DREAMS COME TRUE จากฝัน...ถึงเธอ
10.0
เขียนโดย winnerella
วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 12.04 น.
17 บท
0 วิจารณ์
16.69K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 17.42 น. โดย เจ้าของนิยาย
12) กาลเวลา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ... (ธารา)...
รูปเนินเขาที่ปอโพสต์นั้น มันยิ่งตอกย้ำความรู้สึกของผม สถานที่ที่คุ้นเคยแห่งนั้นเต็มไปด้วยความทรงจำของผม ทำไมปอถึงเคยไปที่นั้นได้ ปอรู้จักที่นั้นได้อย่างไร ผมพยายามที่จะหาคำตอบของเรื่องราวเหล่านี้
ข้อความที่ผมพิมพ์ตอบไปในคอมเมนต์รูปนั้น ไม่รู้ว่าความคิดถึงนั้น ผมคิดถึงความทรงจำหรือว่าผมคิดถึงปอ กันแน่
หลังจากกลับจากกิจกรรมรับน้องก็เกือบสองอาทิตย์แล้ว ในหัวของผมยังคิดถึงเรื่องป่านกับปออยู่ตลอดเวลา สงสัยถึงความสัมพันธ์ของคนสองคนนี้ อยากรู้ความจริงสักทีว่ามันคืออะไรกันแน่
“ธาร ทำไมช่วงนี้ดูเหม่อๆ นอนไม่พอหรอ” เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งพูดเอ่ยทักผม เธอคงมองเห็นความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวผม
“เปล่าๆ เราเพลียๆนิดหน่อย เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ”
“ถ้าเกิดมีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ”
“ขอบใจ”
การเรียนปีสี่นั้นเราจะถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ เพื่อวนในหอผู้ป่วยต่างๆการทำแบบนี้มันทำให้เรารู้จักเพื่อนคนอื่นๆมากขึ้น แต่ละกลุ่มมีอยู่ประมาณสิบคน ก็เป็นเพื่อนของเราในชั้นปีนั่นแหละครับ บางคนก็เคยคุยบ้าง บางคนก็ไม่เคยคุยแต่ก็เพิ่งมาได้คุยมากขึ้นเมื่อมาอยู่กลุ่มเดียวกันนี้แหละ รวมทั้งผมกับสายฟ้าก็ยังต้องแยกกันไปเจอเพื่อนคนใหม่บ้าง ถ้าเจอกับมันไปตลอดคงน่าเบื่อแย่เลย
สำหรับนักศึกษาแพทย์ปีสี่อย่างผม นั้นต้องมีการวนหอผู้ป่วยหลักในสาขาวิชาอายุรศาสตร์ ที่เรียนเกี่ยวกับโรคทั่วไปในผู้ใหญ่ สาขาสูตินรีเวช ที่จะเรียนเกี่ยวกับโรคของผู้หญิงเกือบทั้งหมด รวมทั้งการตั้งครรภ์จนถึงคลอดด้วย สาขาศัลยกรรมก็เรียนโรคที่ต้องผ่าตัด การดูแลผู้ป่วยหลังผ่าตัด และสาขากุมารเวชกรรม ก็จะเรียนเรื่องเด็กล้วนๆ แต่ก็จะมีสาขาวิชาเล็กๆที่เราต้องวนร่วมด้วย
ผมโชคดีหน่อยที่เปิดปีสี่มานั้นยังไม่ต้องวนหอผู้ป่วยหลักในตอนนี้ ไม่ต้องตื่นเช้าไปราวน์ทุกวัน รวมทั้งไม่ต้องอยู่เวรประจำวันตอนเย็นถึงเที่ยงคืน ตอนนี้ผมวนอยู่ในสาขาวิชาเล็กๆที่เรียนเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพคนในชุมชน จึงพอมีเวลาว่างกว่าเพื่อนๆที่วนหอผู้ป่วยอื่น ช่วงเวลาวันหยุดเสาร์อาทิตย์ยังเป็นวันว่างๆของผม ผมจึงมีความคิดจะกลับบ้าน ก่อนจะไม่มีเวลาถ้าต้องวนหอผู้ป่วยหลัก
เช้าวันเสาร์นี้ผมเดินทางด้วยรถโดยสารประจำทาง บ้านผมค่อยข้างไกลเลยทำให้รอบรถนั้นมีไม่ค่อยเยอะ มีรอบเช้ากับรอบเย็นเท่านั้น ในการเดินทางครั้งนี้ใช้เวลานานกว่าที่มากับรถบัสคณะ เพราะรถโดยสารประจำทางค่อนข้างเก่า สนิมแทบเกาะทั้งคันรถ ความเร็วก็ตามสภาพ ไม่มีแอร์ แต่ยังดีที่วันนี้อากาศไม่ร้อนมาก ยังพอมีลมเย็นกับแสงแดดอ่อนๆผ่านเข้ามาทางหน้าต่างของรถ
ผมใช้เวลาเดินทางเกือบห้าชั่วโมง มาถึงที่นี้ก็เกือบจะบ่ายสองแล้ว รถขับเคลื่อนผ่านถนนเส้นหลักกลางหมู่บ้านไปเรื่อย บรรยากาศข้างทางยังเป็นเหมือนเดิมๆ ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก ที่เปลี่ยนไปก็คงบ้านของชาวบ้านที่เริ่มการสร้างบ้านปูนต่อเติมบ้านไม้เดิมของตัวเอง
“เดี๋ยวจอดตรงข้างหน้านี้นะครับ” ผมแจ้งพนักงานขับรถเพื่อให้จอดรถตามจุดหมายของผม
“ได้ครับ”
ผมเดินลงจากรถ มองเห็นบ้านหลังเดิมที่ผมคุ้นเคย บ้านไม้หลังเก่าๆที่แสนอบอุ่น มันยังเหมือนเดิมทุกครั้งที่ผมมา รถคันนั้นค่อยๆเคลื่อนออกไปไกลเรื่อยๆจากผม ทิ้งเพียงฝุ่นควันเล็กน้อยตามหลังมัน
"คุณย่าครับ"
รอยยิ้มอันสดใสของคุณย่ายังคงเป็นเหมือนเดิมทุกครั้งที่เจอผม
"มาหาย่าแล้ว หรือลูก"
"ครับ"
ฝ่ามือหยาบกร้านที่ผมคุ้นเคยสัมผัสมาที่ใบหน้าของผม ความรู้สึกอบอุ่นแบบนี้ยังคงเหมือนเดิม
"มา เข้าบ้านเราก่อน"
ตั้งแต่ที่พ่อแม่ผมเสียชีวิตไป ก็มีคุณย่าของป่านที่ค่อยดูแลผมเสมอมา ท่านคนนี้เปรียบได้กับว่าเป็นญาติคนเดียวที่ผมเหลืออยู่ตอนนี้ เป็นเหมือนพ่อแม่ของผมอีกคนหนึ่ง
เราสองคนนั่งลงที่ห้องนั่งเล่นของบ้านไม้หลังเก่าๆหลังนี้ ภายในไม่ได้มีของอะไรมากมาย ดูสะอาดสะอานบ่งบอกว่าคนดูแลมันเป็นอย่างดี มีเพียงโต๊ะกลางบ้านสไตล์ญี่ปุ่นตั้งอยู่ตรงกลางห้องเท่านั้น ฝาผนังยังคงเหมือนเดิม รูปถ่ายเก่าๆที่มีผม ป่าน และคุณย่า ยังติดอยู่ที่เดิม มันอาจจะมีฝุ่นเกาะเยอะสักหน่อยตามกาลเวลา แต่รูปนั้นมันยังคงชัดเจนเสมอทุกครั้งที่ผมมอง
"ลูก จะมาอยู่กี่วัน"
"ผมอาจจะอยู่ได้ไม่นาน วันพรุ่งนี้ผมจะต้องเดินทางกลับแล้ว วันจันทร์ผมมีเรียนต่อครับ"
"มะ ไม่เป็นไรเลย มาหาย่าบ้าง ย่าก็ดีใจมากแล้ว" เสียงตอบอันสั่นเครือของหญิงผู้นี้ ผมสัมผัสได้ถึงความคิดถึงที่มีเปี่ยมล้น ถึงแม้จะตอบว่าไม่เป็นไร แต่ในใจคงเจ็บปวดมากไม่ใช่น้อย
"เย็นนี้อยากกินอะไรล่ะ ธาร"
"ได้หมดเลยครับ คุณย่าจะทำอะไรผมก็กินได้หมดครับ"
ช่วงเวลาเย็นในวันเสาร์นี้ ที่ไม่เหงาเหมือนอย่างทุกๆวัน ผมได้นั่งกินข้าวกับคนที่ผมรัก ปกติแล้วผมมักจะต้องนั่งกินข้าวคนเดียวตลอดช่วงที่เปิดเทอมมา เพราะเพื่อนสนิทผมอย่างไอ้สายฟ้า มันวนอยู่ในสาขาวิชาหลัก ทำให้มันไม่ค่อยมีเวลามาเจอผมเท่าไร อาจมีโทรคุยฟังมันบ่นบ้าง แต่ผมก็ได้แค่ปลอบมันเป็นคำพูดที่มันก็คงเข้าใจ 'เดียวกูก็เจอแบบมึงนั่นแหละ'
คุณย่าเดินเข้าไปในครัว เพื่อทำอาหารในมือเย็น ผมเดินไปรอบๆน้องนั่งเล่น มองดูรูปถ่ายที่ติดบนฝาผนังห้อง มองไปก็ยิ่งคิดถึงความทรงจำเก่าๆ ผมเคยมาอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ตั้งแต่พ่อแม่ผมเสียไป คุณย่าของป่านสงสารผมที่ต้องอยู่บ้านคนเดียว เลยเสนอให้มาอยู่ด้วยในบ้านแห่งนี้ อย่างที่บอกคุณย่าดูเเลผมในทุกๆเรื่อง ผมจึงตั้งใจจะเรียนหมอ ไม่ใช่แค่ทำตามสัญญาที่มีให้กับป่าน แต่ผมอยากจะมีความรู้ดูแลคุณย่า คนที่ผมรักคนเดียวที่เหลืออยู่
"ธาร ช่วยย่าจัดจานหน่อยจ๊ะ"
"ครับ"
เรานั่งกินข้าวกันที่โต๊ะญี่ปุ่นกลางห้อง พูดคุยเรื่องราวมากมายให้หายคิดถึง ก่อนผมจะถามในสิ่งที่ผมต้องการจะรู้
"คุณย่ารู้ไหม มีรุ่นน้องของผมคนหนึ่ง ชอบกินไข่เจียวแบบที่คุณย่าทำด้วย ไข่เจียวที่ใส่ดอกอัญชัน"
ประโยคคำพูดของผมคงทำให้ผู้หญิงชราตรงหน้าผม ใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยคำพูดที่ทำให้ผม...ตกใจ
"ปอ ใช่ไหม"
เสียงตอบกลับเป็นชื่อของคนที่ผมไม่คิดว่าจะเป็นคุณย่าที่พูดชื่อนั้นออกมา กิจกรรมบนโต๊ะอาหารของเราหยุดลงชั่วขณะ บรรยากาศรอบบริเวณห้องนั่งเล่นนั้นดูเงียบสนิท ได้ยินเพียงเสียงจิ้งหรีดจากข้างนอกดังมาเป็นระยะๆ
"คะ ครับ" ผมเพียงได้ตอบแค่คำพูดสั้นๆ แบบตะกุกตะกัก
"ลูกอยากรู้ความจริงเรื่องปอ กับป่าน ใช่ไหม"
ประโยคคำถามที่ผมไม่ต้องเอ่ยถามด้วยตนเอง ดังมาจากคุณย่าที่เหมือนรู้ว่าผมต้องการอะไร
"..."
ผมได้แต่นิ่งเงียบ มองจ้องไปที่คุณย่า
"ที่จริงเรื่องมันก็นานมาหลายสิบปีแล้ว ป่านมีฝาแฝดอีกคน"
'ฝาแฝด' เพียงคำนี้ที่ผมได้ยิน ตัวของผมถึงกับสั่น ใจผมเต้นรัวราวกับว่ามันจะระเบิดออกมา ผมไม่สามารถควบคุมอะไรมันได้อีกแล้ว ในหัวของผมเพียงคิดว่า ผม...พร้อมจริงๆใช่ไหมที่จะรับรู้เรื่องราวต่อจากนี้
"ตั้งแต่เกิดมาส่วนหน้าอกของป่านเชื่อมติดกับแฝดอีกคนหนึ่ง ตอนแรกหมอคิดว่าอาจจะไม่สามารถมีชีวิตรอดได้ทั้งสองคน ถ้าเกิดอวัยวะภายในมีการเชื่อมติดกันมาก อาจจำเป็นต้องเลือกเพียงแค่คนใดคนหนึ่งให้รอด"
ผมรู้ถึงความหมายของประโยคนี้ดี แฝดสยาม แฝดที่มีส่วนของร่างกายติดกันจนรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ก็มีบางคู่ที่โตมาแล้วมีชีวิตรอดแต่ต้องใช้ร่างกายเดียวกัน บางคู่อาจจะผ่าตัดแยกกันได้จนมีชีวิตของใครของมัน แต่บางคู่กลับต้องเลือกว่าใครจะอยู่หรือใคร...จะต้องจากไป
"แล้วมันเกี่ยวอะไรกับปอ หรือครับคุณย่า"
"ปอคือแฝดคนนั้น"
ปอคือแฝดคนนั้น ประโยคนี้จากคุณย่าถึงกับทำให้ความสงสัยของผมบางอย่างคลี่คลาย สิ่งที่ผมคิดมาตลอดตั้งแต่เจอปอ ทำไมถึงคล้ายกับป่านขนาดนี้ ดวงตากลมใส รอยยิ้ม ความอบอุ่นทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ มันเหมือนป่านไม่มีผิด
แต่แฝดสยามคนละเพศ มันเกิดขึ้นได้จริงๆใช่ไหม เป็นคำถามที่ผมสงสัย แต่คงไม่มากเท่าเรื่องที่ผมจะได้ยินต่อจากนี้
คุณย่าลุกเดินไปที่ตู้เก็บของเก่าๆในห้องนอน ก่อนออกมาพร้อมกับสมุดเล่มหนึ่ง มันเป็นสมุดเล่มเล็กๆเก่าๆ คุณย่าเปิดมันออกมาให้ดู ภายในนั้นมีรูปของเด็กทารกสองคนที่มีส่วนของอกติดกัน พร้อมกับรูปใบหน้าของชายหญิงคู่หนึ่งที่ถูกถ่ายพร้อมกับเด็กแฝดสองคนนั้น แต่ผมไม่เคยรู้จักว่าสองคนนั้นเขาเป็นใคร
"คนสองคนนั้นคือ พ่อแม่ ของปอป่าน" เสียงตอบข้อสงสัยภายในหัวผมดังขึ้นมาพร้อมกับที่ผู้หญิงชราตรงหน้าผมยืนสองจดหมายฉบับน้อยๆออกมาให้ผมอ่าน ภายในจดหมายระบุว่า
'ถึงคุณแม่
ตอนนี้หลานแฝดของคุณแม่คลอดแล้วนะครับ สุขภาพแข็งแรงดี ร้องเสียงดังมากเลย
แต่ตอนนี้ร่างกายของเขามีส่วนหน้าอกติดกันอยู่ โชดดีที่หมอตรวจดูแล้วพบว่า
ไม่ได้มีอวัยวะอื่นๆเชื่อมติดกัน
มีเพียงเยื่อหุ้มหัวใจบางส่วนเท่านั้นที่ติดกัน มันมีเส้นเลือดเล็กเชื่อมกันด้วยที่หัวใจด้วย
คงต้องใช้เวลานานกว่าจะสามารถผ่านตัดแยกออกจากกันได้
คุณแม่ต้องรอนานหน่อยนะครับ กว่าจะได้เจอหลาน
ส่วนชื่อก็เป็นชื่อที่คุณแม่ตั้งให้นะครับ ผู้ชายชื่อ ปอ ผู้หญิงชื่อ ป่าน
รักและคิดถึงคุณแม่เสมอ
ชล'
หลังจากที่ผมได้อ่านจดหมายนั้นจบลง ความสงสัยในตัวผมก็ยิ่งมีมากขึ้น
"พ่อแม่ป่านตอนนี้เขาไปอยู่ที่ไหน"
ประโยคคำถามของผม ทำให้หญิงตรงหน้าผม น้ำตาคลอ
"ชีวิตของคู่รักสองคนนี้ ไม่ได้สวยงามเลย พ่อกับแม่ของป่านแยกทางกันตั้งแต่หลังจากที่ผ่าตัดแยกปอกับป่านได้ไม่นาน คุณตาของป่านนั้น ท่านไม่ยอมรับในตัวของพ่อป่าน ทำให้สองคนนั้นต้องแยกทางกัน"
น้ำตาจากดวงตาที่เเสนเศร้าของคุณย่าไหลออกมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนเรื่องราวในอดีตกลับมาตอกย้ำความเจ็บปวด
"พ่อของป่านพยายามทำตัวเองให้เป็นที่ยอมรับแต่ความรักทั้งสองคนกลับโดนกรีดกัน จนสุดท้ายความรักของทั้งสองคนต้องจบลง ในคืนที่ทุกอย่างถึงทางตัน พ่อของป่านได้ตัดสินใจออกจากชีวิตผู้หญิงที่เขารักมากที่สุดเพียงเพื่อที่จะให้ผู้หญิงคนนั้นไม่ต้องทุกข์ทรมารกับความรักที่ไม่เหมาะสม พ่อของป่านจึงเดินทางมาที่นี้พร้อมป่าน ไม่ติดต่ออะไรกับผู้หญิงคนนั้นอีกเลย”
เรื่องราวของการจากลาเป็นเรื่องราวที่ผมรู้จักมันดี เมื่อห้าปีที่แล้วเป็นการจากลาที่ผมไม่อาจลืมเลือน ป่านจากผมไป จากไปอย่างไม่มีวันกลับมา
"คุณย่าครับ แล้วพ่อป่านตอนนี้อยู่ที่ไหนครับ"
"ตายไปนานแล้ว ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ตอนไปช่วยชาวบ้านดับไฟป่า"
"..." ผมได้แต่นั่งนิ่ง ไม่มีคำพูดอะไรออกไป
"พ่อป่านเคยบอกกับย่าว่า เสียใจกับสิ่งที่ตนเองทำลงไป แยกพี่น้องออกจากกัน ทำลายความรักที่มีกับแม่ป่านไป"
คำตอบทุกอย่างเริ่มชัดเจนขึ้น ในหัวของผมเหลือเพียงอีกคำถามเดียว คำถามที่ผมอยากจะรู้ว่า มันตรงกับในความรู้สึกของผมหรือเปล่า
"คุณย่า...” เสียงหนักแน่นของผมเอ่ยถามหญิงที่อยู่ตรงหน้าผม ที่ตอนนี้ความรู้สึกของเธอมันล้นจนแทบจะต้านทานไม่ไหว "ทำไมคุณย่าถึงคิดว่าน้องคนนั้นคือ ปอ"
เพียงประโยคคำถามของผมกลับทำให้แววตาอันเศร้ามองคนหญิงชราผู้นี้ดูมีความหวังขึ้นมา
"แววตา รอยยิ้ม และความรู้สึกอบอุ่นนั้น ย่าคุ้นเคยกับมันดี ย่าเชื่อว่าคนคนนั้นต้องเป็นแฝดที่พลัดพรากกันของป่านแน่นอน"
"..." ผมไม่มีอะไรจะพูด เพียงแค่สิ่งที่ผมคิดมาตลอด มันคือความจริง ปอเหมือนป่าน
"คุณย่าครับ แล้วใครรู้ความจริงเรื่องนี้บ้าง"
"คงจะเป็นฝ้าย แม่ของปอ"
ก่อนเรื่องราวการสนทนาของเราสิ้นสุดลง ประโยคบอกเล่าที่แสนเจ็บปวดของคุณย่าดังขึ้น
"เพียงแต่ตอนนี้ ย่าไม่รู้ว่า ถ้าปอรู้ว่าจริง จะรู้สึกอย่างไร"
ใช่ครับ ความจริงต่อให้มันเป็นสิ่งที่ไม่มีทางลบมันได้ แต่ถ้าความจริงนั้นทำให้ชีวิตเรานั้นเปลี่ยนไป ใครมันจะยอมรับได้
"ฝากดูแลปอให้ดี นะลูก"
"ครับ ผมจะไม่ยอมให้เขาจากไปไหนอีกแล้ว..."
คืนนี้ผมนอนในห้องนอนห้องเดิมที่ผมเคยนอน แต่บรรยากาศไม่ได้เหมือนเดิม เวลาผ่านไปก็เกือบจะห้าทุ่มแล้ว ผมยังไม่สามารถที่จะหลับตาได้เลย ผมนอนคิดเรื่องราวต่างๆที่ผมได้รับรู้มาจากคุณย่า ผมว่ามันหนักเหมือนกันนะ
ผมเปิดมือถือไปที่เฟซบุ๊กของผม ที่ไม่ค่อยมีอะไรได้อัพเดทเท่าไร ผมเป็นคนไม่ค่อยเล่นโซเชียล เพิ่งกลับมาเล่นมากขึ้นช่วงหลังๆที่ได้เจอกับปอ ผมเลื่อนดูเรื่องราวในเฟซบุ๊กไปเรื่อย จนมาหยุดที่ภาพเดิม ภาพที่ปอโพสต์ มันเป็นภาพเนินเขา ที่ผมเห็นจนชินตา
“ตอนนี้ปอ จะรู้สึกยังไงบ้างนะ ตอนนี้” ผมได้แต่พูดกับตัวเองเพียงคนเดียว
เช้าวันอาทิตย์นี้ ผมลืมตาขึ้นมาในห้องที่แปลกไปจากห้องที่หอของผม มองไปบนเพดานไม้ก็มีไฟดวงเก่าห้อยอยู่ รอบห้องไม่ได้มีของอะไรมากมายมีแค่ตู้เสื้อผ้าเก่าๆที่ภายในไม่ได้มีของอะไร ผมจัดการตัวเองเสร็จ ก็เดินออกมาไปที่ห้องนั่งเล่น
“วันนี้กลับประมาณกี่โมงลูก” เสียงของคุณย่าดังทักทายขึ้นทันทีที่ผมออกจากห้องนอน
อาหารเช้าต่างจัดวางไว้บนโต๊ะ มันเป็นข้าวต้มหมูที่ดูแสนธรรมดา แต่มันอร่อยทุกครั้งที่ผมได้กินมัน
“หลังกินข้าวเสร็จ ผมว่าผมน่าจะกลับเลยครับ”
เพียงผมพูดสายตาของคุณย่าดูเปลี่ยนไปนิดหน่อย คงอยากให้ผมอยู่นานๆ
“เดินทางดีๆนะ ลูก”
“คุณย่าอย่าน้อยใจผมเลย ผมสัญญาจะมาหาคุณย่าบ่อยๆ ถ้าคุณย่ามีเรื่องอะไรโทรหาผมได้ทุกเมื่อเลยนะครับ”
ผมขยับไปกอดคุณย่า เพื่อให้ความมั่นใจ ว่าผมจะไม่ทิ้งคุณย่าแน่นอน
หลังจากที่ผมกลับมา ในทุกวันๆผมเฝ้าค่อยมองปออยู่ห่างๆตลอดเวลา พยายามหาเวลามาเจอในทุกๆวัน ความรู้สึกของผมในหัวมันคิดเสมอว่า วันหนึ่งถ้าเด็กคนนี้รู้ความจริงของเรื่องราวต่างๆนั้นขึ้นมา เขาจะเป็นอย่างไร ผมเป็นห่วงความรู้สึกปอเหลือเกิน
"เดี๋ยวกูมา กูเอาหนังสือไปให้น้องกูก่อน"
"น้องคนไหน" ผมถามไอ้สายฟ้าทันทีที่มันกำลังจะลุกออกจากโต๊ะกินข้าว
"ก็ไอ้ปอไง แม่งน้องปีสองบอกกูว่าหนังสือกูไม่ให้มัน มันเลยไม่ได้ให้น้องปีหนึ่ง กูเลยต้องเอาไปให้น้องปีหนึ่งแทนมัน เสียเวลาชิบหาย" เสียงบ่นไอ้สายฟ้าดูท่าทางไม่ค่อยเต็มใจทำงานนี้เท่าไร คำพูดมันดูสับสนแต่ก็พอจับใจความได้ว่ามันผิดที่ไม่ยอมให้หนังสือกับน้องปีสองตั้งแต่แรก
"เอาไปให้ที่ไหนอ่ะ"
"อาคารเรียนรวม ตอนนี้มันคงพักกินข้าวกันอยู่"
"เออ เดี๋ยวกูเอาไปให้เอง กูจะไปเอาของที่หอพอดี เดี๋ยวแวะเอาไปให้เอง"
"ดี เอาไป" มันยื่นหนังสือให้ผมทันที โดยไม่มีคำถามใดๆต่อจากนั้น
จริงๆผมไม่ได้ไปเอาของที่หอหรอกครับ ผมแค่อยากเจอปอแค่นั้นเอง
กิจกรรมรับน้องยังไม่ได้จบลงไปเลยสักที่เดียว เหลืออีกหนึ่งกิจกรรมที่เหล่าบรรดาน้องปีหนึ่งต่างในความสนใจก็คือการประกวดดาวเดือนของคณะเพื่อหาตัวแทนร่วมงานเฟรชชี่ไนท์ที่จะเกิดขึ้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า งานนั้นเป็นงานที่จัดให้เฉพาะน้องๆปีหนึ่งโดยเฉพาะ เท่าที่ผมจำความรู้สึกได้บอกได้คำเดียวมันสนุกมาก จะมีวงดนตรีดังๆมาเล่นงานคอนเสิร์ตที่โดมขนาดใหญ่ของมหา’ลัยที่บรรจุเหล่าเฟรชชี่ปีหนึ่งได้เป็นพันๆคน เสียงดนตรีเสียงคำร้องที่ตะโกนตามนักร้องที่ชื่นชอบดังสนั่นไปทั้งโดม
"วันนี้ที่พี่ๆนัดน้องๆมารวมตัวกันอีกครั้ง พี่มีเรื่องสำคัญมาแจ้ง วันนี้เราจะคัดตัวดาว-เดือนคณะกันครับ" เสียงประกาศของหัวหน้าพี่วินัยอย่างสายฟ้ายังดังและเป็นที่สนใจเหมือนเดิมให้แก่น้องปีหนึ่ง เพียงแต่ว่าทรงผมสุดเนี้ยบมันวาวกลับไม่เหมือนเดิม สภาพทรงผมตอนนี้ยุ่งเหมือนรังนกชี้ไปชี้มา สภาพดวงตาที่ดูแล้วคงผ่านการอยู่เวรมาเมื่อคืน ผมเข้าใจมันครับ เดี๋ยวต่อไปผมก็ต้องอยู่ในสภาพไม่ต่างจากมัน
พี่วินัยแจกกระดาษให้บรรดาเหล่าน้องปีหนึ่งเขียนชื่อเพื่อนที่อยากให้ดำรงตำแหน่งดาวเดือน เราให้น้องๆใช้ความคิดกันครู่หนึ่ง ก่อนถึงเวลาพี่ๆก็จะเก็บกระดาษเพื่อมานับรายชื่อว่าใครได้ผลโหวตจากเพื่อนๆมากที่สุด ผมทำหน้าที่ขีดเส้นคะแนนตามรายชื่อที่เพื่อนวินัยได้เอ่ยขึ้นมา
"ปอ หนึ่งคะแนน"
"ปอ อีกสามคะแนน"
เฮ้ย อะไรกันว่า ปอเนื้อหอมขนาดนั้นเลยหรอ
"แพรว หกคะแนน"
"กร สามคะแนน"
"ดิว สองคะแนน"
"กร อีกสามคะแนน"
เหล่าบรรดาคะแนนต่างๆถูกเอ่ยขานขึ้นมาตามกระดาษที่ถูกเปิดขึ้นมาจนหมด หัวหน้าพี่วินัยอย่างสายฟ้าทำหน้าที่เป็นผู้ประกาศคะแนน
ผลโหวตตัวแทนดาวของคณะแพทย์ประจำปีนี้
ลำดับที่ 1 แพรว 55 คะแนน
เราเลือกที่จะไม่ประกาศลำดับอื่นๆ ของรายชื่อผู้ที่ได้รับผลโหวตให้เป็นดาวคณะคนอื่นๆ เพราะแค่อันดับหนึ่งก็คงเพียงพอแล้ว
ผลโหวตตัวแทนเดือนของคณะแพทย์ประจำปีนี้
ลำดับที่ 1 ปอ 25 คะแนน
ลำดับที่ 2 กร 18 คะแนน
ลำดับที่ 3 ดิว 17 คะแนน
หลังจากประกาสผลเสร็จ คนที่ได้ลำดับที่หนึ่งต่างเดินออกมาข้างหน้า เสียงปรบมือดังไปทั่วพร้อมเสียงเชียร์ของบรรดาชายหนุ่มที่ส่งเสียงเชียร์ให้แก่ดาวคนใหม่ของคณะเรา
"ไหนๆก็ได้ดาวดวงใหม่ของคณะเราแล้ว ช่วยพูดความรู้สึกหน่อยคร้าบบบบบ" ไอ้สายฟ้ายังคงไม่ทิ้งลาย โชว์ท่าทางออดอ้อน สไตล์คนเจ้าชู้
"คะ คะ" เสียงเอ่ยของหญิงสาวผมยาวสีน้ำตาลหยักเล็กน้อยดูขี้อาย เพียงแค่คำพูดเพียงนิดเดียวที่แทบจะไม่ได้ยินแต่กลับได้เสียงเชียร์อันล้นหลาม
"ดีใจมากนะคะ ที่ได้ตำแหน่งนี้ หนูจะทำให้ดีที่สุด ทั้งหน้าที่ลีดคณะและดาวคณะครั้งนี้ค่ะ" หลังจากพูดจบเสียงปรบมือและเสียงเชียร์ยังดังไม่ขาดสายเหมือนเดิม
"อ่ะ ต่อไปมึง ปอ" สองมาตรฐานกับผู้ชายเหลือเกิน นี่ขนาดปอเป็นน้องสายรหัสของมันนะ ยังโดนขนาดนี้
ยังพอมีเสียงเชียร์จากบรรดาสาวๆออกมาบ้าง เด็กคนนั้นยังดูเขินยื่นตัวเเข็งทื่ออยู่ข้างหน้า ผมไม่คิดว่าปอที่เป็นคนเนื้อหอมขนาดนี้ แต่ก็ต้องยอมรับหน้าตาของปอ ดูแล้วเรียกได้ว่าก็หล่อแบบน่ารักๆ มีแก้มกลมดูนุ่มนิ่ม ริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูอ่อน ผมยังอยากจะสัมผัสมันสักครั้งเลย
"คะ คือ ผมมีเรื่องอยากจะบอกครับ" เสียงดูท่าทางคิดหนักนั้นทำให้ผมรู้สึกเป็นห่วงอย่างมาก เพราะผมรู้ว่าสภาพร่างกายของปอ อาจจะไม่แข็งแรงพอที่จะทำหน้าที่เดือนคณะได้อย่างเต็มที่แน่นอน
สายตาผมมองไปที่ปออย่างไม่ละสายตา ก่อนจะได้ยินคำพูดที่ทำให้ผมพอจะคลายความกังวลในหัวผมได้
"ผมขอสละสิทธิ์ ครับ..."
รูปเนินเขาที่ปอโพสต์นั้น มันยิ่งตอกย้ำความรู้สึกของผม สถานที่ที่คุ้นเคยแห่งนั้นเต็มไปด้วยความทรงจำของผม ทำไมปอถึงเคยไปที่นั้นได้ ปอรู้จักที่นั้นได้อย่างไร ผมพยายามที่จะหาคำตอบของเรื่องราวเหล่านี้
ข้อความที่ผมพิมพ์ตอบไปในคอมเมนต์รูปนั้น ไม่รู้ว่าความคิดถึงนั้น ผมคิดถึงความทรงจำหรือว่าผมคิดถึงปอ กันแน่
หลังจากกลับจากกิจกรรมรับน้องก็เกือบสองอาทิตย์แล้ว ในหัวของผมยังคิดถึงเรื่องป่านกับปออยู่ตลอดเวลา สงสัยถึงความสัมพันธ์ของคนสองคนนี้ อยากรู้ความจริงสักทีว่ามันคืออะไรกันแน่
“ธาร ทำไมช่วงนี้ดูเหม่อๆ นอนไม่พอหรอ” เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งพูดเอ่ยทักผม เธอคงมองเห็นความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวผม
“เปล่าๆ เราเพลียๆนิดหน่อย เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ”
“ถ้าเกิดมีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ”
“ขอบใจ”
การเรียนปีสี่นั้นเราจะถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ เพื่อวนในหอผู้ป่วยต่างๆการทำแบบนี้มันทำให้เรารู้จักเพื่อนคนอื่นๆมากขึ้น แต่ละกลุ่มมีอยู่ประมาณสิบคน ก็เป็นเพื่อนของเราในชั้นปีนั่นแหละครับ บางคนก็เคยคุยบ้าง บางคนก็ไม่เคยคุยแต่ก็เพิ่งมาได้คุยมากขึ้นเมื่อมาอยู่กลุ่มเดียวกันนี้แหละ รวมทั้งผมกับสายฟ้าก็ยังต้องแยกกันไปเจอเพื่อนคนใหม่บ้าง ถ้าเจอกับมันไปตลอดคงน่าเบื่อแย่เลย
สำหรับนักศึกษาแพทย์ปีสี่อย่างผม นั้นต้องมีการวนหอผู้ป่วยหลักในสาขาวิชาอายุรศาสตร์ ที่เรียนเกี่ยวกับโรคทั่วไปในผู้ใหญ่ สาขาสูตินรีเวช ที่จะเรียนเกี่ยวกับโรคของผู้หญิงเกือบทั้งหมด รวมทั้งการตั้งครรภ์จนถึงคลอดด้วย สาขาศัลยกรรมก็เรียนโรคที่ต้องผ่าตัด การดูแลผู้ป่วยหลังผ่าตัด และสาขากุมารเวชกรรม ก็จะเรียนเรื่องเด็กล้วนๆ แต่ก็จะมีสาขาวิชาเล็กๆที่เราต้องวนร่วมด้วย
ผมโชคดีหน่อยที่เปิดปีสี่มานั้นยังไม่ต้องวนหอผู้ป่วยหลักในตอนนี้ ไม่ต้องตื่นเช้าไปราวน์ทุกวัน รวมทั้งไม่ต้องอยู่เวรประจำวันตอนเย็นถึงเที่ยงคืน ตอนนี้ผมวนอยู่ในสาขาวิชาเล็กๆที่เรียนเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพคนในชุมชน จึงพอมีเวลาว่างกว่าเพื่อนๆที่วนหอผู้ป่วยอื่น ช่วงเวลาวันหยุดเสาร์อาทิตย์ยังเป็นวันว่างๆของผม ผมจึงมีความคิดจะกลับบ้าน ก่อนจะไม่มีเวลาถ้าต้องวนหอผู้ป่วยหลัก
เช้าวันเสาร์นี้ผมเดินทางด้วยรถโดยสารประจำทาง บ้านผมค่อยข้างไกลเลยทำให้รอบรถนั้นมีไม่ค่อยเยอะ มีรอบเช้ากับรอบเย็นเท่านั้น ในการเดินทางครั้งนี้ใช้เวลานานกว่าที่มากับรถบัสคณะ เพราะรถโดยสารประจำทางค่อนข้างเก่า สนิมแทบเกาะทั้งคันรถ ความเร็วก็ตามสภาพ ไม่มีแอร์ แต่ยังดีที่วันนี้อากาศไม่ร้อนมาก ยังพอมีลมเย็นกับแสงแดดอ่อนๆผ่านเข้ามาทางหน้าต่างของรถ
ผมใช้เวลาเดินทางเกือบห้าชั่วโมง มาถึงที่นี้ก็เกือบจะบ่ายสองแล้ว รถขับเคลื่อนผ่านถนนเส้นหลักกลางหมู่บ้านไปเรื่อย บรรยากาศข้างทางยังเป็นเหมือนเดิมๆ ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก ที่เปลี่ยนไปก็คงบ้านของชาวบ้านที่เริ่มการสร้างบ้านปูนต่อเติมบ้านไม้เดิมของตัวเอง
“เดี๋ยวจอดตรงข้างหน้านี้นะครับ” ผมแจ้งพนักงานขับรถเพื่อให้จอดรถตามจุดหมายของผม
“ได้ครับ”
ผมเดินลงจากรถ มองเห็นบ้านหลังเดิมที่ผมคุ้นเคย บ้านไม้หลังเก่าๆที่แสนอบอุ่น มันยังเหมือนเดิมทุกครั้งที่ผมมา รถคันนั้นค่อยๆเคลื่อนออกไปไกลเรื่อยๆจากผม ทิ้งเพียงฝุ่นควันเล็กน้อยตามหลังมัน
"คุณย่าครับ"
รอยยิ้มอันสดใสของคุณย่ายังคงเป็นเหมือนเดิมทุกครั้งที่เจอผม
"มาหาย่าแล้ว หรือลูก"
"ครับ"
ฝ่ามือหยาบกร้านที่ผมคุ้นเคยสัมผัสมาที่ใบหน้าของผม ความรู้สึกอบอุ่นแบบนี้ยังคงเหมือนเดิม
"มา เข้าบ้านเราก่อน"
ตั้งแต่ที่พ่อแม่ผมเสียชีวิตไป ก็มีคุณย่าของป่านที่ค่อยดูแลผมเสมอมา ท่านคนนี้เปรียบได้กับว่าเป็นญาติคนเดียวที่ผมเหลืออยู่ตอนนี้ เป็นเหมือนพ่อแม่ของผมอีกคนหนึ่ง
เราสองคนนั่งลงที่ห้องนั่งเล่นของบ้านไม้หลังเก่าๆหลังนี้ ภายในไม่ได้มีของอะไรมากมาย ดูสะอาดสะอานบ่งบอกว่าคนดูแลมันเป็นอย่างดี มีเพียงโต๊ะกลางบ้านสไตล์ญี่ปุ่นตั้งอยู่ตรงกลางห้องเท่านั้น ฝาผนังยังคงเหมือนเดิม รูปถ่ายเก่าๆที่มีผม ป่าน และคุณย่า ยังติดอยู่ที่เดิม มันอาจจะมีฝุ่นเกาะเยอะสักหน่อยตามกาลเวลา แต่รูปนั้นมันยังคงชัดเจนเสมอทุกครั้งที่ผมมอง
"ลูก จะมาอยู่กี่วัน"
"ผมอาจจะอยู่ได้ไม่นาน วันพรุ่งนี้ผมจะต้องเดินทางกลับแล้ว วันจันทร์ผมมีเรียนต่อครับ"
"มะ ไม่เป็นไรเลย มาหาย่าบ้าง ย่าก็ดีใจมากแล้ว" เสียงตอบอันสั่นเครือของหญิงผู้นี้ ผมสัมผัสได้ถึงความคิดถึงที่มีเปี่ยมล้น ถึงแม้จะตอบว่าไม่เป็นไร แต่ในใจคงเจ็บปวดมากไม่ใช่น้อย
"เย็นนี้อยากกินอะไรล่ะ ธาร"
"ได้หมดเลยครับ คุณย่าจะทำอะไรผมก็กินได้หมดครับ"
ช่วงเวลาเย็นในวันเสาร์นี้ ที่ไม่เหงาเหมือนอย่างทุกๆวัน ผมได้นั่งกินข้าวกับคนที่ผมรัก ปกติแล้วผมมักจะต้องนั่งกินข้าวคนเดียวตลอดช่วงที่เปิดเทอมมา เพราะเพื่อนสนิทผมอย่างไอ้สายฟ้า มันวนอยู่ในสาขาวิชาหลัก ทำให้มันไม่ค่อยมีเวลามาเจอผมเท่าไร อาจมีโทรคุยฟังมันบ่นบ้าง แต่ผมก็ได้แค่ปลอบมันเป็นคำพูดที่มันก็คงเข้าใจ 'เดียวกูก็เจอแบบมึงนั่นแหละ'
คุณย่าเดินเข้าไปในครัว เพื่อทำอาหารในมือเย็น ผมเดินไปรอบๆน้องนั่งเล่น มองดูรูปถ่ายที่ติดบนฝาผนังห้อง มองไปก็ยิ่งคิดถึงความทรงจำเก่าๆ ผมเคยมาอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ตั้งแต่พ่อแม่ผมเสียไป คุณย่าของป่านสงสารผมที่ต้องอยู่บ้านคนเดียว เลยเสนอให้มาอยู่ด้วยในบ้านแห่งนี้ อย่างที่บอกคุณย่าดูเเลผมในทุกๆเรื่อง ผมจึงตั้งใจจะเรียนหมอ ไม่ใช่แค่ทำตามสัญญาที่มีให้กับป่าน แต่ผมอยากจะมีความรู้ดูแลคุณย่า คนที่ผมรักคนเดียวที่เหลืออยู่
"ธาร ช่วยย่าจัดจานหน่อยจ๊ะ"
"ครับ"
เรานั่งกินข้าวกันที่โต๊ะญี่ปุ่นกลางห้อง พูดคุยเรื่องราวมากมายให้หายคิดถึง ก่อนผมจะถามในสิ่งที่ผมต้องการจะรู้
"คุณย่ารู้ไหม มีรุ่นน้องของผมคนหนึ่ง ชอบกินไข่เจียวแบบที่คุณย่าทำด้วย ไข่เจียวที่ใส่ดอกอัญชัน"
ประโยคคำพูดของผมคงทำให้ผู้หญิงชราตรงหน้าผม ใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยคำพูดที่ทำให้ผม...ตกใจ
"ปอ ใช่ไหม"
เสียงตอบกลับเป็นชื่อของคนที่ผมไม่คิดว่าจะเป็นคุณย่าที่พูดชื่อนั้นออกมา กิจกรรมบนโต๊ะอาหารของเราหยุดลงชั่วขณะ บรรยากาศรอบบริเวณห้องนั่งเล่นนั้นดูเงียบสนิท ได้ยินเพียงเสียงจิ้งหรีดจากข้างนอกดังมาเป็นระยะๆ
"คะ ครับ" ผมเพียงได้ตอบแค่คำพูดสั้นๆ แบบตะกุกตะกัก
"ลูกอยากรู้ความจริงเรื่องปอ กับป่าน ใช่ไหม"
ประโยคคำถามที่ผมไม่ต้องเอ่ยถามด้วยตนเอง ดังมาจากคุณย่าที่เหมือนรู้ว่าผมต้องการอะไร
"..."
ผมได้แต่นิ่งเงียบ มองจ้องไปที่คุณย่า
"ที่จริงเรื่องมันก็นานมาหลายสิบปีแล้ว ป่านมีฝาแฝดอีกคน"
'ฝาแฝด' เพียงคำนี้ที่ผมได้ยิน ตัวของผมถึงกับสั่น ใจผมเต้นรัวราวกับว่ามันจะระเบิดออกมา ผมไม่สามารถควบคุมอะไรมันได้อีกแล้ว ในหัวของผมเพียงคิดว่า ผม...พร้อมจริงๆใช่ไหมที่จะรับรู้เรื่องราวต่อจากนี้
"ตั้งแต่เกิดมาส่วนหน้าอกของป่านเชื่อมติดกับแฝดอีกคนหนึ่ง ตอนแรกหมอคิดว่าอาจจะไม่สามารถมีชีวิตรอดได้ทั้งสองคน ถ้าเกิดอวัยวะภายในมีการเชื่อมติดกันมาก อาจจำเป็นต้องเลือกเพียงแค่คนใดคนหนึ่งให้รอด"
ผมรู้ถึงความหมายของประโยคนี้ดี แฝดสยาม แฝดที่มีส่วนของร่างกายติดกันจนรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ก็มีบางคู่ที่โตมาแล้วมีชีวิตรอดแต่ต้องใช้ร่างกายเดียวกัน บางคู่อาจจะผ่าตัดแยกกันได้จนมีชีวิตของใครของมัน แต่บางคู่กลับต้องเลือกว่าใครจะอยู่หรือใคร...จะต้องจากไป
"แล้วมันเกี่ยวอะไรกับปอ หรือครับคุณย่า"
"ปอคือแฝดคนนั้น"
ปอคือแฝดคนนั้น ประโยคนี้จากคุณย่าถึงกับทำให้ความสงสัยของผมบางอย่างคลี่คลาย สิ่งที่ผมคิดมาตลอดตั้งแต่เจอปอ ทำไมถึงคล้ายกับป่านขนาดนี้ ดวงตากลมใส รอยยิ้ม ความอบอุ่นทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ มันเหมือนป่านไม่มีผิด
แต่แฝดสยามคนละเพศ มันเกิดขึ้นได้จริงๆใช่ไหม เป็นคำถามที่ผมสงสัย แต่คงไม่มากเท่าเรื่องที่ผมจะได้ยินต่อจากนี้
คุณย่าลุกเดินไปที่ตู้เก็บของเก่าๆในห้องนอน ก่อนออกมาพร้อมกับสมุดเล่มหนึ่ง มันเป็นสมุดเล่มเล็กๆเก่าๆ คุณย่าเปิดมันออกมาให้ดู ภายในนั้นมีรูปของเด็กทารกสองคนที่มีส่วนของอกติดกัน พร้อมกับรูปใบหน้าของชายหญิงคู่หนึ่งที่ถูกถ่ายพร้อมกับเด็กแฝดสองคนนั้น แต่ผมไม่เคยรู้จักว่าสองคนนั้นเขาเป็นใคร
"คนสองคนนั้นคือ พ่อแม่ ของปอป่าน" เสียงตอบข้อสงสัยภายในหัวผมดังขึ้นมาพร้อมกับที่ผู้หญิงชราตรงหน้าผมยืนสองจดหมายฉบับน้อยๆออกมาให้ผมอ่าน ภายในจดหมายระบุว่า
'ถึงคุณแม่
ตอนนี้หลานแฝดของคุณแม่คลอดแล้วนะครับ สุขภาพแข็งแรงดี ร้องเสียงดังมากเลย
แต่ตอนนี้ร่างกายของเขามีส่วนหน้าอกติดกันอยู่ โชดดีที่หมอตรวจดูแล้วพบว่า
ไม่ได้มีอวัยวะอื่นๆเชื่อมติดกัน
มีเพียงเยื่อหุ้มหัวใจบางส่วนเท่านั้นที่ติดกัน มันมีเส้นเลือดเล็กเชื่อมกันด้วยที่หัวใจด้วย
คงต้องใช้เวลานานกว่าจะสามารถผ่านตัดแยกออกจากกันได้
คุณแม่ต้องรอนานหน่อยนะครับ กว่าจะได้เจอหลาน
ส่วนชื่อก็เป็นชื่อที่คุณแม่ตั้งให้นะครับ ผู้ชายชื่อ ปอ ผู้หญิงชื่อ ป่าน
รักและคิดถึงคุณแม่เสมอ
ชล'
หลังจากที่ผมได้อ่านจดหมายนั้นจบลง ความสงสัยในตัวผมก็ยิ่งมีมากขึ้น
"พ่อแม่ป่านตอนนี้เขาไปอยู่ที่ไหน"
ประโยคคำถามของผม ทำให้หญิงตรงหน้าผม น้ำตาคลอ
"ชีวิตของคู่รักสองคนนี้ ไม่ได้สวยงามเลย พ่อกับแม่ของป่านแยกทางกันตั้งแต่หลังจากที่ผ่าตัดแยกปอกับป่านได้ไม่นาน คุณตาของป่านนั้น ท่านไม่ยอมรับในตัวของพ่อป่าน ทำให้สองคนนั้นต้องแยกทางกัน"
น้ำตาจากดวงตาที่เเสนเศร้าของคุณย่าไหลออกมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนเรื่องราวในอดีตกลับมาตอกย้ำความเจ็บปวด
"พ่อของป่านพยายามทำตัวเองให้เป็นที่ยอมรับแต่ความรักทั้งสองคนกลับโดนกรีดกัน จนสุดท้ายความรักของทั้งสองคนต้องจบลง ในคืนที่ทุกอย่างถึงทางตัน พ่อของป่านได้ตัดสินใจออกจากชีวิตผู้หญิงที่เขารักมากที่สุดเพียงเพื่อที่จะให้ผู้หญิงคนนั้นไม่ต้องทุกข์ทรมารกับความรักที่ไม่เหมาะสม พ่อของป่านจึงเดินทางมาที่นี้พร้อมป่าน ไม่ติดต่ออะไรกับผู้หญิงคนนั้นอีกเลย”
เรื่องราวของการจากลาเป็นเรื่องราวที่ผมรู้จักมันดี เมื่อห้าปีที่แล้วเป็นการจากลาที่ผมไม่อาจลืมเลือน ป่านจากผมไป จากไปอย่างไม่มีวันกลับมา
"คุณย่าครับ แล้วพ่อป่านตอนนี้อยู่ที่ไหนครับ"
"ตายไปนานแล้ว ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ตอนไปช่วยชาวบ้านดับไฟป่า"
"..." ผมได้แต่นั่งนิ่ง ไม่มีคำพูดอะไรออกไป
"พ่อป่านเคยบอกกับย่าว่า เสียใจกับสิ่งที่ตนเองทำลงไป แยกพี่น้องออกจากกัน ทำลายความรักที่มีกับแม่ป่านไป"
คำตอบทุกอย่างเริ่มชัดเจนขึ้น ในหัวของผมเหลือเพียงอีกคำถามเดียว คำถามที่ผมอยากจะรู้ว่า มันตรงกับในความรู้สึกของผมหรือเปล่า
"คุณย่า...” เสียงหนักแน่นของผมเอ่ยถามหญิงที่อยู่ตรงหน้าผม ที่ตอนนี้ความรู้สึกของเธอมันล้นจนแทบจะต้านทานไม่ไหว "ทำไมคุณย่าถึงคิดว่าน้องคนนั้นคือ ปอ"
เพียงประโยคคำถามของผมกลับทำให้แววตาอันเศร้ามองคนหญิงชราผู้นี้ดูมีความหวังขึ้นมา
"แววตา รอยยิ้ม และความรู้สึกอบอุ่นนั้น ย่าคุ้นเคยกับมันดี ย่าเชื่อว่าคนคนนั้นต้องเป็นแฝดที่พลัดพรากกันของป่านแน่นอน"
"..." ผมไม่มีอะไรจะพูด เพียงแค่สิ่งที่ผมคิดมาตลอด มันคือความจริง ปอเหมือนป่าน
"คุณย่าครับ แล้วใครรู้ความจริงเรื่องนี้บ้าง"
"คงจะเป็นฝ้าย แม่ของปอ"
ก่อนเรื่องราวการสนทนาของเราสิ้นสุดลง ประโยคบอกเล่าที่แสนเจ็บปวดของคุณย่าดังขึ้น
"เพียงแต่ตอนนี้ ย่าไม่รู้ว่า ถ้าปอรู้ว่าจริง จะรู้สึกอย่างไร"
ใช่ครับ ความจริงต่อให้มันเป็นสิ่งที่ไม่มีทางลบมันได้ แต่ถ้าความจริงนั้นทำให้ชีวิตเรานั้นเปลี่ยนไป ใครมันจะยอมรับได้
"ฝากดูแลปอให้ดี นะลูก"
"ครับ ผมจะไม่ยอมให้เขาจากไปไหนอีกแล้ว..."
คืนนี้ผมนอนในห้องนอนห้องเดิมที่ผมเคยนอน แต่บรรยากาศไม่ได้เหมือนเดิม เวลาผ่านไปก็เกือบจะห้าทุ่มแล้ว ผมยังไม่สามารถที่จะหลับตาได้เลย ผมนอนคิดเรื่องราวต่างๆที่ผมได้รับรู้มาจากคุณย่า ผมว่ามันหนักเหมือนกันนะ
ผมเปิดมือถือไปที่เฟซบุ๊กของผม ที่ไม่ค่อยมีอะไรได้อัพเดทเท่าไร ผมเป็นคนไม่ค่อยเล่นโซเชียล เพิ่งกลับมาเล่นมากขึ้นช่วงหลังๆที่ได้เจอกับปอ ผมเลื่อนดูเรื่องราวในเฟซบุ๊กไปเรื่อย จนมาหยุดที่ภาพเดิม ภาพที่ปอโพสต์ มันเป็นภาพเนินเขา ที่ผมเห็นจนชินตา
“ตอนนี้ปอ จะรู้สึกยังไงบ้างนะ ตอนนี้” ผมได้แต่พูดกับตัวเองเพียงคนเดียว
เช้าวันอาทิตย์นี้ ผมลืมตาขึ้นมาในห้องที่แปลกไปจากห้องที่หอของผม มองไปบนเพดานไม้ก็มีไฟดวงเก่าห้อยอยู่ รอบห้องไม่ได้มีของอะไรมากมายมีแค่ตู้เสื้อผ้าเก่าๆที่ภายในไม่ได้มีของอะไร ผมจัดการตัวเองเสร็จ ก็เดินออกมาไปที่ห้องนั่งเล่น
“วันนี้กลับประมาณกี่โมงลูก” เสียงของคุณย่าดังทักทายขึ้นทันทีที่ผมออกจากห้องนอน
อาหารเช้าต่างจัดวางไว้บนโต๊ะ มันเป็นข้าวต้มหมูที่ดูแสนธรรมดา แต่มันอร่อยทุกครั้งที่ผมได้กินมัน
“หลังกินข้าวเสร็จ ผมว่าผมน่าจะกลับเลยครับ”
เพียงผมพูดสายตาของคุณย่าดูเปลี่ยนไปนิดหน่อย คงอยากให้ผมอยู่นานๆ
“เดินทางดีๆนะ ลูก”
“คุณย่าอย่าน้อยใจผมเลย ผมสัญญาจะมาหาคุณย่าบ่อยๆ ถ้าคุณย่ามีเรื่องอะไรโทรหาผมได้ทุกเมื่อเลยนะครับ”
ผมขยับไปกอดคุณย่า เพื่อให้ความมั่นใจ ว่าผมจะไม่ทิ้งคุณย่าแน่นอน
หลังจากที่ผมกลับมา ในทุกวันๆผมเฝ้าค่อยมองปออยู่ห่างๆตลอดเวลา พยายามหาเวลามาเจอในทุกๆวัน ความรู้สึกของผมในหัวมันคิดเสมอว่า วันหนึ่งถ้าเด็กคนนี้รู้ความจริงของเรื่องราวต่างๆนั้นขึ้นมา เขาจะเป็นอย่างไร ผมเป็นห่วงความรู้สึกปอเหลือเกิน
"เดี๋ยวกูมา กูเอาหนังสือไปให้น้องกูก่อน"
"น้องคนไหน" ผมถามไอ้สายฟ้าทันทีที่มันกำลังจะลุกออกจากโต๊ะกินข้าว
"ก็ไอ้ปอไง แม่งน้องปีสองบอกกูว่าหนังสือกูไม่ให้มัน มันเลยไม่ได้ให้น้องปีหนึ่ง กูเลยต้องเอาไปให้น้องปีหนึ่งแทนมัน เสียเวลาชิบหาย" เสียงบ่นไอ้สายฟ้าดูท่าทางไม่ค่อยเต็มใจทำงานนี้เท่าไร คำพูดมันดูสับสนแต่ก็พอจับใจความได้ว่ามันผิดที่ไม่ยอมให้หนังสือกับน้องปีสองตั้งแต่แรก
"เอาไปให้ที่ไหนอ่ะ"
"อาคารเรียนรวม ตอนนี้มันคงพักกินข้าวกันอยู่"
"เออ เดี๋ยวกูเอาไปให้เอง กูจะไปเอาของที่หอพอดี เดี๋ยวแวะเอาไปให้เอง"
"ดี เอาไป" มันยื่นหนังสือให้ผมทันที โดยไม่มีคำถามใดๆต่อจากนั้น
จริงๆผมไม่ได้ไปเอาของที่หอหรอกครับ ผมแค่อยากเจอปอแค่นั้นเอง
กิจกรรมรับน้องยังไม่ได้จบลงไปเลยสักที่เดียว เหลืออีกหนึ่งกิจกรรมที่เหล่าบรรดาน้องปีหนึ่งต่างในความสนใจก็คือการประกวดดาวเดือนของคณะเพื่อหาตัวแทนร่วมงานเฟรชชี่ไนท์ที่จะเกิดขึ้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า งานนั้นเป็นงานที่จัดให้เฉพาะน้องๆปีหนึ่งโดยเฉพาะ เท่าที่ผมจำความรู้สึกได้บอกได้คำเดียวมันสนุกมาก จะมีวงดนตรีดังๆมาเล่นงานคอนเสิร์ตที่โดมขนาดใหญ่ของมหา’ลัยที่บรรจุเหล่าเฟรชชี่ปีหนึ่งได้เป็นพันๆคน เสียงดนตรีเสียงคำร้องที่ตะโกนตามนักร้องที่ชื่นชอบดังสนั่นไปทั้งโดม
"วันนี้ที่พี่ๆนัดน้องๆมารวมตัวกันอีกครั้ง พี่มีเรื่องสำคัญมาแจ้ง วันนี้เราจะคัดตัวดาว-เดือนคณะกันครับ" เสียงประกาศของหัวหน้าพี่วินัยอย่างสายฟ้ายังดังและเป็นที่สนใจเหมือนเดิมให้แก่น้องปีหนึ่ง เพียงแต่ว่าทรงผมสุดเนี้ยบมันวาวกลับไม่เหมือนเดิม สภาพทรงผมตอนนี้ยุ่งเหมือนรังนกชี้ไปชี้มา สภาพดวงตาที่ดูแล้วคงผ่านการอยู่เวรมาเมื่อคืน ผมเข้าใจมันครับ เดี๋ยวต่อไปผมก็ต้องอยู่ในสภาพไม่ต่างจากมัน
พี่วินัยแจกกระดาษให้บรรดาเหล่าน้องปีหนึ่งเขียนชื่อเพื่อนที่อยากให้ดำรงตำแหน่งดาวเดือน เราให้น้องๆใช้ความคิดกันครู่หนึ่ง ก่อนถึงเวลาพี่ๆก็จะเก็บกระดาษเพื่อมานับรายชื่อว่าใครได้ผลโหวตจากเพื่อนๆมากที่สุด ผมทำหน้าที่ขีดเส้นคะแนนตามรายชื่อที่เพื่อนวินัยได้เอ่ยขึ้นมา
"ปอ หนึ่งคะแนน"
"ปอ อีกสามคะแนน"
เฮ้ย อะไรกันว่า ปอเนื้อหอมขนาดนั้นเลยหรอ
"แพรว หกคะแนน"
"กร สามคะแนน"
"ดิว สองคะแนน"
"กร อีกสามคะแนน"
เหล่าบรรดาคะแนนต่างๆถูกเอ่ยขานขึ้นมาตามกระดาษที่ถูกเปิดขึ้นมาจนหมด หัวหน้าพี่วินัยอย่างสายฟ้าทำหน้าที่เป็นผู้ประกาศคะแนน
ผลโหวตตัวแทนดาวของคณะแพทย์ประจำปีนี้
ลำดับที่ 1 แพรว 55 คะแนน
เราเลือกที่จะไม่ประกาศลำดับอื่นๆ ของรายชื่อผู้ที่ได้รับผลโหวตให้เป็นดาวคณะคนอื่นๆ เพราะแค่อันดับหนึ่งก็คงเพียงพอแล้ว
ผลโหวตตัวแทนเดือนของคณะแพทย์ประจำปีนี้
ลำดับที่ 1 ปอ 25 คะแนน
ลำดับที่ 2 กร 18 คะแนน
ลำดับที่ 3 ดิว 17 คะแนน
หลังจากประกาสผลเสร็จ คนที่ได้ลำดับที่หนึ่งต่างเดินออกมาข้างหน้า เสียงปรบมือดังไปทั่วพร้อมเสียงเชียร์ของบรรดาชายหนุ่มที่ส่งเสียงเชียร์ให้แก่ดาวคนใหม่ของคณะเรา
"ไหนๆก็ได้ดาวดวงใหม่ของคณะเราแล้ว ช่วยพูดความรู้สึกหน่อยคร้าบบบบบ" ไอ้สายฟ้ายังคงไม่ทิ้งลาย โชว์ท่าทางออดอ้อน สไตล์คนเจ้าชู้
"คะ คะ" เสียงเอ่ยของหญิงสาวผมยาวสีน้ำตาลหยักเล็กน้อยดูขี้อาย เพียงแค่คำพูดเพียงนิดเดียวที่แทบจะไม่ได้ยินแต่กลับได้เสียงเชียร์อันล้นหลาม
"ดีใจมากนะคะ ที่ได้ตำแหน่งนี้ หนูจะทำให้ดีที่สุด ทั้งหน้าที่ลีดคณะและดาวคณะครั้งนี้ค่ะ" หลังจากพูดจบเสียงปรบมือและเสียงเชียร์ยังดังไม่ขาดสายเหมือนเดิม
"อ่ะ ต่อไปมึง ปอ" สองมาตรฐานกับผู้ชายเหลือเกิน นี่ขนาดปอเป็นน้องสายรหัสของมันนะ ยังโดนขนาดนี้
ยังพอมีเสียงเชียร์จากบรรดาสาวๆออกมาบ้าง เด็กคนนั้นยังดูเขินยื่นตัวเเข็งทื่ออยู่ข้างหน้า ผมไม่คิดว่าปอที่เป็นคนเนื้อหอมขนาดนี้ แต่ก็ต้องยอมรับหน้าตาของปอ ดูแล้วเรียกได้ว่าก็หล่อแบบน่ารักๆ มีแก้มกลมดูนุ่มนิ่ม ริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูอ่อน ผมยังอยากจะสัมผัสมันสักครั้งเลย
"คะ คือ ผมมีเรื่องอยากจะบอกครับ" เสียงดูท่าทางคิดหนักนั้นทำให้ผมรู้สึกเป็นห่วงอย่างมาก เพราะผมรู้ว่าสภาพร่างกายของปอ อาจจะไม่แข็งแรงพอที่จะทำหน้าที่เดือนคณะได้อย่างเต็มที่แน่นอน
สายตาผมมองไปที่ปออย่างไม่ละสายตา ก่อนจะได้ยินคำพูดที่ทำให้ผมพอจะคลายความกังวลในหัวผมได้
"ผมขอสละสิทธิ์ ครับ..."
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ