เมียนอกสายตา

-

เขียนโดย Natthaphan

วันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 เวลา 22.55 น.

  25 ตอน
  3 วิจารณ์
  22.16K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 23.00 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) โรคจิต

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ช่อดอกลิลลี่สีขาวที่วางอยู่บนเบาะทำเอาหญิงสาวแสดงสีหน้าเหยเกทันทีก่อนจะจามออกมาเป็นระลอกๆ รู้สึกหายใจติดๆ ขัดๆ

“เอ่อ...พี่คะ ดอกไม้พี่หรือคะ?”

“เปล่าหรอก ดอกไม้แพงขนาดนั้นพี่จะซื้อไปทำไม ซื้อของกินไม่อิ่มกว่ารึไง ของลูกค้าเขาลืมไว้น่ะ” ร่ายยาวเป็นหางว่าวก่อนจะหมุนพวงมาลัยรถวิ่งไปตามเส้นทาง

“งั้นพี่ช่วยทิ้งได้มั้ยคะ หนูแพ้เกสรดอกลิลลี่น่ะค่ะ”

ว่าจบพี่แท็กซี่ก็จอดเทียบเข้าข้างทางทันทีก่อนที่หญิงสาวจะจับศัตรูตัวร้ายโยนทิ้งถังขยะไป แม้มันจะสวยแค่ไหนก็ไม่อยากเข้าใกล้ แค่เดินเฉียดก็เกินพอสำหรับเธอ หลังจากที่กลับมานั่งที่เดิมริมฝีปากบางก็ยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงเรื่องราวที่มีดอกไม้เป็นเหตุ เหตุการณ์ที่เกิดเมื่อนานมาแล้ว

ในค่ำคืนที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยแสงระยิบระยับของหมู่ดาวนับล้าน ร่างบางนั่งห้อยขาอยู่ริมระเบียงทอดมองผืนฟ้าสีดำด้วยแววตาล่องลอย ก่อนที่ดวงตาแสนเย็นชาคู่หนึ่งของใครบางคนจะผุดขึ้นมาในโสตประสาท พลอยให้หัวใจบางๆ กระตุกวาบ คิดถึงรอยยิ้มแล้วแววตาที่อบอุ่นในเมื่อก่อน

‘ผู้หญิงดีๆ เขาไม่อยากได้แฟนคนอื่นหรอกนะ ผู้หญิงอะไรอยากได้ผัวจนตัวสั่น’

ประโยคที่เธอไม่เคยลืม มันหลอกหลอนเธออยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นประโยคแรกที่เขาพูดกับเธอหลังจากวันนัดดูตัว ทุกครั้งที่เจอเขาประโยคนี้มันจะดังขึ้นและชัดเจนกว่าเดิม น้ำใสๆ เริ่มเอ่อล้นที่ขอบตา รู้สึกร้อนผ่าวๆ ไม่เข้าใจในความรู้สึกของตัวเองว่ามันเป็นอะไร เพียงเสี้ยววินาทีของความคิดน้ำตาเจ้ากรรมก็หยดเผาะลงบนต้นขาเรียว เธอยกมือขึ้นปาดน้ำตาให้เหือดแห้งไปเร็วๆ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด

“แค่นี้เอง สู้ดิวะ ไอ้ฟ้า!” ให้กำลังใจตัวเองทั้งๆ ที่แทบจะไม่มีแรงไว้คิดอะไรเลยในเวลานี้ เหนื่อยเต็มทน

เหนื่อยใจยังพอทนเหนื่อยกับคนนี้สิเรื่องใหญ่

 

เช้าวันใหม่กับความรู้สึกเดิมๆ ดวงตาคู่สวยเหล่มองชายคนหนึ่งที่เดินผ่าน หากเป็นคนปกติทั่วไปเธอคงไม่ใส่ใจทว่าเพราะสายตาของเขาคนนั้นมันมองเล้าโลมเธอจนน่าเกลียด หญิงสาวจึงเรียกที่จะสาวเท้าเดินให้เร็วที่สุดเพื่อเข้าไปบริเวณบริษัทอย่างน้อยก็ยังมีลุงยามอยู่ทั้งคน

ฑิฆัมพรเดินไปนั่งยังเก้าอี้ของตนก่อนจะลุกขึ้นยกมือสวัสดีทักทายผู้บริหารอย่างเช่นทุกๆ วัน ดวงตาคมไม่แม้แต่ชายตามองเลขาฝึกหัด เขาเดินจากไปราวกับว่าเธอเป็นเพียงเศษฝุ่นที่ลอยอยู่บนอากาศ ทั้งๆ ที่กับคนอื่นเขานั้นรับไหว้และยิ้มแย้มให้ปกติ

มือบางยกขึ้นกุมขมับตัวเองเมื่อรู้สึกปวดหนึบๆ สงสัยเมื่อคืนคงนั่งตากน้ำค้างนานเกินไปบวกกับอาการแพ้เกสรดอกไม้เลยส่งผลให้ตอนนี้ท้องไส้ปั่นป่วนไปหมด อาหารที่ทานมาเพียงเล็กน้อยวิ่งพล่านไปทั่วกระเพาะคลายว่ามันจะกลับออกมาทางเดิม

“พี่รีคะ ฟ้าไปเข้าห้องน้ำนะคะ”

“จ๊ะๆ” หันไปบอกรุ่นพี่ก่อนจะเดินไปอีกทาง

ไม่ถึงห้านาทีหญิงสาวก็กลับมาที่เก้าอี้ของตัวเอง แต่ก็ต้องยืนค้างกลางอากาศเมื่อเห็นกองแฟ้มมากมายวางอยู่บนโต๊ะซึ่งก่อนไปมันมีเพียงแค่สองสามเล่มเท่านั้น ถัดไปข้างๆ ก็เป็นนารีรัตน์ที่นั่งยิ้มเจื่อนส่งมาให้เธอ พี่เลี้ยงสาวเหล่ตาไปยังหน้าประตูของผู้บริหารบอกเป็นนัยว่าคนนั้นคือคนสั่ง

แววตาแสนเย็นชาและเยือกเย็นทอดมองมาที่เธอก่อนจะหันไปทางอื่น เธอรู้ทันทีว่ากำลังโดนแกล้ง แค่นี้คิดว่าคนอย่างฑิฆัมพรจะกลัวหรือ คิดผิดแล้วแหละ เธอเริ่มนั่งลงจัดการงานที่ได้รับมอบหมายโดยมีนารีรัตน์เป็นที่ปรึกษาแต่ไม่มีสิทธิ์ช่วยทำ เพราะเป็นคำประกาศิตของคนใหญ่คนโตในบริษัท

 

ตะวันเริ่มลับขอบฟ้า ฝูงนกกาเริ่มโบยบินกลับรัง แต่เพราะคำสั่งและอยากเอาชนะทำให้หญิงสาวไม่ยอมวางมือจากงานสักที แม้พนักงานจะเริ่มทยอยกลับกันเกือบหมด ดวงตากลมโตยังคงจ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์อ่านบทความในนั้นด้วยท่าทางจริงจังจนพี่เลี้ยงฝึกงานต้องสะกิดแขนเธอเบาๆ เพื่อบอกให้กลับได้แล้ว แต่เธอก็ยังดื้อดึงไม่ยอมกลับ

“พี่รีกลับก่อนเลยค่ะ อีกนิดเดียวก็เสร็จแล้ว เดี๋ยวฟ้าก็กลับค่ะ”

“เอางั้นหรือจ๊ะ ถ้าพี่ไม่ติดว่ามีธุระต่อ ก็จะนั่งเป็นเพื่อนอยู่หรอก”

นารีรัตน์ยกมือขึ้นโบกลารุ่นน้องก่อนจะเดินออกไปแม้จะนึกเป็นห่วงหญิงสาวไม่น้อยที่ต้องกลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ ทั้งๆ ที่เป็นเพียงนักศึกษาฝึกงาน ส่วนคนสั่งการก็กลับไปตั้งแต่สี่โมงครึ่งซึ่งเป็นเวลาเลิกงานพอดี ตัวเองกลับได้แต่กลับใช้อำนาจกักขังคนอื่นไม่ให้กลับ

ตึกๆๆๆ

หญิงสาวเงยหน้าจากจอก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆ มีเพียงความมืดที่อยู่เป็นเพื่อน สว่างที่สุดในตอนนี้ก็คงเป็นแสงจากจอคอมพิวเตอร์ล่ะมั้ง เสียงฝีเท้าของใครบางคนกระทบกับพื้นเป็นจังหวะ ชวนให้รู้สึกหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย เธอกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ ก่อนจะเปิดแฟลชโทรศัพท์ส่องดูรอบๆ ว่ามีใครอยู่นอกจากเธอหรือเปล่า

“ใครคะ ลุงยามหรือคะ?” มีเพียงความเงียบที่ตอบกลับมา จึงรีบกดบันทึกงานที่พึ่งเสร็จ แล้วเก็บข้าวของลงกระเป๋ารีบก้าวเดินไปที่ลิฟต์ แม้จะไม่ชอบความมืดสักเท่าไหร่ เธอเกลียดความมืดและเสียงฝีเท้าที่ย่ำบนใบไม้แห้ง

“สองทุ่มแล้วหรือเนี้ย” มองนาฬิกาในโทรศัพท์จึงรีบเร่งฝีเท้าเดินออกจากตึกให้เร็วที่สุดเพื่อเรียกรถแท็กซี่กลับบ้าน ไม่รู้เพราะอะไรความกลัวที่ไม่มีในตอนแรกกลับทวีคูณจนหญิงสาวนั้นหวาดหวั่นไปหมด คอยกวาดมองรอบๆ ตัวไม่หยุดหย่อน

ตื๊ดดดดดด

นิ้วเรียวกดรับสายทันทีเมื่อเห็นว่าผู้เป็นมารดาโทรมา

“ค่ะแม่ กำลังกลับค่ะ ค่ะๆ พอดีงานเยอะน่ะค่ะ ไม่หนักหรอกค่ะ แค่นี้ก่อนนะคะแม่ เดี๋ยวขึ้นรถแล้วหนูจะโทรกลับ”

เธอเริ่มรู้สึกแปลกๆ จึงรีบเดินไปที่ประตู เพียงเสี้ยววินาทีที่เดินออกไป มือหยาบกร้านของใครบางคนก็ปิดเข้าที่ปากของเธอก่อนจะลากหญิงสาวเข้าไปในพุ่มไม้ข้างๆ

“กลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้ รอพี่อยู่หรือจ๊ะคนสวย”

ชายฉกรรจ์คนนั้นขึ้นคร่อมเธอเอาไว้ มีเพียงเสียงอู้อี้ในลำคอ เธอไม่สามารถขยับหนีไปไหนได้เลย มือบางยกขึ้นไหว้อ้อนวอนชายคนนั้น แววตาของเธอฉายชัดถึงความกลัว น้ำตาไหลรินลงอาบแก้ม ร่างน้อยๆ เริ่มสั่นเทา

“ไม่ต้องอ้อนวอนพี่หรอกจ้ะ สวยขนาดนี้ปล่อยไปก็โง่น่ะสิ” เสียงแหบพร่าเอ่ยบอกก่อนที่มันจะเริ่มซุกไซร้ซอกคอระหง หญิงสาวหันหนีด้วยท่าทางรังเกียจ รู้สึกปวดหัวหนึบๆ ลมหายใจเริ่มติดๆ ขัดๆ

กรอบแกรบๆ

เสียงฝีเท้าที่เดินย่ำใบไม้ดังชัดเจนขึ้นกว่าเดิม ความกลัวที่เคยมีเริ่มทวีคูณมากขึ้น สัมผัสอันน่าขยะแขยงของชายคนนั้นมันคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในตอนนี้ ร่างใหญ่โน้มใบหน้าลงมาหมายจะจูบริมฝีปากบางแต่เธอก็เบี่ยงหน้าหนีได้ทัน เสียงสูดดมกลิ่นหอมตามซอกคอดังก้องอยู่ข้างๆ หู

“เฮ้ย! นั้นใครน่ะ?”

เสียงตะโกนถามของใครบางคนราวกับเทวดามาโปรด เธอสะอื้นหนักกว่าเดิมก่อนที่แสงจากไฟฉายจะส่องกระทบกับใบหน้านวล เธอจ้องมองไปจึงพบว่าเป็นลุงยามที่คุ้นเคยและยังมีใครอีกคนที่มาด้วย แต่เพราะแสงไฟที่ส่องมาทำให้มองยังไงก็มองไม่ออกมาว่าเป็นใคร

“ช่วยด้วย” ใช้จังหวะที่ชายคนนั้นตกใจตะโกนออกไปก่อนที่ภาพตรงหน้าจะถูกความมืดเข้ามาแทนที่เพราะแรงตบจากมือหยาบกระด้างของชายฉกรรจ์คนนั้น

 

เพดานสีขาว โซฟาสีครีมข้างๆ หน้าต่างบานใหญ่กับเตียงที่ไม่คุ้นเคย ทำเอาคิ้วบางขมวดเป็นปม แต่พอเลื่อนสายตามองตามสายน้ำเกลือไปเรื่อยๆ จึงเริ่มเข้าใจว่าตนนั้นอยู่ที่ใด

“ฟื้นแล้วหรือลูก?”

เสียงที่ได้ยินไม่ต้องมองหน้าก็รู้ว่าเป็นใคร ร่างบางลุกขึ้นด้วยความเร็วก่อนจะสวมกอดผู้เป็นมารดาไว้แน่นพลางปล่อยน้ำตาออกมาเสียยกใหญ่ เสียงสะอื้นของบุตรสาวยิ่งตอกย้ำความรู้สึกของคนเป็นแม่ให้เจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม

“ไม่เป็นไรนะลูก ไม่มีอะไรแล้ว”

ก๊อกๆๆๆ

เสียงเคาะประตูทำให้เธอยกมือขึ้นปาดน้ำตา หันมองไปยังบุคคลทั้งสามที่เดินเข้ามาสองคนนั้นเธอสนิทสนมดี ส่วนอีกคนคือคนที่ทำให้เธอต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่มันกลับมาตอกย้ำเรื่องราวในอดีตให้น่ากลัวกว่าเดิม สายตาคมตวัดมองชายหนุ่มด้วยแววตาโกรธแค้น และอีกความรู้สึกที่ยังไม่ชัดเจนคล้ายว่าเธอกำลังปิดบังมันเอาไว้ เธอไม่คิดว่าจะต้องเจอเรื่องเลวร้ายแบบนี้อีกและครั้งนี้กลับเป็นเขาที่เป็นต้นเหตุ

“เป็นยังไงบ้างลูก?”

เธอหันไปยิ้มอ่อนๆ ให้ว่าที่แม่ย่าก่อนจะเปลี่ยนไปคุยเรื่องต่างๆ แทน โดยมีคนหน้าบอกบุญไม่รับนั่งร่วมห้องอยู่ด้วย ผู้ใหญ่ทั้งสามเริ่มหาข้ออ้างต่างๆ เพื่อที่จะให้คนสองคนอยู่ด้วยกันเพียงลำพังและมันก็สำเร็จ แต่กลับมีเพียงความเงียบนานนับชั่วโมงต่างฝ่ายต่างไม่มองหน้ากันและไม่ยอมพูดคุยกัน

เพียงสักคำก็ไม่มี

“โอ๊ย!”

เสียงแหลมๆ ร้องอุทานด้วยความเจ็บปวดเมื่อขอบแก้วสัมผัสโดนแผลที่มุมปาก ชายหนุ่มหันมองเพียงหางตาก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“สำออย!”

“นี้คุณ ที่ฉันเป็นแบบนี้ก็เพราะคุณนะ”

“หึ! ไม่ใช่ว่าไปอ่อยมันมารึไง ชอบล่ะสิแบบนี้น่ะ” คำพูดดูถูกของเขาราวกับมีดนับล้านเล่มที่ปักลงกลางอก ในแววตานั้นมีแต่ความเกลียดชังไม่มีเลยสักนิดที่มันจะรู้สึกผิด

ขอบตาของร่างบางเริ่มคลอไปด้วยหยาดน้ำตารู้สึกเจ็บใจอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งนึกถึงเรื่องเมื่อวานก็ยิ่งสั่นด้วยความกลัว เขาจ้องมองท่าทางที่ดูแปลกไปของหญิงสาวอย่างสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นเหตุใดเธอจึงสั่นไปทั้งตัวเช่นนั้น

“คนบ้าที่ไหนจะไปอ่อยโรคจิตห๊ะ พูดอะไรก็ช่วยกลั่นกรองบ้าง”

“ก็ผู้หญิงที่อยากได้ผัวจนตัวสั่นแบบเธอไง”

มือบางหยิบหมอนปาใส่เขาเสียเต็มแรง โมโหที่โดนดูถูกอีกครั้ง น้ำในแก้วที่เธอถืออยู่สาดใส่หน้าชายหนุ่มจนเปียกโชก

“ออกไปเลยนะ ถ้าจะพูดแบบนี้”

“คิดว่าอยากอยู่นักหนิ”

เขาเอ่ยจบท้ายก่อนจะเดินออกไปพร้อมกระแทกประตูตามอารมณ์ ร่างบางนอนงอตัวพร้อมกอดหมอนอีกใบเอาไว้แน่น ปลดปล่อยอารมณ์มากมายออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ในตอนนั้นเธอกลัวแทบอยากจะตายให้รู้แล้วรู้รอด หนทางจะหนีก็ไม่มี เขาไม่รู้หรอกว่าภาพต่างๆ ยังตามหลอกหลอนเธอตลอดเวลา สัมผัสที่น่ารังเกียจเธอยังจำมันได้ดี ดวงตาคมทอดมองไปรอบๆ ด้วยความระแวงกลัวว่าในระหว่างที่อยู่คนเดียวไอ้โรคจิตนั้นจะย้อนกลับมา

หากเป็นเช่นนั้น เธอคงได้ตกอยู่กับวังวนของความหวาดระแวงไปตลอดชีวิต

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา