวเพราะทนต่อเสียงเรียกร้องของมันไม่ไหว พี่ให้เวลาเราคิดชื่อที่จะเขียนลงไปประมาณสิบนาที ก่อนจะเก็บเอาไปรวมคะแนน ทุกคนที่นั่งอยู่ที่หอประชุมแห่งนี้ดูตั้งหน้าตั้งตารอคอยผลอย่างใจจดใจจอ รวมทั้งคนที่ดูตื่นเต้นกับผลมากที่สุด และคาดหวังการเป็นตัวแทนมากที่สุดคงไม่พ้นไอ้ดิว
"กูสั่นไปหมดแล้ว กูลุ้นชิบหายเเล้วเนี่ย"
"มึงใจเย็นๆก่อน" ผมได้แต่เตือนสติมันเบาๆ ไม่อยากให้มันคาดหวังอะไรที่เกินไป แต่ก็ดูจะไม่เป็นผลเท่าไร
"เอาล่ะ ทุกคนถึงเวลาที่ทุกๆคนรอยคอยแล้ว ผลการโหวตเลือกตัวแทนคณะดาวเดือนในปีที่ออกมาแล้ว" เสียงประกาศของหัวหน้าพี่วินัยดังขึ้น ต่างสร้างความสนใจให้กับทุกคนที่นั่งอยู่ ณ สถานที่นี้
"ตัวแทนดาวคณะของเราในปีนี้คือ แพรวครับ ได้ไปทั้งหมด 55 คะแนน" เสียงปรบมือเสียงเชียร์ของบรรดาชายหนุ่มของคณะถึงมีน้อยนิดแต่กลับดังทั่วหอประชุม ผลคะแนนนี้ไม่ได้เป็นที่หน้าแปลกใจสำหรับผมครับ แพรวเหมาะกับตำแหน่งนี้จริงๆ การประกาศรายชื่อของดาวคณะจบลงเพียงเท่านี้ ผมเข้าใจว่ามันคงเป็นการให้เกียรติกับรายชื่อที่เหลือของห้าคะแนนนั้น
"ไม่รอช้านะครับ ต่อไปเป็นรายชื่อของเดือนคณะเราปีนี้" เสียงเชียร์เงียบลงอีกครั้ง คนข้างผมยังคงหลับตาพนมมืออ้อนวอนให้ชื่ออันดับหนึ่งนั้นเป็นชื่อมัน
"ลำดับที่หนึ่ง ปอ 25 คะแนน"
เสียงประกาศทำให้ผมถึงกับช็อค เฮ้ย ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ ไม่มีทางที่เป็นชื่อผมอย่างแน่นอน
"ลำดับที่สอง กร 18 คะแนน ลำดับที่สาม ดิว 17 คะแนน"
สิ้นเสียงประกาศทุกคนเงียบลง ผมถึงกับทำอะไรไม่ถูก เป็นไปได้ไง ผมมองไปที่ไอ้ดิวมันก็ตกใจไม่ต่างกับผม ผมว่านอกจากมันจะตกใจกับผลในครั้งนี้ มันคงเสียดดายที่ไม่ได้เป็นเดือนคู่กับดาวอย่างแพรว
"ขอให้ผู้ที่ชนะ ลำดับที่หนึ่งออกมาข้างหน้าด้วยครับ" สิ้นเสียงเรียก ผมและแพรวต่างค่อยๆลุกเดินไปข้างหน้า เสียงปรบมือส่งเสียงเชียร์ยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่องเรื่อย พี่วินัยบอกให้เราพูดถึงความรู้สึกที่ได้รับตำแหน่งนี้ คนแรกที่พูดก็คือแพรว เสียงใสๆอันไพเราะ ปนความขี้อายนิดๆ สร้างเสียงเชียร์ดังได้เป็นจำนวนมาก ต่อมาก็ถึงตาของผมแล้ว
"คะ คือ ผมมีเรื่องอยากจะบอกครับ คือ ผมของสละสิทธิ์ ครับ" ประโยคคำพูดของผมกลับสร้างความสับสนให้กับทุกคน ตอนนี้ทุกคนต้องการเหตุผลทำไม ผมถึงพูดอย่างนั้น
"คือร่างกายของผมไม่ค่อยแข็งแรงครับ ผมได้รับการผ่าตัดหัวใจตั้งแต่เด็กๆ ถ้าผมทำกิจกรรมมากๆผมจะมีอาการเหนื่อยครับ แต่ผมขอบคุณมากนะครับ ที่เลือกผมเป็นตัวแทน และผมก็ต้องขอโทษที่ทำหน้าที่เดือนคณะอย่างที่ทุกคนคาดหวังไว้ให้ไม่ได้" เหตุผลของผมพอฟังขึ้น ทำให้ทุกคนต่างเข้าใจ ตำแหน่งเดือนคณะจึงตกเป็นของ กร
หลังจากเสร็จกิจกรรมผมกับไอ้ดิวเดินออกจากหอประชุมกันเพื่อจะไปหาอะไรกินที่ศูนย์อาหารหน้าหอ พลางไอ้ดิวมันก็บ่นเรื่องผลคะแนนของเดือนคณะ ที่มันเสียดายว่ามันแพ้ กร แค่หนึ่งคะแนนเท่านั้น มันคิดว่าต้องมีการนับคะแนนผิดแน่ๆ ผมได้แต่ถอนหายใจกับมัน ก่อนสายตาของผมจะเหลือบไปเห็นพี่ธาร
"ดิว มึงไปรอกูที่ร้านอาหารก่อน จองที่ด้วย เดี๋ยวกูมา กูมีธุระ"
"ธุระอะไร ของมึงตอนนี้ว่ะ" ความอยากรู้อยากเห็นของไอ้ดิวมันยังคงทำงานดีเหมือนเดิม
"เออนะ มึงไปก่อน กูไปและ"
"เออ ก็ได้วะ"
ทันทีที่ผมแยกจากไปดิวผมก็เดินตรงไปหาชายร่างสูงใหญ่คนนั้นที่กำลังเดินออกมาจากหอประชุม พร้อมกับพวกพี่วินัยคนอื่นๆ
"พี่ธาร ครับ" เสียงทักของผมทำให้พี่ธารหยุดรอผมอยู่ที่หน้าประตู
"พวกมึงไปก่อนเลย เดี๋ยวกูตามไป" พี่ธารหันไปพูดกับบรรดาเพื่อนๆ ก่อนจะให้ความสนใจกับผม
              "มีอะไรหรอปอ"
"คือผมมีเรื่...." มันทันทีผมจะได้พูดประโยคคำถาม ลูกชิ้นปิ้งอุ่นๆลูกหนึ่งกลับมาอยู่ในปากของผม
"อ้าม กินเข้าไป พี่รู้ว่าเราคงหิว" 
ผมจำใจต้องเคี้ยวลูกชิ้นปิ้งลูกนั้นลงไป ในใจก็รู้สึกดีใจยังไงบอกไม่ถูก ผมกลับลืมเรื่องที่ผมจะถามไปเลยครู่หนึ่ง
"รีบไปกินข้าวซะ เดี๋ยวพี่ไปก่อน พี่มีงานต้องทำ"
ผมได้แต่ยืนนิ่งยอมจำนงกับสถานการณ์นั้นก่อนจะตอบได้เพียงแค่  "คะ ครับ" 
แล้วพี่ธารก็เดินจากผมไป
โดยที่ผมไม่ได้ถามในสิ่งที่ผมสงสัยเลย...
 
หลังจากกินข้าวเย็นกันเสร็จผมกับดิวแยกย้ายกัน ไอ้ดิวมันยังคงต้องซ้อมลีดในทุกเย็นต่ออีกกว่าจะกลับคืนนี้ผมว่าจะดึกเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน เพราะเราใช้เวลานานในการหาตัวแทนดาวเดือน กินเวลาการซ้อมปกติของเหล่าบรรดาลีดคณะ ส่วนผมก็เพียงได้แค่เดินกลับหอคนเดียว
ในห้องมืดสนิทมีเพียงแสงไปที่เล็ดลอดผ่านหน้าต่างเก่าๆของห้องผม มันพอที่จะให้ผมมองเห็นเงาของสิ่งของต่างๆภายในห้องผม ผมเดินมาที่โต๊ะอ่านหนังสือประจำของผม เอื้อมมือไปเปิดสวิตซ์โคมไฟ แสงไฟสีเหลืองนวลจากโคมไฟเพิ่มความสว่างให้กับห้องขึ้นมาเล็กน้อยทำให้เห็นสิ่งของที่อยู่บนโต๊ะนั้นชัดเจน
สมุดไดอารี่ของผมมันยังคงว่างที่ตำแหน่งเดิมของมันทุกวัน หน้าปกของมันยังคงเป็นเพียงหน้าปกสีน้ำตาลเรียบๆเหมือนเดิม ผมนั่งลงที่เก้าอี้เปิดไดอารี่เล่มนั้นขึ้นมาอ่าน เปิดหาอ่านเฉพาะเรื่องราวของความฝันที่ผมได้จดบันทึกเรื่องราวนั้น นิ้วมือของผมสัมผัสพื้นผิวของกระดาษหน้าปกนั้นไปมาขณะเปิออ่านไดอารี่เล่มนี้ ผมรู้สึกถึงร่องรอยการกดของสิ่งของบางอย่างที่อยู่บนมุมขวาบนของหน้าปก ผมปิดไดอารี่เล่มนี้เพื่อมาดูสิ่งผิดปกติที่ผมได้สัมผัส
ร่องรอยคล้ายกับรอยกดของดินสอ ปรากฏที่มุมขวาบนของของไดอารี่เล่ม ที่จริงผมเคยเห็นมันแล้วแต่ไม่ค่อยได้สนใจอะไรกับมันเท่าไร ผมใช้สายตาเพ่งดูพร้อมกับใช้นิ้วชี้ลูบไปบนพื้นผิวของหน้าปกนั้น วันนี้ผมรู้แล้วคำที่ถูกลบไปนั้นคือ
'ป่าน'
ถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่าผมเขียนชื่อเธอตั้งแต่ตอนไหนลงบนหน้าปกไดอารี่นี้ และก็ไม่รู้เหตุผลว่าทำไมถึงลบมัน ผมจำมันไม่ได้จริงๆ
ในหัวผมตอนนี้คิดอย่างเดียวว่า หรือที่จริงแล้วตลอดเวลาห้าปีที่ผมฝันถึงเรื่องราวของป่านนั้น ป่านมีสิ่งที่ต้องการจะบอกอะไรกับผม  ผมต้องไปหาไดอารี่เล่มเก่าที่บ้านของผมพวกนั้น ผมอาจจะรู้ความจริงของเรื่องราวทั้งหมดนี้
 
ระยะเวลาของกิจกรรมเฟรชชี่ไนท์เข้าใกล้มาทุกที พวกเพื่อนปีหนึ่งทุกคนต่างได้รับหน้าที่ในการทำอุปกรณ์ต่างๆที่เอาไว้ใช้แสดงโชว์ประกวดให้แก่ดาวและเดือนของมหา’ลัย ทั้งฉากแสดงที่มีเป็นสิบๆฉาก ทั้งเสื้อผ้าหน้าผมที่ต้องไปสั่งตัดเย็บชุดใหม่ทั้งหมด หน้าที่ของผมก็คือ ทำฉาก ส่วนใหญ่แล้วเรามักจะทำกันในช่วงเย็นของทุกๆวันอยู่แล้ว ที่ใต้ถุนอาคารคณะแพทย์เรา แต่จะว่าไปงานมันก็เยอะมากครับไม่มีทางเสร็จง่ายๆ แถมพวกเราก็มีเรียนตอนเช้าจะให้ทำต่อดึกๆก็คงไม่ไหว เราจึงจำเป็นที่จะต้องนัดทำในวันเสาร์อาทิตย์แทน ตั้งแต่เช้าจนดึกเลย พวกเราแทบจะไม่ได้กลับบ้านกันเลยในวันหยุดสุดสัปดาห์ ผมจึงคิดว่าถ้าเสร็จงานเฟรชชี่ไนท์เมื่อไหร่ผมจะกลับบ้านไปหาไดอารี่เก่าๆพวกนั้น
“เหลืออีกหกฉากนะทุกคน” เสียงพูดของเพื่อนร่วมชั้นปีของผม เธอเป็นหัวหน้างานในการทำฉากการแสดงของดาวเดือนคณะเรา เธอมีความสามารถมาก ออกแบบแต่ละฉากคือสวยงามราวกับมืออาชีพ
“โอเค” พวกเพื่อนต่างตอบรับงานนั้นโดยไม่มีใครบ่นเหนื่อยสักคน
“ปอ พี่ธารฝากมา” เสียงของเพื่อนคนหนึ่งดังขึ้น พร้อมยื่นถุงพลาสติกของร้านสะดวกซื้อ ที่ภายในมีน้ำเปล่าหนึ่งขวด ขนมปังหน้าเนยนม พร้อมกระดาษเล็กใบหนึ่ง
“ขะ ขอบใจ”
ผมหยิบน้ำมาดื่มก่อนอย่างแรกเพราะผมหิวน้ำมากเหลือเกิน เราทำฉากกันตั้งแต่ช่วงเย็นจนตอนนี้เกือบสามทุ่มแล้ว มันเหนื่อยและหิวเหมือนกัน ผมจึงหยิบขนมปังนั้นขึ้นมา พร้อมกับหยิบกระดาษเล็กขึ้นมาอ่าน ข้อความนั้นทำให้ผมยิ้มแทบไม่หยุด
‘รู้ว่าหิว กินให้อร่อยนะ ...พี่ธาร’
ที่ช่วงนี้ผมแทบไม่ได้เจอกับพี่ธารเลย อาจจะเป็นเพราะอยู่ในช่วงสอบของพี่เขาละมั้ง แม้แต่พี่รหัสของผมที่อยู่ปีสองก็ยังเจอกันได้น้อยเลยครับ เราเจอกันทักทายกันเล็กน้อย แล้วพี่เขาก็แยกไปเรียน ปีสองมันแตกต่างจากการเรียนปีหนึ่งของเรามาก การเรียนมันจะเรียนกันเป็นบล็อก ซึ่งแต่ละบล็อกก็จะเป็นวิชาพวกระบบร่างกายมนุษย์ที่เราเคยเรียนกันตอนช่วงปิดเทอมแต่จะลึกกว่ามาก ทั้งต้องมีการผ่าอาจารย์ใหญ่อีก และแต่ละบล็อกก็มีระยะเวลาในการเรียนไม่เท่ากัน บางบล็อกก็เรียนเป็นเดือน บางบล็อกก็เรียนเพียงแค่หลักสัปดาห์ แถมเรียนบล็อกนี้เสร็จก็สอบเลย ต่างกับปีหนึ่งอย่างเราที่เรียนเป็นเทอมแล้วสอบสองครั้งในช่วงมิดเทอมและปลายเทอม
อย่างที่ผมเคยบอกไป หน้าที่ผมของทุกวันคือปลุกไอ้ดิว ดูแลมันเหมือนเป็นแม่คนที่สองของมัน มันมักจะอ้างเรื่องว่ามันเหนื่อยจากการซ้อมลีด ทำโน่นนี่นั่นไม่ไหว เอาแต่นอนไปวันๆ แต่ผมก็ไม่ได้จะโกรธอะไรมันนะครับ ผมรู้นิสัยมันดี แต่มันก็ยังดีที่มันเป็นคนที่รักความสะอาดถึงแม้จะแตกต่างจากพฤติกรรมที่มันแสดงให้ผมเห็นทุกวัน ที่ปรึกษาปัญหาชีวิตของไอ้ดิวไม่ต้องไปหาที่ไหนหรอกครับ ก็ผมนี้แหละ
"มึง ปอ"เสียงเบาๆทักผมดังมาจากปลายเตียงของเพื่อนร่วมห้อง
ผมยันตัวเองขึ้นจากที่นอนพิงหัวเตียงเพื่อทำท่ารับฟังอย่างตั้งใจกับสิ่งที่มันจะบอก ผมเห็นเพื่อนสนิทผมนั่งก้มหน้า กุมมือ ดูแล้วคนคนนี้หน้าจะต้องมีปัญหาอะไรในชีวิตแน่นอน
"มีอะไร" ผมเอ่ยทักเพื่อเป็นสัญญาณว่ากูพร้อมจะฟังมึงแล้ว
"คือกู คือกู คือกู ..." ประโยคอ้ำอึ้งของมัน ก็คือ ก็คือ แม่งไม่ยอมพูดอะไรสักทีจนผมหมดความอดทน
"ถ้ามึงไม่พูด กูจะปิดไฟนอนแล้วนะ"
"กูชอบแพรว!!!!!! วันนี้กูไปขอเขาเป็นแฟน" ประโยคที่ทำให้ผมถึงกลับถลึงตา รีบหันไปหาต้นเสียงนั้น
"เมื่อกี้มึงพูดว่าอะไรนะ" ผมทวนถามคำพูดมันอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
"กูขอแพรวเป็นแฟน"
"เราเขาตอบมึงว่าไง"
"เฮ้อออ ..." เสียงถอนหายใจของชายหนุ่ม ที่นั่งก้มหน้ากุมมืดดังขึ้นมา ผมเดาว่ามันคงอกหัก
"แพรวบอกกูว่า ตอนนี้ขอสนใจกับเรื่องลีดกับการแสดงดาวเดือนให้เรียบร้อยก่อน" เสียงเศร้าสร้อยตอบกลับผมมา ผมสงสารมันนะครับ ชายหน้าตาหล่อเหลาอย่างมันเพิ่งเคยโดนปฏิเสธจากหญิง ทั้งที่ก่อนหน้านี้มันเป็นฝ่ายปฏิเสธเองตลอด ใจหนึ่งก็สงสาร อีกใจหนึ่งก็คิดว่าเวรกรรมของมัน
"เอาหน่า อย่างน้อยมึงอาจจะมีหวัง รอให้จบงานเฟรชชี่ไนท์ก่อน มึงค่อยไปคุยกับแพรวอีกทีหนึ่ง จะได้รู้สักทีว่าแพรวจะคิดกับมึงยังไง" 
ไม่ใช่แค่ดิวหรอกครับที่รอให้จบงานเฟรชชี่ไนท์ ผมเองก็รอเวลานั้นเหมือนกัน...
ผมได้แต่ให้กำลังใจมันได้อย่างเดียวตอนนี้ เจ้าตัวก็คงเข้าใจกับสิ่งที่ผมพูด มันก็คิดได้สองทางคือแพรวอาจจะอยากสนใจเรื่องการประกวดจริงๆ หรือว่าแพรวอาจจะไม่ชอบมัน แต่ผมก็ไม่อยากคิดอย่างหลัง กลัวเพื่อนเสียใจไปมากกว่านี้
ผมกลับมานั่งที่โต๊ะอ่านหนังสือของผม เปิดไดอารี่เล่มเดิมของผม หาหน้าว่าง แต่วันนี้ผมไม่ได้จะเขียนเรื่องราวอะไรลงไปหรอกครับในวันนี้ ผมเพียงทากาวลงบนกระดาษเล็กที่ผมได้มาจากพี่ธารแล้วแปะมันลงไป
ผมนั่งมองนั่งยิ้มกับสิ่งที่ทำอยู่นาน จนเป็นสิ่งที่น่าสงสัยให้กับไอ้ดิว
“อะไรอะ ไหนขอดูสิ” มันเดินมาข้างหลังผมตอนไหนก็ไม่รู้
“เอามา ไอ้ดิว”
มันหยิบสมุดไดอารี่ของผมไปดู โชคดีที่มันไม่เห็นอะไรในไดอารี่ผมมากนอกจากกระดาษแผ่นเล็กๆนั้นของพี่ธาร
“รู้ว่าหิว กินให้อร่อยนะ พี่ธาร”น้ำเสียงกวนประสาทของมันอ่านข้อความพร้อมทำปากแบะใส่ผม
“เอาคืนมาเลย” ผมรีบคว้าสมุดไดอารี่ของผมคืนมาจากมือของคนขี้สอดรู้สอดเห็น
“ขนาดนี้แล้ว เป็นแฟนกันเลยเถอะ”
คำพูดของไอ้ดิว มันมักจะมีผลต่อความรู้สึกผมตลอด
“พอ มึงไปนอนได้แล้ว กูจะรีบนอน”
ผมเพียงได้แต่ไล่มันออกไปจากอาณาเขตผม ก่อนผมจะปิดโคมไฟ ล้มตัวลงนอน หลังหันให้กับมัน เพื่อไม่ให้รับรู้สีหน้าของผมตอนนี้ ที่ยิ้มแบบไม่หุบเลย
หัวใจยังเต้นดัง ตุบ ตุบ ตุบ...
เช้าวันเสาร์ ของผมยังคงต้องตื่นเช้าเหมือนเดิม เพราะเรานัดกันทำฉากเพื่อใช้ในการแสดงให้กับดาวเดือนกันต่อ ผมเดินลงมาจากหอวันนี้ แต่แปลกไปกว่าทุกวันที่ไอ้ดิวไม่ได้ลงมากับผม เพราะมันตื่นไปซ้อมลีดเอง อย่าเพิ่งแปลกใจว่าทำไมมันถึงตื่นเช้าได้เอง เพราะพี่ลีดขู่ว่าใครมาสายจะต้องยืนแอ่นห้าร้อยวินาที เพียงแค่คำขู่แค่นี้พวกเพื่อนลีดทุกคนก็กลัวกันแล้ว
ทันทีที่ผมกำลังเดินออกจากหอ เสียงเปิดประตูจากห้องที่ชั้นหนึ่งก็ดังขึ้นแต่ผมไม่ได้สนใจว่าเสียงมันดังมาจากห้องไหน ผมเดินออกมาเรื่อยจนได้ยินเสียงตะโกนตามหลังผมมา
“ปอ ปอ รอพี่ด้วย” ผมหันไปตามเสียงเรียกนั้น
“พี่ธาร” วันนี้พี่ธารแต่งตัวด้วยชุดนักศึกษาพร้อมเสื้อกาวน์ยาวสีขวา ทรงผมดูยุ่งเล็กน้อย
“กำลังจะไปไหนครับ”
“ไปทำฉากละคร ที่คณะครับพี่”
“ไปยังไง”
“ไปรถเมล์ของมอครับ”
“ปะ เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
“คะ ครับ”
ผมรู้ว่าต่อให้ผมปฏิเสธยังไงก็ไม่สามารถปฏิเสธพี่ธารใด เราสองคนจึงเดินไปที่จอดรถข้างศูนย์อาหารหน้าหอกัน
“เออ ทำไมเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้เจอพี่ธารเลยล่ะครับ”
              ประโยคคำพูดผม กลับทำให้คนฟังหันมาหาผม
             “คิดถึงพี่หรอ”
             เอาแล้วไง คำตอบของพี่ธารทำให้ผมถึงกับหลบสายตา ผมรู้สึกร้อนๆที่หู
             “...”
             “พี่ล้อเล่น พอดีเพิ่งเปลี่ยนวิชาเรียนใหม่ พี่เพิ่งขึ้นราวน์หอผู้ป่วยเด็ก”
             “วันนี้ก็ต้องไปราวน์หรอครับ”
             “ใช่ พี่ถึงต้องตื่นเช้า แต่งตัวแบบนี้ไง”
             ผมเข้าใจถึงเหตุผลที่พี่ธารแต่งแบบนี้แล้ว
            “ว่าแต่ เมื่อวานอร่อยไหม”
            “อะ อร่อยครับ”
            ผมได้แต่ตอบไปอย่างเขินอาย สายตาผมไม่กล้าสบตากับพี่ธารอีกแล้วตอนนี้ เราเดินมาถึงลาดจอดรถ พี่ธารให้รออยู่ที่ข้างถนนก่อนพี่ธารจะเดินเข้าไปขับรถมอเตอร์ไซค์คันดำคันเดิมออกมา
          “เดี๋ยวพี่ใส่ให้”
           หมวกกันน็อกใบเดิมที่ผมเคยใส่มันมาอยู่บนหัวอีกแล้ว เหมือนเดิมทุกๆอย่าง เหมือนเดิมตรงที่ผมไม่ได้เป็นคนหยิบหมวกกันน็อกนั้นใส่เอง
          “ขึ้นรถได้แล้ว”
         “คะ ครับ”
        ก่อนที่รถมอเตอร์ไซค์จะถูกขับเคลื่อนไป ประโยคหนึ่งของพี่ธารก็ดังขึ้น เป็นประโยคเดิมๆที่ครั้งนี้มันไม่เหมือนเดิม
        “เกาะพี่ดีๆนะ เดียวตก ไม่ต้องให้พี่บอกนะว่าต้องทำยังไง”
         ผมรู้ครับ ว่าผมต้องทำอะไร...
 
      ใช้เวลาไม่นานเราก็มาถึงใต้ถุนคณะแพทย์ ผมดูเวลาในมือถือก็ใกล้จะเจ็ดโมงครึ่งแล้ว บรรยากาศเริ่มคึกคัก พวกเพื่อนๆเริ่มทยอยกันมาแล้ว
        “ขอบคุณครับพี่ธาร”
        ผมถอดหมวกกันน็อกส่งคืนให้กับเจ้าของของมัน พี่ธารยื่นมือซ้ายมารับสิ่งนั้น ก่อนยื่นมือขวาขึ้นยกสูงข้ามสายตาของผม ฝ่ามือนั้นวางสัมผัสกับผมของผม ความรู้สึกถึงนิ้วมือขยับเบาทั่วหัวของผม
        “ผมยุ่งหมดแล้ว”
        “...”
       พี่ธารจัดทรงผมให้กับเจ้าตัวผมยุ่งอย่างผม ที่ละเส้นๆ ผมได้แต่ยืนนิ่งๆให้คนตรงหน้าจัดการกับมัน ผมได้เพียงก้มหน้า สายตาผมแอบมองพี่ธารอยู่ตลอด
       “มาส่งผมแบบนี้จะไปราวน์ทันหรอครับ”
       “ที่วอร์ดไม่ได้ยุ่งมาก แต่ที่ยุ่งอะ คือหัวของปอต่างหาก”
      ผมทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะวางตัวยังไงดีกับสถานการณ์แบบนี้ ทำไมผมไม่ชินกับมันสักที ไอ้เจ้าความรู้สึกแบบนี้ ผมจะออกจากตรงนี้ยังไงดี
        “แล้วเออ พี่ธาร...”
       “เอาน่า ไม่ต้องถามอะไรเยอะแล้ว”
       “...”
     “อ้าว ปอ” เสียงหญิงสาวคนหนึ่งทักผม ดังมาจากลานจอดรถที่อยู่หน้าตึกนี้  ทำให้มือของคนตรงหน้าผมรีบเอาลงทันที พร้อมมองเธอคนนั้นที่กำลังเดินมาหาผม
     “หวัดดี พาว”
     “นึกว่ายืนคุยกับใคร ที่แท้พี่ธารนี่เอง”
     “อะ เออ มานานยังอ่ะ” ผมได้แค่พูดตะกุกตะกักตอบไป
     “เพิ่งมาถึงแหละ เอ๋ พี่ธารไม่ไปราวน์วอร์ดหรอค่ะ” น้องรหัสของพี่ธารอย่างพาวสงสัย พลางสายตามองพี่ธารเหมือนมีเล่ห์นัย
     “อะ อะ เออ ชะ ชะ ใช่ เนี่ยกำลังจะไปแล้ว” เสียงพี่ธารตะกุกตะกักมากกว่าผมเป็นร้อยเท่า
     “อ๋อ ค่ะ” พาวยังคงพูดกวนพี่ธารอย่างต่อเนื่อง
     “พี่ไปนะ ปอ ไว้เจอกัน”
     “คะ ครับ”
      รถของพี่ธารกำลังเคลื่อนที่ออกไปเพื่อจบปัญหาของพี่เขา แต่กลับทิ้งปัญหาใหญ่หลวงให้กับผมที่ต้องยืนอยู่กับพาวตรงนี้
     “พะ พาว ไปข้างในกันเธอ”
     “จ๊ะ” น้ำเสียงตอบของพาวทำให้ผมรู้สึกกลัวแปลกๆ
     ผมกับเพื่อนนั่งทำฉากกันตั้งแต่เช้า เราแบ่งหน้าที่กันชัดเจน เพื่อนกลุ่มหนึ่งออกแบบวาดฉาก อีกกลุ่มหนึ่งก็วาด ระบายสีฉากเหล่านั้น ความคืบหน้าของงานเริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่างอีกไม่กี่วันก็คงจะเสร็จแล้ว
     “เดี๋ยวเราพักกินข้าวกลางวันกันก่อนเนาะ ตอนบ่ายค่อยมาทำต่อ” เพื่อนที่เป็นคนคุมงานบอกเพื่อให้เราได้พัก
     กลางวันนี้ผมเองก็ยังไม่รู้ว่าจะไปกินข้าวที่ไหนกันดี เพราะร้านอาหารที่ใต้ถุนคณะก็ปิดเสาร์อาทิตย์ จะออกไปกินข้างนอกก็ไปไม่ได้เพราะผมไม่มีรถ ทุกวันนี้ถ้าไม่ได้มาพร้อมไอ้ดิวก็ต้องอาศัยรถเมล์คันเล็กๆของมหา’ลัยที่ให้นั่งฟรี กว่ารถจะมาตามป้ายแต่ละรอบก็กินเวลานานเกือบชั่วโมง คงเลยเวลาพักพอดี
      “ปอ ไปกินข้าวที่ไหนดี” พาวถามผม
      “เราเองก็ยังไม่รู้เหมือน”
      “งั้นเราเสนอ ไปกินที่โรงอาหารของโรงพยาบาลไหม เดินไปนิดเดียวจากตึกนี้ก็ถึงแล้ว ดวงก็ไปด้วย”
      ผมเกือบลืมไปเลยว่ามีดวงอยู่ตรงนี้ด้วย เพราะเธอไม่ค่อยพูดกับใคร จนทำให้หลายครั้งผมลืมเธอไปเลย แต่ความคิดของพาวก็ดีนะ เพราะตั้งแต่อยู่ปีหนึ่งมา ผมยังไม่ค่อยได้มีโอกาสไปดูโรงพยาบาลสักครั้งเลย
      “ก็ดีเหมือนกัน เราเองก็ยังไม่เคยไปโรงพยาบาลสักครั้งเลย”
      เราใช้เวลาเดินจากตึกคณะแพทย์เราไปโรงพยาบาลแค่ประมาณสิบนาที เราเดินเลาะตามทางเดินชิดขอบถนน โรงอาหารอยู่หลังของตึกโรงพยาบาลสูง ผมนับได้ประมาณเจ็ดชั้น คนในโรงอาหารที่นี่ค่อนข้างเยอะครับ มีทั้งญาติผู้ป่วย บุคลากรทางการแพทย์ เต็มไปหมด ที่นั่งเลยหายากหน่อย แต่ก็พอมีที่นั่งให้กับพวกเราสามคน
      “งั้นพาวไปซื้อข้าวกับดวงก่อน เดี๋ยวเรานั่งเฝ้าโต๊ะให้”
     “โอเคงั้นรอแป๊บหนึ่งนะ ปะ ดวงไปซื้อข้าวกัน”
      ผมนั่งรอพาวกับดวงซื้อข้าวประมาณสิบนาที ผมมองไปรอบๆเพื่อสำรวจดูสถานที่ ผมเห็นอยู่มุมหนึ่งของโรงอาหารแห่งนี้ จะมีเหล่าพี่ๆนักศึกษาแพทย์นั่งรวมตัวกินข้าวกันอยู่ มันคงเป็นโต๊ะนั่งที่สำรองให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ผมเพ่งสายตามองอีกครั้ง พอเห็นคนที่ผมคุ้นเคย พี่ธาร...แต่ว่าผมเห็นสิ่งที่ทำให้ผมแทบหยุดหายใจ
       ผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมจำได้ดี เขาเป็นรุ่นพี่ลีดคณะของเราที่ไอ้ดิวมันชื่นชอบตั้งแต่เราไปกินหมูกระทะฉลองหลังสอบ ทำไมเข้าดูสนิทกับพี่ธารขนาดนั้น เธอคนนั้นวางคางของเธอบนไหล่ข้างขวาของพี่ธาร พูดคุย ส่งยิ้มกันอย่างสนุกสนาน ควงแขน เอานิ้วมือจิ้มแก้มพี่ธาร เขาดูสนิทกันมาก เขาเป็นอะไรกับพี่ธารกันแน่
       ที่สิ่งที่พี่ธารเคยจะบอกผมว่า เมื่อก่อนไม่เคยเปิดใจให้ใคร แต่เมื่อมาเจอเธอคนนี้หรือเปล่า เลยทำให้เปิดใจ ความคิดผมฟุ้งซ่านไปหมด ได้แต่นั่งนิ่ง มือสั่น ผมทำอะไรไม่ถูก หรือว่าจริงแล้วเธอคนนี้คือแฟนพี่ธาร
      “ปอ ปอ” เสียงของพาวช่วยขัดความคิดอันฟุ้งซ่านของผมครู่หนึ่ง
      “เป็นอะไรหรือเปล่าหน้าดูซีดๆ”
     “ปะ เปล่า”
     “แน่ใจนะ ไม่สบายหรือเปล่า”
      “ไม่เป็นไรจริงๆ เราอาจจะหิวข้าวมากไปหน่อย”
      ผมได้แค่พูดประโยคนี้แก้ขัดต่อความรู้สึกของผม ณ ตอนนี้ ผมไม่อยากให้ใครรับรู้ความรู้สึกของผมตอนนี้เท่าไร
     “เราซื้อข้าวเสร็จแล้ว ปอไปหาอะไรกินได้เลยนะ”
     “โอเค”
    ผมลุกขึ้นเดินออกมาจากโต๊ะ สายตาผมยังคงมองพี่ธารกับเธอคนนั้นตลอด ทำไมผมถึงยังมอง ทั้งที่ความรู้สึกของผมไม่อยากจะเห็นมัน ทำไมกัน ความรู้สึกตอนนี้ผมสับสันจริงๆ ความรู้สึกหวงนี้มันคืออะไร
   ภาพที่ผมเห็นนั้นเสมือนเป็นมีดที่กรีดลงบนหัวใจของผม ทำไมผมรู้สึกเจ็บขนาดนี้ ทั้งที่ผมไม่ได้เป็นอะไรกับพี่ธาร
ใช่ ผมไม่ได้เป็นอะไรกับพี่ธาร ทำไมผมต้องไปรู้สึกแบบนี้ด้วย
ภาพที่ผมเห็นมันยังคงทิ้งร่องรอยความเจ็บปวดไว้ที่หัวใจของผม
สิ่งที่พี่ธารทำดีกับผมมันคืออะไร
หรือว่าเป็นผมคนเดียวที่คิดไปเอง...

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา