เมียนอกสายตา
-
เขียนโดย Natthaphan
วันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 เวลา 22.55 น.
25 ตอน
3 วิจารณ์
21.81K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 23.00 น. โดย เจ้าของนิยาย
11) การกลับมา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความมือบางยกขึ้นกุมขมับทันทีที่ลุกขึ้นจากโซฟา รู้สึกมึนหัวไม่หาย ทว่าเพราะวันนี้ต้องกลับไปทำงานอย่างเก่า จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องตื่นแต่เช้าตรู่
งานบ้านงานเรือนเธอต้องรับผิดชอบเองทุกอย่าง โดยไม่ได้จ้างคนรับใช้เพราะเวหาบอกว่าเปลืองเงินเปลืองทอง ซึ่งนั้นมันก็เป็นอีกส่วนหนึ่งของแผนการกำจัดเธอด้วยเช่นกัน ทว่ามันไม่ได้ผล เพราะดูเหมือนว่าเธอก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน เล่นเอาชายหนุ่มถึงกลับหัวเสียเลยทีเดียว เนื่องด้วยคิดว่าเธอจะเป็นคุณหนูที่ทำอะไรไม่เป็นสักอย่างแต่ผิดคาดเธอทำได้ในระดับดีเยี่ยมเชียวล่ะ
เธอจัดเตรียมอาหารบนโต๊ะจนเสร็จก่อนจะหยิบกล่องแซนด์วิชของตัวเองแล้วสาวเท้าออกไปเรียกรถแท็กซี่ที่หน้าบ้าน
ชายหนุ่มที่พึ่งลงมา ทอดมองอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะก่อนจะมองตามร่างระหงที่ยืนอยู่หน้าบ้านเขม็ง
"ฉันจะคอยดูว่าเธอจะทนได้สักกี่น้ำ"
เขาพูดก่อนจะเดินผ่านอาหารเหล่านั้นไปโดยไม่แตะต้องมันเลยสักนิด
หญิงสาวนั่งลงบนเก้าอี้หน้าบ้าน ชะเง้อคอมองหารถแท็กซี่แต่เพราะมีพุ่มไม้บังอยู่ทำให้มองไม่ค่อยชัด เธอจึงลุกขึ้นยืนเพื่อที่จะมองดูรถได้ถนัดๆ
ปรี๊น!!!
เสียงแตร่รถดังมาจากในตัวบ้านก่อนที่มันจะพุ่งมาหาเธอด้วยความเร็วทว่าเธอนั้นหลบทัน หากหลบไม่ทันมีหวังได้โดนชนจนเจ็บตัวอีกแน่ๆ
เอี๊ยด~
เสียงเหยียบเบรกดังขึ้นก่อนที่รถจะหยุดลงข้างๆ เธอ กระจกรถฝั่งซ้ายถูกลดระดับลง ก่อนที่คนขับจะเอ่ยอะไรบางอย่างออกมา
"การทำงานที่ดีคืออย่าไปสายกว่าเจ้านายเข้าใจใช่ไหม...นักศึกษาฝึกงาน"
ว่าจบก็ขับรถออกไปทันที มือเรียวได้แต่กำแน่นด้วยความคับแค้นใจแต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากทน...
ร่างบางวิ่งหอบแฮกๆ เข้าไปในบริษัท ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ของตัวเอง ทุกคนต่างมองท่าทีของเธอด้วยความแปลกใจ
"รีบอะไรขนาดนั้นฟ้า"กมลเนตรเอ่ยถามรุ่นน้องด้วยความเป็นห่วงก่อนจะยื่นกระดาษทิชชูให้เธอซับเหงื่อ
"ท่านประธานมาหรือยังคะ? "
"ยังจ๊ะ ท่านบอกว่าวันนี้จะเข้าบริษัทสายๆ หน่อยนะจ๊ะ พอดีมีนัดน่ะ"
เขาแกล้งเธอ...
หญิงสาวนึกอย่างเจ็บใจก่อนจะทุบโต๊ะดังปัง ด้วยอารมณ์ขุ่นมัวจนพี่ๆ ถอยห่างกันเป็นแถบๆ
"ขอโทษทีค่ะ เดี๋ยวฟ้าขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ รู้สึกเหนียวหน้าน่ะค่ะ"
"จ๊ะ"
ชายหนุ่มในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มทอดมองหญิงสาวคนหนึ่งผ่านกระจกใสของร้านอาหาร เพียงแค่เห็นไกลๆ ก็จำได้ทันทีว่าเธอนั้นคือใคร รอยยิ้มที่แสนอบอุ่นและมีความสุข รอยยิ้มที่เขานั้นมีให้แค่คนที่เขารักปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมเข้ม
หญิงสาวเดินตรงเข้ามาหาชายหนุ่มก่อนจะส่งรอยยิ้มให้เขาแต่รอยยิ้มนั้นคลายว่ามีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ด้วย ซึ่งเวหาไม่ทันได้สังเกตจึงไม่นึกสงสัยอะไร ทั้งสองสวมกอดกันด้วยความคิดถึง เพียงไม่นานมีนาหรือมีนก็คลายอ้อมกอดนั้นออกเหมือนกับว่าเธอกำลังรักษาระยะห่างจนชายหนุ่มนึกแปลกใจ ทว่าก็ทำได้แค่ฉีกยิ้มเพื่อเก็บซ่อนคำถามนั้นไว้ในใจเพียงลำพัง
"เรียนเป็นยังไงบ้าง? "
คำถามแรกที่ถามหลังจากไม่ได้เจอกันนานช่างดูห่างเหินราวกับไม่ใช่คนรัก คงเพราะพักหลังๆ มีนาไม่ค่อยว่างคุยด้วย เธอบอกแต่ว่าช่วงนี้เรียนเยอะกว่าปกติเนื่องด้วยใกล้จะจบแล้ว เขาจึงไม่อยากโทรไป กลัวว่าจะรบกวนการเรียนของแฟนสาว มันจึงทำให้ความสัมพันธ์ของคนที่ไกลกันเหมือนจะลดน้อยลงเรื่อยๆ ตามระยะทาง แต่สำหรับเขา เขายังเชื่อว่าตนนั้นยังรักเธอเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน แต่ด้วยว่าตนก็มีชนักติดหลังอยู่เช่นกัน จึงไม่กล้าเรียกร้องอะไรเธอมาก
"ก็ดีค่ะ เยอะดี"
รอยยิ้มขบขันของชายหนุ่มหากใครบางคนมาเห็นคงจะเจ็บปวดไม่น้อย เพราะมันคงเป็นรอยยิ้มที่เธอไม่มีวันได้ครอบครอง ทั้งสองต่างพูดคุยกันเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อยๆ ก่อนที่เวลาจะล่วงเลยจนเกือบเที่ยงตรง เวหามีประชุมผู้บริหารจึงขอตัวกลับก่อน ทั้งสองกอดลากันเหมือนเช่นทุกๆ ครั้งแต่ครั้งนี้เหมือนว่ามันจะไม่เหมือนเดินจนชายหนุ่มเริ่มได้กลิ่นตุๆ จนคิดว่าแฟนสาวรู้เรื่องที่ตนนั้นแต่งงานกับคนอื่นแล้วแต่เธอทำเป็นไม่รู้เพราะรอให้เขาพูดเอง... เขาสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดก่อนจะฉีกยิ้มให้หญิงสาวตรงหน้าพร้อมโบกมือไปมาเมื่อเธอขึ้นรถไปแล้ว
ชายหนุ่มเดินผ่านโต๊ะเลขาอย่างเช่นทุกวันแต่คราวนี้คงมีอะไรดลจิตดลใจให้เขานั้นหันไปมองที่นักศึกษาฝึกงานจนแทบจะหันไปทั้งตัว ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนแต่หางตายังไม่อยากมอง
"คุณรี บอกนักศึกษาฝึกงานเข้าพบผมด้วย"
นารีรัตน์นึกงงกับเจ้านายตัวเอง ทั้งๆ ที่ฑิฆัมพรก็นั่งอยู่ข้างๆ เธอทำไมต้องมาบอกเธอให้ไปบอกน้องอีกที เจ้านายเธอนี้เป็นคนที่ซับซ้อนเสียเหลือเกิน
นารีรัตน์เตรียมจะอ้าปากบอกหญิงสาวรุ่นน้องแต่ก็ต้องชะงักงัน
"ได้ยินแล้วค่ะ"ว่าจบก็เดินหน้าบึ้งเข้าไปในห้องแห่งความตายทันที
ชายหนุ่มหมุนเก้าอี้กลับมาก่อนจะค่อยๆ ไล่สายตามองคนตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะเลื่อนกลับมามองที่มือของเธอ
"คงจะมีคนถามเยอะเลยสินะ ว่าเธอแต่งงานแล้วหรอ"น้ำเสียงคล้ายประชดประชันทำให้เธอยกมือข้างขวามากุมมือข้างซ้ายไว้แน่น
เป็นจริงอย่างที่เขาบอกพอพี่ๆ เห็นว่าเธอใสแหวนเพชรเม็ดใหญ่เท้าตาตุ่มที่นิ้วนางข้างซ้ายก็กรู่เข้ามาถามทันทีว่าเธอแต่งงานแล้วหรือ
'เปล่าค่ะ แหวนคุณแม่ให้มาน่ะค่ะ พอดีนิ้วอื่นมันใส่ไม่ได้มันใส่ได้แค่นิ้วนี้'
นั้นคือคำแก้ตัวที่ดูไม่ค่อยเนียนสักเท่าไหร่แต่ทุกคนก็พากันเชื่อจนสนิทใจ
"อยากโชว์ อยากอวด อยากให้คนอื่นรู้ ว่าได้แต่งงานกับประธานบริษัทสินะ"
"เปล่านะคะ ฉันก็แต่ใส่ไว้เฉยๆ "
เขาแสยะยิ้มด้วยท่าทีเย้ยหยัน
"อย่างเธอเนี้ยนะจะไม่มีเรื่องชั่วๆ ในใจ"
เหมือนเชือกบางๆ เส้นสุดท้ายขาดสะบั้น ความอดทนที่มีระเบิดออกทันทีที่เขานั้นพูดดูถูกเธอเกินไป หญิงสาวถอดแหวนนั้นออกก่อนจะกำมันไว้ในมือแทน
"คนอย่างฉันไม่เคยคิดเรื่องแบบนั้นหรอกค่ะ คงจะมีคุณคนเดียวล่ะมั้งที่คิดอะไรแบบนั้นได้"
เขาขบกรามแน่นทำให้มันนู่นขึ้นจนดูน่ากลัว มือหนาทุบโต๊ะดังปังเมื่อถูกหญิงสาวยอกย้อน
"อยากโดนเหมือนคราวก่อนหรือไง? "
"แหวนวงนี้ฉันจะใส่แค่ตอนที่อยู่บ้านกับตอนที่อยู่ต่อหน้าผู้หลักผู้ใหญ่ก็แล้วกัน คุณสบายใจได้ ฉันจะไม่ให้คนที่บริษัทรู้เด็ดขาด ถ้าจบธุระแสนสำคัญนี้แล้วดิฉันขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ"ว่าจบก็เดินลิ่วๆ ออกไปทันที
"คิดได้แบบนั้นก็ดี...ฉันจะได้ไม่ต้องพูดเองให้เมื่อยปาก"
โดยไม่ฟังแม้แต่คำประชดประชันจากชายหนุ่ม เธอไม่ได้ร้องไห้ให้กับคำพวกนั้นง่ายๆ อีกแล้ว คงเพราะมันเริ่มจะชินชาจนไม่รู้สึกอะไร และสักวันเธอคงจะไม่เจ็บปวดอะไรอีกเลย แม้เขานั้นจะใจร้ายกับเธอเพียงใด เพราะในตอนนั้นหัวใจเธออาจจะไร้ความรู้สึกไปแล้ว
เธอแบมือออกมองรอยแดงที่เกิดจากแรงกำแหวนก่อนที่มันจะรู้สึกเจ็บจี๊ดบริเวณอกข้างซ้าย หยาดน้ำตาหยดเผาะลงบนแหวนในมือของเธอทันที ก่อนที่เธอจะเก็บมันใส่ในกระเป๋าสะพายของตัวเองพร้อมซับคราบน้ำตาออกพร้อมกับเติมแป้งที่ใต้ตานิดหน่อยเพื่อไม่ให้ใครๆ นึกสงสัย
งานบ้านงานเรือนเธอต้องรับผิดชอบเองทุกอย่าง โดยไม่ได้จ้างคนรับใช้เพราะเวหาบอกว่าเปลืองเงินเปลืองทอง ซึ่งนั้นมันก็เป็นอีกส่วนหนึ่งของแผนการกำจัดเธอด้วยเช่นกัน ทว่ามันไม่ได้ผล เพราะดูเหมือนว่าเธอก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน เล่นเอาชายหนุ่มถึงกลับหัวเสียเลยทีเดียว เนื่องด้วยคิดว่าเธอจะเป็นคุณหนูที่ทำอะไรไม่เป็นสักอย่างแต่ผิดคาดเธอทำได้ในระดับดีเยี่ยมเชียวล่ะ
เธอจัดเตรียมอาหารบนโต๊ะจนเสร็จก่อนจะหยิบกล่องแซนด์วิชของตัวเองแล้วสาวเท้าออกไปเรียกรถแท็กซี่ที่หน้าบ้าน
ชายหนุ่มที่พึ่งลงมา ทอดมองอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะก่อนจะมองตามร่างระหงที่ยืนอยู่หน้าบ้านเขม็ง
"ฉันจะคอยดูว่าเธอจะทนได้สักกี่น้ำ"
เขาพูดก่อนจะเดินผ่านอาหารเหล่านั้นไปโดยไม่แตะต้องมันเลยสักนิด
หญิงสาวนั่งลงบนเก้าอี้หน้าบ้าน ชะเง้อคอมองหารถแท็กซี่แต่เพราะมีพุ่มไม้บังอยู่ทำให้มองไม่ค่อยชัด เธอจึงลุกขึ้นยืนเพื่อที่จะมองดูรถได้ถนัดๆ
ปรี๊น!!!
เสียงแตร่รถดังมาจากในตัวบ้านก่อนที่มันจะพุ่งมาหาเธอด้วยความเร็วทว่าเธอนั้นหลบทัน หากหลบไม่ทันมีหวังได้โดนชนจนเจ็บตัวอีกแน่ๆ
เอี๊ยด~
เสียงเหยียบเบรกดังขึ้นก่อนที่รถจะหยุดลงข้างๆ เธอ กระจกรถฝั่งซ้ายถูกลดระดับลง ก่อนที่คนขับจะเอ่ยอะไรบางอย่างออกมา
"การทำงานที่ดีคืออย่าไปสายกว่าเจ้านายเข้าใจใช่ไหม...นักศึกษาฝึกงาน"
ว่าจบก็ขับรถออกไปทันที มือเรียวได้แต่กำแน่นด้วยความคับแค้นใจแต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากทน...
ร่างบางวิ่งหอบแฮกๆ เข้าไปในบริษัท ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ของตัวเอง ทุกคนต่างมองท่าทีของเธอด้วยความแปลกใจ
"รีบอะไรขนาดนั้นฟ้า"กมลเนตรเอ่ยถามรุ่นน้องด้วยความเป็นห่วงก่อนจะยื่นกระดาษทิชชูให้เธอซับเหงื่อ
"ท่านประธานมาหรือยังคะ? "
"ยังจ๊ะ ท่านบอกว่าวันนี้จะเข้าบริษัทสายๆ หน่อยนะจ๊ะ พอดีมีนัดน่ะ"
เขาแกล้งเธอ...
หญิงสาวนึกอย่างเจ็บใจก่อนจะทุบโต๊ะดังปัง ด้วยอารมณ์ขุ่นมัวจนพี่ๆ ถอยห่างกันเป็นแถบๆ
"ขอโทษทีค่ะ เดี๋ยวฟ้าขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ รู้สึกเหนียวหน้าน่ะค่ะ"
"จ๊ะ"
ชายหนุ่มในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มทอดมองหญิงสาวคนหนึ่งผ่านกระจกใสของร้านอาหาร เพียงแค่เห็นไกลๆ ก็จำได้ทันทีว่าเธอนั้นคือใคร รอยยิ้มที่แสนอบอุ่นและมีความสุข รอยยิ้มที่เขานั้นมีให้แค่คนที่เขารักปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมเข้ม
หญิงสาวเดินตรงเข้ามาหาชายหนุ่มก่อนจะส่งรอยยิ้มให้เขาแต่รอยยิ้มนั้นคลายว่ามีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ด้วย ซึ่งเวหาไม่ทันได้สังเกตจึงไม่นึกสงสัยอะไร ทั้งสองสวมกอดกันด้วยความคิดถึง เพียงไม่นานมีนาหรือมีนก็คลายอ้อมกอดนั้นออกเหมือนกับว่าเธอกำลังรักษาระยะห่างจนชายหนุ่มนึกแปลกใจ ทว่าก็ทำได้แค่ฉีกยิ้มเพื่อเก็บซ่อนคำถามนั้นไว้ในใจเพียงลำพัง
"เรียนเป็นยังไงบ้าง? "
คำถามแรกที่ถามหลังจากไม่ได้เจอกันนานช่างดูห่างเหินราวกับไม่ใช่คนรัก คงเพราะพักหลังๆ มีนาไม่ค่อยว่างคุยด้วย เธอบอกแต่ว่าช่วงนี้เรียนเยอะกว่าปกติเนื่องด้วยใกล้จะจบแล้ว เขาจึงไม่อยากโทรไป กลัวว่าจะรบกวนการเรียนของแฟนสาว มันจึงทำให้ความสัมพันธ์ของคนที่ไกลกันเหมือนจะลดน้อยลงเรื่อยๆ ตามระยะทาง แต่สำหรับเขา เขายังเชื่อว่าตนนั้นยังรักเธอเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน แต่ด้วยว่าตนก็มีชนักติดหลังอยู่เช่นกัน จึงไม่กล้าเรียกร้องอะไรเธอมาก
"ก็ดีค่ะ เยอะดี"
รอยยิ้มขบขันของชายหนุ่มหากใครบางคนมาเห็นคงจะเจ็บปวดไม่น้อย เพราะมันคงเป็นรอยยิ้มที่เธอไม่มีวันได้ครอบครอง ทั้งสองต่างพูดคุยกันเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อยๆ ก่อนที่เวลาจะล่วงเลยจนเกือบเที่ยงตรง เวหามีประชุมผู้บริหารจึงขอตัวกลับก่อน ทั้งสองกอดลากันเหมือนเช่นทุกๆ ครั้งแต่ครั้งนี้เหมือนว่ามันจะไม่เหมือนเดินจนชายหนุ่มเริ่มได้กลิ่นตุๆ จนคิดว่าแฟนสาวรู้เรื่องที่ตนนั้นแต่งงานกับคนอื่นแล้วแต่เธอทำเป็นไม่รู้เพราะรอให้เขาพูดเอง... เขาสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดก่อนจะฉีกยิ้มให้หญิงสาวตรงหน้าพร้อมโบกมือไปมาเมื่อเธอขึ้นรถไปแล้ว
ชายหนุ่มเดินผ่านโต๊ะเลขาอย่างเช่นทุกวันแต่คราวนี้คงมีอะไรดลจิตดลใจให้เขานั้นหันไปมองที่นักศึกษาฝึกงานจนแทบจะหันไปทั้งตัว ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนแต่หางตายังไม่อยากมอง
"คุณรี บอกนักศึกษาฝึกงานเข้าพบผมด้วย"
นารีรัตน์นึกงงกับเจ้านายตัวเอง ทั้งๆ ที่ฑิฆัมพรก็นั่งอยู่ข้างๆ เธอทำไมต้องมาบอกเธอให้ไปบอกน้องอีกที เจ้านายเธอนี้เป็นคนที่ซับซ้อนเสียเหลือเกิน
นารีรัตน์เตรียมจะอ้าปากบอกหญิงสาวรุ่นน้องแต่ก็ต้องชะงักงัน
"ได้ยินแล้วค่ะ"ว่าจบก็เดินหน้าบึ้งเข้าไปในห้องแห่งความตายทันที
ชายหนุ่มหมุนเก้าอี้กลับมาก่อนจะค่อยๆ ไล่สายตามองคนตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะเลื่อนกลับมามองที่มือของเธอ
"คงจะมีคนถามเยอะเลยสินะ ว่าเธอแต่งงานแล้วหรอ"น้ำเสียงคล้ายประชดประชันทำให้เธอยกมือข้างขวามากุมมือข้างซ้ายไว้แน่น
เป็นจริงอย่างที่เขาบอกพอพี่ๆ เห็นว่าเธอใสแหวนเพชรเม็ดใหญ่เท้าตาตุ่มที่นิ้วนางข้างซ้ายก็กรู่เข้ามาถามทันทีว่าเธอแต่งงานแล้วหรือ
'เปล่าค่ะ แหวนคุณแม่ให้มาน่ะค่ะ พอดีนิ้วอื่นมันใส่ไม่ได้มันใส่ได้แค่นิ้วนี้'
นั้นคือคำแก้ตัวที่ดูไม่ค่อยเนียนสักเท่าไหร่แต่ทุกคนก็พากันเชื่อจนสนิทใจ
"อยากโชว์ อยากอวด อยากให้คนอื่นรู้ ว่าได้แต่งงานกับประธานบริษัทสินะ"
"เปล่านะคะ ฉันก็แต่ใส่ไว้เฉยๆ "
เขาแสยะยิ้มด้วยท่าทีเย้ยหยัน
"อย่างเธอเนี้ยนะจะไม่มีเรื่องชั่วๆ ในใจ"
เหมือนเชือกบางๆ เส้นสุดท้ายขาดสะบั้น ความอดทนที่มีระเบิดออกทันทีที่เขานั้นพูดดูถูกเธอเกินไป หญิงสาวถอดแหวนนั้นออกก่อนจะกำมันไว้ในมือแทน
"คนอย่างฉันไม่เคยคิดเรื่องแบบนั้นหรอกค่ะ คงจะมีคุณคนเดียวล่ะมั้งที่คิดอะไรแบบนั้นได้"
เขาขบกรามแน่นทำให้มันนู่นขึ้นจนดูน่ากลัว มือหนาทุบโต๊ะดังปังเมื่อถูกหญิงสาวยอกย้อน
"อยากโดนเหมือนคราวก่อนหรือไง? "
"แหวนวงนี้ฉันจะใส่แค่ตอนที่อยู่บ้านกับตอนที่อยู่ต่อหน้าผู้หลักผู้ใหญ่ก็แล้วกัน คุณสบายใจได้ ฉันจะไม่ให้คนที่บริษัทรู้เด็ดขาด ถ้าจบธุระแสนสำคัญนี้แล้วดิฉันขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ"ว่าจบก็เดินลิ่วๆ ออกไปทันที
"คิดได้แบบนั้นก็ดี...ฉันจะได้ไม่ต้องพูดเองให้เมื่อยปาก"
โดยไม่ฟังแม้แต่คำประชดประชันจากชายหนุ่ม เธอไม่ได้ร้องไห้ให้กับคำพวกนั้นง่ายๆ อีกแล้ว คงเพราะมันเริ่มจะชินชาจนไม่รู้สึกอะไร และสักวันเธอคงจะไม่เจ็บปวดอะไรอีกเลย แม้เขานั้นจะใจร้ายกับเธอเพียงใด เพราะในตอนนั้นหัวใจเธออาจจะไร้ความรู้สึกไปแล้ว
เธอแบมือออกมองรอยแดงที่เกิดจากแรงกำแหวนก่อนที่มันจะรู้สึกเจ็บจี๊ดบริเวณอกข้างซ้าย หยาดน้ำตาหยดเผาะลงบนแหวนในมือของเธอทันที ก่อนที่เธอจะเก็บมันใส่ในกระเป๋าสะพายของตัวเองพร้อมซับคราบน้ำตาออกพร้อมกับเติมแป้งที่ใต้ตานิดหน่อยเพื่อไม่ให้ใครๆ นึกสงสัย
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ