ดวงจันทร์กลางวัน

-

เขียนโดย Ozone2

วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2562 เวลา 20.51 น.

  6 ตอน
  0 วิจารณ์
  6,736 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2562 01.00 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) บันทึกของโอโซน 2 (100%)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

บทที่ 6 บันทึกของโอโซน 2

 

        พี่สาว ขับรถพาพวกเรากลับมายังบ้านหลังใหญ่ของเธอ ตลอดทางไม่มีเสียงใดๆ หลุดออกมาจากปากของใคร คงเป็นเพราะทุกอย่างมันดูสับสน งุนงง จนไม่อยากคิดอะไรต่อ

        ทันทีที่รถจอด นมสอน และผู้ชายอีกคนหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็น ‘พี่ริว’ น้องชายของพี่สาว เดินออกมาต้อนรับพวกเราด้วยรอยยิ้ม

        “พี่เรริน ไปไหนมาครับ ผมเป็นห่วงนะ โทร.หาก็ไม่รับ” ชายหนุ่มคนนั้น พูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง แววตาดูห่วงใย ขณะพี่สาวกำลังก้าวขาอันเรียวเล็กออกจากรถ

        ผมมองพี่ริว แวบแรก คิดว่าดาราเกาหลี เพราะหน้าตาหล่อ ราวกับดาราเกาหลี คือ หน้าใส คิ้วเข้ม จมูกโด่ง ปากแดงระเรื่อเป็นธรรมชาติ และไว้ทรงผมปิดหน้าผากสไตล์เกาหลี ...มันเป็นทรงผมที่ผมอยากทำบ้าง นอกจากช่วงปิดเทอมแล้ว ผมก็ไม่มีโอกาสได้ไว้ทรงผมเท่ๆ แบบนี้ เพราะผมเป็นแค่นักเรียนมัธยม ต้องตัดรองทรงสูง

        “พี่เหนื่อยๆ น่ะริว ...เข้าบ้านกัน ...มีคนแนะนำให้รู้จักหลายคนเลย” พี่สาวพูดพร้อมกับสบตาน้องชาย แล้วก้าวขาอันเรียวเล็กนำหน้าพวกเราเข้าบ้านไป รองเท้าส้นสูงสีแดงของพี่สาว ตัดกับชุดเดรสสีฟ้า ผมมองจากจุดนี้ แล้วมันทำให้พี่สาวดูพริ้วสวย ทำไมตอนแรกผมไม่คิดแบบนี้นะ

        ผมและธาวิน ยกมือสวัสดี นมสอน และพี่ริว  ...นมสอนก็รับไหว และทักทายพวกเราด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร ผมคิดว่านมสอนเป็นผู้ใหญ่ที่ดูใจดี และน่ารักมากๆ ส่วนพี่ริวทำหน้านิ่งๆเมื่อเห็นผม

 

        พวกเรามาอยู่ในห้องรับแขก ของคฤหาสน์หลังใหญ่ อากาศไม่ร้อนอบอ้าวเหมือนนอกบ้าน เพราะติดเครื่องปรับอากาศเย็นสบาย พี่สาวแนะนำทุกคนให้พี่ริว และนมสอนรู้จักเพิ่มเติม ระหว่างนั้นมีสาวใช้ อายุราวๆ 40 ปี มาเสิร์ฟน้ำ และขนมให้พวกเรากิน

        ภายในห้องรับแขกมีรูปวิวธรรมชาติสวยๆ ติดอยู่บนฝาผนัง และฝาผนังบ้านฉาบด้วยสีชมพูอ่อนๆ มีโซฟาตัวใหญ่อยู่ 3 ตัว เป็นรูปตัว U และมีทีวีจอแบบขนาดใหญ่ อยู่ตรงหน้าโซฟา คล้ายๆกับห้องรับแขกที่บ้านผมเลย

        นมสอนรีบหยิบรีโมทที่อยู่บนโต๊ะโทรทัศน์ และกดเปิดทีวีให้พวกเราดู ซึ่งไม่รู้ว่าตอนนี้ละครเรื่องอะไรกำลังออนแอร์อยู่ ผมก็ไม่ได้สนใจ

        จากนั้นทุกคน ก็จับคู่คุยกันอย่างสนุก มีเสียงหัวเราะ คือ พี่ริวคุยกับพี่สาว นมสอนคุยกับผม และธาวิน ส่วนอามิ้นนั่งเงียบอยู่โซฟาที่ห่างจากเพื่อนที่สุด เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ และแล้วเธอก็พูดขึ้น เกี่ยวกับเหตุการณ์ประหลาด เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา

        “สรุปตอนที่พวกเราอยู่สุสาน มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่จ๊ะ เด็กๆ”
        ผมกับพี่สาวประสานสายตากันชั่วขณะ เพราะคิดว่าจะตอบอย่างไรดี ถ้าจะบอกว่าเป็นเพียงความฝัน อามิ้นกับธาวิน คงไม่เชื่อแน่  แต่ถ้าจะบอกว่ามันเป็นเรื่องจริง ที่ซาตาน หรืออำนาจชั่วร้าย สร้างสถานการณ์ขึ้น ก็ไม่รู้ว่าจะกลายเป็นเรื่องเหลวไหลหรือไม่

        “ช่วงเย็นไปทำอะไรกันมาคะ” นมสอนเอ่ยถามอย่างสงสัย อยากรู้ด้วยอีกคน

        “นั่นสิครับ” พี่ริวพูดโพล่งออกมาเสริมนมสอน

        “คือ พวกเราไปสุสานมาน่ะค่ะ” พี่สาวตอบด้วยท่าทีกังวลอย่างเห็นได้ชัด นอกจากหัวคิ้วที่ชนกัน เธอยังนั่งกุมมือตัวเองแน่น

        “ไปทำอะไรกันคะ ไปหาเคารพศพลุงเจนภพเหรอ” นมสอนถาม เชิงชักนำคำตอบ

        “เอาเป็นว่า หนูยังไม่ขอตอบนะคะ ทั้งเรื่องที่ไปสุสานทำไม และเรื่องเหตุการณ์ในเย็นวันนี้ที่ผ่านมา เอาไว้เดี๋ยวหนูจะเล่าให้ฟังทีหลังนะคะอาจารย์ นมสอน ริว น้องวิน”  พี่สาวพูดเชิงขอร้อง พร้อมกับสบตากับผู้ที่อยากทราบความจริง โดยผู้ที่อยากทราบคำตอบ ก็เข้าใจพี่สาวได้

       

        ระหว่างที่พวกเรานั่งอยู่ในห้องรับแขก ผมก็ได้กลิ่นหอมของใครบางคนที่เป็นเอกลักษณ์โชยมาแตะจมูกผม มันเป็นกลิ่นหอมที่ราวกับมาจากสรวงสวรรค์ ผมพยายามกวาดสายตามองไปรอบๆห้อง และพบว่าเขามานั่งอยู่ข้างๆผม ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

        “เฮ้ย!”

        ผมตกใจจนต้องอุทานออกมาเสียงดัง และผงะห่างออกจากตัวเทพทัต จนเบียดธาวินที่นั่งติดผมอีกข้าง ...การกระทำของผมเรียกสายตาทุกคู่ให้จับจ้องมองมาที่ผม

        “เป็นอะไรครับ โอโซน” อามิ้นถามด้วยความเป็นห่วง

        “ปะ...เปล่า ครับ” ผมปฏิเสธน้ำเสียงสั่น และใบหน้าเจื่อนๆ “ขอโทษที่เสียงดังครับ”
        ผมพยายามรวบรวมสติ ทำตัวให้เป็นปกติมากที่สุด ผมคิดว่าผมจะพูดกับเขาผ่านทางจิตได้ไหม เหมือนในละครที่มักจะมีการสื่อสารกันทางจิต ผมคิดไปอย่างนั้น  เพราะถ้าผมพูดออกไป อาของผมคงคิดว่าผมเป็นโรคทางจิตเวช ไปแล้วแน่ๆ

        “ท่านเทพ นี่สรุปท่านบอกให้ผมไปที่สุสาน ทำไม” ผมทดลองถามเขาผ่านทางจิต และมันก็ได้ผล จริงๆ แต่ลึกๆแล้วผมก็คิดสงสัย ในตัวเขาเหมือนกัน ว่าเขาอาจจะเป็นผู้ร้ายที่เป็นหมาป่าปลอมเป็นลูกแกะ ดังในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้กล่าวไว้

        “ผมไม่ได้บอกคุณ ให้ไปนะโอโซน ผมไม่ได้คุยกับคุณเรื่องไปสุสานเลย” เทพทัตตอบผมด้วยน้ำเสียงจริงจัง นัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้นเปล่งประกายแวบวับ คำตอบของเขา มันทำให้ผมสับสน

        แล้วใครกัน ...ที่บอกให้ผมไป หรือว่าซาตาน จะกลายร่างเป็นเทพทัต ไปหลอกผม เพราะบุคลิกภาพตอนนั้น มันต่างจากเทพทัต ที่อยู่ตรงนี้

        คนที่อยู่ตรงนี้ นอกจากหน้าตาเหมือนผม เขาก็มีนัยน์ตาสีฟ้า และใส่ชุดสูทสีฟ้า มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ขณะที่คนที่ไปหาผมวันนั้นนัยน์ตาสีดำ และสวมชุดคลุมสีดำ ไม่มีกลิ่นหอม

        “แล้วใครกัน ที่ไปบอกผมให้ไปสุสาน” ผมเผลอพูดโพล่งออกไปจนได้

        “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” เทพทัตตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลลง ดูเป็นฝ่ายดี จนผมเลิกสงสัยในตัวเขา

        “โอโซน แกกำลังคิดเรื่องไปสุสานอยู่เหรอ” ธาวินเปรยถามหลังเงียบอยู่นาน

ซึ่งผมก็พยักหน้า แทนการตอบให้กับธาวิน

        “แล้วท่านเทพ ท่านทำไมไม่มาช่วยพวกเรา ตอนเกิดเหตุร้ายที่สุสาน” ผมถามผ่านทางจิต เพราะปกติ ถ้าเกิดเหตุร้ายอะไร เขาก็จะโผล่มาช่วยพี่สาวประจำ

        “ตอนนั้น ผมโดนโซ่ของซาตาน หรือมารล่ามเอาไว้” คำพูดของเทพทัต ทำให้ผมเบิกตากว้าง อย่างคาดไม่ถึง …มันคล้ายๆกับคำสอนของศาสนาจารย์ที่คริสตจักร ว่าให้เราอธิษฐานเผื่อทูตสวรรค์ที่ดูแลเราด้วย...

        “คุณอย่าลืมนะ โอโซน ...ในเอเฟซัส บทที่ 6 ข้อ 13-17  บอกว่า เหตุฉะนั้นจงรับยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าไว้ เพื่อท่านจะได้ต่อต้านในวันอันชั่วร้ายนั้น และเมื่อเสร็จแล้วจะอยู่อย่างมั่นคงได้ เหตุฉะนั้นท่านจงมั่นคง เอาความจริงคาดเอว เอาความชอบธรรมเป็นทับทรวงเครื่องป้องกันอก และเอาข่าวประเสริฐแห่งสันติสุข ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความพรั่งพร้อมมาสวมเป็นรองเท้า และพร้อมกับสิ่งทั้งหมดนี้ จงเอาความเชื่อเป็นโล่ ด้วยโล่นั้นท่านจะได้ดับลูกศรเพลิงของพญามารเสีย จงเอาความรอดเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ และจงถือพระแสงของพระวิญญาณ คือ พระวจนะของพระเจ้า”

        เทพทัตร่ายยาว ตามในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล และผมก็พูดมันออกมาจากปากโดยไม่รู้ตัว พร้อมๆกับคนหน้าเหมือนคนนี้ ไม่ใช่สิทูตสวรรค์ที่หน้าเหมือนผมตนนี้

        “น้องโอโซนท่องพระคัมภีร์ได้ เก่งมากเลย” พี่สาวเอ่ยปากชมผม พร้อมๆกับรอยยิ้มทุกคนในห้อง

        “โอโซน คุณลองถามริวดู แล้วคุณจะได้ร่องรอย ของคนที่บูชาเทวรูปงู” สิ้นเสียงเทพทัต เขาก็จางหายไป

       

        คำพูดประโยคสุดท้ายของเทพทัต ทำให้ผมคุ่นคิด และตัดสินใจถามคำถามที่สงสัย ว่าวันนั้นพี่ริว อยู่ๆมานอนหมดสติ อยู่ในบ้านได้อย่างไร ทั้งๆที่พี่สาวบอกว่า เขาไปเชียงใหม่

        “พี่ริวครับ วันนั้น  พี่มานอนหมดสติอยู่ในบ้านได้ไงครับ เพราะพี่สาว ...เอ่อ ผมหมายถึงพี่เรริน ...บอกว่าพี่ไปเชียงใหม่ไม่ใช่เหรอครับ” ผมพูดโพล่งออกไป

        พี่ริวหน้าคุ่นคิด พร้อมๆกับสายตาทุกคนจับจ้องไปที่เขา

        “ใช่ วันนั้นพี่ถาม ริวก็ไม่ตอบ” พี่สาวช่วยซักไซร้ ไล่ความ

        พี่ริวหน้านิ่วคิ้วขมวด ก่อนจะพูดออกมา เพราะสายตาทุกคนในห้อง ต่างก็กดดันให้เขาพูด “คือวันนั้นขนุน มาบอกว่าให้ผมตามพี่ไปเชียงใหม่ เพราะพี่จันทนา เพื่อนของพี่สมัยเรียนมหา’ลัย โทร.มาบอกว่าพี่เข้าโรงพยาบาล อาการหนักมาก”

        ขนุน!

        หนุ่มวัย 20 ปี เงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะพูดต่อว่า “วันนั้นก่อนที่ผมจะออกจากบ้าน ผมโทร.หาพี่หลายสาย แต่มันก็โทร.ไม่ติด เหมือนถูกปิดเครื่อง ผมก็ยิ่งเป็นห่วง”

        “เล่าต่อสิ...ริว” พี่สาวพูดจบ ก็รอฟังอย่างใจจดใจจ่อ คนอื่นๆก็เช่นกัน

        “จากนั้นผมรู้สึกเหมือนถูกเวทมนตร์ ผมจำอะไรอีกไม่ได้เลย มาโผล่อีกที ก็อยู่บนเตียงแล้ว ...จริงๆนะครับ” พี่ริวยืนยัน

        “แล้วขนุน ทำไมมาบอกริวแบบนั้น แสดงว่า....” พี่สาวพยายามตั้งข้อสงสัย

        “คุณหนูขนุน อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องร้ายๆ ใช่ไหมคะ” นมสอนตอบแทนพี่สาว ซึ่งมันทำให้หลายคนในตรงนั้นคิดคล้อยตาม

        “แล้วขนุน หรือคนบ้านป้ากนก จะทำไปทำไมกันครับ” พี่ริวตั้งข้อสงสัย

        “มันก็น่าคิด...” พี่สาวพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเศร้าลง

        ผมรู้สึกเชื่อนะว่าพี่ริวพูดความจริง แสดงว่าขนุนอาจจะมีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับเรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้น ...ไม่จริงใช่ไหม ที่เพื่อนผม ที่ชื่อ เบญธเขตต์ หรือ ขนุน จะรู้เห็น หรือทำเรื่องราวทั้งหมด

        ในระหว่างที่ผมคุ่นคิดหาคำตอบ เทพทัต ก็ปรากฏตัวขึ้นนั่งข้างๆผม ทำเอาผมตกใจสุดขีด จนเขยิบตัวไปชิดธาวิน ที่นั่งอยู่ข้างผมอีกข้าง

        “เป็นอะไร โอโซน แกตกใจไรอีกวะ” ธาวินจ้องหน้าผมด้วยความงุนงง

          ก่อนที่ผมจะตอบอะไร เทพทัตก็พูดขึ้นเสียก่อน “คนบ้านแพทย์หญิงกนก คือ ตัวการของเรื่องราวทั้งหมด คุณต้องรีบตามหาเทวรูปงูนั่น และทำร้ายมันทิ้งซะ” เทพทัตพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง แววตาของเขาดูทรงพลัง บุคลิกนิ่งๆของเขา มันทำให้ผมมองเขาว่าดูเท่มาก แต่ผมก็คิดนะว่า เอ่อ เขาก็หน้าเหมือนผม แสดงว่าผมก็เท่นะ ...ผมคิดแล้วผมก็ขำกับตัวเอง

          “วันนี้ที่พวกคุณเกือบตาย ก็เพราะคนบ้านนั้นต้องการกำจัดพวกคุณนะ โอโซน โดยเฉพาะคุณ ที่เข้ามายุ่งกับเรื่องเหล่านี้ และพวกเขาก็รู้ว่ามีผมคอยช่วยเหลือเรริน และครอบครัวของพวกเขาคนอื่นๆอยู่” เทพทัตพูดต่อ

        คำพูดของเขา มันมีน้ำหนัก ทำให้ผมคลายความสงสัยในตัวเขา ที่เคยคิดกล่าวหาว่าเขาเป็นตัวร้าย หรือซาตานที่ปลอมตัวมา

        ในระหว่างที่ผมทำตัวนิ่ง เพื่อสื่อสารทางจิต ดูเหมือนว่าทุกคนในห้องจะไม่สนใจผม นอกจากพี่สาว ที่รู้ว่าผมอาจกำลังคุยกับเทพทัต แต่ผมคิดผิด นมสอนก็เป็นอีกคนหนึ่งที่สังเกตท่าทีของผม

        “คุณหนูโอโซนคะ กำลังคุยกับเทพทัตอยู่เหรอคะ”

        คำพูดของนมสอน มันทำให้ผมปิดบังความจริงต่อไม่ได้ ผมจำเป็นต้องเล่าความจริงเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด รวมทั้งเรื่องราววันนี้ ให้คนที่ไม่รู้ฟัง คือ อามิ้น ธาวิน และพี่ริว แม้มันจะเชื่อยาก แต่ก็มีพี่สาว และนมสอนคอยช่วยเสริม สนับสนุนผม ทำให้ทั้งสามคนนั้น เชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง โดยเฉพาะอาผม ที่จะไม่มองผมว่าเป็นผู้ป่วยทางจิตเวช

 

        พี่สาว และพี่ริว ชวนพวกเรารับประทานอาหารเย็นที่บ้าน โดยให้สาวใช้จัดเตรียมอาหารให้  ทุกคนต่างกินด้วยความหิว เพราะตอนนี้มันเวลา 20.00 น. แล้ว และวันนี้ก็มีเมนูอาหาร คาวหวานหลายอย่าง เช่น แกงเขียวหวาน ไก่ทอด แกงจืด เป็นต้น แต่ก็มีของโปรดผมด้วย คือ พิซซ่า ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจ ว่าใครสั่งมาให้ผมกิน

        ระหว่างที่พวกเรานั่งกินข้าวกันอย่างเอร็ดอร่อย พี่ริวก็เปิดประเด็นขึ้น

        “เรื่องที่พวกเราได้ยินจากปาก น้องโอโซนวันนี้ ต้องเก็บไว้เป็นความลับ อย่าพูดให้ใครฟังอีก ....นอกจากคนที่เรามั่นใจว่าเชื่อใจได้” พี่ริวพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

        “แล้วเราจะจัดการเรื่องนี้ยังไงกันดีคะ” พี่สาวถามความคิดเห็น

        “ผมว่านะครับ เราต้องเข้าไปค้นบ้านขนุน และทำลายเทวรูปปีศาจนั่นซะ” ผมเสนอความคิดเห็น

        “ก็ดีนะ ว่าแต่เราจะเข้าไปยังไงกันดีล่ะครับ” พี่ริวพยายามคิดหาวิธีต่อ

        “อาทิตย์หน้า งานวันเกิดขนุน เราต้องใช้โอกาสนี้แหละ” พี่สาวคิดแผนออก แววตาดูมุ่งมั่น เพราะวิญญาณร้าย มันทำลายครอบครัวของเธอจนพังทลาย โดยเฉพาะการสูญเสียพ่อกับแม่ไป เมื่อ 2 เดือนก่อนหน้านี้

        “ใช่เลย เราต้องใช้วิธีนี้แหละ” พี่ริวสนับสนุน ความคิดพี่สาว

        ทุกคนต่างดูดีใจ ที่คิดแผนที่จะกำจัดปีศาจ หรือซาตานนั่นทิ้งได้ ยกเว้น อามิ้น ที่สีหน้าดูเศร้าใจ ผมรู้สึกได้ว่า อาคงรู้สึกเป็นห่วงผมมาก คงไม่อยากให้ผมมาเผชิญเรื่องราวเหล่านี้ เพราะมันไม่ได้เล่นกับคน แต่นี่มันเล่นกับสิ่งที่มีพลังอำนาจชั่วร้าย และเราก็มองไม่เห็นมัน

       

        หลังจากพี่สาวขับรถมาส่งผม อามิ้น และธาวิน ถึงบ้าน  อาสาวของผมก็เรียกผมเข้าไปคุยที่ห้องนั่งเล่นทันที ส่วนวินก็ขอตัวกลับบ้าน

        “อาว่า โอโซนไม่ควรไปยุ่งกับเรื่องพวกนี้นะครับ อาเป็นห่วง”

        อามิ้นพูดด้วยน้ำเสียงห่วงใย พร้อมกับโผเข้ากอดผม ผมสัมผัสได้ถึงความรักของอา ซึ่งมันทำให้ผมไม่กล้าที่จะโต้แย้งแต่อย่างใด แม้ในใจต้องการที่จะพูดอะไรต่างๆมากแค่ไหน ...ใช่ผมยังถือว่าเป็นเด็ก...

        “พี่โอโซน อามิ้น กลับมาแล้วเหรอคร๊าบ” เสียงใสขององศาดังมาแต่ไกล น้องชายตัวเล็กของผมวิ่งเข้ามากอดผมจากด้านหลังอีก ขณะที่อามิ้นก็กำลังโผกอดผมจากทางด้านหน้า

        “คุณหนู อย่าวิ่งสิคะ” เสียงพี่เลี้ยงองศาวิ่งตามมาไม่ไกล

         การที่น้องชายผมวิ่งมา ทำให้ผมถือโอกาส ผงะออกจากอามิ้น และมากอดน้องแทน ...ในระหว่างที่เล่นกับน้อง อีกใจหนึ่งผมกำลังคิดว่าถ้าผมไม่ช่วยเหลือพี่สาว แล้วใครจะช่วย พวกเขาจะเป็นยังไง ...ผมรู้สึกเป็นห่วงพวกเขาเหลือเกิน

       

        ณ สนามบาสเกตบอล ในโรงยิม ของโรงเรียนของผม

        ระหว่างที่ผมกำลังซ้อมบาสเกตบอลกับเพื่อนๆ ในช่วงหลังเลิกเรียน ก็มีรุ่นพี่ในชุดนักศึกษา จำนวนสองคน เดินเข้ามาหาผมกลางสนามบาสเกตบอล

        ผมจำพวกเธอได้ คนแรก ชื่อ ทานตะวัน เป็นผู้หญิงที่ดูสวย แต่ผมว่าพี่เขาแต่งหน้าหนาเกินไป จนมันไม่เป็นธรรมชาติ  ส่วนอีกคนเดินมาแบบกระตุ้งกระติ้ง มือไม้กรีดกราย เธอเป็นสาวประเภทสอง ชื่อ กอล์ฟ แต่เปลี่ยนเป็น กิ๊ฟซี่ ยิ่งพี่กิ๊ฟซี่ยิ่งแต่งหน้าหนากว่าพี่ทานตะวันอีก

        ผมมักเจอเหตุการณ์นี้บ่อยๆ เพราะความหน้าตาดีของผมเป็นเหตุ พวกเธอมักซื้อขนม หรือน้ำมาให้ผม ยิ่งช่วงวันเกิดผม หรือวาเลนไทน์ ผมก็มักจะได้ของจากสาวๆเยอะ ตั้งแต่อยู่ ม.2 แล้ว

        “น้องโอโซนคะ วันนี้พี่ซื้อขนมมาฝากเยอะแยะเลย” พี่ทานตะวันพูดจบ ก็ฉีกยิ้มกว้างให้ผม พร้อมๆกับพี่กิ๊ฟซี่ ยื่นถุงขนมให้ผม ซึ่งพี่กิ๊ฟซี่ก็ดูเหมือนเป็นคนรับใช้พี่ทานตะวันมากกว่าเพื่อน เพราะคอยถืออะไรให้เกือบทุกอย่าง

          สิ่งที่ผมชอบในตัวพวกเขาคือ อารมณ์สดใส ร่าเริง มันทำให้ผมไม่เครียด

        “ขอบคุณนะครับ” ผมยิ้มเจื่อนๆ ในใจลึกๆก็อายเพื่อนๆ ที่มอง

        “เบื่อคนหล่อ” เพื่อนๆหลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกัน

        “ส่วนอันนี้ของน้องวินค่ะ มาเอาสิคะ” พี่กิ๊ฟซี่ ยื่นถุงขนมให้ธาวินที่ยืนอยู่ข้างๆผม

        ธาวิน ไม่ค่อยอยากจะรับ จนผมต้องกระซิบข้างหูว่า “รับๆไปเถอะ เดี๋ยวเสียน้ำใจ” ซึ่งมันก็ได้ผล ธาวินยอมรับถุงขนมนั้นมา

        สองสาวต่างยิ้มร่าเริง ดูมีความสุขที่สุด จากนั้นก็ขอถ่ายรูปผม กับธาวิน ไปหลายรูป จนผมเริ่มรำคาญ แต่ดีนะที่โค้ชเข้ามาขัดจังหวะ บอกว่า “นักกีฬาจะซ้อมแล้ว” ไม่อย่างนั้น ผมก็ต้องทนต่อแน่ๆ

        “งั้น เดี๋ยวพี่แวะไปหาที่บ้านนะ น้องโอโซน ...ไปละ บ๊าย บาย” พี่ทานตะวันพูดจบ เธอและเพื่อนสาว ก็โบกมือบ๊ายบายผม แถมยังส่งตาหวานให้ผมอีก ซึ่งบอกตามตรง ว่าผมก็หวั่นไหวเล็กน้อยนะ  แต่ประโยคที่จะไปหาที่บ้านนี่สิ ผมไม่อยากจะคิดเลย...

       

               

       

       

                           

 

       

 

           

 

           

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา