DARKSTORY เรื่องนี้มีแต่คนโฉด
-
เขียนโดย หัวใจวาย
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 เวลา 17.12 น.
11 ตอน
3 วิจารณ์
10.26K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 17.14 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) กำเนิดนักสู้-รางวัลและอันดับ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
หลิวลู่ส่งกระบี่คืนให้กับหว่างขาตั้งง้ำเมื่อกลับเข้ามาในห้องใต้ดินอับสลัว
“เจ้าพอจะทำทางออกได้ใช่หรือไม่?!” หว่างขาตั้งง้ำเอ่ยถามพลางพลิกดูกระบี่ราคาถูกในมือ “ข้าต้องจัดการกับนักสู้รอบต่อไปคงจะพาเจ้าออกไปไม่ได้”
“ข้าขึ้นไปข้างบนได้แน่ ไม่ต้องห่วง”
หว่างขาตั้งง้ำไม่ได้ตอบอะไร เขาทะยานออกจากห้องอับและเหวี่ยงกระบี่ราคาถูกกลับไปที่ตั่งเล็กที่วางชิดผนังและชี้ไปที่บันได
“หากระบี่มาเป็นของตัวเองซะ รอบต่อไปเจ้าจะไม่มีสิทธิ์เลือกอาวุธเหมือนครั้งนี้แน่”
ลานประลองยังคงคราคร่ำไปด้วยผู้คน เพียงแต่ยามนี้คนพวกนั้นกระจายตัวออกไปโดยรอบ บ้างก็จับกลุ่มสนทนา บ้างก็เดินมุ่งไปทางย่านร้านค้า หลิวลู่เดาว่าเป็นช่วงพักก่อนจะประลองคู่ต่อไป
หลิวลู่เดินตามทางที่มู่งสู่สำนักงานของลานประลอง มันคือสถานที่สำหรับขึ้นรางวัลที่หลิวลู่เคยมาเมื่อช่วงเที่ยง ชายอาวุโสผู้มีใบหน้านิ่งยังคงยืนดีดลูกคิดอยู่ฟลังตาข่ายเหล็กเช่นเดิม ชายผู้นั้นเงยหน้ามอง
“เจ้าอีกแล้วเรอะ?” ชายอาวุโสผมและเคราขาวโพลนเอ่ยทัก ฝ่ามือใหญ่ถูกยกขึ้นส่ายพร้อมถ้อยคำที่ฟังดูคล้ายพึงพอใจ “นานมากแล้วที่ไม่ได้จัดอันดับนักสู้ไร้อันดับเช่นเจ้า”
ผู้อาวุโสเดินไปที่ผนังด้านหลังและยืนมองแผ่นป้ายไม้ขนาดเล็กที่ห้อยเรียงรายหลายสิบอัน แต่ละอันต่างมีตัวอักษรที่หลิวลู่อ่านไม่ได้เขียนอยู่ เขาดึงแผ่นไม้นั้นจนเกิดเป็นช่องโหว่ขึ้นบนผนังก่อนจะล้วงมือเข้าไปและหยิบถุงผ้าขนาดเล็กสองใบออกมา
“ยินดีด้วยนะ เจ้าหนุ่มก้าน นักสู้อันดับสามสิบ” ผู้อาวุโสกล่าวและยื่นถุงออกมาจากรั้วตาข่ายเหล็ก “ในถุงดำคือเงินรางวัลสองร้อยอีแปะ อีกถุงนั้นข้าไม่รู้ เจ้าต้องดูเอาเอง”
“สองร้อยอีแปะ!” หลิวลู่ตะลึงในขณะยกถุงรางวัลขึ้นจากมือผู้อาวุโส ถุงรางวัลนี้มีค่าเท่ากับเงินค่าจ้างแบกหามสินค้าจากเรือยี่สิบลำเลยทีเดียว “ขอบคุณท่านผู้อาวุโส”
หลิวลู่ทะยานออกจากกระโจมและหาทางออกจากลานประลองและไปพบจับโปกควงที่โต๊ะลงชื่ออีกครั้ง
บุรุษเครารกจับโปกควงแทบจะสลัดใบหน้าขึงขังของตนออกทันทีที่ได้ยินว่าน้องชายของสหายนำชัยชนะติดมากับตัวพร้อมรั้งอันดับที่สามสิบออกมาด้วย
“อย่างนี้ต้องฉลอง!” จับโปกควงโพล่งออกมาพร้อมถูมือ แต่หลิวลู่กลับรั้งฝ่ามือขวาของจับโปกควงมาและยัดถุงเงินลงไป “หือ?”
“ท่านอาจับเอาเงินนี่ไปนะ ข้าฝากท่านหายาที่ดีที่สุดให้ท่านพี่ด้วย” หลิวลู่วางถุงเงินที่มีเหรียญบรรจุอยู่หนึ่งร้อยอีแปะลงในมือของอาจารย์ฝีเท้าไว “ข้ามีธุระจะไปที่หอนางเกี้ยวก่อน”
“อ้อ!” จับโปกควงโพล่งออกมาพร้อมพยักหน้า ใบหน้าของบุรุษผู้เป็นสหายของพี่ชายกลับมาขึงขังอีกครั้ง “ไว้ใจข้าได้ พี่ชายเจ้าจะต้องได้ยาที่ดีที่สุดของเมืองแน่นอน”
“ฝากบอกท่านพี่ด้วยว่าข้าอาจจะกลับช้า”
หลิวลู่ก้าวเท้าไปบนถนนหินที่มุ่งสู่หอนางเกี้ยว สองข้างทางของย่านร้านค้าเต็มไปด้วยเสียงเซ็งแซ่และชีวิตชีวา บ้านเรือนที่ดูแข็งแรงและสวยงาม กลิ่นอาหารและขนมลอยตลบ ผู้คนต่างดูสดใสและสะอาดสะอ้าน มันต่างจากหมู่บ้านกรรมกรราวกับโลกและสวรรค์
ยิ่งเป็นหอนางเกี้ยวที่ตั้งอยู่ตรงสามแยกที่มุ่งสู่ท่าเรือด้วยแล้ว มันยิ่งเห็นได้ชัดถึงความแตกต่าง
หอไม้ทรงเหลี่ยมสีขาวหม่นสองหอตั้งสูงเทียมยอดไผ่ ทั้งสองหอมีสะพานเชื่อมต่อถึงกันทั้งหมดหกชั้น ทั้งสี่ด้านของหอมีโคมขาวและพู่แดงประดับจนดูคล้ายต้นไม้ที่ออกดอกบานสะพรั่งตลอดปี
หลิวลู่ไม่กล้าแม้แต่จะเหยีบย่างเข้าไป
“มีอะไรรึเจ้าหนุ่ม?” ชายฉกรรจ์ที่ดูอาวุโสว่าแต่มีใบหน้าขาวและเรียบเนียนถามหลิวลู่ แม้หลิวลู่จะเป็นทาสและมอซอแต่เขาก็เอ่ยถามด้วยความสุภาพสมกับเป็นคนของร้านที่เด่นเรื่องการเอาอกเอาใจ
“ข้ามาหาแม่นางก้า—! ขออภัย ข้าหมายถึงแม่นางเมิงน่ะ”
“อ้อ! รอสักครู่”
ชายฉกรรจ์หายเข้าไปในหอนานหลายอึดใจก่อนจะเดินออกมาพร้อมกับสตรีนางหนึ่งที่มีใบหน้านวลขาว ปากสีแดงดั่งชาด ดวงตาถูกระบายด้วยสีที่ขับเน้นดวงตาให้เรียวและยั่วเย้า ใบหน้านางนั้นนิ่งจนกระทั่งเห็นหลิวลู่ มันจึงเปลี่ยนมาเป็นยินดีก่อนจะสลดลง
“พี่หลิวลู่!”
“ใช่ ข้าเอง!”
แม่นางเมิงผละลงจากประตูหอโดยไม่สนใจชายใบหน้าขาวที่ทำท่าทางตื่นตกใจ แต่เขาก็ทำได้เพียงเท่านั้น เพราะแม่นางเมิงเดินลงมาแล้วและกำลังจูงมือของหลิวลู่เดินออกห่างจากหอ
“ซ่อนชู้! เจ้าออกจากหอได้รึ? ขะ—ข้าเข้าใจว่าเจ้า—!”
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ข้ามีเรื่องจะบอก” แม่นางเมิงเอ่ยตัดและลากจูงหลิวลู่ออกมาตามทางที่มุ่งสู่ท่าเรือ “เมื่อคืนนี้ข้าชนะพนันท่านถูด้วยล่ะ!”
“ห๊ะ? เจ้ายังเล่นพนันอยู่อีกเหรอซ่อนชู้? แล้วท่านถูก็เป็นเจ้าของหอ เจ้าไปท้าเล่นกับท่านได้อย่างไร?”
“ไม่ยากเลยพี่หลิวลู่! ท่านถูน่ะ—!” แม่นางเมิงตอบอย่างรวดเร็ว แต่นางก็หยุดไปก่อนที่จะพูดจบและทำหน้าคล้ายกับใคร่ครวญบางอยู่อึดใจก่อนจะเอ่ยต่อ “คือ ท่านถูที่ข้าพูดถึงเขามีนามว่าลำกวย ท่านเป็นพี่ชายของ ถูติ่งแฉะที่เป็นเจ้าของหอ เขาเพิ่งเดินทางมาจากแคว้นเย่อเมื่อสองวันนี่เอง”
“อย่างนั้นรึ? ถูติ่งแฉะมีพี่ชายคือถูลำกวย แล้วเจ้าก็ไปท้าพนันกับถูลำกวยและชนะเขาได้” หลิวลู่เอ่ยทวนความเข้าใจก่อนจะทำหน้านิ่วใส่เมีย “เจ้านี่ช่างรนหาเรื่องยุ่งจริง ถ้าเจ้าแพ้พนันอีก คราวนี้เจ้าจะเอาอะไรไปชดใช้?”
“แหม! แค่พนันถั่ว ท่านก็รู้ว่าข้ามีฝีมือ” แม่นางเมิงบ่นเสียงแผ่วเพราะรู้สึกผิดที่เคยสร้างน่าอับอายเรื่องให้สองพี่น้อง “อีกอย่าง ฝีมือของท่านถูคนพี่ก็เข้าขั้นเลวเลยล่ะ”
“อย่าไปพูดแบบนี้ในหอเด็ดขาด” หลิวลู่เอ่ยปรามและส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ซ่อนชู้เมียสาวยังคงแก่นและขาดสัมมาคารวะอยู่เหมือนเดิม แม้จะถูกจับไปเป็นนางก้นหอนานกว่าครึ่งปีแล้วก็ตาม “แล้วรางวัลจากการแข่งคืออะไร?”
“ข้าได้เงินมาสี่ร้อยอีแปะ! สี่ร้อยอีแปะเชียวนะพี่หลิวลู่ รวมกับที่ข้าเก็บไว้ ตอนนี้ข้ามีทั้งหมดสองตำลึงกับแปดร้อยยี่สิบอีแปะแล้ว” แม่นางเมิงตอบด้วยสีหน้าเบิกบาน “อีกไม่นานข้าก็จะมีครบสามตำลึง”
หลิวลู่เบิกตามองใบหน้าเมียที่งดงามขึ้นและสดใสขึ้นอย่างเทียบไม่ได้กับวันวานที่เคยอยู่ด้วยกัน ความหวังที่จะไถ่นางคืนยังคงอัดสุมอยู่เต็มหัว อีกทั้งเงินที่ถือมาก็อยากจะยื่นให้นางเหลือเกิน แต่มันก็น้อยนิดเมื่อเทียบกับที่นางหาได้ อีกทั้งหากตัดสินใจยื่นให้นางไปทั้งหมด หลิวลู่ก็จะต้องไปรับจ้างแบกหามเพื่อหาค่าข้าวให้กับตนเองและพี่ชายอีก มังกรหนุ่มจึงเลือกที่จะนิ่งเงียบแทน
“ท่านมาหาข้าวันนี้มีเรื่องอะไรหรือ?”
“เอ่อ! ขะ—ข้าคิดว่าจะเข้าประลอง จึงมาถามความเห็นจากเจ้า” หลิวลู่โกหกและผลของการโกหกก็ทำให้มังกรหนุ่มได้รู้เรื่องที่คาดไม่ถึงจากเมียสาวกลับมา
“ข้าสนับสนุน! ท่านมีฝีมืออยู่ในขั้นที่ดี ช้าเชื่อว่าน่าจะชนะ” แม่นางเมิงตอบด้วยเสียงสดใสราวนกน้อย แต่นางลดเสียงลงเมื่อเอ่ยถึงเรื่องที่นางคิดว่าน่าสนุกว่า “แต่ข้าคิดว่าท่านน่าจะลองไปท้าพนันท่านถูดีกว่า ต่อให้พี่หลิวลู่ไม่เก่งพนัน แต่ท่านถูฝีมือเลวกว่าท่านแบบเทียบกันไม่ได้ ท่านชนะแน่นอน ข้าจะหาลู่ทางให้ท่านไปพบเขาเอง”
“ซ่อนชู้! นี่เจ้ายังจะหาเรื่อง—!” หลิวลู่อยากจะตำหนิ แต่เมื่อมองใบหน้าที่กำลังยิ้มอย่างสดใสของเมียแล้ว เขาก็หยุดคำพูดไว้และเผยรอยยิ้มออกมาแทน “แล้วข้าจะบอกเจ้าก็แล้วกัน”
หลิวลู่เดินออกจากย่านร้านค้าหลังจากแยกกับแม่นางเมิง มันเป็นช่วงบ่ายที่แสงแดดร้อนแรงสาดลงมาจนทำให้หลิวลู่กระหาย เขาจึงแวะที่โรงเตี๊ยมเล็กริมทางก่อนจะตัดเข้าสู่ถนนดินที่มุ่งสู่หมู่บ้านกรรมกร
แม้จะเรียกว่าโรงเตี๊ยม แต่มันไม่ได้ใหญ่โต อีกทั้งมันสร้างจากไม่ไผ่ที่มั่นคงแข็งแรงว่ากระท่อมของหลิวลู่เพียงน้อยนิด แต่เพราะหลิวลู่ไม่เคยมีโอกาสได้เข้ามา มันจึงทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเบิกบานขึ้นมาได้
“ท่านลุง ข้าขอชาขาวหนึ่งกา—!” หลิวลู่เอ่ยบอกผู้เฒ่าเจ้าของโรงเตี๊ยม แต่หางตาก็สะดุดกับชายร่างใหญ่ผิวขาวเข้าเสียก่อน หลิวลู่จึงปรี่เข้าไปหาด้วยความยินดี “ท่านอาควบ! ท่านอยู่ที่นี่เอง วันนี้ข้าได้ลง—!”
ควบเหนือเต้าอึ๋มยกใบฝ่ามือสะอาดสะอ้านขึ้นปรามก่อนจะยกสายตาขึ้นมองหลิวลู่ ดวงตาสีเข้มเรียวยาวของควบเหนือเต้าอึ๋มจ้องหลิวลู่อย่างดุดัน
“มีอะไรก็ค่อยๆ พูด อย่าโพล่งออกมาเหมือนกับพวกไม่รู้จักกาละเทศะ นั่งซิ!” ควบเหนือเต้าอึ๋มเอ่ยและลดมือลงเชื้อเชิญหลิวลู่ หลังจากนั้นก็หันไปหาผู้เฒ่าที่ยืนรอ “ลุงม่อ ขอชาขาวให้เจ้าหนุ่มหนึ่งกา”
“ข้าขออภัย” หลิวลู่เอ่ยพร้อมกับลดกายลงนั่ง หลังจากนั้นเขาก็เอ่ยด้วยสุ้มเสียงที่เบาลง “ข้าอดดีใจไม่ได้ที่พบท่าน”
“ดีใจเพราะเหตุใด?” ควบเหนือเต้าอึ๋มแสร้งถาม ทั้งที่ในใจก็รู้อยู่ว่าหลิวลู่ต้องการจะสื่ออะไร
“ท่านช่วยให้ข้าได้ลงประลอง ท่านทำตามที่ท่านได้สัญญาเมื่อเช้า!”
“เมื่อเช้า? เราได้เจอกันรึ? ข้าไม่เห็นจะจำได้!”
ควบเหนือเต้าอึ๋มตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ใบหน้าสะอาดนิ่งขรึม แม้แต่เรียวหนวดยาวเหนือริมฝีปากก็ไม่ขยับ เขาแสร้งทำเช่นนั้นเพราะผู้เฒ่าม่อถือกาเดินเข้ามาใกล้ มันคงไม่ดีแน่หากผู้อื่นได้ยินเรื่องเมื่อเช้านี้ แต่ดูเหมือนหลิวลู่จะไม่ทันสังเกต เพราะเขายังคงพยายามชี้แจง ใบหน้าจริงจังที่ขยับเข้าใกล้อย่างไม่รู้ตัวของเจ้าหนุ่มก้านทำให้ควบเหนือเต้าอึ๋มรู้สึกสำราญ
“เมื่อเช้าตรู่นั่นไงท่านอา! ท่านไปอาบน้ำและข้าก็ตื่นมาพบท่าน” หลิวลู่กระดกชาเข้าปากและเอ่ยเล่าด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่าบอกว่าท่านจะช่วยให้ข้าได้ลงประลอง”
“ทำไมข้าต้องช่วยเจ้าล่ะ เจ้าหนุ่มก้าน?” ควบเหนือเต้าอึ๋มถามและเผยรอยยิ้มสำราญใจออกมาเมื่อพบว่าชายหนุ่มสีหน้าเปลี่ยนไป แม้ไม่ต้องใช้สายตาของผู้เยี่ยมยุทธ์ก็มองออกได้ว่ามันฝาดแดงไปถึงหู “ไหนบอกข้ามาซิว่าข้าช่วยเจ้าเพราะอะไร?”
“เพราะขะ—ข้าทำให้ท่าน—!”
“หากครั้งต่อไปเจ้าทำมากกว่านั้น—” ควบเหนือเต้าอึ๋มเอ่ยแทรกขึ้นมาพลางสอดส่ายสายตามองรอบตัว เขาขยับกายเหมือนจะลุกขึ้น “—เจ้าอาจจะมีงานการที่ดีทำ”
“มากกว่านั้น?”
“ปากไงเจ้าหนุ่ม! ใช้ปากของเจ้ากับข้า” ควบเหนือเต้าอึ๋มพูดและยิ้มกริ่มเมื่อลอบมองใบหน้าตะลึงงันของหลิวลู่ “มาหาข้าซิ แล้วข้าจะสอนเจ้า!”
หลิวลู่ส่งกระบี่คืนให้กับหว่างขาตั้งง้ำเมื่อกลับเข้ามาในห้องใต้ดินอับสลัว
“เจ้าพอจะทำทางออกได้ใช่หรือไม่?!” หว่างขาตั้งง้ำเอ่ยถามพลางพลิกดูกระบี่ราคาถูกในมือ “ข้าต้องจัดการกับนักสู้รอบต่อไปคงจะพาเจ้าออกไปไม่ได้”
“ข้าขึ้นไปข้างบนได้แน่ ไม่ต้องห่วง”
หว่างขาตั้งง้ำไม่ได้ตอบอะไร เขาทะยานออกจากห้องอับและเหวี่ยงกระบี่ราคาถูกกลับไปที่ตั่งเล็กที่วางชิดผนังและชี้ไปที่บันได
“หากระบี่มาเป็นของตัวเองซะ รอบต่อไปเจ้าจะไม่มีสิทธิ์เลือกอาวุธเหมือนครั้งนี้แน่”
ลานประลองยังคงคราคร่ำไปด้วยผู้คน เพียงแต่ยามนี้คนพวกนั้นกระจายตัวออกไปโดยรอบ บ้างก็จับกลุ่มสนทนา บ้างก็เดินมุ่งไปทางย่านร้านค้า หลิวลู่เดาว่าเป็นช่วงพักก่อนจะประลองคู่ต่อไป
หลิวลู่เดินตามทางที่มู่งสู่สำนักงานของลานประลอง มันคือสถานที่สำหรับขึ้นรางวัลที่หลิวลู่เคยมาเมื่อช่วงเที่ยง ชายอาวุโสผู้มีใบหน้านิ่งยังคงยืนดีดลูกคิดอยู่ฟลังตาข่ายเหล็กเช่นเดิม ชายผู้นั้นเงยหน้ามอง
“เจ้าอีกแล้วเรอะ?” ชายอาวุโสผมและเคราขาวโพลนเอ่ยทัก ฝ่ามือใหญ่ถูกยกขึ้นส่ายพร้อมถ้อยคำที่ฟังดูคล้ายพึงพอใจ “นานมากแล้วที่ไม่ได้จัดอันดับนักสู้ไร้อันดับเช่นเจ้า”
ผู้อาวุโสเดินไปที่ผนังด้านหลังและยืนมองแผ่นป้ายไม้ขนาดเล็กที่ห้อยเรียงรายหลายสิบอัน แต่ละอันต่างมีตัวอักษรที่หลิวลู่อ่านไม่ได้เขียนอยู่ เขาดึงแผ่นไม้นั้นจนเกิดเป็นช่องโหว่ขึ้นบนผนังก่อนจะล้วงมือเข้าไปและหยิบถุงผ้าขนาดเล็กสองใบออกมา
“ยินดีด้วยนะ เจ้าหนุ่มก้าน นักสู้อันดับสามสิบ” ผู้อาวุโสกล่าวและยื่นถุงออกมาจากรั้วตาข่ายเหล็ก “ในถุงดำคือเงินรางวัลสองร้อยอีแปะ อีกถุงนั้นข้าไม่รู้ เจ้าต้องดูเอาเอง”
“สองร้อยอีแปะ!” หลิวลู่ตะลึงในขณะยกถุงรางวัลขึ้นจากมือผู้อาวุโส ถุงรางวัลนี้มีค่าเท่ากับเงินค่าจ้างแบกหามสินค้าจากเรือยี่สิบลำเลยทีเดียว “ขอบคุณท่านผู้อาวุโส”
หลิวลู่ทะยานออกจากกระโจมและหาทางออกจากลานประลองและไปพบจับโปกควงที่โต๊ะลงชื่ออีกครั้ง
บุรุษเครารกจับโปกควงแทบจะสลัดใบหน้าขึงขังของตนออกทันทีที่ได้ยินว่าน้องชายของสหายนำชัยชนะติดมากับตัวพร้อมรั้งอันดับที่สามสิบออกมาด้วย
“อย่างนี้ต้องฉลอง!” จับโปกควงโพล่งออกมาพร้อมถูมือ แต่หลิวลู่กลับรั้งฝ่ามือขวาของจับโปกควงมาและยัดถุงเงินลงไป “หือ?”
“ท่านอาจับเอาเงินนี่ไปนะ ข้าฝากท่านหายาที่ดีที่สุดให้ท่านพี่ด้วย” หลิวลู่วางถุงเงินที่มีเหรียญบรรจุอยู่หนึ่งร้อยอีแปะลงในมือของอาจารย์ฝีเท้าไว “ข้ามีธุระจะไปที่หอนางเกี้ยวก่อน”
“อ้อ!” จับโปกควงโพล่งออกมาพร้อมพยักหน้า ใบหน้าของบุรุษผู้เป็นสหายของพี่ชายกลับมาขึงขังอีกครั้ง “ไว้ใจข้าได้ พี่ชายเจ้าจะต้องได้ยาที่ดีที่สุดของเมืองแน่นอน”
“ฝากบอกท่านพี่ด้วยว่าข้าอาจจะกลับช้า”
หลิวลู่ก้าวเท้าไปบนถนนหินที่มุ่งสู่หอนางเกี้ยว สองข้างทางของย่านร้านค้าเต็มไปด้วยเสียงเซ็งแซ่และชีวิตชีวา บ้านเรือนที่ดูแข็งแรงและสวยงาม กลิ่นอาหารและขนมลอยตลบ ผู้คนต่างดูสดใสและสะอาดสะอ้าน มันต่างจากหมู่บ้านกรรมกรราวกับโลกและสวรรค์
ยิ่งเป็นหอนางเกี้ยวที่ตั้งอยู่ตรงสามแยกที่มุ่งสู่ท่าเรือด้วยแล้ว มันยิ่งเห็นได้ชัดถึงความแตกต่าง
หอไม้ทรงเหลี่ยมสีขาวหม่นสองหอตั้งสูงเทียมยอดไผ่ ทั้งสองหอมีสะพานเชื่อมต่อถึงกันทั้งหมดหกชั้น ทั้งสี่ด้านของหอมีโคมขาวและพู่แดงประดับจนดูคล้ายต้นไม้ที่ออกดอกบานสะพรั่งตลอดปี
หลิวลู่ไม่กล้าแม้แต่จะเหยีบย่างเข้าไป
“มีอะไรรึเจ้าหนุ่ม?” ชายฉกรรจ์ที่ดูอาวุโสว่าแต่มีใบหน้าขาวและเรียบเนียนถามหลิวลู่ แม้หลิวลู่จะเป็นทาสและมอซอแต่เขาก็เอ่ยถามด้วยความสุภาพสมกับเป็นคนของร้านที่เด่นเรื่องการเอาอกเอาใจ
“ข้ามาหาแม่นางก้า—! ขออภัย ข้าหมายถึงแม่นางเมิงน่ะ”
“อ้อ! รอสักครู่”
ชายฉกรรจ์หายเข้าไปในหอนานหลายอึดใจก่อนจะเดินออกมาพร้อมกับสตรีนางหนึ่งที่มีใบหน้านวลขาว ปากสีแดงดั่งชาด ดวงตาถูกระบายด้วยสีที่ขับเน้นดวงตาให้เรียวและยั่วเย้า ใบหน้านางนั้นนิ่งจนกระทั่งเห็นหลิวลู่ มันจึงเปลี่ยนมาเป็นยินดีก่อนจะสลดลง
“พี่หลิวลู่!”
“ใช่ ข้าเอง!”
แม่นางเมิงผละลงจากประตูหอโดยไม่สนใจชายใบหน้าขาวที่ทำท่าทางตื่นตกใจ แต่เขาก็ทำได้เพียงเท่านั้น เพราะแม่นางเมิงเดินลงมาแล้วและกำลังจูงมือของหลิวลู่เดินออกห่างจากหอ
“ซ่อนชู้! เจ้าออกจากหอได้รึ? ขะ—ข้าเข้าใจว่าเจ้า—!”
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ข้ามีเรื่องจะบอก” แม่นางเมิงเอ่ยตัดและลากจูงหลิวลู่ออกมาตามทางที่มุ่งสู่ท่าเรือ “เมื่อคืนนี้ข้าชนะพนันท่านถูด้วยล่ะ!”
“ห๊ะ? เจ้ายังเล่นพนันอยู่อีกเหรอซ่อนชู้? แล้วท่านถูก็เป็นเจ้าของหอ เจ้าไปท้าเล่นกับท่านได้อย่างไร?”
“ไม่ยากเลยพี่หลิวลู่! ท่านถูน่ะ—!” แม่นางเมิงตอบอย่างรวดเร็ว แต่นางก็หยุดไปก่อนที่จะพูดจบและทำหน้าคล้ายกับใคร่ครวญบางอยู่อึดใจก่อนจะเอ่ยต่อ “คือ ท่านถูที่ข้าพูดถึงเขามีนามว่าลำกวย ท่านเป็นพี่ชายของ ถูติ่งแฉะที่เป็นเจ้าของหอ เขาเพิ่งเดินทางมาจากแคว้นเย่อเมื่อสองวันนี่เอง”
“อย่างนั้นรึ? ถูติ่งแฉะมีพี่ชายคือถูลำกวย แล้วเจ้าก็ไปท้าพนันกับถูลำกวยและชนะเขาได้” หลิวลู่เอ่ยทวนความเข้าใจก่อนจะทำหน้านิ่วใส่เมีย “เจ้านี่ช่างรนหาเรื่องยุ่งจริง ถ้าเจ้าแพ้พนันอีก คราวนี้เจ้าจะเอาอะไรไปชดใช้?”
“แหม! แค่พนันถั่ว ท่านก็รู้ว่าข้ามีฝีมือ” แม่นางเมิงบ่นเสียงแผ่วเพราะรู้สึกผิดที่เคยสร้างน่าอับอายเรื่องให้สองพี่น้อง “อีกอย่าง ฝีมือของท่านถูคนพี่ก็เข้าขั้นเลวเลยล่ะ”
“อย่าไปพูดแบบนี้ในหอเด็ดขาด” หลิวลู่เอ่ยปรามและส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ซ่อนชู้เมียสาวยังคงแก่นและขาดสัมมาคารวะอยู่เหมือนเดิม แม้จะถูกจับไปเป็นนางก้นหอนานกว่าครึ่งปีแล้วก็ตาม “แล้วรางวัลจากการแข่งคืออะไร?”
“ข้าได้เงินมาสี่ร้อยอีแปะ! สี่ร้อยอีแปะเชียวนะพี่หลิวลู่ รวมกับที่ข้าเก็บไว้ ตอนนี้ข้ามีทั้งหมดสองตำลึงกับแปดร้อยยี่สิบอีแปะแล้ว” แม่นางเมิงตอบด้วยสีหน้าเบิกบาน “อีกไม่นานข้าก็จะมีครบสามตำลึง”
หลิวลู่เบิกตามองใบหน้าเมียที่งดงามขึ้นและสดใสขึ้นอย่างเทียบไม่ได้กับวันวานที่เคยอยู่ด้วยกัน ความหวังที่จะไถ่นางคืนยังคงอัดสุมอยู่เต็มหัว อีกทั้งเงินที่ถือมาก็อยากจะยื่นให้นางเหลือเกิน แต่มันก็น้อยนิดเมื่อเทียบกับที่นางหาได้ อีกทั้งหากตัดสินใจยื่นให้นางไปทั้งหมด หลิวลู่ก็จะต้องไปรับจ้างแบกหามเพื่อหาค่าข้าวให้กับตนเองและพี่ชายอีก มังกรหนุ่มจึงเลือกที่จะนิ่งเงียบแทน
“ท่านมาหาข้าวันนี้มีเรื่องอะไรหรือ?”
“เอ่อ! ขะ—ข้าคิดว่าจะเข้าประลอง จึงมาถามความเห็นจากเจ้า” หลิวลู่โกหกและผลของการโกหกก็ทำให้มังกรหนุ่มได้รู้เรื่องที่คาดไม่ถึงจากเมียสาวกลับมา
“ข้าสนับสนุน! ท่านมีฝีมืออยู่ในขั้นที่ดี ช้าเชื่อว่าน่าจะชนะ” แม่นางเมิงตอบด้วยเสียงสดใสราวนกน้อย แต่นางลดเสียงลงเมื่อเอ่ยถึงเรื่องที่นางคิดว่าน่าสนุกว่า “แต่ข้าคิดว่าท่านน่าจะลองไปท้าพนันท่านถูดีกว่า ต่อให้พี่หลิวลู่ไม่เก่งพนัน แต่ท่านถูฝีมือเลวกว่าท่านแบบเทียบกันไม่ได้ ท่านชนะแน่นอน ข้าจะหาลู่ทางให้ท่านไปพบเขาเอง”
“ซ่อนชู้! นี่เจ้ายังจะหาเรื่อง—!” หลิวลู่อยากจะตำหนิ แต่เมื่อมองใบหน้าที่กำลังยิ้มอย่างสดใสของเมียแล้ว เขาก็หยุดคำพูดไว้และเผยรอยยิ้มออกมาแทน “แล้วข้าจะบอกเจ้าก็แล้วกัน”
หลิวลู่เดินออกจากย่านร้านค้าหลังจากแยกกับแม่นางเมิง มันเป็นช่วงบ่ายที่แสงแดดร้อนแรงสาดลงมาจนทำให้หลิวลู่กระหาย เขาจึงแวะที่โรงเตี๊ยมเล็กริมทางก่อนจะตัดเข้าสู่ถนนดินที่มุ่งสู่หมู่บ้านกรรมกร
แม้จะเรียกว่าโรงเตี๊ยม แต่มันไม่ได้ใหญ่โต อีกทั้งมันสร้างจากไม่ไผ่ที่มั่นคงแข็งแรงว่ากระท่อมของหลิวลู่เพียงน้อยนิด แต่เพราะหลิวลู่ไม่เคยมีโอกาสได้เข้ามา มันจึงทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเบิกบานขึ้นมาได้
“ท่านลุง ข้าขอชาขาวหนึ่งกา—!” หลิวลู่เอ่ยบอกผู้เฒ่าเจ้าของโรงเตี๊ยม แต่หางตาก็สะดุดกับชายร่างใหญ่ผิวขาวเข้าเสียก่อน หลิวลู่จึงปรี่เข้าไปหาด้วยความยินดี “ท่านอาควบ! ท่านอยู่ที่นี่เอง วันนี้ข้าได้ลง—!”
ควบเหนือเต้าอึ๋มยกใบฝ่ามือสะอาดสะอ้านขึ้นปรามก่อนจะยกสายตาขึ้นมองหลิวลู่ ดวงตาสีเข้มเรียวยาวของควบเหนือเต้าอึ๋มจ้องหลิวลู่อย่างดุดัน
“มีอะไรก็ค่อยๆ พูด อย่าโพล่งออกมาเหมือนกับพวกไม่รู้จักกาละเทศะ นั่งซิ!” ควบเหนือเต้าอึ๋มเอ่ยและลดมือลงเชื้อเชิญหลิวลู่ หลังจากนั้นก็หันไปหาผู้เฒ่าที่ยืนรอ “ลุงม่อ ขอชาขาวให้เจ้าหนุ่มหนึ่งกา”
“ข้าขออภัย” หลิวลู่เอ่ยพร้อมกับลดกายลงนั่ง หลังจากนั้นเขาก็เอ่ยด้วยสุ้มเสียงที่เบาลง “ข้าอดดีใจไม่ได้ที่พบท่าน”
“ดีใจเพราะเหตุใด?” ควบเหนือเต้าอึ๋มแสร้งถาม ทั้งที่ในใจก็รู้อยู่ว่าหลิวลู่ต้องการจะสื่ออะไร
“ท่านช่วยให้ข้าได้ลงประลอง ท่านทำตามที่ท่านได้สัญญาเมื่อเช้า!”
“เมื่อเช้า? เราได้เจอกันรึ? ข้าไม่เห็นจะจำได้!”
ควบเหนือเต้าอึ๋มตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ใบหน้าสะอาดนิ่งขรึม แม้แต่เรียวหนวดยาวเหนือริมฝีปากก็ไม่ขยับ เขาแสร้งทำเช่นนั้นเพราะผู้เฒ่าม่อถือกาเดินเข้ามาใกล้ มันคงไม่ดีแน่หากผู้อื่นได้ยินเรื่องเมื่อเช้านี้ แต่ดูเหมือนหลิวลู่จะไม่ทันสังเกต เพราะเขายังคงพยายามชี้แจง ใบหน้าจริงจังที่ขยับเข้าใกล้อย่างไม่รู้ตัวของเจ้าหนุ่มก้านทำให้ควบเหนือเต้าอึ๋มรู้สึกสำราญ
“เมื่อเช้าตรู่นั่นไงท่านอา! ท่านไปอาบน้ำและข้าก็ตื่นมาพบท่าน” หลิวลู่กระดกชาเข้าปากและเอ่ยเล่าด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่าบอกว่าท่านจะช่วยให้ข้าได้ลงประลอง”
“ทำไมข้าต้องช่วยเจ้าล่ะ เจ้าหนุ่มก้าน?” ควบเหนือเต้าอึ๋มถามและเผยรอยยิ้มสำราญใจออกมาเมื่อพบว่าชายหนุ่มสีหน้าเปลี่ยนไป แม้ไม่ต้องใช้สายตาของผู้เยี่ยมยุทธ์ก็มองออกได้ว่ามันฝาดแดงไปถึงหู “ไหนบอกข้ามาซิว่าข้าช่วยเจ้าเพราะอะไร?”
“เพราะขะ—ข้าทำให้ท่าน—!”
“หากครั้งต่อไปเจ้าทำมากกว่านั้น—” ควบเหนือเต้าอึ๋มเอ่ยแทรกขึ้นมาพลางสอดส่ายสายตามองรอบตัว เขาขยับกายเหมือนจะลุกขึ้น “—เจ้าอาจจะมีงานการที่ดีทำ”
“มากกว่านั้น?”
“ปากไงเจ้าหนุ่ม! ใช้ปากของเจ้ากับข้า” ควบเหนือเต้าอึ๋มพูดและยิ้มกริ่มเมื่อลอบมองใบหน้าตะลึงงันของหลิวลู่ “มาหาข้าซิ แล้วข้าจะสอนเจ้า!”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ