เพียงพริบตา
-
8) บทที่หนึ่ง จากหมู่บ้านที่อดอยาก : ถึงจุดหมาย (2)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่หนึ่ง จากหมู่บ้านที่อดอยาก : ถึงจุดหมาย (2)
อิซาจิ โคมาโนะและสึซึผ่านเข้าไปในประตูใหญ่ ท่ามกลางผู้คนที่เดินสวนกันไปมาโดยไม่ขาดสาย
ผู้ชายนั้นสามารถเข้าออกได้อย่างอิสระ แต่การเข้าออกของผู้หญิงจะถูกควบคุมอย่างเข้มงวด ผู้หญิงที่ผ่านประตูใหญ่เข้ามาเพราะธุระปะปังก็มี แต่ในกรณีนั้นหากไม่ได้รับตั๋วผ่านทางจากร้านที่เรียกกันว่าร้านน้ำชาขายตั๋ว ต่อให้เสร็จธุระแล้วก็จะออกไปทางประตูใหญ่ไม่ได้ สำหรับโคมาโนและสึซึที่ไม่สามารถออกไปจากที่นั่นได้จนกว่าจะหมดสัญญาแล้ว ตั๋วผ่านทางคือสิ่งไม่จำเป็น
เมื่อเข้าประตูใหญ่มาแล้วเลี้ยวขวาทันทีก็จะพบกับสมาคม ที่นั่นถูกเรียกว่าสมาคมทหารยามชิโร่ [1] เพราะมีหัวหน้าทหารยามชิโร่ของหอระดับสูงในสมัยก่อนคือหอมิอุระมาประจำการ และมีผู้ตรวจตราที่ถูกหอคณิกาอื่นๆ จ้างมาอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน คอยเฝ้าดูไม่ให้หญิงคณิกาหลบหนีได้
ทางด้านซ้ายของประตูมีป้อมตำรวจ มีผู้ช่วยผู้ตรวจตราอย่างลับๆ ของฝ่ายปกครองและตำรวจกับอาสาสมัครมาประจำอยู่ คอยดูหน้าของลูกค้าที่เข้าออก จับตามองว่าเป็นพวกที่อยู่ในประกาศจับหรือมีพฤติกรรมน่าสงสัยหรือไม่ นอกจากตรงนี้แล้วยังมีป้อมอีกหลายแห่งสร้างขึ้นติดกับกำแพงของหอคณิกาและมีเจ้าหน้าที่คอยประจำอยู่
ถนนใหญ่ที่อยู่ตรงจากประตูใหญ่ไปสุดทางนั้นคือถนนนากะโนะโจ เชื่อมต่อกับตรอกที่แผ่กว้างไปทั้งสองข้างทางจากตรงนั้น ตรอกเหล่านั้นยังถูกนำไปใช้เป็นชื่อย่าน เรียงกันตามลำดับจากตรอกทางขวานับไปว่าเอโดะโจอิจโจเมะ อาเงะยะมาจิ เคียวมาจิอิจโจเมะ และที่เรียงจากตรอกทางซ้ายเป็นลำดับเรียกว่าเอโดะโจนิโจเมะ สึมิโจ และเคียวมาจินิโจเมะ ปลายทางด้านขวาคือชายฝั่งโจเน็น ปลายทางด้านซ้ายคือชายฝั่งระโชมง
ร้านที่เรียงรายสองเต็มข้างทางของถนนนากะโนะโจนั้นจะแขวนมู่ลี่ที่สานมาจากกิ่งไผ่อยู่ข้างหน้าร้าน วางม้านั่งบุเสื่อตาตามิ ร้านเหล่านั้นล้วนแต่เป็นร้านน้ำชา เรียกกันว่าร้านน้ำชานายหน้า โดยทั่วไปจะมีหน้าที่แนะนำหญิงคณิกาหรือหอนางโลมให้กับแขก มีกิจการคือให้เช่าห้องรับรอง และคอยติดตามรับส่งแขกที่ไปยังหอคณิกา
อิซาจิพาทั้งสองคนเดินไปบนถนนนากะโนะโจ
※※※※
“หอช่วงกลางวันเพิ่งจบไปหมาดๆ ลูกค้าเลยน้อย หากผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยามก็จะครึกครื้นขึ้นมา ข้าจะพาพวกเจ้าไปส่งก่อนถึงเวลานั้น”
อิซาจิเลี้ยวขวาที่แยกแรกแล้วเดินผ่านเข้าประตูไม้ไป หัวมุมที่เลี้ยวเข้าตรอกนั้นมีประตูไม้ตั้งอยู่ เมื่อลอดผ่านประตูเข้าไปชื่อย่านจะเปลี่ยน ที่นั่นคือย่านเอโดะโจอิจโจเมะ ติดตั้งลูกกรงสีสนิมแดงเรียงต่อกัน เป็นย่านที่มีตึกหอคณิกาซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นหอระดับสูงและหอระดับกลางตั้งอยู่เรียงราย
เด็กทั้งสองคนเหม่อลอยกับภาพทิวทัศน์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน พร้อมๆ กับความประหม่าที่ล้นทะลัก
อิซาจิเหลือบมองร้านสองข้างทาง แต่ยังคงเดินต่อไปอีกสักพัก แล้วหยุดยืนหน้าหอที่มีโคมเขียนว่า ‘โองิยะ’ เป็นหอระดับสูงมีทางเข้ากว้างราวสิบสามมะ ตรงทางเข้าทั้งสองข้างเป็นโซมะงาคิ มะงาคิก็คือบานประตูลูกกรงที่อยู่ระหว่างทางเข้าหอ ถูกแบ่งประเภทแยกกันออกไป โดยหอระดับสูงนั้นจะเรียกประตูลูกกรงว่าโซมะงาคิ หอระดับกลางจะเป็นฮังมะงาคิ ส่วนหอระดับล่างจะเป็นลูกกรงเล็ก ซึ่งกลายมาเป็นเกณฑ์ใช้แบ่งระดับของหอคณิกา
เมื่อลอดผ้าม่านหน้าร้านเข้าไปจะเป็นทางเดินทอดยาวจากยกพื้นตรงทางเข้าไปยังด้านในสุด ด้านซ้ายเป็นโถงดินกว้าง กระสอบข้าวและถังเหล้านั้นซ้อนกันจนถึงเพดานเป็นภาพน่าตื่นตา ส่วนทางขวานั้นเป็นห้องโถงกว้าง เอ่อล้นไปด้วยเหล่าหญิงสาวจำนวนนับไม่ถ้วนประดับประดาด้วยเครื่องประดับผมและชุดกิโมโนสีสันฉูดฉาด
บันไดขนาดใหญ่ที่คาดว่าอาจจะมีความกว้างสองมะตั้งอยู่ตรงกึ่งกลางโถงใหญ่ มุ่งขึ้นไปยังชั้นบน บนชั้นสองนั้นมีระเบียงหน้าห้องเชื่อมต่อห้องที่อยู่บนนั้นเข้าด้วยกัน
พริบตาที่โคมาโนะเข้าไปในร้าน ก็ถูกกลิ่นประหลาดเข้าจู่โจมจนขมวดคิ้วโดยไม่ได้ตั้งใจ กลิ่นของไม้ดิบกับสีทาเคลือบไม้ กลิ่นของเสื่อตาตามิ กลิ่นแป้ง กลิ่นคนกำลังหุงข้าว กลิ่นพวกนั้นผสมปนเปกันจนกลายเป็นกลิ่นพิเศษแบบหนึ่ง ห่อหุ้มตัวโคมาโนะ จากนั้นกลายเป็นความพะอืดพะอมจนดังโงะที่กินเข้าไปเมื่อกี้ไหลย้อนขึ้นมา แต่เธอก็กลั้นมันเอาไว้เท่าที่จะทำได้
“เจ้าไปอยู่ข้างหลังข้าเสีย”
อิซาจิสั่งแล้วดันหลังของสึซึกับโคมาโนะ เมื่อกระแอมหนึ่งครั้งก็ส่งเสียงสูงแปลกๆ ดังก้องไปทั่วร้านว่า “...ข้าคือคนจากร้านฟุซายะขอรับ มาขอพบยาริเทะโอโทโยะซังขอรับ” เป็นน้ำเสียงที่แตกต่างไม่เคยได้ยินมาก่อนระหว่างเดินทางแปดวัน ซ้ำยังเอ่ยพูดด้วยรอยยิ้มพลางบีบนวดมือทั้งสองข้าง
‘เจ้าเซเง็นคนนี้เป็นพวกขี้ปดจริงด้วย’ โคมาโนะคิด อิซาจิเขกหัวโคมาโนะไปหนึ่งทีราวกับอ่านใจได้
ผ่านไปสักพัก ก็รู้สึกตัวว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ในเงาของบันไดใหญ่ เป็นผู้หญิงร่างอ้วนเหมือนหมูป่า แผ่สายตาน่ากลัวจ้องมองมาทางนี้
ยาริเทะโอโทโยะซังนั่นเอง คำเรียกยาริเทะหมายถึงคืออดีตหญิงคณิกาที่ยังคงอาศัยอยู่ในหอคณิกาแม้จะหมดอายุสัญญาแล้ว เป็นผู้จัดการทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับหอ บางครั้งก็เรียกกันว่าป้ายาริเทะ
โอโทโยะเปลี่ยนสีหน้าเป็นอ่อนลงแล้วยืนตระหง่านอยู่บนยกพื้น
“อิซาจิซังแห่งร้านฟุซายะมิใช่รึ อย่าทำให้ตกใจสิ ถ้าใช่ก็บอกมา”
“ข้าก็พูดเช่นนั้นแล้ว”
“อย่างนั้นรึ? คนที่มาเรียกข้าไม่ได้พูดอะไร คิดว่าเจ้าหนี้มาทวงเงินเสียอีก... ที่นี่มีผู้หญิงนิสัยเสียอยู่เยอะด้วย วันนี้เป็นวันรับคนอย่างนั้นรึ ข้าลืมไปเสียสนิท เด็กที่มาคือคนไหนล่ะ?”
“เด็กคนนี้ขอรับ ชื่อว่าโคมาโนะ”
โคมาโนะถูกผลักหลังให้ก้าวมาด้านหน้า
โอโทโยะบุ้ยคางเป็นชั้นไปยังสึซึ
“แล้วเด็กคนนี้เล่า?”
“เด็กคนนี้จะต้องไปหออื่นน่ะขอรับ”
สายตาและท่าทีของโอโทโยะดูร้ายกาจมากขึ้น
“ที่คุยกันไว้ไม่ใช่แบบนี้นี่ เด็กที่จะมาเข้าหอมิใช่เด็กอายุสิบสองรึ? เด็กคนนี้ดูอย่างไรก็เพียงแค่หกเจ็ดขวบ...”
“ใช่ขอรับ แต่เด็กคนนั้นเป็นโรคติดต่อตายไปเสียแล้วระหว่างทาง...”
“เจ้าเป็นเซเง็นมิใช่รึ ข้าละไม่อยากจะเชื่อว่าเจ้าทำให้สินค้าเสียหาย ช่วยไม่ได้... ข้าจะรับของสำรองเอาไว้ก็แล้วกัน ขอเป็นเด็กคนนั้นไม่ได้รึ เด็กคนนั้นดูท่าทางจะเป็นของชั้นเยี่ยม ข้าไม่อยากได้เด็กตัวกะเปี๊ยกแบบนี้”
โอโทโยะจ้องมองสึซึด้วยท่าทีเอาเปรียบอย่างชัดเจน
..........................................
-- อ่านต่อได้ที่ bit.ly/2qfjQyi --
ติดตามโปรเจกต์เสี่ยวเปยและร่วมพูดคุยกับพวกเราได้ที่
https://www.facebook.com/xiaobei.fiction
[1] ทหารยามชิโร่ คือทหารยามที่จะอยู่เวรกันครั้งละ 4 คน สับเปลี่ยนเวรยามกันวันละ 3 กะ ดังนั้นจึงเรียกว่า ชิโร่ มาจาก ชิ (四) ที่แปลว่า 4 และ โร่ (郎) ที่หมายถึงผู้ชาย
อิซาจิ โคมาโนะและสึซึผ่านเข้าไปในประตูใหญ่ ท่ามกลางผู้คนที่เดินสวนกันไปมาโดยไม่ขาดสาย
ผู้ชายนั้นสามารถเข้าออกได้อย่างอิสระ แต่การเข้าออกของผู้หญิงจะถูกควบคุมอย่างเข้มงวด ผู้หญิงที่ผ่านประตูใหญ่เข้ามาเพราะธุระปะปังก็มี แต่ในกรณีนั้นหากไม่ได้รับตั๋วผ่านทางจากร้านที่เรียกกันว่าร้านน้ำชาขายตั๋ว ต่อให้เสร็จธุระแล้วก็จะออกไปทางประตูใหญ่ไม่ได้ สำหรับโคมาโนและสึซึที่ไม่สามารถออกไปจากที่นั่นได้จนกว่าจะหมดสัญญาแล้ว ตั๋วผ่านทางคือสิ่งไม่จำเป็น
เมื่อเข้าประตูใหญ่มาแล้วเลี้ยวขวาทันทีก็จะพบกับสมาคม ที่นั่นถูกเรียกว่าสมาคมทหารยามชิโร่ [1] เพราะมีหัวหน้าทหารยามชิโร่ของหอระดับสูงในสมัยก่อนคือหอมิอุระมาประจำการ และมีผู้ตรวจตราที่ถูกหอคณิกาอื่นๆ จ้างมาอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน คอยเฝ้าดูไม่ให้หญิงคณิกาหลบหนีได้
ทางด้านซ้ายของประตูมีป้อมตำรวจ มีผู้ช่วยผู้ตรวจตราอย่างลับๆ ของฝ่ายปกครองและตำรวจกับอาสาสมัครมาประจำอยู่ คอยดูหน้าของลูกค้าที่เข้าออก จับตามองว่าเป็นพวกที่อยู่ในประกาศจับหรือมีพฤติกรรมน่าสงสัยหรือไม่ นอกจากตรงนี้แล้วยังมีป้อมอีกหลายแห่งสร้างขึ้นติดกับกำแพงของหอคณิกาและมีเจ้าหน้าที่คอยประจำอยู่
ถนนใหญ่ที่อยู่ตรงจากประตูใหญ่ไปสุดทางนั้นคือถนนนากะโนะโจ เชื่อมต่อกับตรอกที่แผ่กว้างไปทั้งสองข้างทางจากตรงนั้น ตรอกเหล่านั้นยังถูกนำไปใช้เป็นชื่อย่าน เรียงกันตามลำดับจากตรอกทางขวานับไปว่าเอโดะโจอิจโจเมะ อาเงะยะมาจิ เคียวมาจิอิจโจเมะ และที่เรียงจากตรอกทางซ้ายเป็นลำดับเรียกว่าเอโดะโจนิโจเมะ สึมิโจ และเคียวมาจินิโจเมะ ปลายทางด้านขวาคือชายฝั่งโจเน็น ปลายทางด้านซ้ายคือชายฝั่งระโชมง
ร้านที่เรียงรายสองเต็มข้างทางของถนนนากะโนะโจนั้นจะแขวนมู่ลี่ที่สานมาจากกิ่งไผ่อยู่ข้างหน้าร้าน วางม้านั่งบุเสื่อตาตามิ ร้านเหล่านั้นล้วนแต่เป็นร้านน้ำชา เรียกกันว่าร้านน้ำชานายหน้า โดยทั่วไปจะมีหน้าที่แนะนำหญิงคณิกาหรือหอนางโลมให้กับแขก มีกิจการคือให้เช่าห้องรับรอง และคอยติดตามรับส่งแขกที่ไปยังหอคณิกา
อิซาจิพาทั้งสองคนเดินไปบนถนนนากะโนะโจ
※※※※
“หอช่วงกลางวันเพิ่งจบไปหมาดๆ ลูกค้าเลยน้อย หากผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยามก็จะครึกครื้นขึ้นมา ข้าจะพาพวกเจ้าไปส่งก่อนถึงเวลานั้น”
อิซาจิเลี้ยวขวาที่แยกแรกแล้วเดินผ่านเข้าประตูไม้ไป หัวมุมที่เลี้ยวเข้าตรอกนั้นมีประตูไม้ตั้งอยู่ เมื่อลอดผ่านประตูเข้าไปชื่อย่านจะเปลี่ยน ที่นั่นคือย่านเอโดะโจอิจโจเมะ ติดตั้งลูกกรงสีสนิมแดงเรียงต่อกัน เป็นย่านที่มีตึกหอคณิกาซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นหอระดับสูงและหอระดับกลางตั้งอยู่เรียงราย
เด็กทั้งสองคนเหม่อลอยกับภาพทิวทัศน์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน พร้อมๆ กับความประหม่าที่ล้นทะลัก
อิซาจิเหลือบมองร้านสองข้างทาง แต่ยังคงเดินต่อไปอีกสักพัก แล้วหยุดยืนหน้าหอที่มีโคมเขียนว่า ‘โองิยะ’ เป็นหอระดับสูงมีทางเข้ากว้างราวสิบสามมะ ตรงทางเข้าทั้งสองข้างเป็นโซมะงาคิ มะงาคิก็คือบานประตูลูกกรงที่อยู่ระหว่างทางเข้าหอ ถูกแบ่งประเภทแยกกันออกไป โดยหอระดับสูงนั้นจะเรียกประตูลูกกรงว่าโซมะงาคิ หอระดับกลางจะเป็นฮังมะงาคิ ส่วนหอระดับล่างจะเป็นลูกกรงเล็ก ซึ่งกลายมาเป็นเกณฑ์ใช้แบ่งระดับของหอคณิกา
เมื่อลอดผ้าม่านหน้าร้านเข้าไปจะเป็นทางเดินทอดยาวจากยกพื้นตรงทางเข้าไปยังด้านในสุด ด้านซ้ายเป็นโถงดินกว้าง กระสอบข้าวและถังเหล้านั้นซ้อนกันจนถึงเพดานเป็นภาพน่าตื่นตา ส่วนทางขวานั้นเป็นห้องโถงกว้าง เอ่อล้นไปด้วยเหล่าหญิงสาวจำนวนนับไม่ถ้วนประดับประดาด้วยเครื่องประดับผมและชุดกิโมโนสีสันฉูดฉาด
บันไดขนาดใหญ่ที่คาดว่าอาจจะมีความกว้างสองมะตั้งอยู่ตรงกึ่งกลางโถงใหญ่ มุ่งขึ้นไปยังชั้นบน บนชั้นสองนั้นมีระเบียงหน้าห้องเชื่อมต่อห้องที่อยู่บนนั้นเข้าด้วยกัน
พริบตาที่โคมาโนะเข้าไปในร้าน ก็ถูกกลิ่นประหลาดเข้าจู่โจมจนขมวดคิ้วโดยไม่ได้ตั้งใจ กลิ่นของไม้ดิบกับสีทาเคลือบไม้ กลิ่นของเสื่อตาตามิ กลิ่นแป้ง กลิ่นคนกำลังหุงข้าว กลิ่นพวกนั้นผสมปนเปกันจนกลายเป็นกลิ่นพิเศษแบบหนึ่ง ห่อหุ้มตัวโคมาโนะ จากนั้นกลายเป็นความพะอืดพะอมจนดังโงะที่กินเข้าไปเมื่อกี้ไหลย้อนขึ้นมา แต่เธอก็กลั้นมันเอาไว้เท่าที่จะทำได้
“เจ้าไปอยู่ข้างหลังข้าเสีย”
อิซาจิสั่งแล้วดันหลังของสึซึกับโคมาโนะ เมื่อกระแอมหนึ่งครั้งก็ส่งเสียงสูงแปลกๆ ดังก้องไปทั่วร้านว่า “...ข้าคือคนจากร้านฟุซายะขอรับ มาขอพบยาริเทะโอโทโยะซังขอรับ” เป็นน้ำเสียงที่แตกต่างไม่เคยได้ยินมาก่อนระหว่างเดินทางแปดวัน ซ้ำยังเอ่ยพูดด้วยรอยยิ้มพลางบีบนวดมือทั้งสองข้าง
‘เจ้าเซเง็นคนนี้เป็นพวกขี้ปดจริงด้วย’ โคมาโนะคิด อิซาจิเขกหัวโคมาโนะไปหนึ่งทีราวกับอ่านใจได้
ผ่านไปสักพัก ก็รู้สึกตัวว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ในเงาของบันไดใหญ่ เป็นผู้หญิงร่างอ้วนเหมือนหมูป่า แผ่สายตาน่ากลัวจ้องมองมาทางนี้
ยาริเทะโอโทโยะซังนั่นเอง คำเรียกยาริเทะหมายถึงคืออดีตหญิงคณิกาที่ยังคงอาศัยอยู่ในหอคณิกาแม้จะหมดอายุสัญญาแล้ว เป็นผู้จัดการทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับหอ บางครั้งก็เรียกกันว่าป้ายาริเทะ
โอโทโยะเปลี่ยนสีหน้าเป็นอ่อนลงแล้วยืนตระหง่านอยู่บนยกพื้น
“อิซาจิซังแห่งร้านฟุซายะมิใช่รึ อย่าทำให้ตกใจสิ ถ้าใช่ก็บอกมา”
“ข้าก็พูดเช่นนั้นแล้ว”
“อย่างนั้นรึ? คนที่มาเรียกข้าไม่ได้พูดอะไร คิดว่าเจ้าหนี้มาทวงเงินเสียอีก... ที่นี่มีผู้หญิงนิสัยเสียอยู่เยอะด้วย วันนี้เป็นวันรับคนอย่างนั้นรึ ข้าลืมไปเสียสนิท เด็กที่มาคือคนไหนล่ะ?”
“เด็กคนนี้ขอรับ ชื่อว่าโคมาโนะ”
โคมาโนะถูกผลักหลังให้ก้าวมาด้านหน้า
โอโทโยะบุ้ยคางเป็นชั้นไปยังสึซึ
“แล้วเด็กคนนี้เล่า?”
“เด็กคนนี้จะต้องไปหออื่นน่ะขอรับ”
สายตาและท่าทีของโอโทโยะดูร้ายกาจมากขึ้น
“ที่คุยกันไว้ไม่ใช่แบบนี้นี่ เด็กที่จะมาเข้าหอมิใช่เด็กอายุสิบสองรึ? เด็กคนนี้ดูอย่างไรก็เพียงแค่หกเจ็ดขวบ...”
“ใช่ขอรับ แต่เด็กคนนั้นเป็นโรคติดต่อตายไปเสียแล้วระหว่างทาง...”
“เจ้าเป็นเซเง็นมิใช่รึ ข้าละไม่อยากจะเชื่อว่าเจ้าทำให้สินค้าเสียหาย ช่วยไม่ได้... ข้าจะรับของสำรองเอาไว้ก็แล้วกัน ขอเป็นเด็กคนนั้นไม่ได้รึ เด็กคนนั้นดูท่าทางจะเป็นของชั้นเยี่ยม ข้าไม่อยากได้เด็กตัวกะเปี๊ยกแบบนี้”
โอโทโยะจ้องมองสึซึด้วยท่าทีเอาเปรียบอย่างชัดเจน
..........................................
-- อ่านต่อได้ที่ bit.ly/2qfjQyi --
ติดตามโปรเจกต์เสี่ยวเปยและร่วมพูดคุยกับพวกเราได้ที่
https://www.facebook.com/xiaobei.fiction
[1] ทหารยามชิโร่ คือทหารยามที่จะอยู่เวรกันครั้งละ 4 คน สับเปลี่ยนเวรยามกันวันละ 3 กะ ดังนั้นจึงเรียกว่า ชิโร่ มาจาก ชิ (四) ที่แปลว่า 4 และ โร่ (郎) ที่หมายถึงผู้ชาย
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ