เมียนอกสายตา
-
เขียนโดย Natthaphan
วันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 เวลา 22.55 น.
25 ตอน
3 วิจารณ์
21.84K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 23.00 น. โดย เจ้าของนิยาย
25) ชอบเหมือนกัน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ‘ในวันที่ท้องฟ้ามืดครึ้มคล้ายพายุกำลังจะโหมกระหน่ำ เด็กน้อยตัวเล็กส่วนสูงเพียงร้อยกว่าเซ็นตามมาตรฐานเด็กอายุห้าขวบเธอวิ่งฝ่าเม็ดฝนปรอยๆ ออกมาจากบ้านเพราะเจ้ากะทิแมวสุดรักสุดหวงที่เธอรักดั่งดวงใจ วิ่งเตลิดเปิดเปิงออกมาเนื่องจากเสียงฟ้าร้องที่ดังสนั่นจนดินแทบสะเทือน เธอวิ่งออกมาโดยผู้ใหญ่ในบ้านไม่ทันได้สังเกต
“กะทิ อยู่ไหน ออกมาเร็ว” เสียงเล็กๆ เอ่ยเรียกเพื่อนสนิทที่เธอนั้นรักเท่าชีวิต
หากมันหายไปเด็กน้อยคงจะอยู่ไม่ได้ ร่างน้อยๆ ยืนสั่นเทาท่ามกลางสายฝน ทั้งหนาว ทั้งกลัว ทั้งเสียใจ หยดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มปะปนกับสายฝนจนมันมองไม่ออกว่าเด็กน้อยกำลังร้องไห้อย่างเอาเป็นเอาตาย คงมีเพียงเสียงสะอื้นกระมังที่บ่งบอกได้ว่าในตอนนี้เธอนั้นรู้สึกเช่นไร แววตากลมใสกวาดมองรอบๆ ตัวก่อนจะพบว่าเธอนั้นเดินออกมาไกล ไกลมากจนไม่สามารถหาทางกลับไปได้
รถตู้คันหนึ่งจอดเทียบเข้าข้างๆ เธอก่อนที่คุณลุงหน้าตาดูใจดีจะเดินกลางร่มลงมา
แม่ไม่ให้ไปกับคนแปลกหน้า...นึกได้เช่นนั้นจึงถอยกรูดออกห่างเพื่อความปลอดภัย
“เดี๋ยวลุงไปส่งบ้านไม่ต้องกลัว” น้ำเสียงดูอบอุ่นทว่าเธอก็ไม่ได้รู้สึกไว้ใจคนแปลกหน้าเลยสักนิด
มือหยาบกระด้างยื่นมาจับแขนเล็ก ทั้งสองยื้อยุดฉุดกระชากกันยกใหญ่ เสียงเล็กตะโกนเรียกให้คนช่วยทว่าบริเวณนั้นมีเพียงบ้านร้างหลังเดียวเท่านั้น ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตทั้งปวง
“ทำอะไรน่ะ!” เสียงของเด็กชายอายุราวๆ สิบกว่าปีตะโกนดังลั่นก่อนจะทิ้งร่มที่ถือวิ่งตรงมาหาคนทั้งสอง
“ผู้ใหญ่รังแกเด็ก”
“โอ้ย” เสียงคร่ำครวญดังขึ้นเมื่อถูกฟันเล็กกัดเข้าที่แขนจนเต็มแรง แต่เด็กน้อยก็ต้องนอนฟุบลงที่พื้นเพราะแรงตบที่แสนเจ็บปวดบริเวณใบหน้า
“พี่คะ พี่”
เด็กหนุ่มขยับตัวตื่นเมื่อได้ยินเสียงเล็กๆ เอ่ยเรียก
“เป็นอะไรรึเปล่า?”
ใบหน้ากลมมนส่ายไปมาพลางยิ้มหวานๆ ให้เขา รู้สึกขอบคุณที่เขานั้นเข้ามาช่วยแม้จะไม่หลุดพ้นจากคนร้ายก็เถอะ
"พี่เวหา อย่าทิ้งหนูนะ"
"รู้ชื่อพี่ได้ไงเนี้ย? "นิ้วเรียวยกขึ้นชี้ตัวอักษรที่ปักอยู่บริเวณอกข้างซ้ายของเด็กหนุ่ม พลางยิ้มแฉ่งอย่างไร้เดียงสา
"พี่สัญญานะว่าจะไม่ทิ้งหนู"
"ครับ พี่ไม่ทิ้งหนูหรอก ว่าแต่เราเถอะชื่ออะไรหรอ? "
"หนูชื่อ...."
.........'
คนตัวโตสะดุ้งตื่นก่อนจะยีหัวตัวเองแรงๆ
ฝันอะไรเนี้ย...นานมากแล้วนะที่เขาไม่ฝันถึงเหตุการณ์นี้ แต่พอรู้ว่าผู้หญิงในวันนั้นคือคนข้างๆ กายความรู้สึกในอดีตก็หวนกลับมาอีกครั้ง...ความรู้สึกที่อยากปกป้อง อยากดูแลคนคนหนึ่งด้วยชีวิตและหัวใจ
หญิงสาวเงยหน้าจากหน้าจอคอมพิวเตอร์เมื่อรู้สึกว่ามีถุงบางอย่างวางลงบนโต๊ะของตัวเอง
"ขนมปัง"เอ่ยเสียงเรียบ...
"ให้ฉันหรือคะ? "อยู่ๆ ก็ซื้อของกินมาให้ ใส่ยาถ่ายลงไปด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้...
"ให้ทุกคนนั่นแหละแต่นี่ของคุณเพราะมันเป็นไส้เผือก"ว่าจบก็เดินเข้าห้องไป
ริมฝีปากบางยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะสะดุ้งโหย่งเพราะเพิ่งรู้สึกตัวว่าพี่ๆ เข้ามายืนอยู่ใกล้ๆ ใกล้จนแทบจะสิงร่างเธออยู่แล้ว แววตาทุกคนจ้องเธอเป็นตาเดียวราวกับกำลังจับผิด
"อะไรเนี้ย ทำไมอยู่ๆ ท่านประธานถึงซื้อขนมมาฝากได้ วันก่อนยังร้องตะโกนด่าซะลั่นบริษัท"สาวสองขาเมาท์ตัวจี๊ดของบริษัทเอ่ยถามร่างบาง
"อารมณ์ดีมั้งคะ เขาไม่ได้ซื้อมาฝากฟ้าคนเดียวซะหน่อย ของทุกคนก็มี...นี้ค่ะ"
ยื่นถุงขนมเหล่านั้นให้พี่ๆ ส่วนเธอนั้นเก็บไว้เพียงถุงเดียว ก่อนจะหยิบขนมปังของโปรดขึ้นมาเคี้ยวกินตุ้ยๆ โดยที่ไม่รู้เลยว่าคนซื้อกำลังยืนดูท่าทางการกินของหญิงสาวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เหงือกนี้แทบจะแห้งอยู่แล้ว
กลุ่มหมอกสีขาวอ่อนๆ ลอยปกคลุมเส้นทางจนแทบจะมองไม่เห็น ร่างบางเดินออกมาสูดอากาศยามเช้าที่ระเบียง ทอดมองพรรณไม้นานาชนิดที่ขึ้นตามแนวเขา วันนี้คือวันแรกของการมาดูงานที่เชียงรายเป็นการตรวจสอบความเรียบร้อยของโรงแรมที่เพิ่งจะสร้างเสร็จ ในฐานะเลขาและภรรยาเธอเลยถูกชายหนุ่มชวนแต่ออกแนวบังคับเสียมากกว่าว่าให้เธอมาด้วยกันกับเขา เพราะจะได้เรียนรู้งานไปในตัว โดยนารีรัตน์นั้นมาไม่ได้เพราะติดธุระสำคัญเสียก่อน ทุกอย่างจึงเข้าทางเวหาเต็มๆ
"ตื่นแล้วหรอ? "เสียงงัวเงียของคนที่นอนบนโซฟาเอ่ยถามเมื่อเห็นร่างบางยืนกางแขนรับอากาศเย็นๆ ในยามตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า
ใช่...ทั้งสองพักห้องเดียวกันเนื่องด้วยห้องเต็มจนไม่สามารถเปิดอีกห้องได้ แต่ใครจะรู้ว่ามันเป็นแผนของท่านประธานจอมบงการต่างหาก
"ค่ะ หิวหรือยังคะ? "เอ่ยถามเพราะปกติหากเขาตื่นแล้วชายหนุ่มจะบ่นว่าหิวตลอด
เธอจำได้ดี และอีกอย่างก็อยากจะขอบคุณที่เมื่อคืนเขานั้นยอมเสียสละนอนโซฟาแทน รู้สึกว่าหมู่นี้เขานั้นจะทำตัวดีกับเธอเป็นพิเศษจนอดคิดไม่ได้ว่าเขานั้นไปรู้อะไรบางอย่างมาหรือเปล่า
"หิวแล้ว ไปอาบน้ำแล้วไปหาอะไรทานกันดีกว่า จะได้ไปตรวจงานเลย"
"ค่ะ"
ร่างบางเดินผ่านชายหนุ่มไปโดยมีกลิ่นหอมๆ โชยตามไปด้วย มันเป็นกลิ่นครีมที่เธอใช้ทาก่อนนอน หากได้สูดดมกลิ่นกายนั้นก่อนหลับใหลเขาคงจะฝันดีทั้งคืน แววตานั้นมองตามด้วยท่าทีเจ้าเล่ห์
เวลาเดินมาจนถึงวันที่สองของการทำงานในต่างจังหวัด วันนี้ชายหนุ่มนั้นปลุกเธอตั้งแต่ไก่ยังไม่ทันขันท้องฟ้ายังไม่ทันสว่าง เธอจึงมีสภาพไม่ต่างอะไรจากผีดิบ เขาอนุญาตให้เธอนั้นหลับได้จนกว่าจะถึงที่หมาย
รถคันสวยหยุดนิ่งหลังจากที่มันขับเข้าโค้งมานับไม่ถ้วน
“มีน...เอ่อ คุณตื่นได้แล้ว” ลืมตัวจึงเผลอเรียกชื่อที่คิดว่าเป็นชื่อของเธอ
“อือออ...ถึงแล้วหรอคะ?” มือบางยกขึ้นขยี้ตาตัวเองก่อนจะทอดมองภาพตรงหน้า ดวงตากลมโตเบิกกว้างพลางเปิดประตูรถออกด้วยความรวดเร็ว
“สวยจัง”
หมอกสีขาวบริสุทธิ์เรียงรายกันราวระลอกคลื่น ลอยตัวอยู่ด้านล่างของหน้าผา แผ่ยาวไปจนสุดขอบฟ้า
“ชอบใช่ไหม?” เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่นพลางฉีกยิ้มกว้างที่คนตัวเล็กดูชอบใจกับสิ่งที่เขานั้นพามา เพียงแค่เป็นคนที่สามารถทำให้เธอยิ้มได้เขาก็มีความสุขแล้ว ความสุขที่ไม่สามารถหาจากไหนได้อีก
“ชอบค่ะ” ตอบโดยไม่ได้หันมามอง
จมูกรันสวยสูดดมเอาอากาศที่แสนจะเย็นสบายนั้นเข้าไปจนเต็มปอดพร้อมหลับตาลงอย่างผ่อนคลาย
“ชอบเหมือนกัน” เสียงนุ่มๆ เอ่ยบอก
หากว่าเสียงนั้นอยู่ใกล้จนเธอนั้นรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่รดลงมาบนใบหน้า ดวงตาที่หลับลงเมื่อครู่จึงค่อยๆ เปิดออกก่อนที่มันจะเบิกกว้างด้วยความตกใจ ใบหน้าคมเข้มอยู่ห่างจากเธอเพียงไม่กี่เซน
“คุณ...”
ยังไม่ทันที่เธอจะเอ่ยจบเสื้อกันหนาวตัวใหญ่ที่เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชายหนุ่มไปเอามาตั้งแต่ตอนไหนรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มันมาอยู่บนตัวเธอแล้ว พร้อมกับผ้าพันคอสีเทาที่เพิ่งจะถูกผูกโดยคนตรงหน้า
หญิงสาวได้แต่ยืนนิ่งพลางทอดมองการกระทำของเขาอย่างไม่เข้าใจ เหตุใดแววตาที่มองมาถึงได้อ่อนโยนขนาดนั้นมันช่างต่างจากแววตาเมื่อก่อนที่มันมีแต่เพียงความชิงชัง
หากว่าเธอจะขอให้เขาเป็นอย่างนี้ไปตลอด...ดวงดาวจะรับฟังเธอบ้างไหม ขอให้เขาอ่อนโยนกับเธออย่างนี้อย่าเปลี่ยนไปเป็นเหมือนเก่า
“ใส่ไว้อากาศมันหนาวเดี๋ยวจะไม่สบายเอา”
“ขอบคุณค่ะ”
ทั้งสองยืนเคียงข้างกันทอดมองวิวทิวทัศน์ที่ถูกสรรค์สร้างด้วยธรรมชาติ แต่กระนั้นก็ยังมีแอบเหล่มองกันไปมา พลางอมยิ้มแก้มแทบปริ รู้สึกชุ่มชื่นหัวใจราวกับเด็กวัยรุ่นที่เพิ่งจะเริ่มจีบกันใหม่ๆ
ผู้คนมากหน้าหลายตาต่างเดินไปตามเส้นทางที่รอบๆ ข้างมีแต่ข้าวของที่แม่ค้าพ่อค้าเอามาวางขาย ล้วนแล้วมีแต่เสื้อผ้าและเครื่องประดับ ส่วนอาหารจะต้องเลี้ยวไปอีกทาง คืนนี้ชายหนุ่มนั้นบอกว่าอยากจะมาผ่อนคลายบ้างจึงพาหญิงสาวมาเดินที่ถนนคนเดินประจำจังหวัดเชียงราย ไม่รู้ว่าเป็นการผ่อนคลายทางสมองอย่างเดียวหรือเปล่าเพราะหากจะบอกว่าเป็นการผ่อนคลายทางกายเธอจะขอเถียงจนขาดใจเนื่องด้วยระยะทางที่เดินทั้งคืนก็คงจะไม่ครบทุกร้าน
ปัก!
ร่างบางเซถลาไปชนกับอกแกร่งเพราะถูกใครบางคนชนเข้าเต็มๆ ก่อนที่คนคนนั้นจะหันมาเอ่ยขอโทษส่วนเธอก็ไม่ได้รู้สึกโกธรเคืองอะไร ทว่ากลับรู้สึกหวั่นไหวมากกว่าที่ถูกมือหนาโอบไหล่เอาไว้ ใบหน้าหวานเงยมองคนที่ยืนแนบชิดกับเธอจนแทบจะกลายเป็นคนคนเดียวกันอยู่แล้ว
“ผมจับคุณไว้แบบนี้ดีกว่า จะได้ไม่โดนคนอื่นชน”
เธอไม่ได้เอ่ยปฏิเสธสัมผัสนั้นแต่อย่างใด เพราะความรู้สึกข้างในมันบอกเธอว่าเธอต้องการเช่นนี้
สรุปแล้วคืนนี้เขาและเธอจึงเดินโอบกันจนเกือบจะสุดทางของตลาดทว่ากลับไม่ได้ซื้ออะไรเลยสักอย่าง คล้ายว่าเป็นการมาเดินสวีทกันให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาอิจฉาเล่นเสียมากกว่า
แม้ชายหนุ่มจะถูกสาวๆ จ้องมองด้วยความหลงใหลแต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรผู้หญิงเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย ขนาดหางตาก็ยังไม่เหลือบมอง เพียงสักนิดก็ไม่มี เพราะสายตาของเขาในตอนนี้มันมีไว้มองเพียงคนคนเดียว...คนข้างๆ นี้ไง
ทว่าคงมีแต่ฑิฆัมพรกระมังที่มีทีท่าหงุดหงิดเพราะไม่ชอบใจในความเจ้าเสน่ห์ของสามี จะบอกว่าเธอหึงเขาเธอก็จะไม่เอ่ยปฏิเสธสักคำ เนื่องด้วยมันคือความจริง...ความจริงที่ว่าเธอกำลังรู้สึกหึงและหวงชายหนุ่มตามสิทธิ์ของภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายที่ควรจะเป็น
ใบหน้าหวานบูดบึ้งจนชายหนุ่มนึกสงสัยเพราะเมื่อครู่ยังยิ้มแย้มอยู่เลย แล้วเหตุใดจึงแสดงท่าทีว่าไม่พอใจอะไรสักอย่าง เขาทำอะไรผิดหรือเปล่านะ รู้สึกเสียวสันหลังแปลกๆ ในยามที่แววตานั้นหันมามองเขา อะไรวะ??
กลืนน้ำลายลงคอเอื้อกใหญ่
ทำไมแค่กลืนน้ำลายถึงได้รู้สึกว่ามันช่างยากลำบากเหลือเกิน ใบหน้าหวานที่เคยมีแต่รอยยิ้มบัดนี้มันช่างดูน่ากลัวยิ่งกว่าสิงโตในยามขู่คำรามเสียอีก ไม่เคยมีใครได้เห็นโหมดนี้ของเธอเลยสักคน นับว่าชายหนุ่มนั้นโชคดีเป็นพิเศษที่ได้มาเห็นเป็นคนแรกและคงจะเป็นคนเดียวที่ได้เห็น
“กะทิ อยู่ไหน ออกมาเร็ว” เสียงเล็กๆ เอ่ยเรียกเพื่อนสนิทที่เธอนั้นรักเท่าชีวิต
หากมันหายไปเด็กน้อยคงจะอยู่ไม่ได้ ร่างน้อยๆ ยืนสั่นเทาท่ามกลางสายฝน ทั้งหนาว ทั้งกลัว ทั้งเสียใจ หยดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มปะปนกับสายฝนจนมันมองไม่ออกว่าเด็กน้อยกำลังร้องไห้อย่างเอาเป็นเอาตาย คงมีเพียงเสียงสะอื้นกระมังที่บ่งบอกได้ว่าในตอนนี้เธอนั้นรู้สึกเช่นไร แววตากลมใสกวาดมองรอบๆ ตัวก่อนจะพบว่าเธอนั้นเดินออกมาไกล ไกลมากจนไม่สามารถหาทางกลับไปได้
รถตู้คันหนึ่งจอดเทียบเข้าข้างๆ เธอก่อนที่คุณลุงหน้าตาดูใจดีจะเดินกลางร่มลงมา
แม่ไม่ให้ไปกับคนแปลกหน้า...นึกได้เช่นนั้นจึงถอยกรูดออกห่างเพื่อความปลอดภัย
“เดี๋ยวลุงไปส่งบ้านไม่ต้องกลัว” น้ำเสียงดูอบอุ่นทว่าเธอก็ไม่ได้รู้สึกไว้ใจคนแปลกหน้าเลยสักนิด
มือหยาบกระด้างยื่นมาจับแขนเล็ก ทั้งสองยื้อยุดฉุดกระชากกันยกใหญ่ เสียงเล็กตะโกนเรียกให้คนช่วยทว่าบริเวณนั้นมีเพียงบ้านร้างหลังเดียวเท่านั้น ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตทั้งปวง
“ทำอะไรน่ะ!” เสียงของเด็กชายอายุราวๆ สิบกว่าปีตะโกนดังลั่นก่อนจะทิ้งร่มที่ถือวิ่งตรงมาหาคนทั้งสอง
“ผู้ใหญ่รังแกเด็ก”
“โอ้ย” เสียงคร่ำครวญดังขึ้นเมื่อถูกฟันเล็กกัดเข้าที่แขนจนเต็มแรง แต่เด็กน้อยก็ต้องนอนฟุบลงที่พื้นเพราะแรงตบที่แสนเจ็บปวดบริเวณใบหน้า
“พี่คะ พี่”
เด็กหนุ่มขยับตัวตื่นเมื่อได้ยินเสียงเล็กๆ เอ่ยเรียก
“เป็นอะไรรึเปล่า?”
ใบหน้ากลมมนส่ายไปมาพลางยิ้มหวานๆ ให้เขา รู้สึกขอบคุณที่เขานั้นเข้ามาช่วยแม้จะไม่หลุดพ้นจากคนร้ายก็เถอะ
"พี่เวหา อย่าทิ้งหนูนะ"
"รู้ชื่อพี่ได้ไงเนี้ย? "นิ้วเรียวยกขึ้นชี้ตัวอักษรที่ปักอยู่บริเวณอกข้างซ้ายของเด็กหนุ่ม พลางยิ้มแฉ่งอย่างไร้เดียงสา
"พี่สัญญานะว่าจะไม่ทิ้งหนู"
"ครับ พี่ไม่ทิ้งหนูหรอก ว่าแต่เราเถอะชื่ออะไรหรอ? "
"หนูชื่อ...."
.........'
คนตัวโตสะดุ้งตื่นก่อนจะยีหัวตัวเองแรงๆ
ฝันอะไรเนี้ย...นานมากแล้วนะที่เขาไม่ฝันถึงเหตุการณ์นี้ แต่พอรู้ว่าผู้หญิงในวันนั้นคือคนข้างๆ กายความรู้สึกในอดีตก็หวนกลับมาอีกครั้ง...ความรู้สึกที่อยากปกป้อง อยากดูแลคนคนหนึ่งด้วยชีวิตและหัวใจ
หญิงสาวเงยหน้าจากหน้าจอคอมพิวเตอร์เมื่อรู้สึกว่ามีถุงบางอย่างวางลงบนโต๊ะของตัวเอง
"ขนมปัง"เอ่ยเสียงเรียบ...
"ให้ฉันหรือคะ? "อยู่ๆ ก็ซื้อของกินมาให้ ใส่ยาถ่ายลงไปด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้...
"ให้ทุกคนนั่นแหละแต่นี่ของคุณเพราะมันเป็นไส้เผือก"ว่าจบก็เดินเข้าห้องไป
ริมฝีปากบางยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะสะดุ้งโหย่งเพราะเพิ่งรู้สึกตัวว่าพี่ๆ เข้ามายืนอยู่ใกล้ๆ ใกล้จนแทบจะสิงร่างเธออยู่แล้ว แววตาทุกคนจ้องเธอเป็นตาเดียวราวกับกำลังจับผิด
"อะไรเนี้ย ทำไมอยู่ๆ ท่านประธานถึงซื้อขนมมาฝากได้ วันก่อนยังร้องตะโกนด่าซะลั่นบริษัท"สาวสองขาเมาท์ตัวจี๊ดของบริษัทเอ่ยถามร่างบาง
"อารมณ์ดีมั้งคะ เขาไม่ได้ซื้อมาฝากฟ้าคนเดียวซะหน่อย ของทุกคนก็มี...นี้ค่ะ"
ยื่นถุงขนมเหล่านั้นให้พี่ๆ ส่วนเธอนั้นเก็บไว้เพียงถุงเดียว ก่อนจะหยิบขนมปังของโปรดขึ้นมาเคี้ยวกินตุ้ยๆ โดยที่ไม่รู้เลยว่าคนซื้อกำลังยืนดูท่าทางการกินของหญิงสาวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เหงือกนี้แทบจะแห้งอยู่แล้ว
กลุ่มหมอกสีขาวอ่อนๆ ลอยปกคลุมเส้นทางจนแทบจะมองไม่เห็น ร่างบางเดินออกมาสูดอากาศยามเช้าที่ระเบียง ทอดมองพรรณไม้นานาชนิดที่ขึ้นตามแนวเขา วันนี้คือวันแรกของการมาดูงานที่เชียงรายเป็นการตรวจสอบความเรียบร้อยของโรงแรมที่เพิ่งจะสร้างเสร็จ ในฐานะเลขาและภรรยาเธอเลยถูกชายหนุ่มชวนแต่ออกแนวบังคับเสียมากกว่าว่าให้เธอมาด้วยกันกับเขา เพราะจะได้เรียนรู้งานไปในตัว โดยนารีรัตน์นั้นมาไม่ได้เพราะติดธุระสำคัญเสียก่อน ทุกอย่างจึงเข้าทางเวหาเต็มๆ
"ตื่นแล้วหรอ? "เสียงงัวเงียของคนที่นอนบนโซฟาเอ่ยถามเมื่อเห็นร่างบางยืนกางแขนรับอากาศเย็นๆ ในยามตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า
ใช่...ทั้งสองพักห้องเดียวกันเนื่องด้วยห้องเต็มจนไม่สามารถเปิดอีกห้องได้ แต่ใครจะรู้ว่ามันเป็นแผนของท่านประธานจอมบงการต่างหาก
"ค่ะ หิวหรือยังคะ? "เอ่ยถามเพราะปกติหากเขาตื่นแล้วชายหนุ่มจะบ่นว่าหิวตลอด
เธอจำได้ดี และอีกอย่างก็อยากจะขอบคุณที่เมื่อคืนเขานั้นยอมเสียสละนอนโซฟาแทน รู้สึกว่าหมู่นี้เขานั้นจะทำตัวดีกับเธอเป็นพิเศษจนอดคิดไม่ได้ว่าเขานั้นไปรู้อะไรบางอย่างมาหรือเปล่า
"หิวแล้ว ไปอาบน้ำแล้วไปหาอะไรทานกันดีกว่า จะได้ไปตรวจงานเลย"
"ค่ะ"
ร่างบางเดินผ่านชายหนุ่มไปโดยมีกลิ่นหอมๆ โชยตามไปด้วย มันเป็นกลิ่นครีมที่เธอใช้ทาก่อนนอน หากได้สูดดมกลิ่นกายนั้นก่อนหลับใหลเขาคงจะฝันดีทั้งคืน แววตานั้นมองตามด้วยท่าทีเจ้าเล่ห์
เวลาเดินมาจนถึงวันที่สองของการทำงานในต่างจังหวัด วันนี้ชายหนุ่มนั้นปลุกเธอตั้งแต่ไก่ยังไม่ทันขันท้องฟ้ายังไม่ทันสว่าง เธอจึงมีสภาพไม่ต่างอะไรจากผีดิบ เขาอนุญาตให้เธอนั้นหลับได้จนกว่าจะถึงที่หมาย
รถคันสวยหยุดนิ่งหลังจากที่มันขับเข้าโค้งมานับไม่ถ้วน
“มีน...เอ่อ คุณตื่นได้แล้ว” ลืมตัวจึงเผลอเรียกชื่อที่คิดว่าเป็นชื่อของเธอ
“อือออ...ถึงแล้วหรอคะ?” มือบางยกขึ้นขยี้ตาตัวเองก่อนจะทอดมองภาพตรงหน้า ดวงตากลมโตเบิกกว้างพลางเปิดประตูรถออกด้วยความรวดเร็ว
“สวยจัง”
หมอกสีขาวบริสุทธิ์เรียงรายกันราวระลอกคลื่น ลอยตัวอยู่ด้านล่างของหน้าผา แผ่ยาวไปจนสุดขอบฟ้า
“ชอบใช่ไหม?” เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่นพลางฉีกยิ้มกว้างที่คนตัวเล็กดูชอบใจกับสิ่งที่เขานั้นพามา เพียงแค่เป็นคนที่สามารถทำให้เธอยิ้มได้เขาก็มีความสุขแล้ว ความสุขที่ไม่สามารถหาจากไหนได้อีก
“ชอบค่ะ” ตอบโดยไม่ได้หันมามอง
จมูกรันสวยสูดดมเอาอากาศที่แสนจะเย็นสบายนั้นเข้าไปจนเต็มปอดพร้อมหลับตาลงอย่างผ่อนคลาย
“ชอบเหมือนกัน” เสียงนุ่มๆ เอ่ยบอก
หากว่าเสียงนั้นอยู่ใกล้จนเธอนั้นรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่รดลงมาบนใบหน้า ดวงตาที่หลับลงเมื่อครู่จึงค่อยๆ เปิดออกก่อนที่มันจะเบิกกว้างด้วยความตกใจ ใบหน้าคมเข้มอยู่ห่างจากเธอเพียงไม่กี่เซน
“คุณ...”
ยังไม่ทันที่เธอจะเอ่ยจบเสื้อกันหนาวตัวใหญ่ที่เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชายหนุ่มไปเอามาตั้งแต่ตอนไหนรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มันมาอยู่บนตัวเธอแล้ว พร้อมกับผ้าพันคอสีเทาที่เพิ่งจะถูกผูกโดยคนตรงหน้า
หญิงสาวได้แต่ยืนนิ่งพลางทอดมองการกระทำของเขาอย่างไม่เข้าใจ เหตุใดแววตาที่มองมาถึงได้อ่อนโยนขนาดนั้นมันช่างต่างจากแววตาเมื่อก่อนที่มันมีแต่เพียงความชิงชัง
หากว่าเธอจะขอให้เขาเป็นอย่างนี้ไปตลอด...ดวงดาวจะรับฟังเธอบ้างไหม ขอให้เขาอ่อนโยนกับเธออย่างนี้อย่าเปลี่ยนไปเป็นเหมือนเก่า
“ใส่ไว้อากาศมันหนาวเดี๋ยวจะไม่สบายเอา”
“ขอบคุณค่ะ”
ทั้งสองยืนเคียงข้างกันทอดมองวิวทิวทัศน์ที่ถูกสรรค์สร้างด้วยธรรมชาติ แต่กระนั้นก็ยังมีแอบเหล่มองกันไปมา พลางอมยิ้มแก้มแทบปริ รู้สึกชุ่มชื่นหัวใจราวกับเด็กวัยรุ่นที่เพิ่งจะเริ่มจีบกันใหม่ๆ
ผู้คนมากหน้าหลายตาต่างเดินไปตามเส้นทางที่รอบๆ ข้างมีแต่ข้าวของที่แม่ค้าพ่อค้าเอามาวางขาย ล้วนแล้วมีแต่เสื้อผ้าและเครื่องประดับ ส่วนอาหารจะต้องเลี้ยวไปอีกทาง คืนนี้ชายหนุ่มนั้นบอกว่าอยากจะมาผ่อนคลายบ้างจึงพาหญิงสาวมาเดินที่ถนนคนเดินประจำจังหวัดเชียงราย ไม่รู้ว่าเป็นการผ่อนคลายทางสมองอย่างเดียวหรือเปล่าเพราะหากจะบอกว่าเป็นการผ่อนคลายทางกายเธอจะขอเถียงจนขาดใจเนื่องด้วยระยะทางที่เดินทั้งคืนก็คงจะไม่ครบทุกร้าน
ปัก!
ร่างบางเซถลาไปชนกับอกแกร่งเพราะถูกใครบางคนชนเข้าเต็มๆ ก่อนที่คนคนนั้นจะหันมาเอ่ยขอโทษส่วนเธอก็ไม่ได้รู้สึกโกธรเคืองอะไร ทว่ากลับรู้สึกหวั่นไหวมากกว่าที่ถูกมือหนาโอบไหล่เอาไว้ ใบหน้าหวานเงยมองคนที่ยืนแนบชิดกับเธอจนแทบจะกลายเป็นคนคนเดียวกันอยู่แล้ว
“ผมจับคุณไว้แบบนี้ดีกว่า จะได้ไม่โดนคนอื่นชน”
เธอไม่ได้เอ่ยปฏิเสธสัมผัสนั้นแต่อย่างใด เพราะความรู้สึกข้างในมันบอกเธอว่าเธอต้องการเช่นนี้
สรุปแล้วคืนนี้เขาและเธอจึงเดินโอบกันจนเกือบจะสุดทางของตลาดทว่ากลับไม่ได้ซื้ออะไรเลยสักอย่าง คล้ายว่าเป็นการมาเดินสวีทกันให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาอิจฉาเล่นเสียมากกว่า
แม้ชายหนุ่มจะถูกสาวๆ จ้องมองด้วยความหลงใหลแต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรผู้หญิงเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย ขนาดหางตาก็ยังไม่เหลือบมอง เพียงสักนิดก็ไม่มี เพราะสายตาของเขาในตอนนี้มันมีไว้มองเพียงคนคนเดียว...คนข้างๆ นี้ไง
ทว่าคงมีแต่ฑิฆัมพรกระมังที่มีทีท่าหงุดหงิดเพราะไม่ชอบใจในความเจ้าเสน่ห์ของสามี จะบอกว่าเธอหึงเขาเธอก็จะไม่เอ่ยปฏิเสธสักคำ เนื่องด้วยมันคือความจริง...ความจริงที่ว่าเธอกำลังรู้สึกหึงและหวงชายหนุ่มตามสิทธิ์ของภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายที่ควรจะเป็น
ใบหน้าหวานบูดบึ้งจนชายหนุ่มนึกสงสัยเพราะเมื่อครู่ยังยิ้มแย้มอยู่เลย แล้วเหตุใดจึงแสดงท่าทีว่าไม่พอใจอะไรสักอย่าง เขาทำอะไรผิดหรือเปล่านะ รู้สึกเสียวสันหลังแปลกๆ ในยามที่แววตานั้นหันมามองเขา อะไรวะ??
กลืนน้ำลายลงคอเอื้อกใหญ่
ทำไมแค่กลืนน้ำลายถึงได้รู้สึกว่ามันช่างยากลำบากเหลือเกิน ใบหน้าหวานที่เคยมีแต่รอยยิ้มบัดนี้มันช่างดูน่ากลัวยิ่งกว่าสิงโตในยามขู่คำรามเสียอีก ไม่เคยมีใครได้เห็นโหมดนี้ของเธอเลยสักคน นับว่าชายหนุ่มนั้นโชคดีเป็นพิเศษที่ได้มาเห็นเป็นคนแรกและคงจะเป็นคนเดียวที่ได้เห็น
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ