เมียนอกสายตา
เขียนโดย Natthaphan
วันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 เวลา 22.55 น.
แก้ไขเมื่อ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 23.00 น. โดย เจ้าของนิยาย
24) แหวนหยก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความริมฝีปากบางฉีกยิ้มให้ชายหนุ่ม ทว่ายิ้มนั้นเป็นยิ้มที่กำลังบอกเขาว่า ซวยแล้วไง!!!
“เอาไงอ่ะคุณ?” เดินไปกระซิบข้างๆ เวหาเพราะนารีรัตน์ยังยืนอยู่ในห้องนี้ด้วยคน
“ช่างเหอะคุณ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด” เอ่ยด้วยท่าทีไม่เป็นเดือดเป็นร้อน
ให้คนอื่นรู้ว่าเธอเป็นภรรยาเขาก็ดีเหมือนกัน ไอ้น้องชายตัวแสบจะได้ทำอะไรๆ อย่างที่ใจมันคิดลำบากขึ้น แล้วอีกอย่างเขาก็ไม่ค่อยพอใจพนักงานผู้ชายในบริษัทที่ชอบส่งตาเล็กตาน้อยมาให้เธอสักเท่าไหร่ หากเรื่องนี้ทุกคนรับรู้ จะได้ไม่มีใครกล้ามามองคนของเขาอีก
“จะบ้าเหรอคุณ ฉันเป็นนักศึกษาฝึกงานส่วนคุณเป็นผู้บริหารระดับสูง คิดถึงภาพลักษณ์ฉันกับคุณบ้างสิ”
นั้นสิ เขาลืมนึกไป ลืมคิดว่าหญิงสาวนั้นจะเสียหาย
แววตานั้นคิดหนักก่อนจะหันไปมองผู้หญิงอีกคน ชายหนุ่มกระตุกยิ้มเมื่อคิดออกว่าจะแก้สถานการณ์ตรงหน้าอย่างไร มีนักประชาสัมพันธ์อยู่ใกล้ตัวแล้วจะกลัวอะไร
เสียงถอนหายใจฟึดฟัดๆ ราวกับคนอารมณ์เสียทำเอาหญิงสาวหันมองด้วยท่าทีสงสัย
เป็นอะไรของเขา???
ดวงตาคมตวัดมองเธอด้วยสีหน้าไม่พอใจก่อนจะโยนกระดาษในมือใส่เธอ พยายามโยนให้อยู่ในระดับอกเพราะกลัวจะโดนหน้าของหญิงสาว
แม้จะงุนงงแต่เพราะความตกใจมีมากกว่า ถึงจะเคยโดนเขาเหวี่ยงใส่มาเยอะพอสมควรแต่ครั้งนี้เธอผิดอะไร ทำไมเขาถึงกลับมามีท่าทีเย็นชาแบบนี้อีกแล้ว
“ผมบอกแล้วใช่มั้ย ว่าทำงานก็ควรตั้งใจ ดูสิงานมันเสียหายหมดเลย ตอนนี้เวลางาน มันใช่เวลามานั่งแต่งนิยายของคุณรึไง ไม่ได้เรื่อง!”
แต่งนิยาย เขากำลังพูดถึงเรื่องอะไรกัน???
เสียงโหวกเหวกโวยวายภายในห้องยิ่งทำให้พนักงานที่ยืนมุงอยู่หน้าประตูรีบกรู่กลับโต๊ะทันทีเพราะร่างสูงที่เปิดออกมา ใบหน้าคมช่างดูน่ากลัวไม่เคยเปลี่ยนเวลาที่เขานั้นโกรธ
ร่างบางยืนแข็งทื่อ แต่เพราะแววตาก่อนเดินออกไปของเขา แววตาที่ยังอ่อนโยนต่อเธอ มันทำให้เธอฉุกคิดอะไรบางอย่างได้…มันแค่การแสดง
“โอเคมั้ยฟ้า?” นารีรัตน์เอ่ยถามรุ่นน้องอย่างนึกห่วง เธอก็มีส่วนผิดเหมือนกันที่ไม่ตรวจสอบเอกสารให้ดีเสียก่อน
ใบหน้าหวานพยักหน้าขึ้นลงก่อนจะเดินออกไปนั่งยังเก้าอี้ของตัวเอง พี่ๆ ต่างมองหญิงสาวอย่างนึกห่วงโดยมีความอยากรู้อยากเห็นปะปนมาด้วย เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอโดนเขาอาละวาดใส่มาตลอด ตอนแรกเห็นไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยขึ้นก็คิดว่าจะไม่โดนอีกแต่ไหงกลับหนักกว่าเดิม ได้แต่มองไม่กล้าเข้าไปปลอบกลัวจะโดนลูกหลงไปอีกคน
คนที่เพิ่งจะแสดงละครมาเมื่อครู่ชะเง้อคอมองที่ประตู นึกห่วงความรู้สึกของใครบางคน เขาไม่มีทางเลือกจริงๆ ยิ่งต้องพยายามตะคอกใส่เธอเขาก็ยิ่งรู้สึกเจ็บแปลกๆ
ในยามที่ตะวันลาลับขอบฟ้า มือบางถือข้าวของมากมายเดินเข้าบ้านไป วันนี้คุณย่าไม่ได้ให้ไปทานข้าวด้วยเธอจึงไปหาซื้อของสดเพื่อมาทำอาหารเย็นกินที่บ้าน ดวงตาคมเหลือบมองร่างสูงที่นั่งอ่านเอกสารงานอยู่ในห้องรับแขก ก่อนจะเดินตรงไปยังครัวจนชายหนุ่มนึกหวั่นใจกับท่าทางเฉยชาของเธอ กลัวว่าเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวันจะทำให้เธอโกรธเคือง
ทว่าที่เธอนั้นเดินไปโดยไม่เอ่ยทักเนื่องด้วยกลัวจะรบกวนการทำงานของเขาต่างหากไม่ได้โกรธเคืองแต่อย่างใด
“มีอะไรคะ หิวแล้วหรอ?” ร่างบางที่กำลังใส่ผ้ากันเปื้อนเตรียมตัวทำอาหารเอ่ยถามคนตัวโตที่ยืนเกาะประตูอยู่ไม่ไกลนัก
“เปล่า ยังไม่หิว” เธอเพียงพยักหน้ารับรู้แล้วก็หันกลับไปเตรียมส่วนประกอบของเมนูในวันนี้ต่อ
“นี้!”
“คะ?” หันกลับไปมองก่อนจะพบว่าเวหามายืนอยู่ห่างเพียงนิดเดียว จมูกเธอแทบจะชนกับแผงอกเขาอยู่แล้ว
“มีอะไรหรอคะ?”
“คือ...ขอโทษที่ตะคอกใส่นะ ผมไม่รู้ว่าจะทำยังไง มันมีทางเลือกไม่มาก แล้วผมก็คิดว่าวิธีนี้น่าจะดีที่สุดแล้ว คุณ...ตกใจมากหรือเปล่า?”
รู้สึกอบอุ่นหัวใจชอบกลในยามที่เขานั้นเอ่ยขอโทษด้วยน้ำเสียงและแววตาที่มันมีความหมายแสนลึกซึ้ง
“ตกใจสิคะ แต่แค่แป๊บเดียว” ริมฝีปากหนาคลี่ยิ้มอย่างโล่งอก
“ดีแล้ว” ดีแล้วที่เธอไม่โกรธ...
ว่าจบก็เดินกลับไปนั่งที่เดิม แต่ครั้งนี้กลับดูมีความสุขมากกว่าเก่า
เอกสารมันน่ารื่นรมย์ใจมากหรือไงเหตุใดจึงอ่านไปยิ้มไป เธอทอดมองด้วยความสงสัย
หมู่ดาวเริ่มปรากฏให้เห็นจนเต็มท้องฟ้า มันเป็นภาพที่เคยชินของหญิงสาวไปเสียแล้ว เนื่องด้วยเธอนั้นมีดวงดาวเป็นเพื่อนก่อนที่จะหลับใหล วันนี้รู้สึกเหนื่อยล้าเต็มทนพอหัวถึงหมอนเธอจึงหลับอย่างง่ายดาย
เงามืดตรงบันไดค่อยๆ ย่องเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างๆ โซฟาเพื่อแอบมองคนนอนหลับ...
"หลับแล้วหรอเนี้ย"
มองดวงตาที่ปิดสนิทก่อนจะยิ้มออกมาราวกับคนบ้า หากตื่นเช้ามาแล้วมีใบหน้าหวานอยู่ข้างๆ จะเป็นอย่างไรนะ ยิ่งคิดยิ่งชวนให้ยิ้มกว้างกว่าเดิม
แต่ฉับพลันดวงตาของเขาก็เหลือบไปเห็นแสงสีเขียวอ่อนๆ ที่มันสะท้อนออกมาให้เห็นในยามที่ไร้ซึ่งแสงสว่างใดๆ มือหนายื่นไปจับปกเสื้อของหญิงสาวออกอย่างเบามือเพราะกลัวว่าเธอจะตื่นเสียก่อน
"มีน..."
พอเห็นต้นสายปลายเหตุของแสงที่กำลังทอประกายอยู่ ก็ทำเอาชายหนุ่มตัวค้างกลางอากาศ ยืนแข็งทื่ออยู่อย่างนั้นก่อนจะเอ่ยชื่อของคนในอดีตที่ไม่อยากจะเชื่อว่าจะกลายมาเป็นคนตรงหน้า เพียงแค่เห็นรอยแกะสลักรูปหัวใจที่แหวนหยกวงนั้นก็แทบจะทรงตัวไม่อยู่ หากว่าฑิฆัมพรคือคนคนนั้นจริงๆ เขาคงจะเหมือนตายทั้งเป็นเพราะอะไรน่ะหรอ เพราะเขาทำร้ายคนที่เขารัก...รักตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้
"อย่าทิ้งหนูไปนะ พี่เว อย่าทิ้งหนู..."พี่เว! คำคำนั้นราวกับหอกแหลมๆ ที่พุ่งมาทิ่มแทงกลางหัวใจของเขา คำคำนั้นดังก้องอยู่ในโสตประสาท
"น้อง..."กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ดวงตานั้นสั่นไหวคล้ายว่ามันกำลังจะร้องไห้ เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน
"สัญญานะพี่ปลาทอง ว่าจะไม่ทิ้งหนูไปไหน"พี่ปลาทอง...
มือบางยกขึ้นไขว่คว้าไร้ซึ่งทิศทางจนชายหนุ่มนั้นต้องรีบยื่นมือไปกอบกุมเอาไว้ก่อนจะเอามาแนบไว้ข้างๆ แก้มของตัวเอง
"พี่ปลาทองไม่มีวันทิ้งหนู ไม่มีวัน..."
หยดน้ำตาลูกผู้ชายไหลอาบเนื้อนวลของคนฝันร้าย มันบอกไม่ถูกว่าตอนนี้ควรรู้สึกเช่นไร ควรดีใจ หรือเจ็บปวด เจ็บปวดที่เคยทำร้ายเธอ
"อย่าร้องนะคนดี พี่อยู่ตรงนี้ พี่ไม่ทิ้งหนูไปไหนหรอก"
ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเบาๆ เหตุใดวันนี้ฝันร้ายที่เคยน่ากลัวมันกลับรู้สึกอบอุ่นกว่าทุกๆ วัน ความกลัวที่เคยมีมลายหายไปในพริบตา เธอบีบมือคู่นั้นแน่นโดยไม่รู้เลยว่าสิ่งที่สัมผัสอยู่มันคือของจริงไม่ใช่ความฝัน
หญิงสาวยกมือขึ้นบังแสงแดดที่สาดส่องเข้ามา ก่อนจะดีดตัวขึ้นนั่งพลางหันมองนาฬิกามันบอกเวลาหกโมงตรง วันนี้วันหยุดและคุณย่าก็นัดไปเดินห้างเป็นเพื่อน เธอจึงจำเป็นที่จะต้องตื่นเช้ากว่าวันหยุดวันอื่น
หญิงชราจับจูงมือหลานสาวเข้าร้านนั้นออกร้านนี้ โดยมีคนถือของเป็นหลานชายคนโตที่พ่วงท้ายมาด้วยตำแหน่งสามีของหญิงสาวที่เดินอยู่ข้างๆ นาง
"ย่าชักหิวแล้วสิ"
"งั้นไปหาอะไรอร่อยๆ ทานกันดีกว่าค่ะ"คนชรายิ้มหวานเมื่อหลานสะใภ้เอ่ยถูกใจ
อาหารมากมายถูกสั่งมาวางบนโต๊ะก่อนที่หญิงสาวจะกวาดมองเมนูแต่ล่ะอย่าง เธอกินได้เพียงอย่างสองอย่างเท่านั้น เพราะจานอื่นๆ ล้วนแล้วแต่มีของที่เธอแพ้ผสมมาด้วยเกือบเก้าสิบเปอร์เซ็นต์และเมนูเหล่านั้นก็ถูกสั่งมาโดยชายหนุ่มร่างสูงที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกับเธอ
"อร่อยนะ ลองชิมดู"ไก่ผัดเม็ดมะม่วงถูกตักวางลงบนจานข้าวของเธอโดยคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี
นึกเอะใจที่อยู่ๆ ก็มาทำดีด้วย คงจะเป็นเฉพาะที่อยู่ต่อหน้าคุณย่ากระมัง
หญิงชราแอบยิ้มชอบใจกับภาพตรงหน้า...
ทว่าหญิงสาวกลับทอดมองเม็ดมะม่วงในจานด้วยท่าทางคิดหนัก ส่วนอีกคนก็จ้องมองด้วยแววตาลุ้นระทึกยิ่งกว่าลุ้นราคาหุ้นเสียอีก
"ฟ้าแพ้เม็ดมะม่วงค่ะ"
นั่นปะไร! คิดไว้ไม่มีผิด
อยากจะตบหน้าขาตัวเองดังๆ เมื่อได้ยินสิ่งที่เธอเอ่ยบอก
"อ้าว หรอครับ"น้ำเสียงเรียบนิ่งทั้งๆ ที่ในใจนั้นเต้นโครมครามราวกับเสียงฟ้าร้องในยามที่พายุเข้า
"อยู่ด้วยกันยังไง ไม่รู้ว่าเมียแพ้"
"แหม่...คุณย่าครับ ยังไงตอนนี้ผมก็รู้แล้วหนิครับ"เอ่ยด้วยท่าทางออดอ้อนเพราะไม่อยากได้ยินเสียงบ่นของผู้เป็นย่า
"แล้วกุ้งล่ะกินได้หรือเปล่า? "ทำท่าทางตักกุ้งไปให้หญิงสาว แต่!
"แพ้เหมือนกันค่ะ"
อยากจะยิ้มออกมาที่ได้ยินเช่นนั้นแต่ก็ต้องเก็บอาการเดี๋ยวแม่สาวน้อยจะรู้ตัวเสียก่อน แต่กระนั้นมุมปากก็เผลอกระตุกเล็กน้อย เกือบยิ้มแล้วเรา...
ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง ทั้งสามก็ยังคงนั่งอยู่ที่ร้านเครื่องเพชรเหมือนเดิม หญิงชรากวาดสายตามองเครื่องประดับหลากหลายรูปแบบพลางหันมองหลานสาวสลับกันไปมาเพราะอยากจะซื้อให้เธอเป็นของขวัญแต่ก็ไม่ได้บอกเพราะกะว่าจะเซอร์ไพรให้แปลกใจเล่น
"อ่ะ ขนม"เงยหน้ามองคนที่ยื่นขนมปังให้
"ขนมอะไรคะ? "รับมาก่อนจะเอ่ยถาม
"ขนมปังไส้เผือก ร้านนี้อร่อยนะ"
"อร่อย? รู้ได้ไงคะ คุณแพ้เผือกหนิ แล้วรู้ได้ไงว่าอร่อย? "
เธอรู้! เขาชะงักมองเธอนิ่ง เป็นเธอจริงๆ หรือ? ฑิฆัมพร...
หญิงสาวเพิ่งจะรู้ตัวว่าเผลอพูดบางอย่างออกไปจึงทำเป็นหันมากินขนมปังแทนเพราะรู้สึกหวั่นๆ กับแววตาที่จ้องมองไม่ยอมละไปทางอื่น
"คุณรู้ได้ไงว่าผมแพ้เผือก? "แววตานั้นจ้องจับผิดราวกับว่าเธอไปทำอะไรไม่ดีมา
"เอ่อ...พี่รีบอกค่ะ"
"คุณรีไม่รู้ ผมไม่เคยบอกใครนอกจากคนในครอบครัว"
"เอ่อ..."เอ่ยติดๆ ขัดๆ ไม่รู้จะแก้ตัวเช่นไร ก่อนที่ดวงตากลมสวยจะเบิกกว้างเมื่อเหลือบเห็นกลุ่มคนที่เดินอยู่ด้านหลังของชายหนุ่ม
"เอ่อ...เอ่อ..คุณย่าคะ หนูขอไปเข้าห้องน้ำสักครู่นะคะ"
หันไปบอกผู้เป็นย่าก่อนจะรีบวิ่งออกไปทันทีปล่อยให้ชายหนุ่มเหลียวตามด้วยท่าทางงุนงง ร่างสูงหันไปมองด้านหลังเพราะสังเกตเห็นว่าก่อนที่เธอจะไปเหมือนเธอจะเห็นอะไรบางอย่าง
ใบหน้าคมแสดงชัดว่าไม่พอใจ เมื่อเห็นร่างสูงที่เคยหอมแก้มเมียตัวเองอยู่ข้างถนนโดยไม่อายฟ้าอายดินเดินอยู่ไม่ไกล
ออ...ที่วิ่งแจ้นออกไปเมื่อครู่ก็คงจะหนีชู้สิท่า กลัวว่าคุณย่าจะเห็นกระมัง นึกเองเออเองอย่างคับแค้นใจ
"สวัสดีค่ะท่านประธาน คุณหญิง มาเที่ยวห้างกันหรือคะ? "
สาวสองประจำบริษัทเอ่ยทักทายผู้บริหาร ใจจริงก็ไม่อยากเดินเข้ามาหรอกแต่เพราะกลัวจะเสียมารยาทจึงเข้ามา แม้ในใจจะหวาดหวั่นกับแววตาแสนดุดันนั้นเต็มทน
"จ๊ะ แล้วพวกเธอมาเที่ยวเหมือนกันหรือ? "
"ค่ะ อากาศมันร้อน ก็เลยมาเดินตากแอร์เล่นน่ะค่ะ"
หญิงชรายิ้มตอบอย่างเป็นมิตร ก่อนที่ขาเมาท์ทั้งสามที่ชอบทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ประจำบริษัทจะทำสีหน้าสงสัย
"เอ่อ...แล้วผู้หญิงที่นั่งอยู่ด้วยเมื่อครู่หายไปไหนแล้วล่ะคะ หลานสาวคุณหญิงหรอคะ? "เพราะรู้สึกคุ้นแปลกๆ จึงเอ่ยถาม
"จ๊ะ หลานสะใภ้น่ะ"
ทั้งสามเบิกตากว้างราวไข่ห่านก่อนจะหันขวับมองเจ้านายตัวเอง หลานสะใภ้! หากเป็นท่านรองก็คงไม่ใช่เพราะฝ่ายนั้นไม่มีท่าทีว่าจะชอบใครเป็นพิเศษและไม่เคยมีข่าวเกี่ยวกับผู้หญิงเลยสักคน แต่ท่านประธานนี้สิเพราะเขานั้นมีแฟนเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว แต่ว่าแต่งงานตอนไหนพวกเธอไม่เห็นจะรู้ ทั้งๆ ที่รู้ทุกเรื่องในบริษัทรู้ดีราวกับนอนใต้เตียงของคนคนนั้น แต่เหตุใดเรื่องนี้จึงไม่รู้!!!
"มองทำไม มีปัญหาหรอ? "น้ำเสียงเย็นชา คนถูกถามถึงกลับเสียวสันหลังวาบ
"เอ่อ...ปะ...เปล่าค่ะ งั้นพวกเราขอตัวก่อนนะคะ"วิ่งแจ้นออกไปเร็วยิ่งกว่าหญิงสาวเมื่อครู่เสียอีก
ชายหนุ่มชะเง้อมองหาคนตัวเล็ก เมื่อเธอไม่ยอมกลับมาสักที
"ไปไหน? "นึกสงสัยแต่ทำได้แค่เพียงนั่งมอง จะลุกไปตามก็ห่วงผู้เป็นย่า
ผ่านไปราวห้านาทีหญิงสาวก็เดินกลับมาหลังจากที่ยืนสังเกตการณ์อยู่สักพักว่าคนพวกนั้นกลับไปจนหมดแล้วจึงกล้าที่จะเดินออกมา
แต่ชายหนุ่มก็ต้องดีดตัวยืนขึ้นด้วยท่าทางหงุดหงิดเนื่องด้วยชายที่เขาเขม่นตั้งแต่แรกกำลังเดินเข้ามาหาภรรยาของตน ท่าทางสนิทสนมของทั้งสองยิ่งทำให้มือหนากำหมัดแน่น ไม่ชอบ...ไม่ชอบให้เธอยิ้มให้ผู้ชายคนไหนนอกจากเขา
"ย่าครับ เมียผมมีชู้ครับ"
เอ่ยฟ้องย่าราวกับเด็ก พลางชี้นิ้วให้ผู้เป็นย่าหันมอง ใบหน้าคมเข้มบูดบึ้งยิ่งกว่าปลาทูที่อัมพวาเสียอีก
"ตาเวพูดอะไรน่ะ? "
"ก็ดูสิครับเดินควงแขนกันมานู้นแล้ว"น้ำเสียงขึงขังเสียงลมหายใจฟึดฟัด ท่าทางอย่างกับเด็กที่ไม่พอใจกับอะไรบางอย่าง ผู้เป็นย่าทอดมองหลานชายคนโตด้วยความงุนงง
"คุณย่าคะ"เสียงหวานดังขึ้นแต่ชายหนุ่มกลับไม่เหลียวมอง ทว่าก็แอบใช้หางตาเหลือบมองเล็กน้อย
"อ้าว พาใครมาด้วยน่ะลูก? "
"นี้ ปกรณ์ค่ะเพื่อนฟ้าเอง ส่วนคนข้างหลังกวินค่ะ แฟนกรเขา"
คนที่เง้างอนเมื่อครู่หูผึ่งทันทีก่อนจะหันขวับไปมองชายทั้งสองที่ยืนอยู่ข้างๆ หญิงสาว ก็อดอมยิ้มออกมาไม่ได้อยากจะตบกระบาลตัวเองหึงหวงไม่ดูตาม้าตาเรือ นี้สินะที่เขาเรียกว่าหึงจนหูหนวกตาบอด มองไม่เห็นอะไรสักอย่าง หากความหึงหวงได้ครอบงำผู้ใดแล้วมันจะทำให้คนคนนั้นหูหนวกตาบอดทันที เขาก็เช่นกัน...
ที่เธอวิ่งหนีไปเมื่อครู่ก็คงจะหนีพนักงานบริษัทกระมัง เขานี้ชอบคิดอะไรไม่รู้เรื่อง!!!
คิ้วบางขมวดมุ่นด้วยความสงสัยเมื่อเห็นชายหนุ่มนั่งอมยิ้มอยู่เพียงลำพัง...ท่าจะบ้า!
เธอเอ่ยแนะนำทุกๆ คนให้รู้จักกัน ก่อนจะโบกมือลาเพื่อนตัวเอง
ยังคงเดินอยู่ที่ห้างเหมือนเดิม แต่ตอนนี้เปลี่ยนจากร้านเพชรพลอยมาเป็นร้านเสื้อผ้าแทน ร่างบางเดินเลือกชุดไปมาอยู่นานโดยที่ไม่รู้เลยว่ามีใครบางคนกำลังตีเนียนทำทีเป็นเดินเลี่ยงออกมาจากตรงที่ผู้เป็นย่ายืนอยู่ ก่อนจะค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ๆ หญิงสาวจนเธอนั้นเริ่มจะรู้ตัว
ฑิฆัมพรจึงหยุดเลือกชุดตรงหน้าพลางหันมองคนที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ โชนเสื้อผ้าผู้ชายอยู่อีกฝั่งแต่ไหงมายืนเลือกชุดเดรสอยู่ข้างๆ เธอ
"นี้! "เงยหน้ามองโดยไม่ได้พูดอะไร
"ขอโทษที่วันนั้นเข้าใจผิดนะ"
ขอโทษ...ช่วงนี้ได้ยินคำคำนี้จากเขาบ่อยเหลือเกิน ทว่ามันก็อบอุ่นหัวใจดี
"ชุดนี้สวยนะ"ยื่นมาให้เธอ เป็นชุดเดรสสีชมพูอ่อน
"หวานไป"
"เอ้า! ผู้หญิงเขาไม่ได้ชอบสีชมพูกันหมดทุกคนหรอกหรือ? "หญิงสาวส่ายหัวเบาๆ ก็นึกว่าจะเก่งเรื่องผู้หญิง
"ไม่ทุกคนหรอกค่ะ อย่างฉัน ฉันชอบโทนสีขาวดำมากกว่า"
ขาวดำ เก็บไว้ในหัวใจ จะได้ไม่ลืมว่าเธอนั้นชอบอะไร เขายิ่งเหมือนปลาทองอยู่ เหมือนกับชื่อที่เธอตั้งให้ เขามันความจำสั้น แต่ความจำสั้นแค่เพียงเรื่องเดียว และเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าเรื่องอะไร เรื่องอะไรนะ...ฑิฆัมพร บอกพี่ทีแหวน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ