รักนี้ฉบับ(ไม่)ลับ (secret of my heart)
-
เขียนโดย สีหมอก
วันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 เวลา 22.57 น.
4 ตอน
0 วิจารณ์
4,312 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 23.03 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) แรกเจอ 75%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความจากการออกสำรวจพื้นที่ต่างๆ ก่อนทำโครงการ พลวัตรและรมิดาลงความเห็นว่าหมู่บ้านแห่งนี้มีต้องการความช่วยเหลือมากกว่าพื้นที่อื่น เนื่องจากว่าชาวบ้านส่วนใหญ่ทำอาชีพเกษตรกรรม รายได้ไม่แน่นอนส่งผลให้การเรี่ยไรเงินมาบำรุงบูรณะวัดนั้นไม่เพียงพอเพราะค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง แต่พอได้รับการสนับสนุนเงินและแรงงานก็ยินดีเป็นอย่างมาก และในวันนี้ชาวบ้านที่รู้ว่ามีคณะครูนักเรียนในเมืองพากันมาทำสาธารณประโยชน์ให้หมู่บ้าน โดยจะช่วยทำความสะอาดบริเวณวัดและทาสีรั้วที่ซีดจางของวัด ต่างมารอต้อนรับพร้อมกับนำอาหารและขนมแสดงความขอบคุณ นอกจากนี้คนที่มีเวลาก็ขันอาสามาช่วยงานเป็นจำนวนมาก
"ไอ้ภูแกยกถังสีแล้วเอาไปให้น้ำกับเด็กหลังวัดที" พลวัตรหันไปสั่งน้องชาย หลังจากได้รับโทรศัพท์จากรมิดาว่าขัดสีเก่าออกหมดแล้วและอยากให้นักเรียนชายที่อยู่กับเขายกถังสีมาให้หน่อยเนื่องจากว่านักเรียนชายฝั่งนี้ช่วยชาวบ้านขนกองไม้ที่วางระเกะระกะไปทิ้งป่าหลังวัด ที่เหลืออยู่มีแต่ผู้หญิงจะให้ยกถังไกลก็เกรงว่าจะไม่ไหวเนื่องจากรถเข็นวัดที่มีถูกนำไปใช้ขนเศษไม้เหมือนกัน
"ทำไมนายไม่ไปเองหรือใช้เด็กไปล่ะ ตอนนี้ฉันกำลังขัดสีออกไม่เห็นรึไง"
"เห็น แต่เพราะฉันต้องสั่งงานเด็กแล้วตอนนี้ฉันกำลังรอผู้ใหญ่บ้านพาไปซื้ออุปกรณ์ทาสีเพิ่มด้วย ที่สำคัญคือฉันเป็นพี่อยากใช้น้องชายตัวเองจบไหม"
ภูธเนศมองพี่ชายอย่างเซ็งๆ ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือผิดที่ขอมาด้วย ตั้งแต่เด็กพลวัตรมักหาเหตุผลต่างๆ ให้ต้องยอมจำนน ก่อนจะใช้ความเป็นพี่เจ้ากี้เจ้าการชีวิตเขาเสมอ อย่างตอนนี้คงตั้งใจแกล้งใช้งานเขาหนักมากกว่าทั้งที่ในความเป็นจริงให้เด็กผู้ชายช่วยกันยกไปก็ได้ แต่กลับเจาะจงเป็นเขาชัดเจน เมื่อขี้เกียจทะเลาะให้เมื่อยปากจึงวางแปรงทองเหลืองแล้วเดินไปยกถังสีมุ่งหน้าไปยังจุดหมายทันที
รมิดาที่กำลังย้ำวิธีการทาสีและแบ่งนักเรียนจับคู่ทาสีเป็นล็อกให้นักเรียนฟัง ต้องแปลกใจในท่าทีเขินอายของนักเรียนหญิงแถมบางคนตัวแทบจะบิดเป็นเลขแปดอยู่แล้ว พอมองหาสาเหตุพบว่าภูธเนศกำลังยกถังสีมาทางนี้
"นักเรียนคะเก็บอาการหน่อยก็ได้ค่ะ เดี๋ยวน้องชายครูพลหนีกลับมาบ้านซะก่อน"
"ครูน้ำ น้องชายครูพลหล่ออย่างกับพระเอกเกาหลีละลายใจขนาดนี้จะทนได้ยังไงคะ ว่าแต่พี่เขาชื่อภูใช่ไหมคะ"
"ใช่แล้วชื่อเล่นว่าภู ชื่อจริงภูธเนศ"
"พี่ภูมีแฟนรึยังคะครู อย่างหนูพอจะสมัครเป็นน้องสะใภ้ครูพลได้ไหมคะ"
"เด็กพวกนี้นี่ อ้าวถ้าใครอยากเป็นแฟนพี่ภูหนูต้องแสดงให้พี่ภูเห็นว่าเป็นคนตั้งใจกับการทำงาน ขยันและอดทนจะทำตัวเหมือนพวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อไม่ได้เพราะเขาไม่ชอบ เอาล่ะจับคู่ได้แล้วให้เอาถังเล็กมาแบ่งสีไปทาเป็นล็อกค่ะ"
เมื่อภูธเนศเดินมาถึงจุดที่รมิดาและนักเรียนยืนอยู๋ใบหน้าหล่อเกาหลีของชายหนุ่มก็เต็มไปด้วยเหงื่อ ซึ่งเขาก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นอกจากใช้มือปาดทิ้ง แล้วบริการเปิดถังสีให้ก่อนจะคนให้สีเข้ากันแล้วตักแบ่งให้นักเรียนหญิงทันที โดยไม่รู้ว่าการกระทำที่นิ่งๆ นั้นยิ่งเพิ่มความหนักแน่นให้กับคำพูดของรมิดามากขึ้น พอเสร็จแล้วจึงตั้งใจจะกลับไปหาพี่ชายบริเวณหน้าวัด
"พี่ภูอยู่ทาสีตรงนี้กับน้ำดีกว่าค่ะ กลับไปเดี๋ยวพี่พลแกล้งให้ยกถังสีไปมาอีก แต่ถ้าพี่ภูไม่อยากอยู่ตรงนี้ น้ำว่ารอจนกว่านักเรียนชายส่วนนี้กลับมาก่อนแล้วค่อยไป พี่พลจะได้ไม่มีข้ออ้างแกล้งพี่ภูด้วย"รมิดากล่าวด้วยความหวังดี เพราะมั่นใจเกินร้อยว่าเขาต้องถูกให้พลวัตรเดินถือถังสีมาอีกรอบแน่
"อืม ก็ดีเหมือนกัน"
ทันทีที่ชายหนุ่มรับคำหญิงสาวจึงยื่นอุปกรณ์ให้ ก่อนจะเดินนำไปยังล็อกที่ตัวเองหมายตาไว้ ความเงียบของภูธเนศทำให้รมิดาตัดสินใจชวนคุยลดความอึดอัด "พี่ภูนึกยังไงถึงขอตามมาด้วยค่ะ"
"ออฟฟิศยังสร้างไม่เสร็จดีเลยว่างไม่รู้จะทำอะไรน่ะ" เขาตอบ
"อย่างนั้นก็ดีค่ะ แม่แดงจะได้ไม่เหงาพี่ภูหนีไปอยู่กรุงเทพตั้งหลายปี" ภูธเนศขมวดคิ้วก่อนจะหันมามองหญิงสาวข้างกาย ซึ่งตอนนี้เขานึกออกแล้วว่าเธอคือเด็กผู้หญิงที่ไปเที่ยวบ้านเขาบ่อยๆ ราวกับเป็นเจ้าของบ้านอีกคน ไม่รู้ทำไมเขาถึงจำเธอไม่ได้ในตอนแรกทั้งที่เธอไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลย
"ไปหาแม่พี่บ่อยเหรอ" ภูธเนศถามกลับ
"ก็ไม่บ่อยเท่าไหร่ค่ะ เดือนหนึ่งอาจจะครั้งสองครั้งถ้าพี่พลชวน"
"แม่พี่บอกว่าเราขี้อ้อน" คำบอกเล่าจากชายหนุ่มเรียกความสนใจของรมิดาได้ไม่น้อย ไม่คิดว่าเขารู้เรื่องของเธอเพราะก่อนหน้านี้ยังจำเธอไม่ได้อยู่เลย
ความขี้อ้อนเป็นนิสัยติดตัวตั้งแต่เด็กซึ่งน่าจะเป็นผลพวงจากการถูกส่งให้ไปอยู่กับยายช่วงปิดเทอม เธอจึงถูกอบรมในแบบฉบับที่พวกผู้ใหญ่เห็นเธอแล้วต้องชอบ ไม่ว่าจะเป็นการพูดจา การวางตัวที่เหมาะสม แม้ดูว่าจะเป็นข้อดีทว่าก็ต้องระวังเพราะส่วนใหญ่มองว่าเธอเป็นพวกสอพลออยากได้หน้า แต่พวกที่สนิทรู้นิสัยใจคอช่วงแรกมีน้อยใจคิดว่าพ่อแม่รักเธอมากกว่าลูกแท้ๆ แต่หลังจากนั้นไม่นานก็ได้ใช้ชื่อเธออ้างคราวที่พ่อแม่ไม่อนุญาติให้ทำอะไรสักอย่าง จนได้รับฉายาว่าผู้ใหญ่หลง
"แม่แดงทำคุ้กกี้อร่อยถ้าไม่อ้อนคงไม่ได้กินค่ะ" เธอว่าอย่างยิ้มๆ
"เพราะคุ้กกี้นี่เอง สงสัยต้องบอกแม่ซะแล้วลูกคนโปรดเห็นแก่ของกิน"
"ตามสบายเลยค่ะ เพราะตอนนี้น้ำได้สูตรทำคุ๊กกี้แล้ว" จากที่ชวนคุยเพื่อสร้างความคุ้นเคย กลายเป็นว่าทั้งสองต่างพูดคุยกันถูกคอเสียอย่างนั้น ทำให้นักเรียนหญิงบริเวณนั้นพลอยเก็บข้อมูลส่วนตัวหนุ่มในฝันได้ จนเริ่มมีความกล้าชวนภูธเนศคุยเพราะเห็นว่าภูธเนศเป็นคนอัธยาศัยดี เมื่อผ่านไปสักพักกลายเป็นว่าทั้งนักเรียนหญิงและชายต่างปลาบปลื้มภูธเนศกันยกใหญ่ ซึ่งนั่นช่วยทำให้รั้วด้านในหลังวัดเสร็จก่อนด้านอื่นทั้งที่คนน้อยกว่า เมื่อด้านในเรียบร้อยจึงย้ายมาทำด้านนอกวัดต่อ จวบจนเวลาพักเที่ยงทั้งหมดได้หยุดพักแล้วเดินมาทานข้าวบริเวณศาลาที่เป็นกองอำนวยการ โดยมีพลวัตรกับชาวบ้านอีกสองสามคนกำลังตักกับข้าวเตรียมแจกจ่ายให้ทุกคนอยู่
"ใช้ยกถังสีนิดเดียวหายไปเลยนะ" พลวัตรพูดขึ้นพร้อมยื่นจานข้าวให้น้องชาย แต่ภูธเนศก็ทำเป็นหูทวนลมไม่โต้ตอบนอกจากเดินไปขอนั่งทานข้าวกับนักเรียนหญิงกลุ่มที่ทาสีด้วยกัน
"แกดูมันซิ กวนประสาทฉัน" รมิดาคร้านจะสนใจเรื่องพี่น้องแหย่กัน จึงให้ความสนใจกับอาหารมากกว่าแต่กลับได้รับสายตาน้อยใจ เลยเอ่ยขึ้นว่า "ด้านหน้าวัดคนเยอะแล้ว น้ำเลยขอให้พี่ภูอยู่ช่วยน้ำค่ะ"
พี่ชายใจสาวมองค้อนอย่างเคืองๆ รมิดาส่ายหน้ายิ้มๆ เพื่อเลี่ยงจากการหมายหัวแทนภูธเนศจึงบอกไปว่า"ตอนนี้รั้วหลังวัดเสร็จเกือบหมดแล้วเดี๋ยวน้ำจะแบ่งคนไปช่วยด้านอื่นๆ พร้อมส่งน้องชายสุดที่รักกลับไปให้พี่พลได้แกล้งเหมือนเดิมนะคะ"
เสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าเสื้อดังขึ้นทำให้ชายหนุ่มที่กำลังเดินเข้ามาในโรงพยาบาลต้องหยุดชะงักเพื่อกดรับสาย เมื่อเห็นว่ารายชื่อของคนโทรมาเป็นคนที่เขากำลังคิดถึงอยู่พอดี
"โทรมาคิดถึงวินเหรอ" อนาวินทักทายเมธาวี แฟนสาวที่คบกันมายาวนานถึงเจ็ดปี
"...ค่ะ" คำตอบซื่อๆ สั้นๆ ของคู่สนทนาเรียกรอยยิ้มจากอนาวินได้ไม่น้อย
เขาและเมธาวีเคยเป็นเพื่อนกันตอนเรียนม.ปลาย แล้วเมื่อกลับมาเจอกันอีกครั้งเขาจึงขอเธอเป็นแฟน
"ตอนนี้วินอยู่ไหนคะ"
"อยู่ที่โรงพยาบาลครับ" อนาวินตอบพร้อมเดินหาที่คุยโทรศัพท์เงียบๆ
"นั่นซินะ...เมไม่น่าถามอะไรโง่ๆ เลย" เมธาวีเค้นรอยยิ้ม ก่อนจะอดน้อยใจลึกๆ ไม่ได้ว่าคนอย่างคุณหมอ 'อนาวิน เทพวรางค์กุล' จะกล้าทิ้งคนไข้ไปไหนไกล ทุกครั้งที่เขาผิดนัดเธอก็มักจะได้คำตอบว่าเขาอยู่โรงพยาบาล
อนาวินที่รู้สึกว่าปลายสายเงียบไป จึงถามขึ้นว่า "วันนี้ตอนเย็นไปกินข้าวด้วยกันไหมครับ? "
"คะ เมได้ยินผิดไปรึป่าว วินชวนเมทานข้าวเย็นนี้" เมธาวีทวนซ้ำว่าสิ่งที่เธอได้ยินไม่ใช่สิ่งที่คิดไปเอง
หมอหนุ่มระบายลมหายใจแผ่วเบา ขณะที่คิดว่าเมธาวีคงไม่มั่นใจในคำพูดของเขาหลังจากผิดนัดเธอบ่อยๆ "เมได้ยินไม่ผิดหรอกครับ วันนี้วินชวนเมทานข้าวจริงๆ "
"แต่วินอยู่กรุงเทพฯ แล้วจะมาทานข้าวเย็นกับเมที่เชียงใหม่เนี่ยนะ"
"ตอนนี้ผมไม่ได้อยู่กรุงเทพฯ แต่ผมอยู่ที่เชียงใหม่" อนาวินตอบกลับเพื่อเป็นการเน้นย้ำว่าครั้งนี้เขาจะไม่ผิดนัดกับเธออีก
เมธาวีนิ่งไปทันทีที่แฟนหนุ่มพูดจบ ก่อนถามกลับอย่างไม่เข้าใจ "วิน...หมายความว่าไงคะ? "
"ไว้วินค่อยเล่าให้เมฟังตอนเย็นดีกว่านะครับ"
เมื่อไร้คำอธิบายจากอนาวิน เมธาวีจึงยอมแพ้เพราะถึงจะคาดคั้นไปคงไม่ได้คำตอบ "งั้นตอนเย็นเมจะรอที่โรงแรมนะคะ แล้ววินก็อย่าลืมทานข้าวให้ตรงเวลาด้วย"
"ครับ"
หลังจากวางสายเสร็จ อนาวินจึงไปรายงานตัวกับแผนกบุคคลและรับทราบกฎระเบียบต่างๆ ซึ่งใช้ระยะเวลานานพอสมควรกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย เมื่อเห็นว่าใกล้เที่ยงก็ไปยังชั้นผู้บริหารเพื่อทักทายพี่ชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของตน ซึ่งตอนนี้เข้ามาทำงานแทนผู้เป็นลุงที่ผันตัวเองไปใช้ชีวิตในไร่ด้วยความที่ไม่พบกันมานาน จึงถูกรั้งให้ทานข้าวและพูดคุยอยู่นานจนเมื่อดูเวลาจะบ่ายเกือบสามโมงเสียแล้ว พอออกจากโรงพยาบาลเขาตัดสินใจแวะห้างสรรพสินค้าซื้อของสดสำหรับทำอาหารที่บ้านเย็นนี้ ก่อนจะขับรถไปรับแฟนสาวที่โรงแรม
"สวัสดีค่ะ....คุณอนาวิน" เสียงทักทายของเลขานุการวัยห้าสิบปีดังขึ้น ขณะที่อนาวินกำลังเดินมาบริเวณหน้าห้องทำงานของเมธาวี
'อนาวิล เทพวรางค์กุล' ทายาทคนโตของนักธุรกิจผลิตเฟอร์นิเจอร์ระดับประเทศ ซึ่งเขาเลือกทำตามความฝันตัวเองแล้วปล่อยให้น้องชายกับน้องสาวเป็นคนดูแลกิจการครอบครัวต่อจากผู้เป็นพ่อแทนตัวเอง
"สวัสดีครับคุณนี ไม่ได้เจอกันนานดูคุณนีสวยขึ้นนะครับ" นีรนุชเขินเล็กน้อยที่ถูกหนุ่มหล่อตรงหน้าชม ถ้าหากว่าเธอเกิดช้ากว่านี้สักยี่สิบปี เธอจะขอลงสนามแข่งแย่งคุณอนาวินจากคุณเมธาวีไปเรียบร้อยแล้ว
"ขอบคุณค่ะ คุณอนาวินก็หล่อขึ้นเหมือนกันนะคะ"
อนาวินพยักหน้ายิ้มให้กับนีรนุชเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามถึงคนรักตัวเอง "ตอนนี้เมยุ่งอยู่รึป่าวครับ"
"ตอนนี้คุณเมกำลังคุยสัญญากับคุณปลื้มกันอยู่ค่ะ คุณอนาวินรอสักครู่นะคะ เดี๋ยวดิฉันขอแจ้งคุณเมก่อน"
"ถ้าอย่างนั้นรบกวนด้วยนะครับ" ว่าแล้วอนาวินจึงเดินไปนั่งรอที่โซฟาในห้องรับรองแขก
กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง!
เสียงโทรศัพท์ภายในห้องทำให้เจ้าของห้องที่กำลังคุยสัญญาร่วมทำธุรกิจระหว่างโรงแรมแกรนด์กับบริษัททัวร์ลานนาอยู่ ต้องหันมองก่อนจะลุกขึ้นมารับสาย
"คุณนีมีอะไรรึป่าวคะ? "
"ตอนนี้คุณอนาวินมารอคุณเมธาวีอยู่ที่ห้องรับรองค่ะ" เสียงรายงานจากเลขานุการทำให้หญิงสาวชุด เดรสสีน้ำเงินแขนยาวที่ยืนถือสายอยู่นิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงปกติ
"ขอบคุณค่ะ รบกวนคุณนีช่วยบอกวินว่าอีกสิบนาทีเมจะออกไปนะคะ"
หลังสายถูกตัดเมธาวีหลับตาลงช้าๆ และพยายามรวบรวมความสติกลับมา แล้วเดินมายังชุดโซฟาที่มีชายหนุ่มร่างโปร่งกำลังนั่งอ่านเอกสาร
"พี่ปลื้มคะ"
"ครับ" เสียงหวานของเมธาวี ทำให้ปริญญาละสายตาจากเอกสาร แล้วเงยหน้ามองหญิงสาว
"วันนี้เมขอพอแค่นี้ได้ไหมคะ คือ...ตอนนี้วินรอเมอยู่ที่ห้องรับรองแขก"
ปริญญาขมวดคิ้วก่อนจะถามในสิ่งที่สงสัย "วิน...อนาวิน แฟนของเมใช่ไหม? "
เมธาวีเม้มปากเล็กน้อยพร้อมพยักหน้าเล็กน้อย ทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ
"งั้นวันนี้พี่จะกลับก่อน ถ้าเมพร้อมเมื่อไหร่ค่อยโทรหาพี่แล้วกัน" ชายหนุ่มบอกเมื่อเห็นว่าหญิงสาวลำบากใจ เขายิ้มแล้วก้มเก็บเอกสารยื่นให้เธอ ก่อนจะหมุนตัวออกไป
"พี่ปลื้มคะ เมว่าเรื่องของเรา.." เสียงหวานที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้ปริญญาที่ต้องชะงักฝีเท้าเพื่อหยุดฟัง
ทว่าก่อนที่เมธาวีจะพูดจบ ปริญญากลับแทรกตัดบท "พี่รู้ว่าเมจะพูดอะไร พี่ยังยืนยันคำเดิมว่าพี่ไม่ได้ขอให้เมต้องชอบหรือรักพี่ตอบ พี่แค่ยังอยากอยู่ตรงนี้ข้างๆ เม เมไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับความรู้สึกของพี่ ทุกอย่างระหว่างเราพี่เลือกเอง"
ทันทีที่เมธาวีฟังความรู้สึกของชายหนุ่มจบ ก็ยิ่งรู้สึกผิดที่ทำให้คนดีๆ อย่างเขาต้องมาเสียเวลากับเธอ....
"ไอ้ภูแกยกถังสีแล้วเอาไปให้น้ำกับเด็กหลังวัดที" พลวัตรหันไปสั่งน้องชาย หลังจากได้รับโทรศัพท์จากรมิดาว่าขัดสีเก่าออกหมดแล้วและอยากให้นักเรียนชายที่อยู่กับเขายกถังสีมาให้หน่อยเนื่องจากว่านักเรียนชายฝั่งนี้ช่วยชาวบ้านขนกองไม้ที่วางระเกะระกะไปทิ้งป่าหลังวัด ที่เหลืออยู่มีแต่ผู้หญิงจะให้ยกถังไกลก็เกรงว่าจะไม่ไหวเนื่องจากรถเข็นวัดที่มีถูกนำไปใช้ขนเศษไม้เหมือนกัน
"ทำไมนายไม่ไปเองหรือใช้เด็กไปล่ะ ตอนนี้ฉันกำลังขัดสีออกไม่เห็นรึไง"
"เห็น แต่เพราะฉันต้องสั่งงานเด็กแล้วตอนนี้ฉันกำลังรอผู้ใหญ่บ้านพาไปซื้ออุปกรณ์ทาสีเพิ่มด้วย ที่สำคัญคือฉันเป็นพี่อยากใช้น้องชายตัวเองจบไหม"
ภูธเนศมองพี่ชายอย่างเซ็งๆ ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือผิดที่ขอมาด้วย ตั้งแต่เด็กพลวัตรมักหาเหตุผลต่างๆ ให้ต้องยอมจำนน ก่อนจะใช้ความเป็นพี่เจ้ากี้เจ้าการชีวิตเขาเสมอ อย่างตอนนี้คงตั้งใจแกล้งใช้งานเขาหนักมากกว่าทั้งที่ในความเป็นจริงให้เด็กผู้ชายช่วยกันยกไปก็ได้ แต่กลับเจาะจงเป็นเขาชัดเจน เมื่อขี้เกียจทะเลาะให้เมื่อยปากจึงวางแปรงทองเหลืองแล้วเดินไปยกถังสีมุ่งหน้าไปยังจุดหมายทันที
รมิดาที่กำลังย้ำวิธีการทาสีและแบ่งนักเรียนจับคู่ทาสีเป็นล็อกให้นักเรียนฟัง ต้องแปลกใจในท่าทีเขินอายของนักเรียนหญิงแถมบางคนตัวแทบจะบิดเป็นเลขแปดอยู่แล้ว พอมองหาสาเหตุพบว่าภูธเนศกำลังยกถังสีมาทางนี้
"นักเรียนคะเก็บอาการหน่อยก็ได้ค่ะ เดี๋ยวน้องชายครูพลหนีกลับมาบ้านซะก่อน"
"ครูน้ำ น้องชายครูพลหล่ออย่างกับพระเอกเกาหลีละลายใจขนาดนี้จะทนได้ยังไงคะ ว่าแต่พี่เขาชื่อภูใช่ไหมคะ"
"ใช่แล้วชื่อเล่นว่าภู ชื่อจริงภูธเนศ"
"พี่ภูมีแฟนรึยังคะครู อย่างหนูพอจะสมัครเป็นน้องสะใภ้ครูพลได้ไหมคะ"
"เด็กพวกนี้นี่ อ้าวถ้าใครอยากเป็นแฟนพี่ภูหนูต้องแสดงให้พี่ภูเห็นว่าเป็นคนตั้งใจกับการทำงาน ขยันและอดทนจะทำตัวเหมือนพวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อไม่ได้เพราะเขาไม่ชอบ เอาล่ะจับคู่ได้แล้วให้เอาถังเล็กมาแบ่งสีไปทาเป็นล็อกค่ะ"
เมื่อภูธเนศเดินมาถึงจุดที่รมิดาและนักเรียนยืนอยู๋ใบหน้าหล่อเกาหลีของชายหนุ่มก็เต็มไปด้วยเหงื่อ ซึ่งเขาก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นอกจากใช้มือปาดทิ้ง แล้วบริการเปิดถังสีให้ก่อนจะคนให้สีเข้ากันแล้วตักแบ่งให้นักเรียนหญิงทันที โดยไม่รู้ว่าการกระทำที่นิ่งๆ นั้นยิ่งเพิ่มความหนักแน่นให้กับคำพูดของรมิดามากขึ้น พอเสร็จแล้วจึงตั้งใจจะกลับไปหาพี่ชายบริเวณหน้าวัด
"พี่ภูอยู่ทาสีตรงนี้กับน้ำดีกว่าค่ะ กลับไปเดี๋ยวพี่พลแกล้งให้ยกถังสีไปมาอีก แต่ถ้าพี่ภูไม่อยากอยู่ตรงนี้ น้ำว่ารอจนกว่านักเรียนชายส่วนนี้กลับมาก่อนแล้วค่อยไป พี่พลจะได้ไม่มีข้ออ้างแกล้งพี่ภูด้วย"รมิดากล่าวด้วยความหวังดี เพราะมั่นใจเกินร้อยว่าเขาต้องถูกให้พลวัตรเดินถือถังสีมาอีกรอบแน่
"อืม ก็ดีเหมือนกัน"
ทันทีที่ชายหนุ่มรับคำหญิงสาวจึงยื่นอุปกรณ์ให้ ก่อนจะเดินนำไปยังล็อกที่ตัวเองหมายตาไว้ ความเงียบของภูธเนศทำให้รมิดาตัดสินใจชวนคุยลดความอึดอัด "พี่ภูนึกยังไงถึงขอตามมาด้วยค่ะ"
"ออฟฟิศยังสร้างไม่เสร็จดีเลยว่างไม่รู้จะทำอะไรน่ะ" เขาตอบ
"อย่างนั้นก็ดีค่ะ แม่แดงจะได้ไม่เหงาพี่ภูหนีไปอยู่กรุงเทพตั้งหลายปี" ภูธเนศขมวดคิ้วก่อนจะหันมามองหญิงสาวข้างกาย ซึ่งตอนนี้เขานึกออกแล้วว่าเธอคือเด็กผู้หญิงที่ไปเที่ยวบ้านเขาบ่อยๆ ราวกับเป็นเจ้าของบ้านอีกคน ไม่รู้ทำไมเขาถึงจำเธอไม่ได้ในตอนแรกทั้งที่เธอไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลย
"ไปหาแม่พี่บ่อยเหรอ" ภูธเนศถามกลับ
"ก็ไม่บ่อยเท่าไหร่ค่ะ เดือนหนึ่งอาจจะครั้งสองครั้งถ้าพี่พลชวน"
"แม่พี่บอกว่าเราขี้อ้อน" คำบอกเล่าจากชายหนุ่มเรียกความสนใจของรมิดาได้ไม่น้อย ไม่คิดว่าเขารู้เรื่องของเธอเพราะก่อนหน้านี้ยังจำเธอไม่ได้อยู่เลย
ความขี้อ้อนเป็นนิสัยติดตัวตั้งแต่เด็กซึ่งน่าจะเป็นผลพวงจากการถูกส่งให้ไปอยู่กับยายช่วงปิดเทอม เธอจึงถูกอบรมในแบบฉบับที่พวกผู้ใหญ่เห็นเธอแล้วต้องชอบ ไม่ว่าจะเป็นการพูดจา การวางตัวที่เหมาะสม แม้ดูว่าจะเป็นข้อดีทว่าก็ต้องระวังเพราะส่วนใหญ่มองว่าเธอเป็นพวกสอพลออยากได้หน้า แต่พวกที่สนิทรู้นิสัยใจคอช่วงแรกมีน้อยใจคิดว่าพ่อแม่รักเธอมากกว่าลูกแท้ๆ แต่หลังจากนั้นไม่นานก็ได้ใช้ชื่อเธออ้างคราวที่พ่อแม่ไม่อนุญาติให้ทำอะไรสักอย่าง จนได้รับฉายาว่าผู้ใหญ่หลง
"แม่แดงทำคุ้กกี้อร่อยถ้าไม่อ้อนคงไม่ได้กินค่ะ" เธอว่าอย่างยิ้มๆ
"เพราะคุ้กกี้นี่เอง สงสัยต้องบอกแม่ซะแล้วลูกคนโปรดเห็นแก่ของกิน"
"ตามสบายเลยค่ะ เพราะตอนนี้น้ำได้สูตรทำคุ๊กกี้แล้ว" จากที่ชวนคุยเพื่อสร้างความคุ้นเคย กลายเป็นว่าทั้งสองต่างพูดคุยกันถูกคอเสียอย่างนั้น ทำให้นักเรียนหญิงบริเวณนั้นพลอยเก็บข้อมูลส่วนตัวหนุ่มในฝันได้ จนเริ่มมีความกล้าชวนภูธเนศคุยเพราะเห็นว่าภูธเนศเป็นคนอัธยาศัยดี เมื่อผ่านไปสักพักกลายเป็นว่าทั้งนักเรียนหญิงและชายต่างปลาบปลื้มภูธเนศกันยกใหญ่ ซึ่งนั่นช่วยทำให้รั้วด้านในหลังวัดเสร็จก่อนด้านอื่นทั้งที่คนน้อยกว่า เมื่อด้านในเรียบร้อยจึงย้ายมาทำด้านนอกวัดต่อ จวบจนเวลาพักเที่ยงทั้งหมดได้หยุดพักแล้วเดินมาทานข้าวบริเวณศาลาที่เป็นกองอำนวยการ โดยมีพลวัตรกับชาวบ้านอีกสองสามคนกำลังตักกับข้าวเตรียมแจกจ่ายให้ทุกคนอยู่
"ใช้ยกถังสีนิดเดียวหายไปเลยนะ" พลวัตรพูดขึ้นพร้อมยื่นจานข้าวให้น้องชาย แต่ภูธเนศก็ทำเป็นหูทวนลมไม่โต้ตอบนอกจากเดินไปขอนั่งทานข้าวกับนักเรียนหญิงกลุ่มที่ทาสีด้วยกัน
"แกดูมันซิ กวนประสาทฉัน" รมิดาคร้านจะสนใจเรื่องพี่น้องแหย่กัน จึงให้ความสนใจกับอาหารมากกว่าแต่กลับได้รับสายตาน้อยใจ เลยเอ่ยขึ้นว่า "ด้านหน้าวัดคนเยอะแล้ว น้ำเลยขอให้พี่ภูอยู่ช่วยน้ำค่ะ"
พี่ชายใจสาวมองค้อนอย่างเคืองๆ รมิดาส่ายหน้ายิ้มๆ เพื่อเลี่ยงจากการหมายหัวแทนภูธเนศจึงบอกไปว่า"ตอนนี้รั้วหลังวัดเสร็จเกือบหมดแล้วเดี๋ยวน้ำจะแบ่งคนไปช่วยด้านอื่นๆ พร้อมส่งน้องชายสุดที่รักกลับไปให้พี่พลได้แกล้งเหมือนเดิมนะคะ"
เสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าเสื้อดังขึ้นทำให้ชายหนุ่มที่กำลังเดินเข้ามาในโรงพยาบาลต้องหยุดชะงักเพื่อกดรับสาย เมื่อเห็นว่ารายชื่อของคนโทรมาเป็นคนที่เขากำลังคิดถึงอยู่พอดี
"โทรมาคิดถึงวินเหรอ" อนาวินทักทายเมธาวี แฟนสาวที่คบกันมายาวนานถึงเจ็ดปี
"...ค่ะ" คำตอบซื่อๆ สั้นๆ ของคู่สนทนาเรียกรอยยิ้มจากอนาวินได้ไม่น้อย
เขาและเมธาวีเคยเป็นเพื่อนกันตอนเรียนม.ปลาย แล้วเมื่อกลับมาเจอกันอีกครั้งเขาจึงขอเธอเป็นแฟน
"ตอนนี้วินอยู่ไหนคะ"
"อยู่ที่โรงพยาบาลครับ" อนาวินตอบพร้อมเดินหาที่คุยโทรศัพท์เงียบๆ
"นั่นซินะ...เมไม่น่าถามอะไรโง่ๆ เลย" เมธาวีเค้นรอยยิ้ม ก่อนจะอดน้อยใจลึกๆ ไม่ได้ว่าคนอย่างคุณหมอ 'อนาวิน เทพวรางค์กุล' จะกล้าทิ้งคนไข้ไปไหนไกล ทุกครั้งที่เขาผิดนัดเธอก็มักจะได้คำตอบว่าเขาอยู่โรงพยาบาล
อนาวินที่รู้สึกว่าปลายสายเงียบไป จึงถามขึ้นว่า "วันนี้ตอนเย็นไปกินข้าวด้วยกันไหมครับ? "
"คะ เมได้ยินผิดไปรึป่าว วินชวนเมทานข้าวเย็นนี้" เมธาวีทวนซ้ำว่าสิ่งที่เธอได้ยินไม่ใช่สิ่งที่คิดไปเอง
หมอหนุ่มระบายลมหายใจแผ่วเบา ขณะที่คิดว่าเมธาวีคงไม่มั่นใจในคำพูดของเขาหลังจากผิดนัดเธอบ่อยๆ "เมได้ยินไม่ผิดหรอกครับ วันนี้วินชวนเมทานข้าวจริงๆ "
"แต่วินอยู่กรุงเทพฯ แล้วจะมาทานข้าวเย็นกับเมที่เชียงใหม่เนี่ยนะ"
"ตอนนี้ผมไม่ได้อยู่กรุงเทพฯ แต่ผมอยู่ที่เชียงใหม่" อนาวินตอบกลับเพื่อเป็นการเน้นย้ำว่าครั้งนี้เขาจะไม่ผิดนัดกับเธออีก
เมธาวีนิ่งไปทันทีที่แฟนหนุ่มพูดจบ ก่อนถามกลับอย่างไม่เข้าใจ "วิน...หมายความว่าไงคะ? "
"ไว้วินค่อยเล่าให้เมฟังตอนเย็นดีกว่านะครับ"
เมื่อไร้คำอธิบายจากอนาวิน เมธาวีจึงยอมแพ้เพราะถึงจะคาดคั้นไปคงไม่ได้คำตอบ "งั้นตอนเย็นเมจะรอที่โรงแรมนะคะ แล้ววินก็อย่าลืมทานข้าวให้ตรงเวลาด้วย"
"ครับ"
หลังจากวางสายเสร็จ อนาวินจึงไปรายงานตัวกับแผนกบุคคลและรับทราบกฎระเบียบต่างๆ ซึ่งใช้ระยะเวลานานพอสมควรกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย เมื่อเห็นว่าใกล้เที่ยงก็ไปยังชั้นผู้บริหารเพื่อทักทายพี่ชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของตน ซึ่งตอนนี้เข้ามาทำงานแทนผู้เป็นลุงที่ผันตัวเองไปใช้ชีวิตในไร่ด้วยความที่ไม่พบกันมานาน จึงถูกรั้งให้ทานข้าวและพูดคุยอยู่นานจนเมื่อดูเวลาจะบ่ายเกือบสามโมงเสียแล้ว พอออกจากโรงพยาบาลเขาตัดสินใจแวะห้างสรรพสินค้าซื้อของสดสำหรับทำอาหารที่บ้านเย็นนี้ ก่อนจะขับรถไปรับแฟนสาวที่โรงแรม
"สวัสดีค่ะ....คุณอนาวิน" เสียงทักทายของเลขานุการวัยห้าสิบปีดังขึ้น ขณะที่อนาวินกำลังเดินมาบริเวณหน้าห้องทำงานของเมธาวี
'อนาวิล เทพวรางค์กุล' ทายาทคนโตของนักธุรกิจผลิตเฟอร์นิเจอร์ระดับประเทศ ซึ่งเขาเลือกทำตามความฝันตัวเองแล้วปล่อยให้น้องชายกับน้องสาวเป็นคนดูแลกิจการครอบครัวต่อจากผู้เป็นพ่อแทนตัวเอง
"สวัสดีครับคุณนี ไม่ได้เจอกันนานดูคุณนีสวยขึ้นนะครับ" นีรนุชเขินเล็กน้อยที่ถูกหนุ่มหล่อตรงหน้าชม ถ้าหากว่าเธอเกิดช้ากว่านี้สักยี่สิบปี เธอจะขอลงสนามแข่งแย่งคุณอนาวินจากคุณเมธาวีไปเรียบร้อยแล้ว
"ขอบคุณค่ะ คุณอนาวินก็หล่อขึ้นเหมือนกันนะคะ"
อนาวินพยักหน้ายิ้มให้กับนีรนุชเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามถึงคนรักตัวเอง "ตอนนี้เมยุ่งอยู่รึป่าวครับ"
"ตอนนี้คุณเมกำลังคุยสัญญากับคุณปลื้มกันอยู่ค่ะ คุณอนาวินรอสักครู่นะคะ เดี๋ยวดิฉันขอแจ้งคุณเมก่อน"
"ถ้าอย่างนั้นรบกวนด้วยนะครับ" ว่าแล้วอนาวินจึงเดินไปนั่งรอที่โซฟาในห้องรับรองแขก
กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง!
เสียงโทรศัพท์ภายในห้องทำให้เจ้าของห้องที่กำลังคุยสัญญาร่วมทำธุรกิจระหว่างโรงแรมแกรนด์กับบริษัททัวร์ลานนาอยู่ ต้องหันมองก่อนจะลุกขึ้นมารับสาย
"คุณนีมีอะไรรึป่าวคะ? "
"ตอนนี้คุณอนาวินมารอคุณเมธาวีอยู่ที่ห้องรับรองค่ะ" เสียงรายงานจากเลขานุการทำให้หญิงสาวชุด เดรสสีน้ำเงินแขนยาวที่ยืนถือสายอยู่นิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงปกติ
"ขอบคุณค่ะ รบกวนคุณนีช่วยบอกวินว่าอีกสิบนาทีเมจะออกไปนะคะ"
หลังสายถูกตัดเมธาวีหลับตาลงช้าๆ และพยายามรวบรวมความสติกลับมา แล้วเดินมายังชุดโซฟาที่มีชายหนุ่มร่างโปร่งกำลังนั่งอ่านเอกสาร
"พี่ปลื้มคะ"
"ครับ" เสียงหวานของเมธาวี ทำให้ปริญญาละสายตาจากเอกสาร แล้วเงยหน้ามองหญิงสาว
"วันนี้เมขอพอแค่นี้ได้ไหมคะ คือ...ตอนนี้วินรอเมอยู่ที่ห้องรับรองแขก"
ปริญญาขมวดคิ้วก่อนจะถามในสิ่งที่สงสัย "วิน...อนาวิน แฟนของเมใช่ไหม? "
เมธาวีเม้มปากเล็กน้อยพร้อมพยักหน้าเล็กน้อย ทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ
"งั้นวันนี้พี่จะกลับก่อน ถ้าเมพร้อมเมื่อไหร่ค่อยโทรหาพี่แล้วกัน" ชายหนุ่มบอกเมื่อเห็นว่าหญิงสาวลำบากใจ เขายิ้มแล้วก้มเก็บเอกสารยื่นให้เธอ ก่อนจะหมุนตัวออกไป
"พี่ปลื้มคะ เมว่าเรื่องของเรา.." เสียงหวานที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้ปริญญาที่ต้องชะงักฝีเท้าเพื่อหยุดฟัง
ทว่าก่อนที่เมธาวีจะพูดจบ ปริญญากลับแทรกตัดบท "พี่รู้ว่าเมจะพูดอะไร พี่ยังยืนยันคำเดิมว่าพี่ไม่ได้ขอให้เมต้องชอบหรือรักพี่ตอบ พี่แค่ยังอยากอยู่ตรงนี้ข้างๆ เม เมไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับความรู้สึกของพี่ ทุกอย่างระหว่างเราพี่เลือกเอง"
ทันทีที่เมธาวีฟังความรู้สึกของชายหนุ่มจบ ก็ยิ่งรู้สึกผิดที่ทำให้คนดีๆ อย่างเขาต้องมาเสียเวลากับเธอ....
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ