[Omega Queen] โอเมก้าควีน | KOOKV
-
เขียนโดย NyxLuna
วันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 เวลา 19.57 น.
9 chapter
0 วิจารณ์
9,200 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 20.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
8) CHAPTER VI : ยาระบาด
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความCHAPTER VI : ยาระบาด
เอี๊ยด!
รถยนต์คันสีดำสนิทจอดเทียบลงที่หน้าภัตตาคารชื่อดังก่อนที่สองร่างบนรถจะก้าวลงมายืนขนาบข้างกัน ผมมองร้านอาหารตรงหน้าด้วยความตื่นเต้นเพราะเคยได้ยินชื่อเสียงของที่นี่มามากพอสมควร แม้แต่ในเว็บบอร์ดชื่อดังก็ยังให้คะแนนที่นี่ถึงห้าดาวเต็ม ถ้าไม่ติดว่าผมไม่มีตังค์ก็คงจะมาลองกินอาหารที่นี่เป็นที่แรกๆด้วยซ้ำและตอนนี้ผมก็กำลังจะได้ลิ้มลองมันในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
"เก็บอาการหน่อยก็ได้มั้ง - - อย่าลืมว่าเรามาที่นี่เพื่อคุยงาน"
"รู้แล้วน่า"
ผมตอบอีกคนไปปัดๆอย่างไม่สนใจ ขาเรียวก้าวนำคนเป็นเจ้านายเข้ามาในร้านด้วยความตื่นเต้นบรรยากาศในร้านที่เต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาจนเต็มร้านไปหมดพร้อมกับภายในร้านที่ถูกตกแต่งอย่างหรูหราทำให้ยืนยันได้ดีว่าที่นี่เหมาะสมแล้วกับคะแนนห้าดาวเต็มในเว็บบอร์ดนั่น แล้วที่อีกคนบอกว่ามาที่นี่เพื่อคุยงานมันก็เป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้ที่เจคเจ้านายใหม่ของผมสดๆร้อนๆไปประชุมเรื่องนโยบายใหม่ส่งเด็กไปแลกเปลี่ยนเมื่อเช้าได้มีหนึ่งในบุคคลสำคัญในวงการสภากลางของเขตนัดเขาส่วนตัวมาทานข้าวเย็น ซึ่งคนที่อยู่ในวงการนี้มาสองปีอย่างเจคก็เดาได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายมีเรื่องที่อยากคุยเป็นการส่วนตัวไม่ใช่แค่อยากกินข้าวธรรมดาๆ แต่ใครสน? ตอนนี้ผมสนแค่ครอสอาหารแสนแพงตรงหน้าเท่านั้นแหละ
"เชิญคุณเจคทางนี้ค่ะ"
เสียงพนักงานสาวดึงความสนใจของผมออกจากเมนูอาหารตรงหน้าให้หันไปมองเธอก่อนที่ร่างบางจะเดินนำพวกผมไปที่ห้องที่ถูกทำไว้ให้เป็นส่วนตัวซึ่งมีคนที่นัดพวกผมไว้นั่งรออยู่ก่อนแล้ว
"มากันแล้วเหรอ สวัสดีอีกครั้งนะ"
"สวัสดีครับ"
ผมมองรอยยิ้มเสแสร้งอย่างเป็นทางการตรงหน้าพลางยิ้มตอบกลับไปเหมือนกับเจ้านายของตนที่กำลังโค้งให้ความเคารพอีกคนที่อาวุโสกว่าจนผมต้องโค้งตาม ผมหย่อนก้นลงนั่งที่เก้าอี้ข้างๆกับเจคแล้วค่อยลอบมองคนข้างๆที่ยังคงนั่งเฉยๆไม่ได้ตักอาหารบนโต๊ะมากินแต่อย่างใด
"เราไม่ได้คุยกันส่วนตัวซะนานเลย นายเป็นยังไงบ้าง"
"สบายดีครับ"
"ดีแล้วหล่ะ จะว่าไปนายเปลี่ยนเลขางั้นสิ่หน้าตาดูฉลาดดีนะคนนี้"
"ก็ฉลาดแค่หน้าตานั่นแหล่ะครับ - - จินไปพักร้อนผมก็เลยต้องหาคนแทน"
"ถึงอย่างงั้นก็เถอะ ยินดีที่รู้จักนะ แล้วนายชื่ออะไร"
"วี ยินดีที่ได้รู้จักครับ"
ผมตอบคนฝั่งตรงข้ามกลับไปโดยไม่ลืมหันไปส่งสายตาจิกให้คนข้างๆที่พึ่งด่าผมไปด้วยใบหน้าตีมึน แต่สิ่งที่ได้กลับมาก็ยังคงเป็นความเมินเฉยอีกเช่นเคย เอาจริงๆผมก็เริ่มสงสัยแล้วนะว่าเจคมองเห็นผมรึป่าว หรือความจริงผมจะเป็นแค่ธาตุอากาศที่ไม่มีตัวตนกันแน่ - - (เพ้อเจ้อ)
"คุณวิลสันคงไม่ได้นัดผมมาแค่ทานข้าวเย็นหรอกใช่มั้ย?"
"หนุ่มสาวนี่ก็ใจร้อนกันจริง"
"วันนี้ตารางงานผมรัดทั้งวันเลยเหนื่อยน่ะ อยากรีบกลับไปพัก ถ้ามีอะไรอยากจะคุยกับผมก็เชิญพูดมาได้เลย"
"อืม ถ้าแบบนั้นฉันก็ขอเข้าเรื่องเลยแล้วกัน..นายคงรู้เรื่องการทดลองยาที่ทำให้อัลฟ่าบ้าคลั่งพวกนั้นกลับมาเป็นปกติแล้วใช่มั้ย"
"คุณคงหมายถึง..พวกอัลฟ่าที่กินยาคลั่ง?"
"ใช่ ในเวลาไม่กี่อาทิตย์ยาพวกนั้นระบาดไปเร็วมาก ถ้าพวกเราไม่รีบทำยาแก้เขตของเราจะได้วุ่นวายกันไปหมดแน่"
"แต่พวกที่ใช้ยาก็เป็นฝ่ายลองใช้เองกันทั้งนั้น"
"แต่ถ้าเราปล่อยไว้ แล้วปล่อยให้มันฆ่าใครตายขึ้นมาอีกเหตุการณ์มันจะไม่ยิ่งแย่ไปกว่านี้หรอ?"
"....."
"เท่าที่ฉันคิดมา การรีบหายารักษาน่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดแล้ว แต่การจะทำยามันก็ต้องทดลองใช้ก่อนและแน่นอนว่าเราคงจะควบคุมพวกอัลฟ่าไร้สติไม่ไหวแน่"
"คุณกำลังจะบอกอะไร"
"การได้มาซึ่งผลประโยชน์ย่อมต้องมีการเสียสละ ถ้าหากว่านายยอมให้ทางทีมแพทย์ใช้โอเมก้าหนึ่งร้อยคนในการทดลองยาอย่างถูกกฎหมาย ฉันเชื่อว่าพวกแพทย์จะต้องคิดค้นยาได้เร็วขึ้น"
"ผมไม่เข้าใจ"
"นายก็ลองคิดดูว่าระหว่างอัลฟ่าที่คลั่งไม่ได้สติ กับโอเมก้าที่คลั่งไม่ได้สติ การทดลองกับใครจะง่าย ปลอดภัยและเร็วกว่ากัน"
"แต่โอเมก้าไม่ได้ใช้ยาพวกนี้ - -"
"เราก็แค่บังคับให้พวกเขาใช้ นั่นไม่ใช่เรื่องยาก"
"ยานั่นมีฤทธิ์หลอนประสาทขั้นรุนแรง ร่างกายของโอเมก้าไม่มีทางรับไหวไม่ใช่รึไง"
"อย่างที่นายพูด โอเมก้าจะอยู่ได้ไม่ถึงสามชั่วโมงหลังจากได้รับยานี้ ฉันถึงได้บอกไงหล่ะ ว่ามันต้องมีการเสียสละ"
"จะบ้ารึป่าว!"
ผมมองหน้าอีกฝ่ายแน่นิ่ง ประโยคที่อีกฝ่ายพูดออกมาอย่างไม่รู้สึกอะไรมันกลับกระตุ้นอารมณ์โกรธในตัวผมให้ลุกฮืออย่างกลับกัน การจะเอาโอเมก้านับร้อยชีวิตไปตายเพื่อการช่วยชีวิตอัลฟ่าหน้าโง่ที่ไปติดยาเนี่ยนะ ต่อให้หัวเด็ดตีนขาดผมก็จะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูดออกมาแน่ๆ
"อะไรกัน - -*"
"คุณพูดออกมาได้ยังไง โอเมก้าก็คนเหมือนกัน เรื่องอะไรที่พวกเค้าจะต้องตาย"
"ผมคิดว่าคุณคงต้องตักเตือนเลขาของคุณให้ดีกว่านี้หน่อยนะคุณจ่าฝูง อย่าทำให้มันเสียบรรยากาศ"
"จะมากไปแล้-"
"วี..นั่งลง"
คำพูดถูกหยุดลงด้วยเสียงทุ้มที่ต่างไปจากปกติ ผมมองสบตาแข็งกร้าวของชายวัยกลางคนอย่างไม่เกรงกลัวก่อนที่จะยอมนั่งลงตามคำสั่งของคนข้างๆแม้ในใจจะอยากลุกออกจากห้องนี้ไปเต็มที มือเรียวกำเนื้อผ้ากางเกงแน่นเพื่อระงับอารมณ์ของตัวเองไม่ให้พลุกพล่านออกไปจนอีกคนต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย
"เรื่องนั้นผมจะลองไปคิดดู แล้วผมจะติดต่อกลับไป"
"ฉันจะรอ หวังว่านายคงจะไม่เห็นต่างจากสภากลางหรอกนะ นอร์ธเวล์ เจค็อป"
.
.
.
.
ตลอดทางกลับบ้านเต็มไปด้วยความอึดอัด แม้ในรถจะเต็มไปด้วยความเงียบงันแต่ก็ไม่ใครคิดจะเอ่ยเริ่มต้นบทสนทนา ต่างฝ่ายต่างมองออกไปนอกกระจกราวกับต่างหลงอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง จนทันทีที่รถยนต์จอดเทียบที่หน้าบ้านหลังใหญ่ขาเรียวก็พาตัวเองเดินลงจากรถตรงเข้ามาในตัวบ้านอย่างไม่รีรอ ในตอนนี้ผมยอมรับเลยว่ากำลังโกรธมากจนถึงมากที่สุด เมื่อแทนที่อีกคนจะปฏิเสธคำขอบ้าๆนั่นไปซะเลย แต่เขากลับเลือกที่จะเก็บมันไว้คิดที่หลัง ถ้าจะให้ผมคุยกับเขาถึงเรื่องนั้นในตอนนี้เพื่อให้เขาเปลี่ยนใจ หากเกิดการเถียงกันขึ้นมาผมคงได้ระเบิดใส่เขาจริงๆแน่
"ยินดีต้อนรับกลับค่ะคุณวี จะรับน้-"
เสียงของแม่บ้านขาดหายไปเมื่อนายอีกคนในบ้านเลือกที่จะเดินผ่านเธอไปราวกับไม่ได้ยินเสียงทักทายของเธอ ใบหน้าสวยแสดงออกถึงความไม่สบายใจนักจนแม้แต่พวกหล่อนที่ไม่รับรู้เรื่องราวก็ยังสังเกตได้จึงไม่มีใครคิดจะดื้อดึงเเพราะกลัวจะถูกนายที่กำลังอารมณ์ไม่ดีตำหนิ
"เตรียมข้าวไว้ให้เขาด้วย อีกสักพักก็คงจะหิว"
"ก่อนหน้านี้เห็นคนขับรถบอกจะพาคุณเจคไปร้านอาหารไม่ใช่หรอคะ ทำไมถึงยังไม่ได้ทานข้าวกัน"
"ถามมากจริง ทำตามที่ฉันบอกก็พอ เตรียมอาหารเสร็จก็ขึ้นไปเรียกเขาด้วย"
"ทราบแล้วค่ะ"
จ่าฝูงหนุ่มเลิกสนใจแม่บ้านทั้งสองแล้วเดินขึ้นบันไดเพื่อตรงไปยังห้องนอนของตนโดยไม่ลืมที่จะลอบมองบานประตูของคนที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟที่ตอนนี้ปิดสนิทไปแล้ว เขารู้ดีว่าอีกคนโกรธเรื่องอะไร แต่ที่เขาเลือกที่จะตอบไปแบบนั้นก็เพื่อตัดบทจากฝ่ายนั้นไปก่อน เพราะอีกคนเป็นถึงบุคคลอาวุโสของสภากลางและยังเป็นหนึ่งในคนที่ผลักดันเขาให้อยู่ในตำแหน่งจ่าฝูงมาตลอด การที่เขาจะปฏิเสธไปตรงๆมันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ แค่เรื่องที่เขาที่เป็นตัวแทนจากสภากลางจะเห็นต่างกับสภากลางก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดมากพอแล้ว และเขาเองก็ไม่คิดมาก่อนจริงๆ ว่าสุดท้ายแล้วมันจะมีบางสิ่งที่เขาเห็นต่างไป สิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุดในตอนนี้ก็คงหนีไม่พ้นการยืดเวลาไปก่อนเผื่อว่าในตอนสุดท้ายจะยังพอมีหนทางให้เขาปฏิเสธได้บ้าง และผมหวังว่าโอเมก้าใจร้อนในห้องจะเข้าใจในสิ่งที่ผมทำด้วยก็แล้วกัน
.
.
.
.
'รายงานสดจากที่เกิดเหตุค่ะ ในเวลาเที่ยงคืนของเมื่อวานเกิดเหตุฆาตกรรมเหยื่อเป็นรายที่หกแล้วในสัปดาห์นี้ โดยผู้ก่อเหตุยังคงเป็นอัลฟ่าที่ใช้ยาคลั่งจนทำให้ขาดสติลงมือดับชีวิตเหยื่อทำให้เกิดกระแสประท้วงเรียกร้องความรับผิดชอบจากสภากลางให้รีบแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ทางสภากลางยังคงไม่ให้คำตอบใดๆนั่นทำให้ประชาชนเริ่มไม่พอใ-'
ติ๊ด!
โทรทัศน์เครื่องใหญ่ถูกปิดลงด้วยคนที่เป็นใหญ่ที่สุดในบ้าน มื้ออาหารเช้าที่เคยอร่อยเริ่มทำให้ผมกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จะว่าไปตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่ได้พูดคุยกับเจคเลยจนผ่านมาถึงสามวัน เราต่างคนต่างเลือกที่จะเลี่ยงบทสนทนานี้และด้วยความที่ผมอยากให้เขารู้ว่าผมไม่เห็นด้วยผมเลยเลือกที่จะแสดงความเงียบแทนการบอกไปตรงๆ แต่สามวันที่ผ่านมามันก็ทำให้ผมได้เข้าใจอีกคนขึ้นมากเหมือนกัน เพราะในแต่ละวันเขามักจะได้รับโทรศัพท์จากสภากลลางเพื่อถามถึงคำตอบ แต่เจคก็ยังคงยืดเวลาออกไปจนผมเริ่มมั่นใจว่าเขาเองก็ไม่เห็นด้วยกับการทดลองบ้านั่นเหมือนกัน
"คุณไม่เห็นด้วยกับพวกเขาใช่มั้ย"
"......."
"ไม่มีทางจะปฏิเสธพวกเขาเลยหรือไง"
"ถ้ามันทำได้ง่ายนักผมจะประวิงเวลาไปเพื่ออะไร"
"แล้วคุณคิดหรอว่าการประวิงเวลาอยู่แบบนี้มันจะช่วยอะไรได้ นับวันก็ยิ่งมีคนตายจากคนพวกนั้นมากขึ้น"
"ถ้าฉลาดนัก งั้นคุณก็บอกผมมาซะสิว่าผมควรจะทำยังไง! ผมเองก็คิดจนปวดหัวไปหมดแล้วเหมือนกันนั่นแหละ"
เสียงทุ้มที่ตะคอกใส่เสียงดังจนผมสะดุ้งทำให้ผมเผลอปล่อยช้อนส้อมในมือล่วงด้วยความตกใจ ผมมองตามแผ่นหลังหนาที่เดินหนีออกไปทันทีที่พูดจบก่อนจะลากสายตากลับมามองอาหารในจานที่ยังเหลืออยู่ถึงครึ่ง ผมพิงศีรษะเข้ากับพนักเก้าอี้ด้วยความเบื่อหน่าย ผมไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลยสักนิดถึงผมจะเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ในความกดดัน แต่ผมเองก็ทนไม่ได้กับการยืดเวลาไปอย่างไร้จุดหมายแบบนี้ มันเหมือนกับว่าสักวันนึงยังไงเขาก็ต้องยอมให้คนพวกนั้นทำตามคำที่พูด และผมไม่มีวันยอมรับเรื่องแบบนั้นแน่ๆ
"แม่งเอ้ย"
ผมใช้หัวเขกกับโต๊ะไปหนึ่งทีก่อนจะยันตัวลุกขึ้นเพื่อตามเจ้านายของตัวเองที่คิดว่าน่าจะไปรอบนรถเรียบร้อยแล้ว และมันก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมบรรยากาศในรถที่อึดอัดจนน่าเบื่อมันทำให้ผมได้แต่มองภาพข้างทางนอกกระจกนั่น
"คุณต้องไปลาดตะเวนในเช้าวันนี้"
"......."
"มีข่าวสารจากเจโฮปว่ามีหมาป่านอกเขตผ่านเขตเราเข้ามา ตอนนี้กำลังตามหาแต่ยังไม่เจอ"
"ลักษณะ"
"ขนสีน้ำตาลแซมเทา ตาสีเขียว"
"......"
"มากกว่านั้น มันเป็นหมาป่าที่ใช้ยา มันจะกัดคุณทันทีที่เจอ"
"คงมีโอกาสได้กัดอยู่หรอก"
"อย่าประมาท หมาป่าพวกนี้จะมีแรงมากขึ้นเป็นเท่าตัว"
"รู้"
"เก่งจังเนาะ"
"อย่ากวน - -*"
"ไม่ได้กวนเลยจ้า โอ๊ย!"
"สมหน้า"
ผมหันไปทำตาขวางใส่ร่างหนาที่พึ่งยื่นมือมาผลักหัวผมเมื่อครู่ด้วยความไม่พอใจ คิดจะผลักก็ผลักงี้หรอใครจะยอม
"อย่าแม้แต่จะคิด ถ้าแตะหัวผมคุณได้เดินไปแน่"
มือเรียวค้างอยู่กลางอากาศก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายกระทันหันเมื่อเจอคำขู่ มือบางวางลงบนลาดไหล่ที่สวมทับด้วยสูทราคาแพงพลางทำมือปัดไปปัดมาราวกับที่ไหล่ของอีกคนมีฝุ่นติดอยู่
"ใครจะกล้าหล่ะครับ *-*"
"- -"
.
.
.
"ดูเหมือนวันนี้จะหนาวกว่าทุกวันนะ"
ผมเอ่ยทักเมื่อผิวกายกระทบกับลมเย็นๆที่พัดผ่านผิวหน้าจนแสบผิว ผมหันไปรับเอาเสื้อสูทตัวนอกของนายจ่าฝูงมาถือไว้เมื่อเขากำลังจะเตรียมตัวเข้าไปลาดตะเวน ร่างมนุษย์ที่ผมเห็นจนชินตาเริ่มเปลี่ยนรูปร่างแปลกไปจนกลายเป็นหมาป่าตัวโตโดยสมบูรณ์แบบ ขนหนาสีขาวสะอาดต่างจากผมลิบลับแนบเนียนไปกับพื้นผิวหิมะก่อนที่สัตว์สี่เท้าจะออกตัววิ่งหายเข้าไปในป่าจนลับตา
"มีเวลางีบสักที *-*"
.
.
{JAKE PART}
ผมออกแรงวิ่งเข้าป่ามาสักพักใหญ่ จนเห็นหมาป่าอีกสองตัวที่กำลังวิ่งอยู่ไกลๆจึงได้วิ่งเข้าไปสมทบ อาร์เอ็มกับเจโฮปมาถึงที่นี่ก่อนผมซักพักแล้วแต่ก็ยังไม่มีใครพบล่องลอยอะไรสักอย่าง จนทำให้พวกเราต้องเปลี่ยนแผนเป็นการแยกกันไปดูในแต่ละทิศของป่าแล้วนัดเจอกันอีกทีที่จุดใจกลางของป่า ดวงตาหมาป่ามองสำรวจไปรอบๆ ในขณะที่สี่เท้าออกวิ่งไม่หยุด แต่จนวิ่งมาสุดทางเกือบจะทะลุเข้าถนนอีกเส้นนึงก็ยังไม่เจออะไร ผมจึงเลือกที่จะย้อนกลับไปรวมกับอีกสองคนที่จุดนัดพบ แต่บางอย่างกลับต้องทำให้ผมเปลี่ยนใจซะก่อน
......
ฟุบ!
อุ้งเท้าใหญ่รั้งตัวเองให้หยุดวิ่งเมื่อสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่แปลกออกไปจากตอนแรก ความรู้สึกที่เหมือนกำลังโดนมองจากทิศไหนสักทางทำให้สัญชาตญาณอัลฟ่าทำงาน ใบหูสีขาวกางออกเพื่อฟังเสียงรอบๆ พร้อมกับจมูกที่เริ่มสูดหากลิ่นของผู้มาเยือน
"กรรซ์!!!"
บางอย่างหนักอึ้งถาโถมมาจากทางด้านหลังพร้อมกับคมเคี้ยวที่งับเข้าทีหลังคอของหมาป่าจ่าฝูงจนเจ้าตัวต้องรีบสะบัดคมเขี้ยวนั่นออกแล้วหันกลับไปกัดอีกฝ่ายคืน กลิ่นอัลฟ่าถูกปล่อยไปทั่วบริเวณเพื่อทำให้อีกฝ่ายกลัวแต่กลับป่าวเลย เมื่อมันยังคงลุกขึ้นสู้แม้จะถูกหมาป่าตัวใหญ่กว่าพุ่งชนจนกระเด็นลงไปนอนกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง นัยน์ตาที่ไร้แววทำให้รู้ได้ว่าหมาป่าตัวนี้ไม่ได้มีสติและมันคงจะไม่ยอมหยุดสู้จนกว่าจะมีฝ่ายใดได้ตายไปข้างนึง
"กรรซ์!!!"
การโจมตีจากทิศทางอื่นที่หมาป่าจ่าฝูงไม่ได้ระวังตัวทำให้หมาป่าร่างใหญ่โดนหมาป่าผู้เข้ามาร่วมการต่อสู้ใหม่งับให้อย่างจังที่ช่วงไหล่จนมีโลหิตสีแดงซึมไหลออกมาตามบาดแผล เจคสะบัดร่างหมาป่าอีกตัวให้กระเด็นออกไปแต่พอจะตั้งตัวได้หมาป่าอีกตัวที่พึ่งลุกขึ้นมาก็วิ่งเข้ามาหวังจะกัดเขาอีกรอบจนหมาป่าตัวโตต้องเสียท่าล้มลงไปนอนกับพื้นหิมะ
'ซวยแล้วไงแม่ง มีสองตัวได้ไงวะ'
.
.
.
อ่านด้วย
ไรท์:ตอนนี้จะเริ่มเข้าสู่ช่วงเนื้อเรื่องจริงจังแล้วนะคะ และไรท์ได้เพิ่มความยาวของตอนที่จะอัพในแต่ละวันเพิ่มขึ้นเป็นหนึ่งหมื่นตัวอักษรต่อตอนเพราะฉะนั้นหากมีการอัพช้าในแต่วันก็คือไม่ต้องตกใจ และสิ่งที่เพิ่มมาในตอนนี้คือ 'ยา' ซึ่งที่ไรท์อ้างอิงมาจะมีลักษณะคล้ายกับยาเสพติด แต่ในกรณีนี้คืออัลฟ่าที่กินจะทำให้คลุ้มคลั่ง มีแรงมากกว่าปกติ และไม่มีสติ สู้ไม่ยั้งอะไรแบบนั้น หากใช้ในโอเมก้ามันจะรุนแรงมากไปทำให้ร่างกายบอบบางของโอเมก้ารับไม่ไหวถึงขั้นเสียชีวิต เอาเป็นว่าเข้าใจตามนี้แล้วกันน้า <3 อ่อ!! กดติดตาม คอมเมนท์ ให้กำลังใจกันด้วยละเจ้ารีด *-*
*เรื่องโซลเมทไรท์ไม่ได้เบลอแต่อย่างใด รีดกรุณาอย่าพึ่งสงสัยในตัวไรท์เลยหนาออเจ้า อ่านไปก่อนเด้อ*
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ