เพียงพริบตา

-

เขียนโดย Xiaobei

วันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 เวลา 14.17 น.

  8 ตอน
  0 วิจารณ์
  8,474 อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) บทที่หนึ่ง จากหมู่บ้านที่อดอยาก : ฝน (3)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
บทที่หนึ่ง จากหมู่บ้านที่อดอยาก : ฝน (3)
ใบหนี้นั้นเป็นเพียงแค่รูปแบบอย่างเป็นทางการเท่านั้น โดยมากแล้วจะไม่ได้แลกเปลี่ยนกันมากกว่า แต่สำหรับนุอิแล้วมันไม่ใช่เพียงแค่ใบหนี้ แต่อาจกลายเป็นใบสั่งลากับโคมาโนะตลอดชีวิต นุอิรู้สึกหนักใจกับความหมายของการประทับตราลงไปมากกว่าเนื้อหาในใบหนี้เสียอีก
นุอิเอาแต่จ้องมอง แต่เมื่ออิซาจิยื่นพู่กันมาให้ เธอก็ใช้มืออันสั่นเทาเขียนว่า ‘นุอิ’ จากนั้นใช้มีดโกนปาดนิ้วโป้งของตนแล้วประทับรอยนิ้วมือเลือดลงไป
“เท่านี้ก็แลกกับเงินแปดเรียวสองบุนะ”
ถึงจะมีเงินแต่ก็ไม่มีอะไรให้ซื้อ การขายลูกสาวในแถบบ้านนอกนั้นมีเป้าหมายเพื่อลดจำนวนคนที่จะมาแบ่งอาหารมากกว่าเพื่อเงินทอง ทางเลือกมีเพียงแค่ทำให้ตายหรือขายเท่านั้น
“นี่เป็นอาหารสำหรับห้าวัน โมจิกับเนื้อตากแห้ง แบ่งกับลูกของเจ้าก็คงเหลือแค่สามวัน แต่น่าจะพออิ่มท้องได้บ้าง เอาอาหารนั่นกับเงินออกไปจากหมู่บ้านนี้เสีย แบบนั้นแล้วเจ้าอาจจะรอด ถ้ายังไม่ตายคงได้พบกับลูกสาวเจ้าในสักวัน ข้าคงไม่ต้องพูดมาก เพราะถ้าตายก็จบกันเพียงเท่านั้น”
นุอิจ้องมองโมจิกับเนื้อตากแห้ง และเงินจำนวนแปดเรียวสองบุด้วยท่าทีที่ไม่รู้ว่าได้ยินในสิ่งที่พูดไปหรือไม่
“ข้าอยากจะถามทาง เส้นทางไปยังย่านพักแรมซาซาคาวะที่ใกล้ที่สุดคือเส้นใดรึ”
นุอิได้สติแล้วตอบกลับไป “ถ้าจะออกไปถนนเส้นหลัก ย่านพักแรมฮิวาดะน่าจะใกล้กว่านะ”
“ข้าต้องไปพบคนที่ย่านพักแรมซาซาคาวะ อยากไปให้ถึงที่นั่นก่อนตะวันตกดิน”
“ถ้าอย่างนั้น ท่านจงออกไปทางเชิงเขาหลังบ้านนี้แล้วเดินจนสุดถนนบนเขา เด็กคนนี้รู้ทาง ให้มันพาท่านไปก็ได้”
“ดี ข้ายังข้องใจอีกเรื่อง มีโจรภูเขาอยู่ไหม?”
“พวกโจรภูเขามันลงจากเขาไปแล้ว ไม่เหลือเลยสักคนเดียว แต่อาจจะมีหมาป่าอยู่ ขอท่านจงระวังตัวด้วย”
“ไม่ว่าจะทางไหน ถ้ามืดไปก็แย่ทั้งนั้น ออกเดินทางกันเลยเถิด ร่ำลากันเรียบร้อยแล้วหรือ?”
โคมาโนะกับนุอิไม่มองหน้ากัน ล้วนเหม่อมองไปทางอื่น ทั้งคู่ต่างเข้าใจดีว่าหากมองหน้ากันแล้ว สิ่งที่ตัดสินใจเอาไว้จะสั่นคลอน
อิซาจิที่เห็นภาพนั้นมามากมายจนนึกเกลียดพูดขึ้นมาว่า “ไปกันเถิด” แล้วออกไปข้างนอกคนเดียวราวกับจะให้โอกาสทั้งคู่เป็นครั้งสุดท้าย
เวลาผ่านไป ฝนยิ่งตกหนักขึ้น เสียงฝนตกกระทบงอบดังสะท้อนไปถึงไขกระดูก อิซาจิยืนรออยู่โดยไม่ขยับเขยื้อน
เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง โคมาโนะก็สวมงอบกับเสื้อฟางกันฝนออกมายืนอยู่ตรงหน้าอิซาจิ ก้มหน้าเฉยเมย ราวกับกำลังจ้องมองหยาดน้ำฝน
“ร่ำลากันเสร็จแล้วสินะ ข้าคงไม่ต้องพูด แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการมีชีวิต หากยังไม่ตายก็คงได้พบกันในสักวัน” 
นอกจากประโยคนี้ อิซาจิไม่อาจนึกถึงคำใดที่สามารถปลอบประโลมใจได้อีก
โคมาโนะเงยหน้ามองอิซาจิ เป็นสายตาที่เศร้าสร้อยปนเปกับการดูหมิ่น
อิซาจิพูดแย้งขึ้นมาก่อน
“เตรียมใจเอาไว้ ที่ที่เจ้าจะไปไม่ใช่ทั้งนรกหรือสวรรค์ เอโดะก็คือโยชิวาระ [1] ”
โคมาโนะจ้องอิซาจิด้วยความโกรธโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยน เปิดปากที่เม้มแน่นเอาไว้ รู้สึกราวกับมีอะไรสักอย่างขึ้นมาจุกคอ เสียงของเธอสั่นแต่แฝงด้วยประสงค์อันแน่วแน่
“เจ้าเป็นเซเง็น [2] ใช่ไหม พ่อข้าบอกว่าเซเง็นเป็นขยะของมนุษย์”
หลังจากก้มมองชั่วครู่ อิซาจิก็ตอบกลับ
“ตามที่พ่อเจ้าบอกนั่นแหละ พ่อเจ้าพูดถูก แต่ก็ไม่ได้มีชีวิตอยู่แล้ว ตอนนี้คงไปอยู่ในท้องของหมาป่าที่ไหนสักตัว ถึงจะเป็นขยะ แต่คนชนะก็คือคนที่รอดชีวิตต่างหาก”
โคมาโนะกัดฟันแล้วเตะเข้าที่หน้าแข้งของอิซาจิ
※※※※
ปีเคโจที่สิบเจ็ด (ค.ศ. 1612) โชจิ จินเอมง [3] ยื่นคำขอก่อสร้างเมืองคณิกากับรัฐบาลบาคุฟุ [4] เป็นเหตุให้ได้รับคำสั่ง มอบเมืองฟุคิยะซึ่งมีพื้นที่เป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดสองโจ [5] ให้ ว่ากันว่านี่คือจุดกำเนิดของเมืองคณิกาโยชิวาระ นางโลมในสมัยนั้นมีจำนวนถึงหลักพันคน
หลังจากนั้นเอโดะก็พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว รัฐบาลบาคุฟุเกรงว่าสถานที่ชั่วร้ายอย่างเมืองคณิกาจะกลายเป็นศูนย์กลางของเอโดะจึงมีคำสั่งให้ย้าย
ปีเมเรคิที่สอง (ค.ศ.1656) ย่านนิฮงสึซึมิที่อยู่ทางด้านเหนือของวัดอาซาคุสะเซ็นโซจิ หรือที่เรียกกันว่าทุ่งนาอาซาคุสะก็ถูกเลือก ได้รับพื้นที่ที่มากกว่าโยชิวาระเดิมถึงเท่าตัวจึงเกิดการย้ายขึ้น กลายเป็นเมืองโคมแดงที่ได้รับอนุญาตจากทางการที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ในสมัยเท็มโป [6] นั้นมีหญิงคณิกาอาศัยอยู่เกินกว่าหกพันคน และเคยมีมากที่สุดเกินกว่าเจ็ดพันคนที่ใช้ชีวิตโดยการขายบริการ
เนื่องจากทั่วทั้งพื้นที่เป็นพื้นที่รกชัฏมีพืชชื่ออาชิขึ้น เพราะเป็นทุ่งอาชิจึงถูกเรียกว่าอาชิวาระ (葦原) แต่อาชินั้นออกเสียงคล้ายกับ ‘อาชิ’ (悪し) ที่แปลว่าชั่วร้าย ซึ่งไม่เป็นมงคล จึงเปลี่ยนเป็นคำว่า ‘โยชิ’ (良し) ที่แปลว่าดีงาม กลายเป็นชื่อโยชิวาระ (吉原) โดยเรียกเมืองก่อนย้ายว่า ‘โยชิวาระเก่า’ และเมืองใหม่หลังจากย้ายแล้วว่า ‘โยชิวาระใหม่’
※※※※
จากหมู่บ้านอาสัทสึกิ เมืองทามุระ มณฑลโอคุจนถึงเอโดะมีระยะทางประมาณหกสิบริ หากเป็นก้าวของผู้ใหญ่หนึ่งวันจะเดินได้ราวสิบถึงสิบสองริ แต่เมื่อมีเด็กมาด้วยก็ไม่สามารถเดินได้ง่ายนัก ทำได้เพียงแค่วันละเจ็ดริครึ่งเท่านั้น อิซาจิคาดการณ์เอาไว้ว่าระยะทางเท่านั้นจะเข้าเขตเอโดะได้ในวันที่แปด ก่อนอื่นต้องไปหาคนตามนัดยังย่านพักแรมซาซาคาวะ ซึ่งอีกสามริครึ่งจึงจะถึงซาซาคาวะ
โคมาโนะเดินนำหน้าอิซาจิ มันเป็นเส้นทางที่เดินจนคุ้นชินแล้ว จังหวะการก้าวเดินของโคมาโนะจึงง่ายกว่าที่คิด หูของอิซาจิได้ยินเสียงเสียงหนึ่งปนกับเสียงฝนและเสียงฝีเท้า มันเป็นเสียงของเด็กกำลังสะอื้น แผ่นหลังของโคมาโนะที่ห่มเสื้อฟางกันฝนสั่นไหวเล็กน้อย
แม้ฝนจะเม็ดเล็กลงแล้วแต่ยังตกอย่างต่อเนื่องไม่หยุด
เมื่อใกล้ตะวันตกดินก็ออกมาถึงถนนเส้นหลักของมณฑลโอคุ ย่านพักแรมฮิโนะเดะยามะอยู่ข้างหน้าไม่ไกล ถัดไปก็คือย่านพักแรมซาซาคาวะ อิซาจิโล่งใจด้วยน่าจะไปถึงที่หมายตามเวลาที่กำหนดไว้
※※※※
โคมาโนะเกิดในหมู่บ้านอาสัทสึกิเมื่อปีบุนเซย์ที่สิบสอง (ค.ศ. 1829) เป็นลูกสาวคนโตของพี่น้องทั้งหมดเจ็ดคนที่เกิดจากโคสึเกะผู้พ่อ และนุอิผู้เป็นแม่
โคสึเกะมีที่นาราวหนึ่งฮัง [7] เป็นเกษตรกรตัวเล็กๆ ที่ปลูกข้าวเป็นหลัก พวกเขาย้ายมาอยู่ในพื้นที่นี้ตั้งแต่เมื่อสองรุ่นก่อน ค่อยๆ ขยายที่นาออกไปทีละนิด นุอิเอง นอกจากงานบ้านและเลี้ยงลูก เธอยังคอยช่วยทำนาเป็นงานรองด้วย ที่นาไม่ได้อุดมสมบูรณ์มาแต่เดิมอยู่แล้วจึงเก็บเกี่ยวผลผลิตได้น้อย ที่นาหนึ่งฮังปลูกข้าวได้เต็มที่แค่สามเฮียว [8] เท่านั้น ครอบครัวนี้จึงยากจนอย่างที่สุด เขาต้องถางเชิงเขา ปลูกมันและฟักทองในพื้นที่เล็กๆ แต่ชีวิตก็ไม่มีวี่แววจะดีขึ้นเลย
หน้าร้อนอันเย็นเยือกเริ่มขึ้นเมื่อห้าปีที่แล้ว ผู้คนในหมู่บ้านเป็นกังวลเรื่องสภาพอากาศที่ไม่ใคร่ดีตั้งแต่ก่อนหน้านั้น แต่ไม่มีใครคาดคิดถึงสภาพอันเลวร้ายเพียงนี้
อากาศเย็นในหน้าร้อนและยังมีฝนอันยาวนานเพิ่มเข้ามา ข้าวที่อ่อนแอก็ถูกโรคตามเข้าจู่โจม ปีแรกจึงเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เพียงแค่ครึ่งเดียว
ปีต่อมา มีเวลาให้ได้โล่งใจว่าสภาพอากาศกลับมาเป็นปกติแล้วเพียงแค่ไม่นาน กลับเกิดทะเลหมอกขึ้นราวกับรอคอยจังหวะเอาไว้ ทะเลหมอกที่เกิดขึ้นประหนึ่งว่าจะปกคลุมท้องฟ้าทั้งหมดนั้นเข้ากัดกินข้าวที่ปลูก ทำให้ข้าวของหมู่บ้านในปีนี้ตายจนหมด
ปีที่สองหลังจากภาวะขาดแคลนอาหาร น้องชายคนสุดท้องก็ตายด้วยโรคติดต่อ
ปีต่อมา น้องชายคนรองสุดท้องก็เสียชีวิต
ปีก่อนและปีที่แล้วมีน้องสาวและน้องชายเกิดติดกัน แต่ทั้งสองคนก็เสียชีวิตภายในวันนั้น
เดือนที่แล้วน้องชายคนที่สามนับจากคนสุดท้องและโคสึเกะผู้เป็นพ่อก็หายตัวไป เหลือแค่เพียงนุอิผู้เป็นแม่และลูกชายคนโตมัทสึโยชิ กับโคมาโนะเท่านั้น
ปีนี้คือปีเท็นโปที่แปด (ค.ศ.1837) โคมาโนะอายุได้เก้าปี...
..........................................
[1] โยชิวาระ เป็นชื่อเรียกย่านที่อยู่ของนางโลมในสมัยโบราณ ตั้งอยู่ในเอโดะ (โตเกียวในปัจจุบัน)
[2] เซเง็น เป็นคำเรียกผู้ที่มีอาชีพค้ามนุษย์
[3] โชจิ จินเอมง เป็นพ่อค้าคนหนึ่งในยุคเอโดะตอนต้น รู้จักกันในฐานะผู้ก่อตั้งเมืองโคมแดงโยชิวาระ
[4] รัฐบาลบาคุฟุ คือรูปแบบการปกครองในสมัยเอโดะ เป็นการปกครองโดยรัฐบาลทหาร แม้มีจักรพรรดิ แต่โดยพฤตินัยแล้วผู้ปกครองประเทศที่แท้จริงคือโชกุน (ผู้นำทางทหารสูงสุด)
[5] โจ หากเป็นพื้นที่จะเท่ากับ 9,917 ตารางเมตร หากเป็นความยาวจะเท่ากับ 109.09 เมตร
[6] เท็มโป ราว ค.ศ.1830-1844 คือชื่อเรียกรัชศกหนึ่งในสมัยเอโดะ
[7] ฮัง หน่วยพื้นที่ในสมัยโบราณ 1 ฮัง เทียบพื้นที่ได้ประมาณ 31.5 ตารางเมตร
[8] เฮียว หน่วยชั่งตวงในสมัยโบราณ 1 เฮียว เทียบน้ำหนักได้ประมาณ 30 กิโลกรัม

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา