เพียงพริบตา
-
7) บทที่หนึ่ง จากหมู่บ้านที่อดอยาก : ถึงจุดหมาย (1)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่หนึ่ง จากหมู่บ้านที่อดอยาก : ถึงจุดหมาย (1)
เมื่อเข้าไปยังเอโดะ ก็เดินมุ่งหน้าไปที่ย่านยามะทานิ แวะยังร้านฟุซายะผู้ว่าจ้าง อิซาจิรายงานว่าเด็กผู้หญิงหนึ่งคนตายไปตอนอยู่ย่านพักแรมซาซาคาวะ
ได้ยินดังนั้นคิวเฮย์ก็ทำสีหน้าบิดเบี้ยวเหมือนกระดูกกำปั้น
“ถึงจะเป็นอิซาจิซัง แต่ทำให้เด็กตายไประหว่างทางคนหนึ่งแล้วจะทำอย่างไรเล่า ไม่สมกับเป็นเจ้าเลย ข้ารู้ที่ที่เด็นชิจิมันจะไปอยู่แล้ว จะใช้ให้ลูกน้องไปจัดการมันเสีย แต่เจ้าจะต้องเป็นคนจ่ายเงินมัดจำสี่เรียว”
การที่เด็กผู้หญิงจะเสียชีวิตระหว่างทางนั้นเกิดขึ้นได้บ่อยๆ แต่สาเหตุนั้นจะถูกมองว่าไปรับเด็กสุขภาพไม่ดีมา ที่ดูไม่ออกนั้นจึงเป็นความผิดพลาดของอิซาจิเอง
“เรื่องที่มันผ่านไปแล้วก็ช่วยไม่ได้ เอาสองคนนั้นไปที่หอระดับสูง ส่วนหอโอวาริยะข้าจะเป็นคนไปขอโทษเอง เจ้าพาพวกนางไปส่งเสีย หลังจากนั้นข้ามีที่จะให้เจ้าไปต่อ”
หลังจากนั้นอิซาจิก็ถูกบ่นเรื่องเล็กน้อยอยู่ครึ่งชั่วยาม แต่เขามีทักษะปล่อยให้มันไหลผ่านหูไปอยู่แล้ว
ย่านยามะทานิอยู่ไม่ไกลจากโยชิวาระ อิซาจิจึงพาเด็กหญิงทั้งสองมุ่งหน้าไปยังโยชิวาระ
เดินอยู่ชั่วครู่ก็ถึงย่านนิฮงสึซึมิ จากนั้นเลี้ยวขวา ที่นั่นกลายเป็นทำนบของคลองยามะทานิ มันยาวไปข้างหน้าราวแปดโจ
โคมาโนะเดินไปพลางมองดูกระแสน้ำในคลองยามะทานิ พลันรู้สึกถึงคนที่ไล่ตามหลังมา เมื่อหันไปมองก็พบกับเกี้ยวแบกหาม เกี้ยวนั้นผ่านด้านข้างของทั้งสามคนไป หลังจากมองตามไปสักพัก ซามุไรก็ควบม้าผ่านไปด้วยความรวดเร็ว ผู้คนเดินสวนกันไปมาไม่จบสิ้น
“ทุกคนเป็นแขกของโยชิวาระ”
อิซาจิบุ้ยคางเหมือนดูแคลน
เส้นทางไปยังทำนบนั้นมีร้านรวงเรียงราย มองเห็นหลังคากระเบื้องอัดแน่นอยู่ทางซ้าย นั่นเป็นด้านหนึ่งของโยชิวาระ
“พักกันก่อนเถิด พวกเจ้าก็นั่งลงเสีย”
กลิ่นหอมของดังโงะย่างที่ลอยจากร้านแผงลอยมาตามลมเข้าจั๊กจี้จมูก
อิซาจินั่งลงที่เก้าอี้พับเคลื่อนย้ายได้ของร้านดังโงะ เมื่อสั่งมิตะไรดังโงะสามที่แล้วก็จ้องมองปลายทำนบ ก่อนพูดขึ้นมาอย่างช้าๆ
“เห็นต้นหลิวตรงนั้นไหม นั่นเป็นต้นหลิวที่เรียกกันว่าต้นหลิวยืนส่ง แขกที่กลับออกจากโยชิวาระมักจะหันกลับมามองด้วยความเสียดาย จึงเรียกกันเช่นนั้น ว่ากันว่าเวลามันถูกลมพัดไหวจะดูคล้ายหญิงคณิกาโบกมือให้ แต่ข้ามองไม่เห็นเป็นเช่นนั้นดอกนะ กลับเห็นเป็นแค่ผู้หญิงผูกคอตายด้วยความคับแค้นก็เท่านั้น...”
เมื่อชาและดังโงะถูกยกมา อิซาจิก็ดื่มชาเข้าไปหนึ่งอึกแล้วพูดต่อ
“ตรงต้นหลิวนั้นมีทางเลี้ยวไปด้านซ้าย จากตรงนั้นไปจะเป็นเนิน เนินนั้นเรียกกันว่าเนินเอะมง เพราะแขกผู้มาเยือนโยชิวาระจะจัดแจงปกเสื้อผ้ากันตรงนั้น จึงเรียกกันเช่นนั้น [1] ถัดไปคือถนนโกะจุกเค็น”
โคมาโนะกับสึซึเคี้ยวดังโงะแก้มตุ่ย น้ำเชื่อมติดเลอะอยู่รอบๆ ปาก พลางฟังผ่านๆ อย่างไม่สนใจ ถนนโกะจุกเค็นนั้นหักเลี้ยวเป็นสามแยกเพื่อไม่ให้มองเห็นด้านในเมืองคณิกาจากด้านนอกโดยตรง
“ถัดไปจะเป็นประตูใหญ่ ถ้าพวกเจ้าเดินผ่านประตูใหญ่ไปแล้ว จะออกมาไม่ได้จนกว่าจะหมดสัญญา”
ปากทั้งสองคนหยุดขยับ เมื่อวันก่อนได้ยินเรื่องนี้จากแขกที่พักห้องเดียวกันในโรงเตี๊ยมโคงะ ทว่าโคมาโนะลังเลว่าคำพูดเป่าหูของอิซาจินั้นจริงจังแค่ไหน จึงไม่อาจรู้ได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่
อิซาจิไม่ได้เล่ารายละเอียดมากไปกว่านั้น แม้ตัวเขาเองจะบอกว่าเป็นไปเพื่อการมีชีวิตรอด แต่ก็เข้าใจอย่างเจ็บปวดว่าตนเองนั้นมีส่วนกับการกระทำอันโหดร้ายมากเพียงใด อิซาจิมองหน้าของโคมาโนะและสึซึสลับกันไปมา
“แต่พวกเจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไป โยชิวาระมีสิ่งจำเป็นเพื่อการดำรงชีวิตอยู่อย่างครบครัน ของที่ไม่สามารถหาได้เมื่ออยู่ข้างนอก อาจจะได้มาตอนอยู่ในนั้นก็เป็นได้”
อิซาจินั้นไม่รู้ว่าเด็กสองคนนี้โชคดีหรือโชคร้าย มีเด็กหลายคนที่ตายไปหลังจากเพิ่งเกิดได้ไม่นาน เด็กที่ป่วยตายก่อนจะอายุได้สามขวบ เด็กที่อดตาย เด็กที่ถูกพ่อแม่ทิ้งลงไปในแม่น้ำเพราะต้องการลดส่วนแบ่งอาหาร เขาเห็นภาพเหล่านั้นมามากมาย
“กินดังโงะของข้าเสียสิ หากไม่กินในยามที่กินได้ จะได้กินอีกครั้งเมื่อใดก็ไม่รู้”
ทั้งโคมาโนะและสึซึที่มาจากหมู่บ้านอดอยากไม่สามารถกินได้หมดด้วยกระเพาะที่หดเล็กลง แต่ถึงกระนั้นทั้งสองคนก็ยัดดังโงะที่อยู่บนจานเข้าปากไปคนละไม้ อิซาจิที่เห็นภาพนั้นยกมุมปาก ยิ้มอย่างรู้สึกสบายใจ
ใกล้จะสิ้นเดือนแปด ฝนหยุดตกแล้ว แต่ท้องฟ้าครึ้มเมฆที่ราวกับจะมีเม็ดฝนตกลงมาก็เหมือนจะโอบคลุมพวกโคมาโนะ
※※※※
ประตูใหญ่โยชิวาระนั้นเป็นประตูคาบุกิ [2] สูงกว่าตัวคนสามเท่า หลังคาของมันปูด้วยแผ่นไม้สีดำเงา เสาประตูทำจากไม้ดิบ
เมื่อผ่านเข้าไปจะเป็นเมืองคณิกาโยชิวาระ โลกตัดขาดที่ล้อมรอบด้วยคูเมืองและกำแพงไม้สีดำขลับซึ่งมีหอกแหลมติดอยู่ เป็นเมืองโคมแดงที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัวแบบหนึ่ง ซึ่งถูกเรียกกันว่านรกหรือโลกอันโหดร้าย
รอบๆ นั้นมีคูอยู่อย่างที่ได้ยินมาจริงๆ มันขุ่นคลั่กมีสีดำเมี่ยมราวกับโอฮางุโระ [3] จึงถูกเรียกว่าคูน้ำโอฮางุโระ เป็นคูที่ว่ากันว่าถูกขุดขึ้นมาเพื่อป้องกันการหลบหนีของพวกหญิงคณิกา ทว่าแต่เดิมมันเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ระบายน้ำเสียซึ่งออกมาจากเมืองคณิกาไปยังคูน้ำยามะทานิ ไม่ใช่สิ่งที่สร้างขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์ป้องกันการหลบหนี ซ้ำยังไม่ได้เป็นคูที่ไหลเอื่อยและมีกลิ่นเหม็นเท่าที่เคยได้ยินมา กลับมีความกว้างราวสองมะ และกระแสน้ำก็ไหลแรง
ทางเข้าออกที่ใช้ตามปกติในโยชิวาระนั้นมีแค่ประตูใหญ่ แต่ฝั่งตรงข้ามกับประตูใหญ่ยังมีประตูหลังอีกหนึ่งแห่ง และประตูที่สร้างขึ้นทางซ้ายและขวาด้านละสี่ประตู ดังนั้นนอกจากประตูใหญ่แล้วยังมีทางเข้าออกอีกรวมทั้งหมดเก้าแห่ง ทว่าทางเข้าออกทั้งด้านซ้ายและขวากับด้านหลังจะปิดตลอดเวลา มีสะพานยกที่สร้างเอาไว้เพื่อข้ามคูน้ำ ยามมีงานเฉลิมฉลองอย่างงานเทศกาลหรืองานเลี้ยง ประตูพวกนี้จึงจะถูกเปิด สะพานถูกปลดลงมา ทำให้เห็นความครึกครื้นของลูกค้าที่มาเที่ยวเล่น
ประตูใหญ่นั้นงดงาม ในสายตาของเด็กแล้วจะต้องสะดุดตาแน่นอน แต่โคมาโนะไม่ได้รู้สึกอะไรลึกซึ้งมากนัก แม้จะถูกบอกว่าเธอจะไม่ได้ออกมาจนกว่าจะหมดสัญญา แต่ก็ไม่ได้ลังเลใดๆ ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน ความรู้สึกยอมแพ้เช่นนั้นแผ่ขยายออกจากมุมลึกของหัวใจ แล้วเติมจนเต็มร่าง
..........................................
[1] ปกเสื้อ ในภาษาญี่ปุ่นออกเสียงว่า ‘เอะมง’
[2] ประตูคาบุกิ คือประตูที่มีคานเสียบอยู่ด้านบนระหว่างเสาประตูทั้งสองข้าง อาจจะมีหรือไม่มีหลังคาบนประตูก็ได้
[3] โอฮางุโระ เป็นคำเรียกของการทาสีฟันให้ดำของคนญี่ปุ่นสมัยโบราณ
เมื่อเข้าไปยังเอโดะ ก็เดินมุ่งหน้าไปที่ย่านยามะทานิ แวะยังร้านฟุซายะผู้ว่าจ้าง อิซาจิรายงานว่าเด็กผู้หญิงหนึ่งคนตายไปตอนอยู่ย่านพักแรมซาซาคาวะ
ได้ยินดังนั้นคิวเฮย์ก็ทำสีหน้าบิดเบี้ยวเหมือนกระดูกกำปั้น
“ถึงจะเป็นอิซาจิซัง แต่ทำให้เด็กตายไประหว่างทางคนหนึ่งแล้วจะทำอย่างไรเล่า ไม่สมกับเป็นเจ้าเลย ข้ารู้ที่ที่เด็นชิจิมันจะไปอยู่แล้ว จะใช้ให้ลูกน้องไปจัดการมันเสีย แต่เจ้าจะต้องเป็นคนจ่ายเงินมัดจำสี่เรียว”
การที่เด็กผู้หญิงจะเสียชีวิตระหว่างทางนั้นเกิดขึ้นได้บ่อยๆ แต่สาเหตุนั้นจะถูกมองว่าไปรับเด็กสุขภาพไม่ดีมา ที่ดูไม่ออกนั้นจึงเป็นความผิดพลาดของอิซาจิเอง
“เรื่องที่มันผ่านไปแล้วก็ช่วยไม่ได้ เอาสองคนนั้นไปที่หอระดับสูง ส่วนหอโอวาริยะข้าจะเป็นคนไปขอโทษเอง เจ้าพาพวกนางไปส่งเสีย หลังจากนั้นข้ามีที่จะให้เจ้าไปต่อ”
หลังจากนั้นอิซาจิก็ถูกบ่นเรื่องเล็กน้อยอยู่ครึ่งชั่วยาม แต่เขามีทักษะปล่อยให้มันไหลผ่านหูไปอยู่แล้ว
ย่านยามะทานิอยู่ไม่ไกลจากโยชิวาระ อิซาจิจึงพาเด็กหญิงทั้งสองมุ่งหน้าไปยังโยชิวาระ
เดินอยู่ชั่วครู่ก็ถึงย่านนิฮงสึซึมิ จากนั้นเลี้ยวขวา ที่นั่นกลายเป็นทำนบของคลองยามะทานิ มันยาวไปข้างหน้าราวแปดโจ
โคมาโนะเดินไปพลางมองดูกระแสน้ำในคลองยามะทานิ พลันรู้สึกถึงคนที่ไล่ตามหลังมา เมื่อหันไปมองก็พบกับเกี้ยวแบกหาม เกี้ยวนั้นผ่านด้านข้างของทั้งสามคนไป หลังจากมองตามไปสักพัก ซามุไรก็ควบม้าผ่านไปด้วยความรวดเร็ว ผู้คนเดินสวนกันไปมาไม่จบสิ้น
“ทุกคนเป็นแขกของโยชิวาระ”
อิซาจิบุ้ยคางเหมือนดูแคลน
เส้นทางไปยังทำนบนั้นมีร้านรวงเรียงราย มองเห็นหลังคากระเบื้องอัดแน่นอยู่ทางซ้าย นั่นเป็นด้านหนึ่งของโยชิวาระ
“พักกันก่อนเถิด พวกเจ้าก็นั่งลงเสีย”
กลิ่นหอมของดังโงะย่างที่ลอยจากร้านแผงลอยมาตามลมเข้าจั๊กจี้จมูก
อิซาจินั่งลงที่เก้าอี้พับเคลื่อนย้ายได้ของร้านดังโงะ เมื่อสั่งมิตะไรดังโงะสามที่แล้วก็จ้องมองปลายทำนบ ก่อนพูดขึ้นมาอย่างช้าๆ
“เห็นต้นหลิวตรงนั้นไหม นั่นเป็นต้นหลิวที่เรียกกันว่าต้นหลิวยืนส่ง แขกที่กลับออกจากโยชิวาระมักจะหันกลับมามองด้วยความเสียดาย จึงเรียกกันเช่นนั้น ว่ากันว่าเวลามันถูกลมพัดไหวจะดูคล้ายหญิงคณิกาโบกมือให้ แต่ข้ามองไม่เห็นเป็นเช่นนั้นดอกนะ กลับเห็นเป็นแค่ผู้หญิงผูกคอตายด้วยความคับแค้นก็เท่านั้น...”
เมื่อชาและดังโงะถูกยกมา อิซาจิก็ดื่มชาเข้าไปหนึ่งอึกแล้วพูดต่อ
“ตรงต้นหลิวนั้นมีทางเลี้ยวไปด้านซ้าย จากตรงนั้นไปจะเป็นเนิน เนินนั้นเรียกกันว่าเนินเอะมง เพราะแขกผู้มาเยือนโยชิวาระจะจัดแจงปกเสื้อผ้ากันตรงนั้น จึงเรียกกันเช่นนั้น [1] ถัดไปคือถนนโกะจุกเค็น”
โคมาโนะกับสึซึเคี้ยวดังโงะแก้มตุ่ย น้ำเชื่อมติดเลอะอยู่รอบๆ ปาก พลางฟังผ่านๆ อย่างไม่สนใจ ถนนโกะจุกเค็นนั้นหักเลี้ยวเป็นสามแยกเพื่อไม่ให้มองเห็นด้านในเมืองคณิกาจากด้านนอกโดยตรง
“ถัดไปจะเป็นประตูใหญ่ ถ้าพวกเจ้าเดินผ่านประตูใหญ่ไปแล้ว จะออกมาไม่ได้จนกว่าจะหมดสัญญา”
ปากทั้งสองคนหยุดขยับ เมื่อวันก่อนได้ยินเรื่องนี้จากแขกที่พักห้องเดียวกันในโรงเตี๊ยมโคงะ ทว่าโคมาโนะลังเลว่าคำพูดเป่าหูของอิซาจินั้นจริงจังแค่ไหน จึงไม่อาจรู้ได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่
อิซาจิไม่ได้เล่ารายละเอียดมากไปกว่านั้น แม้ตัวเขาเองจะบอกว่าเป็นไปเพื่อการมีชีวิตรอด แต่ก็เข้าใจอย่างเจ็บปวดว่าตนเองนั้นมีส่วนกับการกระทำอันโหดร้ายมากเพียงใด อิซาจิมองหน้าของโคมาโนะและสึซึสลับกันไปมา
“แต่พวกเจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไป โยชิวาระมีสิ่งจำเป็นเพื่อการดำรงชีวิตอยู่อย่างครบครัน ของที่ไม่สามารถหาได้เมื่ออยู่ข้างนอก อาจจะได้มาตอนอยู่ในนั้นก็เป็นได้”
อิซาจินั้นไม่รู้ว่าเด็กสองคนนี้โชคดีหรือโชคร้าย มีเด็กหลายคนที่ตายไปหลังจากเพิ่งเกิดได้ไม่นาน เด็กที่ป่วยตายก่อนจะอายุได้สามขวบ เด็กที่อดตาย เด็กที่ถูกพ่อแม่ทิ้งลงไปในแม่น้ำเพราะต้องการลดส่วนแบ่งอาหาร เขาเห็นภาพเหล่านั้นมามากมาย
“กินดังโงะของข้าเสียสิ หากไม่กินในยามที่กินได้ จะได้กินอีกครั้งเมื่อใดก็ไม่รู้”
ทั้งโคมาโนะและสึซึที่มาจากหมู่บ้านอดอยากไม่สามารถกินได้หมดด้วยกระเพาะที่หดเล็กลง แต่ถึงกระนั้นทั้งสองคนก็ยัดดังโงะที่อยู่บนจานเข้าปากไปคนละไม้ อิซาจิที่เห็นภาพนั้นยกมุมปาก ยิ้มอย่างรู้สึกสบายใจ
ใกล้จะสิ้นเดือนแปด ฝนหยุดตกแล้ว แต่ท้องฟ้าครึ้มเมฆที่ราวกับจะมีเม็ดฝนตกลงมาก็เหมือนจะโอบคลุมพวกโคมาโนะ
※※※※
ประตูใหญ่โยชิวาระนั้นเป็นประตูคาบุกิ [2] สูงกว่าตัวคนสามเท่า หลังคาของมันปูด้วยแผ่นไม้สีดำเงา เสาประตูทำจากไม้ดิบ
เมื่อผ่านเข้าไปจะเป็นเมืองคณิกาโยชิวาระ โลกตัดขาดที่ล้อมรอบด้วยคูเมืองและกำแพงไม้สีดำขลับซึ่งมีหอกแหลมติดอยู่ เป็นเมืองโคมแดงที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัวแบบหนึ่ง ซึ่งถูกเรียกกันว่านรกหรือโลกอันโหดร้าย
รอบๆ นั้นมีคูอยู่อย่างที่ได้ยินมาจริงๆ มันขุ่นคลั่กมีสีดำเมี่ยมราวกับโอฮางุโระ [3] จึงถูกเรียกว่าคูน้ำโอฮางุโระ เป็นคูที่ว่ากันว่าถูกขุดขึ้นมาเพื่อป้องกันการหลบหนีของพวกหญิงคณิกา ทว่าแต่เดิมมันเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ระบายน้ำเสียซึ่งออกมาจากเมืองคณิกาไปยังคูน้ำยามะทานิ ไม่ใช่สิ่งที่สร้างขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์ป้องกันการหลบหนี ซ้ำยังไม่ได้เป็นคูที่ไหลเอื่อยและมีกลิ่นเหม็นเท่าที่เคยได้ยินมา กลับมีความกว้างราวสองมะ และกระแสน้ำก็ไหลแรง
ทางเข้าออกที่ใช้ตามปกติในโยชิวาระนั้นมีแค่ประตูใหญ่ แต่ฝั่งตรงข้ามกับประตูใหญ่ยังมีประตูหลังอีกหนึ่งแห่ง และประตูที่สร้างขึ้นทางซ้ายและขวาด้านละสี่ประตู ดังนั้นนอกจากประตูใหญ่แล้วยังมีทางเข้าออกอีกรวมทั้งหมดเก้าแห่ง ทว่าทางเข้าออกทั้งด้านซ้ายและขวากับด้านหลังจะปิดตลอดเวลา มีสะพานยกที่สร้างเอาไว้เพื่อข้ามคูน้ำ ยามมีงานเฉลิมฉลองอย่างงานเทศกาลหรืองานเลี้ยง ประตูพวกนี้จึงจะถูกเปิด สะพานถูกปลดลงมา ทำให้เห็นความครึกครื้นของลูกค้าที่มาเที่ยวเล่น
ประตูใหญ่นั้นงดงาม ในสายตาของเด็กแล้วจะต้องสะดุดตาแน่นอน แต่โคมาโนะไม่ได้รู้สึกอะไรลึกซึ้งมากนัก แม้จะถูกบอกว่าเธอจะไม่ได้ออกมาจนกว่าจะหมดสัญญา แต่ก็ไม่ได้ลังเลใดๆ ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน ความรู้สึกยอมแพ้เช่นนั้นแผ่ขยายออกจากมุมลึกของหัวใจ แล้วเติมจนเต็มร่าง
..........................................
[1] ปกเสื้อ ในภาษาญี่ปุ่นออกเสียงว่า ‘เอะมง’
[2] ประตูคาบุกิ คือประตูที่มีคานเสียบอยู่ด้านบนระหว่างเสาประตูทั้งสองข้าง อาจจะมีหรือไม่มีหลังคาบนประตูก็ได้
[3] โอฮางุโระ เป็นคำเรียกของการทาสีฟันให้ดำของคนญี่ปุ่นสมัยโบราณ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ