รักนะ ยัยพี่เลี้ยง
-
4) บทที่ 4
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 4
เมื่อวันนี้หมดหน้าที่ในการเป็นพี่เลี้ยงเด็กโข่งแล้วฉันก็ขับลูกชายสุดที่รักฉันกลับบ้าน ฉันมองของเล่นที่เมื่อเช้านี้อุตส่าห์เตรียมมาล่อคุณหนูชาหวาน แต่ไหงกับเป็นเด็กมหาลัยซะงั้น ดีที่คุณเธอยังไม่เห็นของพวกนี้ไม่งั้นฉันคงอายมากแน่
ในขณะที่ฉันกำลังจะเตรียมตัวนอนเพื่อไปสู้รบกับคุณหนูชาหวานในวันพรุ่งนี้ บอลลี่ก็วิดีโอคอลมาก่อน
[เงียบไปทั้งวันเลยนะแก เป็นไงบ้างงานวันแรก เด็กน่ารักไหม]
เมื่อกดรับสายบอลลี่ก็ยิงคำถามใส่รัว ๆ
“น่ารักกับผีน่ะสิแก”
[เด็กดื้อเหรอหรือไง เล่ามา ๆ]
“ไอ้ที่บอกว่าดูแลเด็กอะ เด็กที่ว่าคือเด็กโข่งเว้ย!”
บอลลี่เอียงคอสงสัย [ยังไงวะ]
“เด็กมหาลัยค่าเด็กมหาลัย ฉันต้องคอยดูแลตามใจยัยคุณหนูชาหวาน ดุยังกับหมา คนอะไรไม่รู้บ่นได้ตลอดเวลา”
[แกก็หาสำลีมาอุดหูสิแล้วก็อุดจมูกต่อเลย]
“ไอ้บ้า ฉันยังไม่ตายเว้ยแล้วก็จะไม่ตายง่าย ๆ ด้วย แค่นี้ละจะไปนอนเอาแรงแล้ว” พูดจบฉันก็กดตัดสายทันที
เช้าวันนี้ฉันต้องไปรอรับคุณหนูเหมือนเดิมและเวลาเดิม แต่วันนี้ยัยคุณหนูนี่ต้องไปรถฉันเพราะเมื่อเช้าพี่ชายของเธอเอารถคันโปรดของเธอไปเนื่องจากรถของพี่ชายเธอมีปัญหาต้องเข้าอู่ บ้านของเธอมีรถอยู่สามคัน ของเธอ พี่เธอและคุณพ่อซึ่งทุกคันล้วนไม่ว่าง คุณหนูชาหวานเลยจำใจต้องนั่งรถฉันไปมหาลัย
“เชิญขึ้นรถค่ะคุณชาหวาน” ฉันเปิดประตูหลังรถให้เธอ
ชาหวานหรี่ตามองสำรวจหลังเบาะสักพักก่อนเบ้ปาก “สกปรก ฉันนั่งไม่ลงหรอก นั่งหน้าก็แล้วกัน” แล้วเธอก็เปิดประตูเดินขึ้นรถข้างคนขับปล่อยให้ฉันเปิดประตูเก้อ “นี่ขึ้นรถสิ” ชาหวานเลื่อนกระจกรถก่อนจะตะโกนบอกฉันที่กำลังจะเดินไปนั่งฝั่งคนขับ ให้ตายเธอช่างใจร้อนเสียจริง ฉันแกล้งขับรถตกคลองน้ำดีไหมฮะ ไม่ใช่สิต้องหาวิธีที่ตัวเองปลอดภัยด้วย
ฉันจอดรถที่เดิมกับที่จอดเมื่อวาน รถทันได้ดับสนิทคุณหนูหน้าหวานนั้นก็เปิดประตูลงจากรถไปทันที เธอเดินไปไม่กี่ก้าวก็ย้อนกลับมา ฉันเปิดเลื่อนกระจกลงเพื่อจะถามแต่ชาหวานก็พูดขึ้นมาก่อน
“วันนี้เธอจะไปเดินเล่นที่ไหนก็ได้ แต่เวลาฉันเรียกต้องมาให้ทันเข้าใจไหม” สั่งเสร็จชาหวานก็รีบเดินออกไปทันที เธอไม่อยากให้เพื่อนถามว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมเธอถึงนั่งรถกระป๋องคันเล็ก
ในขณะที่ฉันกำลังนั่งคิดว่าแถวนี้มีห้างไหนใกล้ ๆ ให้พอเดินเล่นบ้างก็เหลือบไปเห็นโทรศัพท์มือถือของชาหวานตกอยู่หลังเบาะรถ จึงเอื้อมมือไปหยิบมันและเดินไปให้คุณหนูนั่น
“คุณชาหวาน ชาหวาน”
ชาหวานหันมาตามเสียงเรียกและรีบเดินมาประชิดตัวฉันทันที
“เธอออกมานอกรถทำไม” ชาหวานไม่อยากให้เพื่อนของเธอเห็นพี่เลี้ยงคนนี้
“คุณลืมโทรศัพท์” ฉันยื่นให้และชาหวานก็รีบคว้าไปทันทีโดยที่ไม่เอ่ยปากขอบคุณอะไรฉันเลย
“ชาหวาน ใครอะฉันไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย” ลิ้นจี่ที่เพิ่งมาถึงมหาลัยถามขึ้นเมื่อเห็นเธอกำลังยืนคุยกับใครสักคนอยู่
ชาหวานหันมามองหน้าฉัน “เออ คนใช้ที่บ้านน่ะ พอดีฉันลืมโทรศัพท์เลยโทรให้เอามาให้น่ะ”
คนใช้งั้นเหรอ ได้เลยชาหวาน
ฉันใช้ฝ่ามือฟาดลงไปที่ไหล่ของเธอหนึ่งที
“โอ๊ย ทำไรฉันเนี่ย” ชาหวานหันจ้องหน้าฉันทันทีที่ฟาดลงไปที่ไหล่ของเธอ
“พี่ชื่อน้ำมนต์นะคะ เป็นพี่ของชาหวาน พอดีช่วงนี้ว่างเลยตั้งใจจะมารับส่งน้องสาวเพื่อไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง”
“ไม่แนะนำเพื่อน ๆ ให้พี่รู้จักหน่อยเหรอชาหวาน”
“เพื่อนฉันไม่อยากรู้จักหรอก” ชาหวานตอบปัด ๆ ตอนนี้เธออยากพาเพื่อน ๆ ออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด
“แต่ฉันอยากรู้จักนะ หนูชื่อซูกัสค่ะ ส่วนนี้ลิ้นจี่” ซูกัสพูดขึ้นและแนะนำตัว
เมื่อฉันคุยกับเพื่อนทั้งสองของชาหวานเสร็จ ฉันก็หันไปหาชาหวาน “ชอบแกล้งพี่อยู่เรื่อยเลยนะเรา งั้นพี่ไปก่อนนะ ให้มารับตอนไหนโทรมาแล้วกันนะ”
ฉันบอกกล่าวกับเพื่อน ๆ ของชาหวานจบก็รีบเดินขึ้นรถและออกรถทันที ขืนฉันออกช้ากว่านี้มีหวังคุณหนูชาหวานตวาดแว้ดเสียงแหลมไปทั่วมหาลัยแน่ ที่ฉันกล้าพูดแบบนี้ก็เพราะว่าเมื่อวานก่อนที่ฉันจะกลับบ้านฉันดันไปบ่นเรื่องที่คุณหนูชาหวานชอบขู่ไล่ฉันออกให้คุณพ่อบ้านและคุณท่านดันมาได้ยินเข้า ตอนแรกฉันก็ตกใจนึกว่าตัวเองต้องซวยแน่ ๆ แต่เดชะบุญคุณท่านกลับเปิดทางสว่างให้กับฉันแทน
“เป็นอย่างไรบ้างครับคุณน้ำมนต์ในการเริ่มงานวันแรก” คุณพ่อบ้านที่เป็นคนสัมภาษณ์ฉันถามขึ้นหลังจากที่ฉันกลับมาเปลี่ยนรถ
“ก็โอเคค่ะ แต่ฉันสงสัยตั้งแต่วันที่คุณรับฉันเข้าทำงาน ฉันของถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ” ฉันเอ่ยถามเรื่องที่ค้างคาใจออกไป
“ได้สิครับ”
“คิดว่าฉันจำได้ว่าก่อนหน้าฉันก็มีคนสมัครงาน แต่ทำคุณถึงรับฉันเข้าทำงานทันทีเลยละคะ”
“อ่อเรื่องนี้เอง คือคนก่อนหน้านี้ไม่ตรงตามคุณสมบัติตามที่คุณท่านต้องการครับ แล้วอีกอย่างผมว่าคุณน้ำมนต์น่าจะเหมาะมากกว่า ดูจากโหงวเฮ้งแล้ว มีอะไรคาใจอีกไหมครับถามผมได้ตลอดเลยนะ”
รับคนเข้าทำงานจากโหงวเฮ้งเนี่ยนะ
“อ่อมีอีกเรื่องค่ะ ฉันคิดว่าสักวันคงโดนไล่ออกแน่เลยค่ะ คุณชาหวานเอาแต่พูดขู่ฉันด้วยคำนี้”
คุณพ่อบ้านที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่างก็หยุดกิจกรรมทุกอย่างลงและโค้งคำนับ ฉันจึงหันไปดูว่าคุณพ่อบ้านกำลังทำความเคารพใคร เมื่อหันไปก็พบกับผู้ชายสูงวัยคนหนึ่งแต่งตัวภูมิฐาน สะอาดสะอ้าน มองครั้งเดียวก็รู้เลยว่าเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้แน่ ๆ
“สวัสดีครับคุณท่าน” เมื่อพ่อบ้านทำความเคารพเสร็จก็หันมาแนะนำนายจ้างของฉันให้ฉันรู้จัก “คุณน้ำมนต์ครับนี่คุณท่านอัมพุชครับ”
“สวัสดีค่ะ หนูชื่อน้ำมนต์นะคะ เป็นพี่เลี้ยงของคุณหนูชาหวานค่ะ” แนะนำตัวเสร็จฉันก็ยิ้ม
ไม่รู้ว่าคุณอัมพุชจะได้ยินที่ฉันบ่นเมื่อกี้หรือเปล่า
“สวัสดีจ้ะ” คุณอัมพุชรับไหว้ “หนูไม่ต้องห่วงเรื่องจะโดนชาหวานไล่ออกนะ ลุงเป็นคนจ้างหนูแสดงว่าคนที่สามารถไล่หนูออกได้มีแต่ลุงเท่านั้น แล้วลุงฝากเรื่องหนึ่ง ลุงอยากให้ดูช่วยดูแลชาหวานให้หน่อย เด็กคนนี้ดื้อนิดหน่อย จะสั่งจะสอนได้ตามสบายเลยนะ คิดซะว่าหนูเป็นพี่สาวคนหนึ่งของชาหวานแล้วกัน”
ดื้อมากต่างหากค่ะคุณท่าน!
“ค่ะคุณท่าน”
“ฉันขอตัวก่อนนะ มงคลเอาชาขึ้นไปให้ฉันด้วยนะ วันนี้จะนอนที่นี่”
ปกติคุณท่านไม่ได้นอนที่นี่เหรอเนี่ย จะว่าไปแล้วเท่าที่ฉันสังเกตมาตั้งแต่เมื่อวาน บ้านหลังนี้ไม่ค่อยมีคนอยู่เลย ส่วนใหญ่ที่เห็นเดินไปมาเดินก็มีแต่เหล่าคนรับใช้ทั้งนั้น
บ้านใหญ่โต แต่ไม่มีคน ดูเงียบเหงาเหมือนกันแฮะ
“สวัสดีค่ะคุณท่าน” ฉันกล่าวลาและคุณอัมพุชก็หันมาพยักหน้ารับคำลาก่อนจะเดินออกจากห้องไป
คราวนี้ฉันก็ไม่ต้องเกร็งกับยัยคุณหนูชาหวานนั่นแล้ว
เมื่อวันนี้หมดหน้าที่ในการเป็นพี่เลี้ยงเด็กโข่งแล้วฉันก็ขับลูกชายสุดที่รักฉันกลับบ้าน ฉันมองของเล่นที่เมื่อเช้านี้อุตส่าห์เตรียมมาล่อคุณหนูชาหวาน แต่ไหงกับเป็นเด็กมหาลัยซะงั้น ดีที่คุณเธอยังไม่เห็นของพวกนี้ไม่งั้นฉันคงอายมากแน่
ในขณะที่ฉันกำลังจะเตรียมตัวนอนเพื่อไปสู้รบกับคุณหนูชาหวานในวันพรุ่งนี้ บอลลี่ก็วิดีโอคอลมาก่อน
[เงียบไปทั้งวันเลยนะแก เป็นไงบ้างงานวันแรก เด็กน่ารักไหม]
เมื่อกดรับสายบอลลี่ก็ยิงคำถามใส่รัว ๆ
“น่ารักกับผีน่ะสิแก”
[เด็กดื้อเหรอหรือไง เล่ามา ๆ]
“ไอ้ที่บอกว่าดูแลเด็กอะ เด็กที่ว่าคือเด็กโข่งเว้ย!”
บอลลี่เอียงคอสงสัย [ยังไงวะ]
“เด็กมหาลัยค่าเด็กมหาลัย ฉันต้องคอยดูแลตามใจยัยคุณหนูชาหวาน ดุยังกับหมา คนอะไรไม่รู้บ่นได้ตลอดเวลา”
[แกก็หาสำลีมาอุดหูสิแล้วก็อุดจมูกต่อเลย]
“ไอ้บ้า ฉันยังไม่ตายเว้ยแล้วก็จะไม่ตายง่าย ๆ ด้วย แค่นี้ละจะไปนอนเอาแรงแล้ว” พูดจบฉันก็กดตัดสายทันที
เช้าวันนี้ฉันต้องไปรอรับคุณหนูเหมือนเดิมและเวลาเดิม แต่วันนี้ยัยคุณหนูนี่ต้องไปรถฉันเพราะเมื่อเช้าพี่ชายของเธอเอารถคันโปรดของเธอไปเนื่องจากรถของพี่ชายเธอมีปัญหาต้องเข้าอู่ บ้านของเธอมีรถอยู่สามคัน ของเธอ พี่เธอและคุณพ่อซึ่งทุกคันล้วนไม่ว่าง คุณหนูชาหวานเลยจำใจต้องนั่งรถฉันไปมหาลัย
“เชิญขึ้นรถค่ะคุณชาหวาน” ฉันเปิดประตูหลังรถให้เธอ
ชาหวานหรี่ตามองสำรวจหลังเบาะสักพักก่อนเบ้ปาก “สกปรก ฉันนั่งไม่ลงหรอก นั่งหน้าก็แล้วกัน” แล้วเธอก็เปิดประตูเดินขึ้นรถข้างคนขับปล่อยให้ฉันเปิดประตูเก้อ “นี่ขึ้นรถสิ” ชาหวานเลื่อนกระจกรถก่อนจะตะโกนบอกฉันที่กำลังจะเดินไปนั่งฝั่งคนขับ ให้ตายเธอช่างใจร้อนเสียจริง ฉันแกล้งขับรถตกคลองน้ำดีไหมฮะ ไม่ใช่สิต้องหาวิธีที่ตัวเองปลอดภัยด้วย
ฉันจอดรถที่เดิมกับที่จอดเมื่อวาน รถทันได้ดับสนิทคุณหนูหน้าหวานนั้นก็เปิดประตูลงจากรถไปทันที เธอเดินไปไม่กี่ก้าวก็ย้อนกลับมา ฉันเปิดเลื่อนกระจกลงเพื่อจะถามแต่ชาหวานก็พูดขึ้นมาก่อน
“วันนี้เธอจะไปเดินเล่นที่ไหนก็ได้ แต่เวลาฉันเรียกต้องมาให้ทันเข้าใจไหม” สั่งเสร็จชาหวานก็รีบเดินออกไปทันที เธอไม่อยากให้เพื่อนถามว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมเธอถึงนั่งรถกระป๋องคันเล็ก
ในขณะที่ฉันกำลังนั่งคิดว่าแถวนี้มีห้างไหนใกล้ ๆ ให้พอเดินเล่นบ้างก็เหลือบไปเห็นโทรศัพท์มือถือของชาหวานตกอยู่หลังเบาะรถ จึงเอื้อมมือไปหยิบมันและเดินไปให้คุณหนูนั่น
“คุณชาหวาน ชาหวาน”
ชาหวานหันมาตามเสียงเรียกและรีบเดินมาประชิดตัวฉันทันที
“เธอออกมานอกรถทำไม” ชาหวานไม่อยากให้เพื่อนของเธอเห็นพี่เลี้ยงคนนี้
“คุณลืมโทรศัพท์” ฉันยื่นให้และชาหวานก็รีบคว้าไปทันทีโดยที่ไม่เอ่ยปากขอบคุณอะไรฉันเลย
“ชาหวาน ใครอะฉันไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย” ลิ้นจี่ที่เพิ่งมาถึงมหาลัยถามขึ้นเมื่อเห็นเธอกำลังยืนคุยกับใครสักคนอยู่
ชาหวานหันมามองหน้าฉัน “เออ คนใช้ที่บ้านน่ะ พอดีฉันลืมโทรศัพท์เลยโทรให้เอามาให้น่ะ”
คนใช้งั้นเหรอ ได้เลยชาหวาน
ฉันใช้ฝ่ามือฟาดลงไปที่ไหล่ของเธอหนึ่งที
“โอ๊ย ทำไรฉันเนี่ย” ชาหวานหันจ้องหน้าฉันทันทีที่ฟาดลงไปที่ไหล่ของเธอ
“พี่ชื่อน้ำมนต์นะคะ เป็นพี่ของชาหวาน พอดีช่วงนี้ว่างเลยตั้งใจจะมารับส่งน้องสาวเพื่อไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง”
“ไม่แนะนำเพื่อน ๆ ให้พี่รู้จักหน่อยเหรอชาหวาน”
“เพื่อนฉันไม่อยากรู้จักหรอก” ชาหวานตอบปัด ๆ ตอนนี้เธออยากพาเพื่อน ๆ ออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด
“แต่ฉันอยากรู้จักนะ หนูชื่อซูกัสค่ะ ส่วนนี้ลิ้นจี่” ซูกัสพูดขึ้นและแนะนำตัว
เมื่อฉันคุยกับเพื่อนทั้งสองของชาหวานเสร็จ ฉันก็หันไปหาชาหวาน “ชอบแกล้งพี่อยู่เรื่อยเลยนะเรา งั้นพี่ไปก่อนนะ ให้มารับตอนไหนโทรมาแล้วกันนะ”
ฉันบอกกล่าวกับเพื่อน ๆ ของชาหวานจบก็รีบเดินขึ้นรถและออกรถทันที ขืนฉันออกช้ากว่านี้มีหวังคุณหนูชาหวานตวาดแว้ดเสียงแหลมไปทั่วมหาลัยแน่ ที่ฉันกล้าพูดแบบนี้ก็เพราะว่าเมื่อวานก่อนที่ฉันจะกลับบ้านฉันดันไปบ่นเรื่องที่คุณหนูชาหวานชอบขู่ไล่ฉันออกให้คุณพ่อบ้านและคุณท่านดันมาได้ยินเข้า ตอนแรกฉันก็ตกใจนึกว่าตัวเองต้องซวยแน่ ๆ แต่เดชะบุญคุณท่านกลับเปิดทางสว่างให้กับฉันแทน
“เป็นอย่างไรบ้างครับคุณน้ำมนต์ในการเริ่มงานวันแรก” คุณพ่อบ้านที่เป็นคนสัมภาษณ์ฉันถามขึ้นหลังจากที่ฉันกลับมาเปลี่ยนรถ
“ก็โอเคค่ะ แต่ฉันสงสัยตั้งแต่วันที่คุณรับฉันเข้าทำงาน ฉันของถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ” ฉันเอ่ยถามเรื่องที่ค้างคาใจออกไป
“ได้สิครับ”
“คิดว่าฉันจำได้ว่าก่อนหน้าฉันก็มีคนสมัครงาน แต่ทำคุณถึงรับฉันเข้าทำงานทันทีเลยละคะ”
“อ่อเรื่องนี้เอง คือคนก่อนหน้านี้ไม่ตรงตามคุณสมบัติตามที่คุณท่านต้องการครับ แล้วอีกอย่างผมว่าคุณน้ำมนต์น่าจะเหมาะมากกว่า ดูจากโหงวเฮ้งแล้ว มีอะไรคาใจอีกไหมครับถามผมได้ตลอดเลยนะ”
รับคนเข้าทำงานจากโหงวเฮ้งเนี่ยนะ
“อ่อมีอีกเรื่องค่ะ ฉันคิดว่าสักวันคงโดนไล่ออกแน่เลยค่ะ คุณชาหวานเอาแต่พูดขู่ฉันด้วยคำนี้”
คุณพ่อบ้านที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่างก็หยุดกิจกรรมทุกอย่างลงและโค้งคำนับ ฉันจึงหันไปดูว่าคุณพ่อบ้านกำลังทำความเคารพใคร เมื่อหันไปก็พบกับผู้ชายสูงวัยคนหนึ่งแต่งตัวภูมิฐาน สะอาดสะอ้าน มองครั้งเดียวก็รู้เลยว่าเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้แน่ ๆ
“สวัสดีครับคุณท่าน” เมื่อพ่อบ้านทำความเคารพเสร็จก็หันมาแนะนำนายจ้างของฉันให้ฉันรู้จัก “คุณน้ำมนต์ครับนี่คุณท่านอัมพุชครับ”
“สวัสดีค่ะ หนูชื่อน้ำมนต์นะคะ เป็นพี่เลี้ยงของคุณหนูชาหวานค่ะ” แนะนำตัวเสร็จฉันก็ยิ้ม
ไม่รู้ว่าคุณอัมพุชจะได้ยินที่ฉันบ่นเมื่อกี้หรือเปล่า
“สวัสดีจ้ะ” คุณอัมพุชรับไหว้ “หนูไม่ต้องห่วงเรื่องจะโดนชาหวานไล่ออกนะ ลุงเป็นคนจ้างหนูแสดงว่าคนที่สามารถไล่หนูออกได้มีแต่ลุงเท่านั้น แล้วลุงฝากเรื่องหนึ่ง ลุงอยากให้ดูช่วยดูแลชาหวานให้หน่อย เด็กคนนี้ดื้อนิดหน่อย จะสั่งจะสอนได้ตามสบายเลยนะ คิดซะว่าหนูเป็นพี่สาวคนหนึ่งของชาหวานแล้วกัน”
ดื้อมากต่างหากค่ะคุณท่าน!
“ค่ะคุณท่าน”
“ฉันขอตัวก่อนนะ มงคลเอาชาขึ้นไปให้ฉันด้วยนะ วันนี้จะนอนที่นี่”
ปกติคุณท่านไม่ได้นอนที่นี่เหรอเนี่ย จะว่าไปแล้วเท่าที่ฉันสังเกตมาตั้งแต่เมื่อวาน บ้านหลังนี้ไม่ค่อยมีคนอยู่เลย ส่วนใหญ่ที่เห็นเดินไปมาเดินก็มีแต่เหล่าคนรับใช้ทั้งนั้น
บ้านใหญ่โต แต่ไม่มีคน ดูเงียบเหงาเหมือนกันแฮะ
“สวัสดีค่ะคุณท่าน” ฉันกล่าวลาและคุณอัมพุชก็หันมาพยักหน้ารับคำลาก่อนจะเดินออกจากห้องไป
คราวนี้ฉันก็ไม่ต้องเกร็งกับยัยคุณหนูชาหวานนั่นแล้ว
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ