DARKSTORY เรื่องนี้มีแต่คนโฉด

-

เขียนโดย หัวใจวาย

วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 เวลา 17.12 น.

  11 ตอน
  3 วิจารณ์
  10.07K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 17.14 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) ก่อนการประลอง-สองพี่น้องแซ่ก้าน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
รัชสมัยของฉี่เหม็นเฉ่าดำเนินมาถึงปีที่สิบเก้าก็พบหายนะ
โอรสสวรรค์ฉี่เหม็นเฉ่าขึ้นครองบัลลังก์ต่อจากพระบิดาเมื่อพระชนมายุได้เพียง 31 พรรษาหลังจากนำทัพไล่ปราบกบฏโคร่งแดงลายไม้ลงได้ ความพยายามกว่าเจ็ดปีของโอรสสวรรค์ผู้นั้นทำให้พระราชาองค์เก่าชื่นชม ประชาชนต่างเชื่อถือและศรัทธา แต่บัลลังก์ของฉี่เหม็นเฉ่าก็เรืองรองอยู่ได้ไม่กี่ปี เพราะพระองค์นิยมงานหัตถศิลป์จนหลงลืมการดูแลไพร่ฟ้า แต่นั่นหาใช่ความผิดของพระองค์ไม่ เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะพระองค์ถูกสิบแปดขันทีปิดพระเนตรพระกรรณเอาไว้อย่างมิดชิด
เพียงปีที่ห้าของการครองราชย์ ความขัดสน ปัญหาข้าวยากหมากแพงเริ่มกระจายเป็นวงกว้าง อีกทั้งชาวต่างชาติยังโล้สำเภาขึ้นแผ่นดินมาทำการค้าขายอีกเล่า ปัจจัยเล็กจ้อยอีกหลายอย่างล้วนทำให้เศรษฐกิจเกิดช่องโหว่
ในปีที่เก้าของราชวงศ์ฉี่ ประชาชนส่วนใหญ่ที่ยากไร้ก็ผันตัวเองเป็นทาสและต่อยอดมาเป็นหมู่บ้านสำหรับทาสแยกเป็นเอกเทศ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่เกิดภายในหมู่บ้านนี้จะถูกตราว่าเป็นทาสอย่างเลี่ยงไม่ได้ หนำซ้ำหมู่บ้านทาสยังมีอีกหลายสิบกระจายอยู่ในเจ็ดแคว้นหลักของแผ่นดิน ความรุ่งเรืองของบ้านเมืองจึงชะงักถึงขีดสุดในปีที่สิบเก้า
 
หมู่บ้านกรรมกรที่ห้าตั้งอยู่ในหมู่บ้านทาสของแคว้นหาว หมู่บ้านทาสหาวแห่งนี้มีอาณาเขตติดกับย่านการค้าทางทะเล คนในหมู่บ้านทาสจึงยึดอาชีพกรรมกรก่อสร้างเป็นหลัก ส่วนน้อยเลือกที่จะเป็นกรรมกรแบกหามที่ค่าตอบแทนน้อยแต่มีงานให้ทำถี่กว่า
ยามว่างจากงาน คนในหมู่บ้านจะหาความรื่นเริงด้วยวิธีที่เรียบง่าย เช่น ตั้งวงสนทนา ดื่มกิน ร้องรำหรือไม่ก็พักผ่อน แต่ไม่นับตระกูลก้านที่มี ก้านไผ่โล้ เป็นหัวตระกูล บุรุษผู้นี้มักจะฉวยโอกาสยามว่างฝึกปรือวิชาให้ก้านหลิวลู่ไหว ผู้เป็นน้องชายอยู่เสมอ
 
“หยิบกระบี่ของเจ้าขึ้นมา หลิวลู่!”
เสียงดุดันและกังวาลถูกเปล่งออกมาจากปากงุ้มใต้หนวดและเคราสีดำยาวของก้านไผ่โล้ บุรุษร่างสูงผิวคล้ำ เขายืนนิ่งท่ามกลางแสงแดดย่ามบ่ายพลางชี้ปลายกระบี่ลงมาที่ชายหนุ่มที่หมอบคู้อยู่กับพื้นทรายแห้งแล้งและร้อนระอุ สายลมร้อนวูบแล้ววูบเล่ากระพือโหมผ่านร่างของเขาที่สวมเพียงกางเกงผ้าเนื้อเลวและเก่ามอซอ มันแนบลู่ไปกับขาที่ใหญ่และเต็มไปด้วยมัดกล้าม ทุกอย่างของบุรุษเพศที่ซ่อนอยู่ใต้เนื้อผ้าถูกขับเน้นชัดทุกอณู
“กระบี่ของเจ้าตวัดได้ไวกว่านี้ เจ้าใช้ท่าหกได้ เชื่อช้า!”
“ขะ-ข้าทำไม่ได้!” เด็กหนุ่มที่หมอบคู้ยกใบหน้าขึ้นปฏิเสธเสียงแผ่วพลางกำมือซ้ายแน่น
“เจ้าเด็กอวดดีที่มาบอกข้าว่าอยากจะเข้าประลองหายไปไหนเสียแล้ว!?” บุรุษเคราดำตวาดลั่น “นึกถึง เมิงซ่อนชู้ เมียของเจ้าเอาไว้และหยิบกระบี่ไม้ขึ้นมา!”
ก้านหลิวลู่ไหวมังกรหนุ่มตระกูลก้านพยุงร่างที่เปียกชุ่มขึ้น รอยฟกช้ำปรากฏอยู่บนหน้าอกและหน้าท้องของร่างกำยำสมวัย มังกรหนุ่มปรายตามองกระบี่ไม้ยาวหนึ่งศอกที่วางอยู่ตรงปรายเท้าด้วยสายตานิ่ง แต่เพียงอึดใจเดียวเขาก็ใช้เท้าเปล่าเปลือยตวัดมันลอยสูงขึ้นบนอากาศ ดวงตาของมังกรหนุ่มจับจ้องพี่ชายผู้มีร่างกายของผู้ใช้แรงงานมาอย่างโชกโชน บุรุษเคราดำผู้นั้นดำยืนตระหง่านไม่สะทกสะท้านอยู่ในสายลมร้อนห่างออกไปราวสิบศอก
กระบี่ยังไม่ทันตกลงสู่มือ หลิวลู่ก็ตวาดลั่นออกมา
“รับมือ ท่านพี่!”
 
ก้านไผ่โล้ บุรุษผู้เป็นหัวตระกูลก้าน เขาเกิดและโตที่หมู่บ้านนี้ เขาไม่เคยบอกกับใครว่าเขาเคยเรียนเพลงกระบี่ เพราะอาจารย์เฒ่าผู้ที่ประสิทธ์วิชาให้สั่งห้ามเอาไว้ อีกทั้งผู้เฒ่าเองก็ไร้นาม แม้ไผ่โล้จะอวดอ้างไปก็คงไม่มีใครยกย่อง เขาจึงเก็บเงียบมาตลอด
ไผ่โล้มีปัญหากับการฝึกวิชากระบี่เพราะไม่ว่องไวพอจึงฝึกไม่สำเร็จ แต่เขากลับท่องจำมันอยู่เสมอ จนกระทั่ง ก้านหลิวลู่ไหวเริ่มท่องตามด้วยความไร้เดียวสา เขาจึงลองให้น้องชายฝึก หลิวลู่สามารถฝึกได้จนจบทุกกระบวนท่าตั้งแต่ยังเป็นเพียงมังกรน้อย เพียงแต่ลีลากระบี่ของหลิวลู่ยังไม่คมและแม่นยำพอ ไผ่โล้จึงทุ่มฝึกให้เรื่อยมา แต่เด็กหนุ่มดูไม่สนใจใยดีกับมันเท่าใด เพราะสุดท้ายหลิวลู่ก็ต้องมาเป็นกรรมกรเหมือนอย่างตน
แต่ไผ่โล้รู้ดีว่า พยัคฆ์อย่างไรก็ต้องเป็นใหญ่ในป่า เฉกเช่นมังกรที่จะโผทะยานสู่ท้องฟ้าให้ผู้คนยกย่อง
ไผ่โล้หยุดใคร่ครวญและตวัดปลายกระบี่ขึ้น เขาเตรียมรับการโจมตีจากน้องชายอีกหน แต่มันสายไปเสียแล้ว ปลายกระบี่ของไผ่โล้ยังมิทันได้ยกขึ้นมาที่ระดับเอวเลยตอนที่เกิดเสียงกระบี่ตวัดอากาศแล่นผ่านหูของไผ่โล้ไปด้านหลัง
เสียงกระบี่ทั้งหกร้อยเรียงในอากาศพร้อมความรู้สึกเจ็บแปลบบนร่างกายหกจุด
“หกภูติตวัดกระบี่!” ไผ่โล้กระอักพลางใช้กระบี่ไม้ค้ำพยุงร่าง เขาวาดมือซ้ายที่สั่นระรัวไปคว้าจับกางเกงผ้าที่ถูกตวัดจนเชือกขาดสะบั้นไว้ก่อนที่มันจะหลุดลงพื้น บุรุษเคราดำลอบมองร่างกายที่มีปื้นสีแดงยาวพาดผ่าน สองรอยบนบ่า สะโพกขวาและข้อมือซ้ายอย่างละหนึ่งรอย สองรอยสุดท้ายปรากฏเหนือตาตุ่มด้านนอกของขาทั้งสอง น้องชายทำสำเร็จ แต่เขากลับถอนหายใจลึกและตวาดลั่น “เจ้าพลาด! กระบี่ที่สามของเจ้าฟันลงที่มือซ้ายของข้าแทนที่จะเป็นสะโพก!”
“ก็ท่านพี่ยกแขนซ้ายขึ้นช้า” หลิวลู่เอ่ยตอบในขณะเหน็บกระบี่ไม้ไว้กับเชือกคาดเอว เด็กหนุ่มซวนเซกลับมาดึงกางเกงผ้าของพี่ชายที่กระพือสะบัดในสายลมและจับเป็นปมขมวดใต้สะดือจนแน่น “ข้าเล็งจุดวางกระบี่ดีแล้ว แต่ท่านทำท่าร่างช้าไป”
“ก็ถูก! แต่เจ้าต้องคาดการณ์ให้ลึกซึ้งมากกว่านี้ ในลานประลองทาสไม่ใช้กระบี่ไม้ ถ้าหากเจ้าประมาทวางกระบี่ผิดตำแหน่ง ศัตรูก็จะจู่โจมกลับและเจ้าอาจตายได้ทันที!” บุรุษเคราดำเอ่ย “อย่าทำให้เมียเจ้าต้องเป็นหม้ายด้วยความประมาทของเจ้า”
“ข้าจะจำไว้”
“ร่างกายของเจ้าอ่อนพลิ้วแต่ก็อ่อนแอนัก อย่าพลั้งให้ถูกโจมตีจะดีที่สุด”
“ข้าเข้าใจแล้ว เรากลับกันเถอะ” หลิวลู่ตอบและประคองพี่ชายเดินลงจากเนินทรายร้อน จุดหมายคือหมู่บ้านที่เกิดจากการรวมตัวของกระท่อมไม้โกโรโกโสหลายสิบหลัง
 
ไผ่โล้ปลดปมผ้าที่ขมวดอยู่ใต้สะดือและทิ้งกายลงนั่งแคร่ไม้ไผ่พลางคว้าลูกประคบมากดบาดแผลช้ำแดงที่สะโพกในความเงียบงันของยามค่ำ แต่อึดใจเดียวมันก็ถูกทำลายลงด้วยเรียกขาน
“พี่ก้าน พี่ก้านอยู่หรือเปล่า?”
“อยู่ เข้ามาซิ”
ชายหนุ่มวัยเดียวกับไผ่โล้เปิดประตูและกระโจนเข้ามาในกระท่อม เขาปิดประตูตามหลังอย่างแรงจนทำให้กระท่อมโยกไหวและพาให้ตะเกียงบนเสาส่ายตาม แสงและเงาส่ายวูบไหวไปมาจนไผ่โล้ต้องยื่นไม้ฟืนไปค้ำตะเกียงเอาไว้
ใบหน้าที่ดูขึงขังของผู้เป็นแขกเปลี่ยนเป็นสงสัยเมื่อเห็นไผ่โล้กำลังรักษาตนเองอยู่ข้างหม้อยาบนเตาฟืน เขาจึงกุลีกุจอเข้าไปยกฝาหม้อดินขึ้นและตรวจดูน้ำที่ใกล้เดือด
“เจ้าหลิวลู่ไปซื้อยานานเกินไปแล้วนะ” ชายหนุ่มผู้เป็นแขกบ่น แผ่นหลังสีเข้มและเปรอะเปื้อนโน้มอยู่เหนือเตากรุ่น “รอยบนร่างท่านเป็นฝีมือของเจ้าหลิวลู่รึ?”
“ใช่ แค่ท่าหก!”
“แค่ท่าหก? เจ้านั่นมีผีมือขนาดนี้เลยหรือนี่?” ชายผู้เป็นแขกหันใบหน้าที่มีเครารกมาเอ่ยอย่างตื่นตะลึง “ถ้าเช่นนั้น พี่ก้านก็ควรให้เจ้านั่นเข้าประลองได้แล้ว เจ้าหลิวลู่ชนะการประลองแน่ แล้วพี่ก้านก็จะมีเงินทองรักษาตัว”
“เจ้างั่ง!” ไผ่โล้ยกขาขึ้นถีบตูดของแขกจนชายผู้นั้นเซคะมำไปข้างหน้า หากไม่ใช่เพราะเขาก้าวสลับขาอย่างรวดเร็วแล้วล่ะก็ เขาคงล้มลงทับฝากระท่อมเป็นแน่ “ข้าจะมีหน้าไปเอาเงินของน้องชายตนเองได้อย่างไร! เงินของมัน มันก็ต้องเก็บไปไถ่เมียซิวะ!”
“อา ใช่! ข้าลืมไป” แขกผู้มีใบหน้าขึงขังเกาหัวและเคลื่อนกายมาหน้าเตาอีกครั้ง เขาทิ้งตัวลงนั่งยองและมองไผ่โล้ที่นั่งเปลือยกายท่อนบนตรงหน้า “แต่เจ้านั่นจะเลือกเมียจริงๆ รึ?”
“ข้าสั่ง อย่างไรเจ้านั่นก็ต้องทำ”
“แต่ข้าว่า-!”
“อ้าว! ท่านอาจับนี่เอง ข้าก็สงสัยอยู่ว่าท่านพี่คุยกับใคร” หลิวลู่โผล่เข้ามาในกระท่อมพร้อมตลับยาและเอ่ยทักแขกผู้เป็นทั้งสหายของพี่ชายและอาจารย์ของตน “ท่านอาจับมาเยี่ยมท่านพี่รึ?”
“ไม่ใช่ ข้ากำลังหว่านล้อมพี่ของเจ้าอยู่ต่างหาก แต่พี่ของเจ้าก็ยังดื้อดึงไม่เข้าเรื่อง” จับโปกควงบ่นแต่มือก็หยิบจับสมุนไพรแห้งโยนลงในหม้อ บุรุษใบหน้ารกคล้ำหันไปใช้ฝ่ามือตีลงบนเข่าเของไผ่โล้เสียงดังก่อนจะเอ่ยถาม “ตัดสินใจซะพี่ก้าน เวลาไม่คอยท่านะ”
“ก็ได้” ไผ่โล้ตอบและถอนหายใจหนัก “เจ้าพาหลิวลู่ไปลงชื่อก็ได้ ข้าอนุญาต”
“รับบัญชา!” โปกควงเอ่ยรับอย่างสำราญใจก่อนจะลุกขึ้น “ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวนะ ข้าจะไปจัดการเรื่องของข้าล่ะ หลิวลู่ พรุ่งนี้ข้าจะมารับ อย่าตื่นสายเด็ดขาด”
 
เมื่อจับโปกควงจากไป หลิวลู่ก็เดินมาทิ้งกายตรงหน้าเตาแทน ชายหนุ่มรวมผมสั้นไว้เป็นกระจุกกลางหัวและมัดอย่างลวกๆ ในขณะเคี่ยวสมุนไพรไปด้วย ไผ่โล้เห็นดังนั้นจึงส่งมือไปรั้งไหล่ของน้องชายเข้าหา
หลิวลู่ขยับเข้าไปนั่งอยู่ตรงหว่างขากว้างของไผ่โล้และปล่อยให้พี่ชายจัดการกับผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงของตนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปาก
“แผลของท่านเป็นอย่างไรบ้าง? ข้าทำท่านบาดเจ็บอีกหรือเปล่า?”
“ก็แค่กระบี่ไม้ มันไม่เรียกว่าบาดแผลหรอก รอให้เจ้าใช้กระบี่จริงเสียก่อนค่อยหวนมาถามอาการข้า” ไผ่โล้ตอบด้วยเสียงเรียบ ดวงตาจับจ้องเส้นผมยุ่งเหยิงในมือหยาบกร้าน “แต่มันก็ถือว่าดีทีเดียวสำหรับกรรมกรอย่างเจ้า”
“ข้ารู้ เพราะมันคือเพลงกระบี่ที่ข้าได้รับถ่ายทอดมาจากก้านไผ่โล้ผู้เยี่ยมยุทธ์นี่” หลิวลู่ตอบและผละออกจากหว่างขาของไผ่โล้ไปยกหม้อดินออกจากเตา เขารินมันลงในถ้วยดินเผาและทิ้งไว้ หลิวลู่คว้าลูกประคบและตลับยาทรงแบนขึ้นมาถือก่อนจะก้าวเข้าหาร่างเกือบเปลือยของไผ่โล้ “ขอข้าดูรอยพวกนั้นหน่อย”
“ไม่จำเป็นต้องใช้ยาเยอะ สงวนมันไว้วันอื่นด้วย”
ไผ่โล้เอ่ยกำชับพลางยืดตัวขึ้นตรง เขารอให้น้องชายมาตรวจดูรอยปื้นแดงที่บ่า แต่น้องชายกลับทิ้งตัวลงข้างแคร่ไม้ไผ่แทน ใบหน้าของหลิวลู่ยื่นเข้าใกล้สะโพกพลางกดลูกประคบและคลึงเคล้นอย่างตั้งใจ สองมือของน้องชายลูบสัมผัสตรงสะโพกหนาอย่างปราณีต แผ่วเบา เมื่อรวมกับเนื้อยาเย็นผิว มันทำให้ไผ่โล้รู้สึกผ่อนคลาย แต่เพียงไม่นานน้องชายก็ซบใบหน้าลงที่สะโพกพร้อมกับวาดแขนโอบรอบเอวของไผ่โล้พลางสะอื้น
“ข้าไม่เป็นไรหลิวลู่ ข้ายังแข็งแรงดี” ไผ้โล้เอ่ยด้วยเสียงเบาพร้อมกับวางมือหยาบกร้านลงบนหัวของน้องชายและหวังในใจว่าน้องชายจะเชื่อในคำโกหกของตน
 
error loaded

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา