Twin แฝดเลือดผสม
8.0
เขียนโดย Shinman33
วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2563 เวลา 16.05 น.
39 ตอน
3 วิจารณ์
31.70K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 26 มีนาคม พ.ศ. 2563 16.21 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) ครอบครัว
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ตอนนี้ทั้งริวและเอดิสันต่างกำลังจ้องมองคนที่กำลังนอนหลับสบายอยู่ตรงหน้า ใบหน้าขาวสวยได้รูป คิ้วดกดำกับจมูกที่โด่งขึ้นเป็นสันและเรียวปากสีชมพูอิ่มซึ่งดูแล้วไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นปากของเด็กผู้ชาย …มันช่างน่าหลงใหลเสียเหลือเกิน หากจะขัดใจก็ที่ทรงผมหัวเกรียนแบบเด็กมัธยมต้นนี่แหละ แต่ก็ทำให้ริวอดสงสัยไม่ได้ว่ายามหลับยังชวนมองขนาดนี้ ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วเด็กคนนี้จะดูดีไม่น้อย
‘แต่คงไม่มากไปกว่าเราหรอกมั้ง’ คนที่แสนจะมั่นใจในหน้าตาอันหล่อเหลาของตนคิดพลางคลี่ยิ้มออกมาหลังจากที่นั่งจ้องใบหน้านั้นมาพักใหญ่แล้ว
‘แม้จะไม่บอกว่าเด็กคนนี้เป็นบุตรของท่าน แต่เค้าหน้าแบบนี้มันท่านชัดๆ เลยนะ ’ เอดิสันคิดหลังจากที่พินิจพิจารณาใบหน้าของเด็กคนนี้อย่างละเอียดแล้วเขาก็บอกกับตัวเองว่าเด็กคนนี้หน้าเหมือนบุรุษที่เขารู้จักเป็นอย่างดี บุรุษที่เหลือเพียงแค่ชื่อและวีรกรรมที่สร้างไว้ให้ชาวแกรนน่ากล่าวถึงจนทุกวันนี้
“ลูกบอกว่าลูกอยากมีน้องชายแบบนี้หรือ” เอดิสันละสายตาจากคนตรงหน้าที่กำลังหลับไหลอยู่แล้วหันมาคุยกับบุตรชายที่กำลังนั่งจิบชาด้วยท่าทางสบายๆ และคนตรงหน้าก็แค่ยิ้มแล้วพยักหน้าเบาๆ
“แล้วลูกคิดว่าเขาจะยอมหรือ ถึงเขาจะไม่มีที่ไปแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาอยากจะอยู่กับเรานะ อีกอย่างเขาก็มีคนติดตามมา” มารีนกล่าวอย่างกังวลแม้ว่าเธอจะนึกเอ็นดูเด็กคนนี้อยู่ไม่น้อยก็ตามที
“ก็ถ้าเป็นไปตามที่ท่านพ่อบอก ผมว่าเขาควรอยู่กับเรา อีกอย่างคนติดตามเด็กนั่นท่านพ่อก็รู้จักเขาไม่ใช่รึ ท่านพ่อก็จัดการเรื่องนี้ไปสิ ว่าแต่เขาเป็นอย่างไรบ้างครับ” พูดถึงก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ก็ตอนที่เขาตามไปพบทั้งสองกำลังต่อสู้กับชายชุดดำอยู่นั้นชาร์ลกำลังย่ำแย่และเด็กนั่นก็ยังหมดสติอีก กว่าเขาจะพาทั้งสองกลับมาบ้านได้ก็ทุลักทุเลพอสมควร
“ชาร์ลนะหรอ เขาปลอดภัยแล้ว แต่คงต้องพักฟื้นอีกซักระยะ และพ่อว่าชาร์ลน่าจะยอมอยู่กับเรานะ จะเหลือก็แต่เด็กชายน์นี่แหละไม่รู้จะว่าไง” เอดิสันกล่าว
“ผมมีวิธี” ริวกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“ยังไง” ผู้เป็นแม่ถามอย่างสงสัย
“อืออออออ” เสียงหนึ่งครางแทรกขึ้นระหว่างที่แม่ลูกกำลังสนทนาการ และเสียงนั่นก็เรียกให้คนทั้งสามที่รวมทั้งเอดิสันด้วยต้องหันไปมองเจ้าของเสียงนั่น
เปลือกตาของเด็กหนุ่มค่อยๆปรือขึ้น ทันทีที่ชายน์ลืมตาแทนที่เขาจะตกใจที่เจอคนแปลกหน้าหากแต่เขากลับยิ้มที่ทำให้คนทั้งสามต้องยืนงง โดยเฉพาะริวที่กำลังตะลึงกับรอยยิ้มของเด็กชายตรงหน้า
‘ให้ตายเถอะ อย่ายิ้มแบบนี้สิวะ’ คนที่เคยมั่นอกมั่นใจในความหล่อของตัวเองตอนนี้กำลังหวั่นไหว แต่แว้บเดียวก็ปรับสีหน้าได้และยิ้มกลับให้กับคนที่นอนอยู่เบื้องหน้า
“ตื่นแล้วหรอ ไหนบอกมาซิว่าหายไปไหนมาตั้งนาน แล้วไปมีเรื่องกับชายคนนั้นได้ไง” ริวยิงคำถามกลับทันที
“ที่นี่คือบ้านของผมใช่มั๊ยครับ ชาร์ลบอกว่าจะพาผมกลับบ้าน แล้วพวกคุณเป็นใครกันครับเนี่ย พ่อ แม่ พี่ชายหรือครับ” แหม่ เจ้าชายน์เอ้ยยยยย มีใครเคยบอกมั๊ยว่าแกมันจอมมโนจริงๆ ไม่ตอบคำถามเขาแล้วยังมาถามอะไรแบบนี้อีกเนี่ยยย ><
“เอ่ออ คือ พวกเรา..” เอดิสันกล่าวตะกุกตะกักยังไม่ทันจบบุตรชายของเขาก็ชิงกล่าวแทรกขึ้นด้วยเสียงที่ดังกว่า
“อ่าฮะ ใช่แล้ว ข้าเป็นพี่ชายเจ้าเองแหละ ชื่อริว ส่วนนี่ก็ท่านพ่อกับท่านแม่ไง น้องจำไม่ได้หรือ ชายน์” เอากับเขาสิ คนช่างมโนเจอกับจอมอำเขาไปงานนี้คงสนุกแน่!!
“ผมจำได้ว่าโตมากับลุงชาร์ล เรามีกันแค่สองคนลุงหลาน จนวันหนึ่งลุงบอกว่าจะพาผมกลับบ้านซึ่งมันเหลือเชื่อมากที่ผมจะมาอยู่ที่นี่ ทุกอย่างมันแปลกตาจากที่ผมเคยพบเห็นมาก” ชายน์กล่าวพลางลุกขึ้นนั่งตามปกติแล้ว ก็เขาไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่สลบไปนี่
“ลุงชาร์ลบอกว่าที่นี่คือแกรนน่า… เอ่ออ แล้วตอนนี้ลุงชาร์ลอยู่ที่ไหนเขา เขาไม่เป็นอะไรใช่มั๊ยครับพี่ริว?” ชายน์กล่าวอย่างตื่นเต้นกับสิ่งที่พึ่งจะได้พบเจอแต่เหมือนจะนึกได้ว่าเขาไม่ได้มาที่นี่คนเดียว ทันทีที่นึกขึ้นได้น้ำเสียงก็เปลี่ยนไปจนตอนนี้ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงบ่งบอกถึงความวิตกกังวลว่าคนที่ร่วมเดินทางมาจะยังปลอดภัยดีหรือเปล่า…
“ชาร์ลหน่ะปลอดภัยดีแล้วและตอนนี้ก็พักฟื้นอยู่ห้องรับรอง ถ้ายังไงเดี๋ยวจะให้คนพาไปเยี่ยมนะเพราะดูท่าว่าเจ้ามีเรื่องอยากจะพูดคุยกับเขา” เอดิสันกล่าวยิ้มๆ พลางเรียกพ่อบ้านเข้ามาพาชายน์ไปเยี่ยมชาร์ล
เมื่อชายน์ออกไปแล้วไอรีนก็หันมาดุลูกชายทันที
“ลูกไปพูดแบบนั้นได้ไงจ๊ะ แทนที่จะช่วยให้เขาเข้าใจถูกแต่กลับไปอือออกับเขาซะงั้น ยังไงเดี๋ยวเขาก็ต้องรู้ความจริงอยู่ดีหล่ะ” มารีนกล่าวอย่างอดกังวลไม่ได้ ไม่ใช่อะไรหรอกนะแต่แค่เธอกลัวว่าทั้งเขาและเอดิสันจะพลอยเสียผู้ใหญ่ไปด้วยที่ไม่ห้ามลูกชายแล้วยังทำเหมือนสมรู้ร่วมคิดกันอำแบบนี้ ถึงแม้ว่าเขาก็อยากได้ชายน์มาเป็นลูกจริงๆ แต่มันก็ไม่ควรเป็นวิธีนี้
“แต่ผมว่าเดี๋ยวลุงหลานเขาคงจัดการกันเองแหละ ยังไงชาร์ลก็เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้นายน้อยของเขาอยู่แล้ว และบ้านของเรา ไม่สิ ครอบครัวของเราก็คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับชายน์เขาหล่ะ 555” เอดิสันกล่าวอย่างอารณ์ดี ริวที่ตอนนี้เห็นด้วยกับผู้เป็นพ่อสุดๆ ก็หันมายิ้มและยกนิ้วให้เป็นเชิงว่า ท่านพ่อสุดยอดมากกก
“ห๊ะ อะไรนะ นี่ผมฟังไม่ผิดใช่มั๊ยเนี่ย?” เฮือก!! คนที่กำลังโวยวายว่าพลางกระแทกตัวลงนั่งพร้อมถอนหายใจอย่างแรงหลังจากที่ชาร์ลบอกบางอย่างแกเขา
ก่อนหน้านี้…
"เป็นยังไงบ้างชาร์ล ดวงแข็งเหมือนกันนะเราน่ะ 555"
.”ท่านเอดิสัน นี่ข้ามาอยู่ที่นี่ได้ไงขอรับ? แล้วนายน้อยของข้าล่ะ เขาอยู่ไหน” ชาร์ลตกใจไม่น้อยที่ตื่นขึ้นมาแล้วพบกับเอดิสันเป็นคนแรก แต่เมื่อนึกถึงเด็กที่ติดตามกันมาด้วยเขาก็ตกใจยิ่งกว่าเพราะตอนนี้เขาไม่เห็นหน้านายน้อยของเขานั่นเอง
“ชายน์นะหรอ เขาปลอดภัยดีและก็ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก เจ้าอย่าห่วงเลย”
“ข้าจำได้ว่าข้าเจอกับพวกมัน ข้าหมดสติ แล้วข้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงขอรับ” อีกครั้งที่เขาถาม
“ลูกชายข้าไปพบพวกเจ้าน่ะ เลยพากลับมา” เอดิสันกล่าวก่อนจะนิ่งไปเพียงชั่วครูแล้วกล่าวออกมาอีกครั้งอย่างจริงจัง
“เด็กคนนี้คือคนในคำทำนายใช่หรือเปล่า แล้วอีกคนล่ะ เขาอยู่ไหน”
“ข้าไม่รู้ ไม่รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า” ชาร์ลกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้า ก่อนจะยิ้มออกมาในเชิงปลอบใจตัวเองก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างมีความหวัง
“แต่ข้าเชื่อว่าพวกมันจะไม่ทำอะไรเขา เพราะพวกมันจะไม่มีวันได้ในสิ่งที่มันต้องการหากว่ามันทำแบบนั้น”
“แล้วนี่เจ้าจะเอายังไงต่อ บอกตามตรงนะว่าลูกชายข้าถูกใจเด็กคนนี้ไม่น้อย เขาอยากมีน้องชายหน่ะ”
“??”
“คือ เจ้าจะว่าอะไรมั๊ยถ้าข้าจะบอกว่าข้า.. จะ เอ่อ… ข้าจะขอนายน้อยเจ้ามาเป็นบุตรบุญธรรมหนะ” เอดิสันกล่าวกล่าวอย่างตะกุกตะกักอย่างไม่เต็มปาก เพราะเขารู้ว่าชาร์ลรักนายน้อยของเขามากแต่ทว่าเวลานี้ชาร์ลก็มีทางเลือกไม่มากนัก ซึ่งข้อนี้เขาเองก็คิดว่าชาร์ลเองก็พอจะรู้ดี
“ท่านบอกว่าบุตรชายท่านเป็นคนช่วยข้ากับนายน้อยใช่หรือไม่” ชาร์ลไม่ตอบแต่กลับหันไปถามคนตรงหน้า
“เอ่อออ ใช่ๆ ทันทีที่ข้ารู้ว่าเขากลับมา ข้าให้เขาตามหาพวกเจ้าหน่ะ” ชาร์ลตอบทันที แต่คนตรงหน้าก็ยังคงนิ่งอยู่และ เอดิสันก็กลัวว่าชาร์ลจะไม่ยินยอมจึงกล่าวต่อ
“เจ้าคิดให้ดีๆ นะ เจ้าก็รู้นี่ว่านายน้อยของเจ้ากำลังตกอยู่ในการตามล่าของพวกมัน เจ้าเองก็ไม่มีที่ไปและที่สำคัญข้าคิดว่าข้าสามารถดูแลเขาได้ บอกตามตรงนะไม่ใช่แค่ลูกชายข้าหรอกที่ถูกชะตากับชายน์ แต่ทั้งข้าและมารีนก็เอ็นดูเด็กคนนี้ไม่น้อย”
“ข้าก็ตั้งใจจะขอให้นายน้อยของข้าได้อาศัยอยู่กับท่านที่นี่ เพราะข้าคิดว่าที่นี่ปลอดภัยสำหรับนายน้อยที่สุด และข้าก็ดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ท่านและครอบครัวเอ็นดูนายน้อยของข้า ส่วนคำตอบของท่านข้าคิดว่าให้นายน้อยของข้าเขาเป็นคนตอบท่านเองดีกว่า ตอนนี้เขายังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลย ไม่รู้แม้กระทั่งว่าเขาไม่มีใครแล้วที่จะเรียกได้ว่าเป็นคนในครอบครัว” ชาร์ลกล่าวพร้อมกับใบหน้าที่กำลังสลดลง ใช่ เรื่องของนายน้อยของเขามันโหดร้ายมาก ถ้าจะให้บอกกับเจ้าตัวในตอนนี้เขาเองก็คิดว่าเด็กวัย 13 ปี คงไม่สามารถทำใจยอมรับได้แน่ๆ แล้วไหนจะเรื่องคำทำนายนั่นอีก คิดแล้วก็ยิ่งสงสารนายผู้เป็นดังดวงใจของเขาที่ตอนนี้มีสภาพไม่ต่างจากลูกนกกำพร้าที่ไม่มีแม้แต่รังนอนให้พักอาศัย
“ก็ข้านี่ไงจะเป็นครอบครัวให้เขา อย่าลืมสิชาร์ลว่าข้าและวิลเลี่ยมเกี่ยวข้องกันอย่างไร ส่วนเรื่องความปลอดภัยเจ้าก็สบายใจได้เลยว่าข้าจะดูแลเขาอย่างดี ส่วนเรื่องพ่อแม่ของเขาข้าคิดว่าเจ้าควรบอกความจริงบางส่วนกับเขาบ้างนะ อย่างน้อยก็ให้เขาได้รู้จักตนเอง”
“ขอรับท่านเอดิสัน ข้าจะบอกกับเขาตามที่ท่านแนะนำ”
………………………………………………………………..
“สรุปว่าผมเข้าใจผิดว่านั่นคือครอบครัวผมหรอ แล้วครอบครัวจริงๆ ของผมละครับอยู่ที่ไหน” ชายน์ที่ปรับอารณ์ตกใจได้บ้างแล้วก็เอ่ยถามชาร์ลอีกครั้ง
“ครอบครัวของนายน้อย หายสาบสูญไปเมื่อ 13 ปีก่อนขอรับ ผมพานายน้อยหนีไปยังโลกๆ หนึ่งที่เราอยู่ จนพึ่งจะกลับมาแกรนน่านี่แหละครับ” ชาร์ลเอ่ยบางส่วนของเรื่องราวออกมา
“พวกเขายังมีชีวิตอยู่ไหมครับ” ตอนนี้ใบหน้าของชายน์ไม่ค่อยดีเลย
“………” ไม่มีคำตอบจากชาร์ล
“’งั้นอีกคำถาม ทำไมลุงพาผมมาหาพวกเขาที่นี่หล่ะ” คำถามที่ถามออกมาหลังจากที่เขาพยายามกระพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่หยดน้ำที่กำลังเอ่อออกมาในดวงตา
“ท่านริวเป็นคนพาพวกเรามา ท่านริวเขาบอกว่าถูกชะตากับนายน้อย ท่านทั้งสองเขาก็เอ็นดูนายน้อยมากและข้าก็ตั้งใจแต่แรกว่าจะพานายน้อยมาอยู่กับท่านเอดิสัน”
“ออ ผมเข้าใจแล้วครับ” ชายน์ตอบรับอย่างเศร้าๆ ก็ตอนนี้มันไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดไว้แล้ว เขาไม่มีบ้านไม่มีครอบครัวจริงๆ เขาต้องมาอาศัยบ้านคนอื่นอยู่โดยที่เขาเองก็หลงปล่อยไก่ไปซะตัวโตว่านั่นคือครอบครัวของเขา แล้วทีนี้จะทำยังไงต่อไปล่ะถ้าต้องเจอหน้ากัน
“อีกอย่างนะขอรับนายน้อย ข้าไม่ใช่ลุงของท่านหรอก ข้าเป็นเพียงองครักษ์ของท่านพ่อของท่านน่ะ”
แม้แต่คนที่คิดว่าเป็นลุงก็เป็นเพียงแค่คนอื่น นี่เราไม่เหลือใครจริงๆ เลยหรือนี่!!
"แล้วพ่อแม่ผมเป็นใครกันครับ" ไม่มีเสียงตอบจากชาร์ล
“งั้นผมขอตัวก่อนดีกว่าเผื่อลุงจะอยากพักผ่อน” กล่าวจบก็ยิ้มให้คนที่นอนอยู่เบื้องหน้าก่อนจะหันหลังเดินออกไป หากแต่ยังไม่ทันพ้นประตูห้องชายน์ก็หันกลับมาพูดอีกประโยค
“แต่ผมขอเรียกลุงว่าลุงแบบนี้นะครับ ผมไม่อยากไม่เหลือใคร ผมขอมีลุงแบบที่เคยมีนะครับ”
ไม่คิดจะรอคำตอบเพราะทันทีที่กล่าวจบเขาก็หมุนตัวกลับแล้วเปิดประตูออกไปทันที ตอนนี้ใบหน้าของหนุ่มน้อยเต็มไปด้วยคราบน้ำตาที่เจ้าตัวไม่คิดจะเช็ดมันออกแต่กำลังวิ่งออกไปโดยเขาก็ไม่รู้จะไปไหน ขอเพียงแค่ที่ที่สงบที่จะสามารถทำให้เขาสบายใจขึ้นบ้างเท่านั้นเอง
“พ่อว่าเขาจะยอมอยู่กับเรามั๊ยครับ”
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่พ่อไม่ยอมให้เขาไปจากบ้านเราหรอกนะ มันอันตรายเกินไปสำหรับเขา”
“งั้นผมจัดการเอง” กล่าวจบริวก็หันมายิ้มให้กับผู้เป็นพ่อพร้อมกับเดินตามคนที่วิ่งออกไปทางด้านหน้าบ้านหรืออาจเรียกว่าคฤหาสน์เลยก็ว่าได้เพราะบ้านของเขาหลังนี้มีห้องมากมายหลายสิบห้อง หากแต่มีคนอยู่แค่สามคน
‘นี่ถ้ามีคนมาอยู่เพิ่มอีกคนสองคนห้องว่างในบ้านเราคงน้อยลงสินะ หึหึ’ ริวคิดอย่างอารมณ์ดี
..............................................
สนามหญ้าเขียวๆ กับทุ่งดอกไม้หลากสีสันที่พากันส่งกลิ่นหอมอบอวลทำให้คนที่กำลังไม่สบายใจนั้นยิ้มออกมาได้ในที่สุดเพราะตอนนี้เขาสบายใจขึ้นบ้างแล้ว หากลองคิดดูให้ดีๆ ชาร์ลเขาก็ทำดีที่สุดแล้วและการที่เรื่องมันเป็นแบบนี้มันก็ไม่ใช่ความผิดใคร หากเมื่อมันเกิดขึ้นแบบนี้เขาก็ต้องยอมรับมันให้ได้ บอกกับตัวเองพร้อมกับยิ้มที่กลับมาสดใสอีกครั้ง
“ไม่ว่าผมจะเป็นใคร ไม่ว่าจะต้องเจอเรื่องราวอะไรอีกผมจะเข้มแข็งกว่านี้” ชายน์กล่าวกับตัวเองเบาๆ
“ก็ต้องเป็นเช่นนั้นแหละ ผู้ชายเขาไม่ขี้แยหรอกนะ 555”
“!!”
“ก็เห็นวิ่งออกมาแบบนี้เลยตามออกมาดู กลัวจะคิดทำอะไรไม่เข้าท่าอ่ะ บ้านหลังนี้ก็กว้างเกินกว่าที่จะตามหาศพเด็กได้ง่ายๆ นะ ” ริวกล่าวอย่างอารมณ์ดี
“ผมไม่ทำอะไรบ้าๆ แบบนั้นหรอก แค่อยากอยู่เงียบๆ คนเดียว”
“กำลังจะไล่กันหรือ”
“ผมไม่กล้าไล่เจ้าของบ้านหรอก ไม่ได้มีสิทธิทำแบบนั้นด้วย”
“ก็มาเป็นเจ้าของบ้านด้วยกันสิ จะได้มีสิทธิเท่าๆ กัน”
“หืมมม”
“555 ” คำพูดของริวทำให้ชายน์ชะงักไปทันที แต่ริวก็ไม่ได้สนใจอะไรก่อนจะชี้ไปยังคฤหาสน์หลังใหญ่สีขาวที่อยู่เบื้องหน้าก่อนจะกล่าวออกมาอย่างจริงจัง
“บ้านหลังนี้ก็ใหญ่โตเกินกว่าที่คนสามคนจะอยู่ หากมีสมาชิกเพิ่มก็คงดีไม่น้อย”
กล่าวจบก็จับแขนคนที่ตัวเล็กกว่าพร้อมกับจูงเดินกลับเข้าบ้านไปทันที
“ยังมีเวลาให้เดินชมรอบๆ บ้านอีกเยอะ แต่ตอนนี้ท่านพ่อท่านแม่รออยู่ในบ้าน เรามีเรื่องต้องตกลงกันอีกหลายเรื่องเลยไอ้น้องชาย” ริวกล่าวอย่างอารมณ์ดี เช่นกันกับชายน์ที่เขาเองก็รู้สึกดีเช่นกันทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขารู้สึกเคว้งคว้างกับความจริงที่ได้รับรู้ แต่ตอนนี้ที่คนตัวโตกว่าจับแขนเขาพร้อมกับเรียกเขาว่าน้องชายมันก็ทำให้ความรู้สึกแย่ๆ นั้นจางหายไป แม้จะไม่หมดซะทีเดียวแต่ก็ดีขึ้นมากกกว่าเก่าแล้ว
“ว่ายังไงจ๊ะชายน์ ตกลงมั๊ย” มารีนถามพลางยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“ก็อย่างที่มารีนบอกแหละว่าเราเอ็นดูเธอมาก ริวเองเขาก็อยากมีน้องชาย” เอดิสันกล่าวบ้าง
“คือผม..” ชายน์ยังคงมีสีหน้าลำบากใจหลังจากที่คนตัวโตพาเขาเข้ามาพบกับเอดิสันและมารีน โดยไม่ทันได้ตั้งตัวคนที่ตัวโตกว่าก็บอกว่าจะขอให้เขาเข้ามาเป็นน้องชายตนในบ้านหลังนี้ อีกทั้งสตรีที่งดงามที่นั่งอยู่ตรงหน้าก็เสริมอีกว่าอยากให้เขามาเป็นลูกชายอีกคนหนึ่งพร้อมกับยื่นข้อเสนออีกต่างๆ มากมาย
“ตกลงนะ?” มารีนถามซ้ำ
“ผมขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหม” ชายน์กล่าวออกมาหลังจากรวบรวมสติและตัดสินใจดีแล้ว
“ว่ามาสิ ถ้าให้ได้เราจะให้” มารีนกล่าวแทบจะทันทีเพราะเขาคิดว่าไม่มีอะไรในแกรนน่าที่เขาและเอดิสันจะไม่สามารถหามาให้เด็กคนนี้ได้
“ผมขอให้ลุงชาร์ลอยู่กับผมที่นี่ด้วยนะ เพราะเขามีพระคุณกับผมมาก” ชายน์กล่าวออกไปตามที่เขาคิดแต่นั่นกลับทำให้คนทั้งสามเบื้องหน้าหัวเราะออกมาทันทีก่อนที่เอดิสันจะตอบด้วยน้ำเสียงขำๆ ว่า
“ข้อเสนอเธอแค่นี้เองหรือ”
“นั่นเป็นสิ่งที่เราไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว เราเองก็รู้จักกับชาร์ลเขาดี คงไม่ปล่อยเขาไปเร่ร่อนหรอก” มารีนกล่าวพลางยิ้มเอ็นดูเด็กหนุ่มตรงหน้า
‘กตัญญูแบบนี้ นิสัยแบบนี้ หน้าตาแบบนี้สิถึงสมกับเป็นบุตรชายของท่าน’ คิดแล้วก็ยิ้มเมื่อนึกถึงใครบางคนที่เขาเองก็รู้จักเป็นอย่างดี
“เย้ ผมจะได้มีน้องซะที” ริวที่แสดงอาการออกนอกหน้าว่าดีใจมากจนชายน์เองอดสงสัยไม่ได้ว่าไอ้คนตัวโตกว่านี่มีปมอะไรหรือเปล่า ทำไมถึงอยากมีน้องชายแท้
“งั้นต่อไปนี้เธอคือลูกชายของเรานะชายน์ ข้า เอดิสัน อินเดอนาส และมารีน่า อินเดอนาส ขอต้อนรับเธอเป็นบุตรของครอบครัวเรานะ ชายน์ ชาโดวส์ อินเดอนาส” กล่าวพร้อมกับยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“และข้า ริว อินเดอนาส ยินดีอย่างยิ่งที่มีเจ้ามาเป็นน้องชาย” ริวกล่าวพลางเข้ามากอด โดยไม่ทันตั้งตัวชาย์ก็ชกเข้าที่ท้องของพี่ชายตัวดีเข้าอย่างจัง ก่อนจะบอกอย่างอารมณ์ดี
“ขอโทษครับ ผมไม่เคยโดนผู้ชายกอดมาก่อนหนะ” ‘ร้ายแบบนี้ต้องสั่งสอน’ คิดแล้วก็ส่งยิ้มหวานไปให้พี่ชาย
“งั้นพี่คงต้องกอดนายทุกวันแล้วล่ะ จะได้ชินไวๆ” กล่าวพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ หลังจากเป็นลูกคนเดียวมานาน เห็นทีชีวิตเขาคงมีสีสันขึ้นแล้วสินะ
‘ร้ายจริงๆ อย่างนี้ต้องเอาคืนให้หนัก’ คิดแล้วก็หัวเราะขึ้นมาจนชายน์อดสงสัยไม่ได้
‘คงมีแผนจะแกล้งผมอีกสินะ’ ชายน์คิดได้ดังนั้นจะขยับไปนั่งใกล้กับมารีนจนหญิงสาวคนเดียวในวงสนทนาอดที่ยิ้มกับการกระทำเด็กๆทั้งสองไม่ได้ก่อนที่จะดึงชายน์เข้ามากอดในที่สุด
“ไหน มาให้แม่กอดหน่อยซิ” จริงๆเธอกอดแล้วถึงจะขออนุญาตนะเนี่ย นี่ก็ร้ายอีกเช่นกัน
“งั้นพ่อกอดด้วยนะ” เอดิสันก็เป็นไปด้วย
“เห้อยๆๆ ท่านพ่อท่านแม่ มีลูกใหม่แล้วลืมผมหรอ ได้ไงล่ะ ผมไม่ยอมนะ” กล่าวจบก็เข้ามากอดบ้างจนตอนนี้คนที่โดนกอดกำลังดิ้นอยู่ท่ามกลางอ้อมกอดของทั้งสามอย่างหน้าดำหน้าแดง
“เอิ่ม ปล่อยกันก่อนก็ได้ครับ ผมจักจี้หน่ะ 5555” สุดท้ายก็เอ่ยความลับออกมาจนได้
‘หึหึ บ้าจี้หรอ เจ้าพลาดแล้วชายน์ที่เผยจุดอ่อนให้คนอย่างริว อินเดอนาสรู้แบบนี้นะ’ ริวยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ เขาเองก็ยอมรับว่ามีความสุขไม่น้อยที่ครอบครัวมีสมาชิกเพิ่ม และเช่นกันกับชายน์ที่เขารู้สึกอบอุ่นอย่างแปลกประหลาดที่อยู่ภายใต้อ้อมกอดของคนทั้งสาม อาจป็นเพราะคำว่าครอบครัวก็ได้ที่ทำให้รู้สึกอิ่มแบบนี้ หรืออาจจะเป็นเพราะเขาไม่เคยโดนกอดมาก่อนเลยก็ได้!!
.....................................................................................................................................................................................
เป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ ^^
‘แต่คงไม่มากไปกว่าเราหรอกมั้ง’ คนที่แสนจะมั่นใจในหน้าตาอันหล่อเหลาของตนคิดพลางคลี่ยิ้มออกมาหลังจากที่นั่งจ้องใบหน้านั้นมาพักใหญ่แล้ว
‘แม้จะไม่บอกว่าเด็กคนนี้เป็นบุตรของท่าน แต่เค้าหน้าแบบนี้มันท่านชัดๆ เลยนะ ’ เอดิสันคิดหลังจากที่พินิจพิจารณาใบหน้าของเด็กคนนี้อย่างละเอียดแล้วเขาก็บอกกับตัวเองว่าเด็กคนนี้หน้าเหมือนบุรุษที่เขารู้จักเป็นอย่างดี บุรุษที่เหลือเพียงแค่ชื่อและวีรกรรมที่สร้างไว้ให้ชาวแกรนน่ากล่าวถึงจนทุกวันนี้
“ลูกบอกว่าลูกอยากมีน้องชายแบบนี้หรือ” เอดิสันละสายตาจากคนตรงหน้าที่กำลังหลับไหลอยู่แล้วหันมาคุยกับบุตรชายที่กำลังนั่งจิบชาด้วยท่าทางสบายๆ และคนตรงหน้าก็แค่ยิ้มแล้วพยักหน้าเบาๆ
“แล้วลูกคิดว่าเขาจะยอมหรือ ถึงเขาจะไม่มีที่ไปแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาอยากจะอยู่กับเรานะ อีกอย่างเขาก็มีคนติดตามมา” มารีนกล่าวอย่างกังวลแม้ว่าเธอจะนึกเอ็นดูเด็กคนนี้อยู่ไม่น้อยก็ตามที
“ก็ถ้าเป็นไปตามที่ท่านพ่อบอก ผมว่าเขาควรอยู่กับเรา อีกอย่างคนติดตามเด็กนั่นท่านพ่อก็รู้จักเขาไม่ใช่รึ ท่านพ่อก็จัดการเรื่องนี้ไปสิ ว่าแต่เขาเป็นอย่างไรบ้างครับ” พูดถึงก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ก็ตอนที่เขาตามไปพบทั้งสองกำลังต่อสู้กับชายชุดดำอยู่นั้นชาร์ลกำลังย่ำแย่และเด็กนั่นก็ยังหมดสติอีก กว่าเขาจะพาทั้งสองกลับมาบ้านได้ก็ทุลักทุเลพอสมควร
“ชาร์ลนะหรอ เขาปลอดภัยแล้ว แต่คงต้องพักฟื้นอีกซักระยะ และพ่อว่าชาร์ลน่าจะยอมอยู่กับเรานะ จะเหลือก็แต่เด็กชายน์นี่แหละไม่รู้จะว่าไง” เอดิสันกล่าว
“ผมมีวิธี” ริวกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“ยังไง” ผู้เป็นแม่ถามอย่างสงสัย
“อืออออออ” เสียงหนึ่งครางแทรกขึ้นระหว่างที่แม่ลูกกำลังสนทนาการ และเสียงนั่นก็เรียกให้คนทั้งสามที่รวมทั้งเอดิสันด้วยต้องหันไปมองเจ้าของเสียงนั่น
เปลือกตาของเด็กหนุ่มค่อยๆปรือขึ้น ทันทีที่ชายน์ลืมตาแทนที่เขาจะตกใจที่เจอคนแปลกหน้าหากแต่เขากลับยิ้มที่ทำให้คนทั้งสามต้องยืนงง โดยเฉพาะริวที่กำลังตะลึงกับรอยยิ้มของเด็กชายตรงหน้า
‘ให้ตายเถอะ อย่ายิ้มแบบนี้สิวะ’ คนที่เคยมั่นอกมั่นใจในความหล่อของตัวเองตอนนี้กำลังหวั่นไหว แต่แว้บเดียวก็ปรับสีหน้าได้และยิ้มกลับให้กับคนที่นอนอยู่เบื้องหน้า
“ตื่นแล้วหรอ ไหนบอกมาซิว่าหายไปไหนมาตั้งนาน แล้วไปมีเรื่องกับชายคนนั้นได้ไง” ริวยิงคำถามกลับทันที
“ที่นี่คือบ้านของผมใช่มั๊ยครับ ชาร์ลบอกว่าจะพาผมกลับบ้าน แล้วพวกคุณเป็นใครกันครับเนี่ย พ่อ แม่ พี่ชายหรือครับ” แหม่ เจ้าชายน์เอ้ยยยยย มีใครเคยบอกมั๊ยว่าแกมันจอมมโนจริงๆ ไม่ตอบคำถามเขาแล้วยังมาถามอะไรแบบนี้อีกเนี่ยยย ><
“เอ่ออ คือ พวกเรา..” เอดิสันกล่าวตะกุกตะกักยังไม่ทันจบบุตรชายของเขาก็ชิงกล่าวแทรกขึ้นด้วยเสียงที่ดังกว่า
“อ่าฮะ ใช่แล้ว ข้าเป็นพี่ชายเจ้าเองแหละ ชื่อริว ส่วนนี่ก็ท่านพ่อกับท่านแม่ไง น้องจำไม่ได้หรือ ชายน์” เอากับเขาสิ คนช่างมโนเจอกับจอมอำเขาไปงานนี้คงสนุกแน่!!
“ผมจำได้ว่าโตมากับลุงชาร์ล เรามีกันแค่สองคนลุงหลาน จนวันหนึ่งลุงบอกว่าจะพาผมกลับบ้านซึ่งมันเหลือเชื่อมากที่ผมจะมาอยู่ที่นี่ ทุกอย่างมันแปลกตาจากที่ผมเคยพบเห็นมาก” ชายน์กล่าวพลางลุกขึ้นนั่งตามปกติแล้ว ก็เขาไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่สลบไปนี่
“ลุงชาร์ลบอกว่าที่นี่คือแกรนน่า… เอ่ออ แล้วตอนนี้ลุงชาร์ลอยู่ที่ไหนเขา เขาไม่เป็นอะไรใช่มั๊ยครับพี่ริว?” ชายน์กล่าวอย่างตื่นเต้นกับสิ่งที่พึ่งจะได้พบเจอแต่เหมือนจะนึกได้ว่าเขาไม่ได้มาที่นี่คนเดียว ทันทีที่นึกขึ้นได้น้ำเสียงก็เปลี่ยนไปจนตอนนี้ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงบ่งบอกถึงความวิตกกังวลว่าคนที่ร่วมเดินทางมาจะยังปลอดภัยดีหรือเปล่า…
“ชาร์ลหน่ะปลอดภัยดีแล้วและตอนนี้ก็พักฟื้นอยู่ห้องรับรอง ถ้ายังไงเดี๋ยวจะให้คนพาไปเยี่ยมนะเพราะดูท่าว่าเจ้ามีเรื่องอยากจะพูดคุยกับเขา” เอดิสันกล่าวยิ้มๆ พลางเรียกพ่อบ้านเข้ามาพาชายน์ไปเยี่ยมชาร์ล
เมื่อชายน์ออกไปแล้วไอรีนก็หันมาดุลูกชายทันที
“ลูกไปพูดแบบนั้นได้ไงจ๊ะ แทนที่จะช่วยให้เขาเข้าใจถูกแต่กลับไปอือออกับเขาซะงั้น ยังไงเดี๋ยวเขาก็ต้องรู้ความจริงอยู่ดีหล่ะ” มารีนกล่าวอย่างอดกังวลไม่ได้ ไม่ใช่อะไรหรอกนะแต่แค่เธอกลัวว่าทั้งเขาและเอดิสันจะพลอยเสียผู้ใหญ่ไปด้วยที่ไม่ห้ามลูกชายแล้วยังทำเหมือนสมรู้ร่วมคิดกันอำแบบนี้ ถึงแม้ว่าเขาก็อยากได้ชายน์มาเป็นลูกจริงๆ แต่มันก็ไม่ควรเป็นวิธีนี้
“แต่ผมว่าเดี๋ยวลุงหลานเขาคงจัดการกันเองแหละ ยังไงชาร์ลก็เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้นายน้อยของเขาอยู่แล้ว และบ้านของเรา ไม่สิ ครอบครัวของเราก็คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับชายน์เขาหล่ะ 555” เอดิสันกล่าวอย่างอารณ์ดี ริวที่ตอนนี้เห็นด้วยกับผู้เป็นพ่อสุดๆ ก็หันมายิ้มและยกนิ้วให้เป็นเชิงว่า ท่านพ่อสุดยอดมากกก
“ห๊ะ อะไรนะ นี่ผมฟังไม่ผิดใช่มั๊ยเนี่ย?” เฮือก!! คนที่กำลังโวยวายว่าพลางกระแทกตัวลงนั่งพร้อมถอนหายใจอย่างแรงหลังจากที่ชาร์ลบอกบางอย่างแกเขา
ก่อนหน้านี้…
"เป็นยังไงบ้างชาร์ล ดวงแข็งเหมือนกันนะเราน่ะ 555"
.”ท่านเอดิสัน นี่ข้ามาอยู่ที่นี่ได้ไงขอรับ? แล้วนายน้อยของข้าล่ะ เขาอยู่ไหน” ชาร์ลตกใจไม่น้อยที่ตื่นขึ้นมาแล้วพบกับเอดิสันเป็นคนแรก แต่เมื่อนึกถึงเด็กที่ติดตามกันมาด้วยเขาก็ตกใจยิ่งกว่าเพราะตอนนี้เขาไม่เห็นหน้านายน้อยของเขานั่นเอง
“ชายน์นะหรอ เขาปลอดภัยดีและก็ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก เจ้าอย่าห่วงเลย”
“ข้าจำได้ว่าข้าเจอกับพวกมัน ข้าหมดสติ แล้วข้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงขอรับ” อีกครั้งที่เขาถาม
“ลูกชายข้าไปพบพวกเจ้าน่ะ เลยพากลับมา” เอดิสันกล่าวก่อนจะนิ่งไปเพียงชั่วครูแล้วกล่าวออกมาอีกครั้งอย่างจริงจัง
“เด็กคนนี้คือคนในคำทำนายใช่หรือเปล่า แล้วอีกคนล่ะ เขาอยู่ไหน”
“ข้าไม่รู้ ไม่รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า” ชาร์ลกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้า ก่อนจะยิ้มออกมาในเชิงปลอบใจตัวเองก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างมีความหวัง
“แต่ข้าเชื่อว่าพวกมันจะไม่ทำอะไรเขา เพราะพวกมันจะไม่มีวันได้ในสิ่งที่มันต้องการหากว่ามันทำแบบนั้น”
“แล้วนี่เจ้าจะเอายังไงต่อ บอกตามตรงนะว่าลูกชายข้าถูกใจเด็กคนนี้ไม่น้อย เขาอยากมีน้องชายหน่ะ”
“??”
“คือ เจ้าจะว่าอะไรมั๊ยถ้าข้าจะบอกว่าข้า.. จะ เอ่อ… ข้าจะขอนายน้อยเจ้ามาเป็นบุตรบุญธรรมหนะ” เอดิสันกล่าวกล่าวอย่างตะกุกตะกักอย่างไม่เต็มปาก เพราะเขารู้ว่าชาร์ลรักนายน้อยของเขามากแต่ทว่าเวลานี้ชาร์ลก็มีทางเลือกไม่มากนัก ซึ่งข้อนี้เขาเองก็คิดว่าชาร์ลเองก็พอจะรู้ดี
“ท่านบอกว่าบุตรชายท่านเป็นคนช่วยข้ากับนายน้อยใช่หรือไม่” ชาร์ลไม่ตอบแต่กลับหันไปถามคนตรงหน้า
“เอ่อออ ใช่ๆ ทันทีที่ข้ารู้ว่าเขากลับมา ข้าให้เขาตามหาพวกเจ้าหน่ะ” ชาร์ลตอบทันที แต่คนตรงหน้าก็ยังคงนิ่งอยู่และ เอดิสันก็กลัวว่าชาร์ลจะไม่ยินยอมจึงกล่าวต่อ
“เจ้าคิดให้ดีๆ นะ เจ้าก็รู้นี่ว่านายน้อยของเจ้ากำลังตกอยู่ในการตามล่าของพวกมัน เจ้าเองก็ไม่มีที่ไปและที่สำคัญข้าคิดว่าข้าสามารถดูแลเขาได้ บอกตามตรงนะไม่ใช่แค่ลูกชายข้าหรอกที่ถูกชะตากับชายน์ แต่ทั้งข้าและมารีนก็เอ็นดูเด็กคนนี้ไม่น้อย”
“ข้าก็ตั้งใจจะขอให้นายน้อยของข้าได้อาศัยอยู่กับท่านที่นี่ เพราะข้าคิดว่าที่นี่ปลอดภัยสำหรับนายน้อยที่สุด และข้าก็ดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ท่านและครอบครัวเอ็นดูนายน้อยของข้า ส่วนคำตอบของท่านข้าคิดว่าให้นายน้อยของข้าเขาเป็นคนตอบท่านเองดีกว่า ตอนนี้เขายังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลย ไม่รู้แม้กระทั่งว่าเขาไม่มีใครแล้วที่จะเรียกได้ว่าเป็นคนในครอบครัว” ชาร์ลกล่าวพร้อมกับใบหน้าที่กำลังสลดลง ใช่ เรื่องของนายน้อยของเขามันโหดร้ายมาก ถ้าจะให้บอกกับเจ้าตัวในตอนนี้เขาเองก็คิดว่าเด็กวัย 13 ปี คงไม่สามารถทำใจยอมรับได้แน่ๆ แล้วไหนจะเรื่องคำทำนายนั่นอีก คิดแล้วก็ยิ่งสงสารนายผู้เป็นดังดวงใจของเขาที่ตอนนี้มีสภาพไม่ต่างจากลูกนกกำพร้าที่ไม่มีแม้แต่รังนอนให้พักอาศัย
“ก็ข้านี่ไงจะเป็นครอบครัวให้เขา อย่าลืมสิชาร์ลว่าข้าและวิลเลี่ยมเกี่ยวข้องกันอย่างไร ส่วนเรื่องความปลอดภัยเจ้าก็สบายใจได้เลยว่าข้าจะดูแลเขาอย่างดี ส่วนเรื่องพ่อแม่ของเขาข้าคิดว่าเจ้าควรบอกความจริงบางส่วนกับเขาบ้างนะ อย่างน้อยก็ให้เขาได้รู้จักตนเอง”
“ขอรับท่านเอดิสัน ข้าจะบอกกับเขาตามที่ท่านแนะนำ”
………………………………………………………………..
“สรุปว่าผมเข้าใจผิดว่านั่นคือครอบครัวผมหรอ แล้วครอบครัวจริงๆ ของผมละครับอยู่ที่ไหน” ชายน์ที่ปรับอารณ์ตกใจได้บ้างแล้วก็เอ่ยถามชาร์ลอีกครั้ง
“ครอบครัวของนายน้อย หายสาบสูญไปเมื่อ 13 ปีก่อนขอรับ ผมพานายน้อยหนีไปยังโลกๆ หนึ่งที่เราอยู่ จนพึ่งจะกลับมาแกรนน่านี่แหละครับ” ชาร์ลเอ่ยบางส่วนของเรื่องราวออกมา
“พวกเขายังมีชีวิตอยู่ไหมครับ” ตอนนี้ใบหน้าของชายน์ไม่ค่อยดีเลย
“………” ไม่มีคำตอบจากชาร์ล
“’งั้นอีกคำถาม ทำไมลุงพาผมมาหาพวกเขาที่นี่หล่ะ” คำถามที่ถามออกมาหลังจากที่เขาพยายามกระพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่หยดน้ำที่กำลังเอ่อออกมาในดวงตา
“ท่านริวเป็นคนพาพวกเรามา ท่านริวเขาบอกว่าถูกชะตากับนายน้อย ท่านทั้งสองเขาก็เอ็นดูนายน้อยมากและข้าก็ตั้งใจแต่แรกว่าจะพานายน้อยมาอยู่กับท่านเอดิสัน”
“ออ ผมเข้าใจแล้วครับ” ชายน์ตอบรับอย่างเศร้าๆ ก็ตอนนี้มันไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดไว้แล้ว เขาไม่มีบ้านไม่มีครอบครัวจริงๆ เขาต้องมาอาศัยบ้านคนอื่นอยู่โดยที่เขาเองก็หลงปล่อยไก่ไปซะตัวโตว่านั่นคือครอบครัวของเขา แล้วทีนี้จะทำยังไงต่อไปล่ะถ้าต้องเจอหน้ากัน
“อีกอย่างนะขอรับนายน้อย ข้าไม่ใช่ลุงของท่านหรอก ข้าเป็นเพียงองครักษ์ของท่านพ่อของท่านน่ะ”
แม้แต่คนที่คิดว่าเป็นลุงก็เป็นเพียงแค่คนอื่น นี่เราไม่เหลือใครจริงๆ เลยหรือนี่!!
"แล้วพ่อแม่ผมเป็นใครกันครับ" ไม่มีเสียงตอบจากชาร์ล
“งั้นผมขอตัวก่อนดีกว่าเผื่อลุงจะอยากพักผ่อน” กล่าวจบก็ยิ้มให้คนที่นอนอยู่เบื้องหน้าก่อนจะหันหลังเดินออกไป หากแต่ยังไม่ทันพ้นประตูห้องชายน์ก็หันกลับมาพูดอีกประโยค
“แต่ผมขอเรียกลุงว่าลุงแบบนี้นะครับ ผมไม่อยากไม่เหลือใคร ผมขอมีลุงแบบที่เคยมีนะครับ”
ไม่คิดจะรอคำตอบเพราะทันทีที่กล่าวจบเขาก็หมุนตัวกลับแล้วเปิดประตูออกไปทันที ตอนนี้ใบหน้าของหนุ่มน้อยเต็มไปด้วยคราบน้ำตาที่เจ้าตัวไม่คิดจะเช็ดมันออกแต่กำลังวิ่งออกไปโดยเขาก็ไม่รู้จะไปไหน ขอเพียงแค่ที่ที่สงบที่จะสามารถทำให้เขาสบายใจขึ้นบ้างเท่านั้นเอง
“พ่อว่าเขาจะยอมอยู่กับเรามั๊ยครับ”
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่พ่อไม่ยอมให้เขาไปจากบ้านเราหรอกนะ มันอันตรายเกินไปสำหรับเขา”
“งั้นผมจัดการเอง” กล่าวจบริวก็หันมายิ้มให้กับผู้เป็นพ่อพร้อมกับเดินตามคนที่วิ่งออกไปทางด้านหน้าบ้านหรืออาจเรียกว่าคฤหาสน์เลยก็ว่าได้เพราะบ้านของเขาหลังนี้มีห้องมากมายหลายสิบห้อง หากแต่มีคนอยู่แค่สามคน
‘นี่ถ้ามีคนมาอยู่เพิ่มอีกคนสองคนห้องว่างในบ้านเราคงน้อยลงสินะ หึหึ’ ริวคิดอย่างอารมณ์ดี
..............................................
สนามหญ้าเขียวๆ กับทุ่งดอกไม้หลากสีสันที่พากันส่งกลิ่นหอมอบอวลทำให้คนที่กำลังไม่สบายใจนั้นยิ้มออกมาได้ในที่สุดเพราะตอนนี้เขาสบายใจขึ้นบ้างแล้ว หากลองคิดดูให้ดีๆ ชาร์ลเขาก็ทำดีที่สุดแล้วและการที่เรื่องมันเป็นแบบนี้มันก็ไม่ใช่ความผิดใคร หากเมื่อมันเกิดขึ้นแบบนี้เขาก็ต้องยอมรับมันให้ได้ บอกกับตัวเองพร้อมกับยิ้มที่กลับมาสดใสอีกครั้ง
“ไม่ว่าผมจะเป็นใคร ไม่ว่าจะต้องเจอเรื่องราวอะไรอีกผมจะเข้มแข็งกว่านี้” ชายน์กล่าวกับตัวเองเบาๆ
“ก็ต้องเป็นเช่นนั้นแหละ ผู้ชายเขาไม่ขี้แยหรอกนะ 555”
“!!”
“ก็เห็นวิ่งออกมาแบบนี้เลยตามออกมาดู กลัวจะคิดทำอะไรไม่เข้าท่าอ่ะ บ้านหลังนี้ก็กว้างเกินกว่าที่จะตามหาศพเด็กได้ง่ายๆ นะ ” ริวกล่าวอย่างอารมณ์ดี
“ผมไม่ทำอะไรบ้าๆ แบบนั้นหรอก แค่อยากอยู่เงียบๆ คนเดียว”
“กำลังจะไล่กันหรือ”
“ผมไม่กล้าไล่เจ้าของบ้านหรอก ไม่ได้มีสิทธิทำแบบนั้นด้วย”
“ก็มาเป็นเจ้าของบ้านด้วยกันสิ จะได้มีสิทธิเท่าๆ กัน”
“หืมมม”
“555 ” คำพูดของริวทำให้ชายน์ชะงักไปทันที แต่ริวก็ไม่ได้สนใจอะไรก่อนจะชี้ไปยังคฤหาสน์หลังใหญ่สีขาวที่อยู่เบื้องหน้าก่อนจะกล่าวออกมาอย่างจริงจัง
“บ้านหลังนี้ก็ใหญ่โตเกินกว่าที่คนสามคนจะอยู่ หากมีสมาชิกเพิ่มก็คงดีไม่น้อย”
กล่าวจบก็จับแขนคนที่ตัวเล็กกว่าพร้อมกับจูงเดินกลับเข้าบ้านไปทันที
“ยังมีเวลาให้เดินชมรอบๆ บ้านอีกเยอะ แต่ตอนนี้ท่านพ่อท่านแม่รออยู่ในบ้าน เรามีเรื่องต้องตกลงกันอีกหลายเรื่องเลยไอ้น้องชาย” ริวกล่าวอย่างอารมณ์ดี เช่นกันกับชายน์ที่เขาเองก็รู้สึกดีเช่นกันทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขารู้สึกเคว้งคว้างกับความจริงที่ได้รับรู้ แต่ตอนนี้ที่คนตัวโตกว่าจับแขนเขาพร้อมกับเรียกเขาว่าน้องชายมันก็ทำให้ความรู้สึกแย่ๆ นั้นจางหายไป แม้จะไม่หมดซะทีเดียวแต่ก็ดีขึ้นมากกกว่าเก่าแล้ว
“ว่ายังไงจ๊ะชายน์ ตกลงมั๊ย” มารีนถามพลางยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“ก็อย่างที่มารีนบอกแหละว่าเราเอ็นดูเธอมาก ริวเองเขาก็อยากมีน้องชาย” เอดิสันกล่าวบ้าง
“คือผม..” ชายน์ยังคงมีสีหน้าลำบากใจหลังจากที่คนตัวโตพาเขาเข้ามาพบกับเอดิสันและมารีน โดยไม่ทันได้ตั้งตัวคนที่ตัวโตกว่าก็บอกว่าจะขอให้เขาเข้ามาเป็นน้องชายตนในบ้านหลังนี้ อีกทั้งสตรีที่งดงามที่นั่งอยู่ตรงหน้าก็เสริมอีกว่าอยากให้เขามาเป็นลูกชายอีกคนหนึ่งพร้อมกับยื่นข้อเสนออีกต่างๆ มากมาย
“ตกลงนะ?” มารีนถามซ้ำ
“ผมขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหม” ชายน์กล่าวออกมาหลังจากรวบรวมสติและตัดสินใจดีแล้ว
“ว่ามาสิ ถ้าให้ได้เราจะให้” มารีนกล่าวแทบจะทันทีเพราะเขาคิดว่าไม่มีอะไรในแกรนน่าที่เขาและเอดิสันจะไม่สามารถหามาให้เด็กคนนี้ได้
“ผมขอให้ลุงชาร์ลอยู่กับผมที่นี่ด้วยนะ เพราะเขามีพระคุณกับผมมาก” ชายน์กล่าวออกไปตามที่เขาคิดแต่นั่นกลับทำให้คนทั้งสามเบื้องหน้าหัวเราะออกมาทันทีก่อนที่เอดิสันจะตอบด้วยน้ำเสียงขำๆ ว่า
“ข้อเสนอเธอแค่นี้เองหรือ”
“นั่นเป็นสิ่งที่เราไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว เราเองก็รู้จักกับชาร์ลเขาดี คงไม่ปล่อยเขาไปเร่ร่อนหรอก” มารีนกล่าวพลางยิ้มเอ็นดูเด็กหนุ่มตรงหน้า
‘กตัญญูแบบนี้ นิสัยแบบนี้ หน้าตาแบบนี้สิถึงสมกับเป็นบุตรชายของท่าน’ คิดแล้วก็ยิ้มเมื่อนึกถึงใครบางคนที่เขาเองก็รู้จักเป็นอย่างดี
“เย้ ผมจะได้มีน้องซะที” ริวที่แสดงอาการออกนอกหน้าว่าดีใจมากจนชายน์เองอดสงสัยไม่ได้ว่าไอ้คนตัวโตกว่านี่มีปมอะไรหรือเปล่า ทำไมถึงอยากมีน้องชายแท้
“งั้นต่อไปนี้เธอคือลูกชายของเรานะชายน์ ข้า เอดิสัน อินเดอนาส และมารีน่า อินเดอนาส ขอต้อนรับเธอเป็นบุตรของครอบครัวเรานะ ชายน์ ชาโดวส์ อินเดอนาส” กล่าวพร้อมกับยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“และข้า ริว อินเดอนาส ยินดีอย่างยิ่งที่มีเจ้ามาเป็นน้องชาย” ริวกล่าวพลางเข้ามากอด โดยไม่ทันตั้งตัวชาย์ก็ชกเข้าที่ท้องของพี่ชายตัวดีเข้าอย่างจัง ก่อนจะบอกอย่างอารมณ์ดี
“ขอโทษครับ ผมไม่เคยโดนผู้ชายกอดมาก่อนหนะ” ‘ร้ายแบบนี้ต้องสั่งสอน’ คิดแล้วก็ส่งยิ้มหวานไปให้พี่ชาย
“งั้นพี่คงต้องกอดนายทุกวันแล้วล่ะ จะได้ชินไวๆ” กล่าวพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ หลังจากเป็นลูกคนเดียวมานาน เห็นทีชีวิตเขาคงมีสีสันขึ้นแล้วสินะ
‘ร้ายจริงๆ อย่างนี้ต้องเอาคืนให้หนัก’ คิดแล้วก็หัวเราะขึ้นมาจนชายน์อดสงสัยไม่ได้
‘คงมีแผนจะแกล้งผมอีกสินะ’ ชายน์คิดได้ดังนั้นจะขยับไปนั่งใกล้กับมารีนจนหญิงสาวคนเดียวในวงสนทนาอดที่ยิ้มกับการกระทำเด็กๆทั้งสองไม่ได้ก่อนที่จะดึงชายน์เข้ามากอดในที่สุด
“ไหน มาให้แม่กอดหน่อยซิ” จริงๆเธอกอดแล้วถึงจะขออนุญาตนะเนี่ย นี่ก็ร้ายอีกเช่นกัน
“งั้นพ่อกอดด้วยนะ” เอดิสันก็เป็นไปด้วย
“เห้อยๆๆ ท่านพ่อท่านแม่ มีลูกใหม่แล้วลืมผมหรอ ได้ไงล่ะ ผมไม่ยอมนะ” กล่าวจบก็เข้ามากอดบ้างจนตอนนี้คนที่โดนกอดกำลังดิ้นอยู่ท่ามกลางอ้อมกอดของทั้งสามอย่างหน้าดำหน้าแดง
“เอิ่ม ปล่อยกันก่อนก็ได้ครับ ผมจักจี้หน่ะ 5555” สุดท้ายก็เอ่ยความลับออกมาจนได้
‘หึหึ บ้าจี้หรอ เจ้าพลาดแล้วชายน์ที่เผยจุดอ่อนให้คนอย่างริว อินเดอนาสรู้แบบนี้นะ’ ริวยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ เขาเองก็ยอมรับว่ามีความสุขไม่น้อยที่ครอบครัวมีสมาชิกเพิ่ม และเช่นกันกับชายน์ที่เขารู้สึกอบอุ่นอย่างแปลกประหลาดที่อยู่ภายใต้อ้อมกอดของคนทั้งสาม อาจป็นเพราะคำว่าครอบครัวก็ได้ที่ทำให้รู้สึกอิ่มแบบนี้ หรืออาจจะเป็นเพราะเขาไม่เคยโดนกอดมาก่อนเลยก็ได้!!
.....................................................................................................................................................................................
เป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ ^^
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ