ดวงจันทร์กลางวัน

-

เขียนโดย Ozone2

วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2562 เวลา 20.51 น.

  6 ตอน
  0 วิจารณ์
  6,585 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2562 01.00 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) บันทึกของโอโซน 1

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 5 บันทึกของโอโซน1

 

        สวัสดีครับ ผมชื่อ ปุญญพัฒน์ หรือเรียกผมว่า “โอโซน”ก็ได้

        ผมอายุ 16 ปี จุดเด่นของผมนอกจากหน้าตาที่หลายคนบอกว่าหล่อ ก็คือส่วนสูง 187 ซม. และความสดใสของผมมั้งนะ

        ผมเรียนอยู่ ม.4/3 โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง ผมมีพรสวรรค์ในการเล่นบาสเกตบอลมาตั้งแต่เด็ก คุณพ่อคุณแม่ผม ให้ผมลองเล่นบาสเกตบอลมาตั้งแต่ อายุ 10 ขวบ รางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผมและทีม คือ รางวัลชนะเลิศบาสเกตบอลระดับโลก รุ่นอายุไม่เกิน 14 ปีชาย ที่ประเทศรัสเซีย ส่วนรางวัลในระดับประเทศก็มีหลายรางวัล เช่น รางวัลชนะเลิศ รุ่นอายุไม่เกิน 14 ปีชาย รายการ Mono champion Cup

        ผมตัดสินใจเขียนบันทึกนี้ขึ้นมา เพราะว่ามีหลายอย่างอยากจะให้คนอื่นรับรู้ เผื่อมีไม่ดีเกิดขึ้นกับผม

        ใช่ครับ ...หลังจากที่ผมเจอคนหน้าตาเหมือนผม มันก็ทำให้ผมกลับมาทบทวนข้อพระคัมภีร์ ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล

        ครอบครัวของผม จริงๆเป็นชาวจังหวัดเชียงใหม่ ก่อนที่พ่อกับแม่จะย้ายมาอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร

        ครอบครัวของผมนับถือศาสนาคริสต์ นิกายโปรแตสแตนท์ หรือ เรียกว่า คริสเตียน แต่ญาติๆของผมก็นับถือศาสนาพุทธ มีเพียงครอบครัวของผม ที่พ่อกับแม่เปลี่ยนมาเชื่อเรื่องราวของพระเจ้า เมื่อ 17 ปีก่อน ...ซึ่งก็คือ ก่อนผมเกิดประมาณ 1 ปี

        ครอบครัวของผม อยู่ในบ้านหลังใหญ่ ใจกลางกรุงเทพฯ บ้านผมประกอบไปด้วย พ่อ แม่ อามิ้น พี่แอทแทค และองศา  สำหรับผมเป็นลูกคนกลาง

        พ่อกับแม่ผม ทำงานธุรกิจโรงแรม ไม่ค่อยจะมีเวลาให้ผมเท่าไร คนที่คอยดูแลพวกเรา 3 พี่น้อง ก็คือ อามินตรา (อามิ้น) ที่ทั้งรักทั้งหวงผม มากยิ่งกว่าพ่อกับแม่ อามิ้นชอบตามไปดูผมทำกิจกรรมต่างๆ มาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะแข่งบาส หรือ เล่นดนตรี ขนาดวันแม่ อามิ้นยังเคยมาแทนหลายปีซ้อน

        พี่ธนภัทร (แอทแทค) เป็นพี่ชายคนโต อายุ 20 ปี หน้าตาคล้ายๆผม สูงประมาณ 181 ซม. เขาเรียนคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง  พี่ชายผมหลังจากสอบเข้ามหาวิทยาลัย ก็ไม่ค่อยมีเวลาดูแลผมเลย มันก็ทำให้ผมเหงาเหมือนกัน

        องศา อายุ 10 ขวบ เรียนอยู่ระดับประถมศึกษาอยู่เลย แต่องศาก็เรียนเก่งนะ มีผมคนเดียวที่เรียนไม่ค่อยเก่งเท่าไร แต่กีฬาผมเด่นที่สุด

        เรื่องแฟน ผมเคยคบกับผู้หญิงคนหนึ่ง ตอนเรียน ม.2 เธอชื่อ ข้าวโพด มันเป็นรักแรกของผม แต่คบกันได้ 11 เดือนก็เลิกกันไปเพราะความคิดไม่ตรงกัน พวกเราอาจจะยังเด็กด้วย แต่พวกเราก็ยังเป็นเพื่อนกัน

       

        “ในพระธรรมมัธธิว บทที่ 7 ข้อ 15 กล่าวว่า จงระวังผู้เผย พระวจนะเท็จ ที่มาหาท่านนุ่งห่มดุจแกะ แต่ภายในเขาร้ายกาจดุจหมาป่า” คำพูดของศาสนาจารย์ ที่ผมกลับจากคริสตจักรในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ยังกึกก้องอยู่ในหูของผม

        “พี่โอโซน พี่โอโซน ครับ” เสียงของใครบางคนดังขึ้น ทำให้ผมตื่นจากภวังค์

        ผมหันขวับไปมองเจ้าของเสียง เขาคือ องศา น้องชายผมเอง

        “ว่าไง องศา พ่อกับแม่กลับมายัง”

        “ยังครับพี่ ว่าแต่เมื่อกี้พี่เหม่ออะไร” องศาถาม แต่ผมก็เงียบไปครู่ใหญ่

        ผมถอนหายใจยาว “ช่างมันเถอะ ไม่มีอะไร”

        “นี่พี่กำลังเล่นเกมอยู่เหรอครับ” องศาพูดพลางจ้องไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ที่อยู่ตรงหน้าผม

        “ใช่ องศาอยากเล่นเหรอ” ผมถามน้องชาย พลางให้มานั่งบนตัก แล้วเล่นเกมต่อ อย่างสนุก

        เวลาว่างผม นอกจากเล่นบาสเกตบอลกับเพื่อนๆ ก็คือการเล่นเกม ผมไม่ชอบการอ่านหนังสือเท่าไร นี่แหละมันจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมโดยแม่ด่าประจำ ว่าขี้เกียจ

        ระหว่างที่ผมกำลังเล่นเกม กับน้องชายในห้องส่วนตัว ผมก็เหลือบไปเห็นใครที่หน้าตาเหมือนผมยืนอยู่ใกล้ๆกับโต๊ะคอมพิวเตอร์ …แต่แปลกตรงที่ผมไม่ได้กลิ่นหอมของเขาเหมือนเช่นเคย บุคลิกของเขาดูแปลกไป ดวงตาของเขาสีดำสนิท ไม่ใช่สีฟ้า และชุดคลุมที่เขาใส่ปกติจะสีฟ้า ก็กลายเป็นสีดำ

        “ท่านเทพ!” ผมอุทานเบาๆ ทำให้องศาเองรีบลุกออกจากตักผม

        “พี่คุยกับใคร” องศาหน้านิ่ว พร้อมจ้องหน้าผม

        “งั้นพี่รบกวนองศา ออกไปจากห้องสักครู่นะ” ผมรีบไล่น้องชายที่อยากรู้อยากเห็นออกไป ด้วยน้ำเสียงปกติที่สุด ซึ่งทำให้องศาทำหน้าเหวอเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกไป และปิดประตูดัง ปัง

        “นี่ท่านมาหาผมทำไม” ผมรีบยิงคำถาม ถามท่านเทพ หรือเทพทัต

        ใบหน้าของคนหน้าเหมือนแสยะยิ้ม แบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ผมกำลังคิดในใจว่า คนนี้ใช่ท่านเทพจริงๆ หรือเปล่า

        “ข้า อยากให้เจ้าพาเรรินไปยังสุสาน เย็นวันนี้ เจ้าทำได้หรือไม่” เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

        “ให้ผมพาไปทำไม ท่านเทพ” ผมถาม แต่ยังไม่ได้รับคำตอบ คนหน้าเหมือนก็จางหายไป ทิ้งความสงสัยให้กับวัยรุ่นอย่างผมอย่างมาก

       

        ผมตัดสินใจโทร.หาขนุน เพื่อคุยกับพี่สาวคนสวย เรื่องที่จะนัดกันไปเจอที่สุสาน เวลา 17.00 น. แต่ขนุนก็บอกให้ผมโทร.ไปคุยเอง โดยการให้เบอร์มา แถมยังมาล้อผมว่า จะจีบพี่สาวเขาอีก ซึ่งจริงๆ ผมก็คิดนะ คนสวยขนาดนั้น...

        ตู๊ด ตู๊ด....

        ผมรอพี่สาว คนสวยรับสายอยู่สักพัก ก็ได้ยินน้ำเสียงสดใสของเธอ

        “สวัสดีค่ะ ใครคะ”

        “ผมโอโซนเองครับ พี่สาว”

        “ว่าไง น้องโอโซน”

        “...วันนี้ผมอยากจะชวนพี่สาว ไปสุสานกันครับ พอดีท่านเทพเขาบอกให้ผม พาพี่สาวไป” ผมอธิบาย

        พี่สาวเงียบไปครู่ใหญ่ จนผมคิดว่าเธอคงไม่อยากไป

        “อืม ก็ได้ ว่าแต่น้องโอโซนจะไปกับพี่เลยมั้ย” พี่สาวชวน

        “ก็ดีนะครับ งั้นรบกวนพี่มารับที่บ้านผมด้วยครับ”

        “โอเคเลย”

 

        ผมพยายามแต่งตัวให้ดูหล่อที่สุด ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ผมจึงส่องกระจกหลายรอบ หลังจากแต่งตัวเสร็จ ผมก็มานั่งดูโทรทัศน์ชั้นล่างของบ้าน และมันก็ทำให้ผมโดนใครบางคนแซวจนได้

        “หลานอา วันนี้จะไปกับสาวที่ไหน กลิ่นน้ำหอมนี่คลุ้งมาก เลยครับ” น้ำเสียงคุ้นเคย ดังขึ้นมาจากข้างหลังผม เวลาอามิ้นพูดกับผม  หรือพี่น้องของผม ก็มักจะลงท้ายด้วย ‘ครับ’ เพราะติดปากหรือเปล่า ไม่แน่ใจ

        อามิ้น!

        “อา วันนี้ทำไมกลับบ้านเร็วจังครับ” ผมทักทาย

        “วันนี้ อาไม่มีสอนน่ะ เด็กมหา’ลัย เขาแข่งกีฬากัน” อามิ้นตอบพร้อมกับยิ้มให้ผม และนั่งลงข้างๆผม

        อามินตรา เป็นน้องสาวของพ่อผม อายุประมาณ 33 ปี แต่ก็ยังโสดอยู่เลย เธอจบปริญญาเอกทางการพยาบาลจิตเวช จากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง จากประเทศอังกฤษ ตอนนี้อาของผม ก็เป็นอาจารย์สอนคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง

        “วันนี้ผม มีเรื่องจำเป็นนะครับ เดี๋ยวต้องพาพี่สาวเพื่อนไปที่สุสาน” ผมบอกอา เพราะอาคือคนที่ผมรัก และไว้ใจที่สุดในบ้าน มากกว่าพ่อแม่ผมด้วยซ้ำ

        “ไปสุสาน!” อามิ้นตกใจ

        “ผมก็ไม่แน่ใจว่าเรื่องอะไร แต่ผมต้องไปครับอา” ผมพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

        “ให้อาไปส่งไหมครับ ลูก อาเป็นห่วงโอโซน” อามิ้นพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

        ผมยังไม่ทันที่จะตอบ พี่เรริน หรือพี่สาวคนสวย ก็โทร.มา ถามทางว่า บ้านผมอยู่ตรงไหน ผมพยายามอธิบาย จนเธอขับรถมาถูกทาง มีคนรับใช้ในบ้านผมไปเปิดประตูหน้าบ้านให้

        ผมรีบเดินออกไปต้อนรับ โดยมีองศา และพี่เลี้ยงวิ่งตามผมออกมา เพราะความซนขององศา เกือบโดนพี่สาวขับรถชน

        “องศา เป็นไรมากไหม” ผมรีบวิ่งเข้าไปดูน้องชาย ที่หกล้มด้วยความเป็นห่วง

        “ไม่เป็นไรครับ” องศายืนยัน พร้อมกับยืนขึ้น และยิ้มให้ผมได้

        “เป็นไรมากมั้ยหนู พี่ขอโทษ พี่ไม่ได้ตั้งใจ” พี่สาวรีบพูด หลังจากเปิดประตูรถออกมา เธอรีบวิ่งมาดูน้องชายผม ด้วยความเป็นห่วง

        องศา ยิ้มให้พี่สาว ...ดูจะถูกชะตากันเป็นพิเศษ

        “อ้าว เรรินเองเหรอ ลูก” เสียงอามิ้นดังขึ้น มาจากข้างหลังผม

        “สวัสดีค่ะ อาจารย์มินตรา”

        พี่สาวลุกขึ้น พร้อมกับทักทายอามิ้นของผม ดูเหมือนทั้งคู่จะรู้จักกันมาก่อน ซึ่งก็เดาถูกนะ เพราะพี่เรริน เคยเป็นนักศึกษาพยาบาล มหาวิทยาลัยที่อามินตราผมสอนอยู่

        “สบายดีมั้ย ไม่ได้เจอกันตั้งนาน คิดถึงเหมือนกันนะคะ” อามิ้นรีบเดินมาหาลูกศิษย์ พร้อมกับโอบกอดกันด้วยความคิดถึง

        “สบายดีค่ะ ช่วงนี้งานยุ่งเหมือนกันค่ะ”

        “เรรินยังดีนะ ที่ทำงาน โรงพยาบาลของครอบครัว”

        “ไม่หรอกค่ะ เครียดเหมือนกันค่ะ ผู้ป่วยเยอะน่ะค่ะ อาจารย์สบายดีมั้ยคะ”

        ลูกศิษย์กับอาจารย์คุยกันสนุก ผมยืนฟังอยู่นานพอสมควร ก่อนที่ผมจะเห็นใครบางคน เดินเข้ามาในบ้านผมอีกคน

        ธาวิน!

        ธาวิน หรือ วิน เป็นเพื่อนสนิทผมเอง เรียนเก่งมาก เวลาผมทำการบ้านไม่เสร็จก็จะลอกเขาประจำ นอกจากการเรียน เขายังเป็นนักบาสเกตบอล ทีมเดียวกับผม เขาสูงประมาณ 180 ซม. จริงๆผมกับเขามีอะไรแตกต่างกันมาก โดยเฉพาะเรื่องฐานะครอบครัว ที่เขาเป็นเด็กที่ครอบครัวยากจน แต่การที่เข้ามาเรียนในโรงเรียนเอกชนแห่งเดียวกับผมได้ เพราะว่าเขาสอบชิงทุนได้ เขาชอบบ่นว่าไม่มีเงินให้ผมฟังประจำ และผมก็ช่วยเหลือเขาประจำ

        เรามีอะไรที่ต้องแลกเปลี่ยนกัน ผมลอกการบ้านเขา และเขาก็ยืมเงินผม แต่ไม่ใช่หรอก ผมแค่ล้อเล่น จริงๆ เราสนิทกันเพราะธาวินช่วยชีวิตผมไว้ต่างหาก ตอน ม.2 ที่ผมทะเลาะกับแฟนที่ชื่อ ข้าวโพด ผมคิดสั้นจะกระโดดตึกที่ โรงเรียนตาย ถ้าไม่ได้เขามาปลอบใจ ผมคงตายไปแล้ว

        ธาวินเข้ามาสวัสดีอามิ้น และพี่เรริน จากนั้นก็ชวนผมไปว่ายน้ำ ที่สระว่ายน้ำบ้านผม แต่ผมกลับชวนเขา ไปที่สุสานด้วยกันแทน และเขาก็ตัดสินใจไปกับผม

 

        ในที่สุดการเดินทางไปสุสาน ก็ประกอบไปด้วยผม พี่สาว ธาวิน และอามิ้น ระหว่างอยู่บนถนนเส้นหลัก ผมพยายามมองหาเทพทัต ซึ่งคิดว่าน่าจะอยู่ไม่ไกลจากรถ ก็ไม่เห็น และไม่ได้กลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา

        “เขาไปไหนนะ” ผมซึ่งนั่งอยู่เบาะหลัง เผลอพูดออกมาเบาๆ กับตัวเอง

        “แกพูดกับใครเหรอ โอโซน” ธาวินที่นั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยถาม

        “เปล่าหรอก” ผมปฏิเสธ และพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด

        “ช่วงนี้ได้ข่าวว่าแกพูดคนเดียวบ่อยๆนะ” ธาวินพูดขึ้น เพราะผมก็เป็นแบบนั้นบ่อยจริงๆ และคำพูดนี้ มันก็ไปสะดุดหูอามิ้น ซึ่งเป็นอาจารย์ ที่จบ ปริญญาเอก ทางด้านการพยาบาลจิตเวช

        “หลานอา พูดคนเดียวจริงเหรอ มีอาการหูแว่ว ประสาทหลอน หรือเปล่าเนี่ยครับ” อามิ้นที่นั่งอยู่เบาะหน้า หันมาพูดกับผม

        “เปล่าครับอา” ผมปฏิเสธหน้าซีด

        “อาต้องตรวจสภาพจิตหน่อยแล้ว อาจจะมีอาการ Visual hallucination หรือ Auditory hallucination ก็ได้นะ” อามิ้นพูดดูจริงจัง และพยายามจ้องหน้าผม

        “อาล้อเล่นน่ะครับ โอโซน” พูดจบอามิ้นก็หัวเราะ เสียงดัง

        “จริงค่ะ น้องโอโซน ไม่ได้มีอาการทางจิตหรอกค่ะ อาจารย์” พี่สาวคนสวยช่วยยืนยัน ทำให้ผมโล่งอก และถอนหายใจยาว 1 เฮือก

        ถ้าอามิ้น กับ ธาวิน รู้ว่าผมสื่อสารกับเทพทัต ได้แล้วล่ะก็เขาคงคิดว่าผมเป็นโรคทางจิตเวชแน่ๆ ผมอาจต้องเข้ารับการบำบัดโดยไม่คาดคิด

 

        ณ เนินกว้าง ที่มองไปไกลสุดลูกหูลูกตา จะมองเห็นไม้กางเขน ที่ปักอยู่บนหลุมศพของคนที่ตายไปแล้วอยู่มากมายหลายจุด ตัดกับหญ้าสีเขียว

        แสงตะวันที่ใกล้ลับขอบฟ้า มันดูสวยงาม ราวกับเป็นดวงตาของพระเจ้าที่ยังเฝ้ามอง และปกป้องคุ้มครองพวกเรา ...ผมไม่รู้ว่าทำไมผมจึงคิดแบบนี้

        “ทุกสิ่งซึ่งท่านกระทำนั้น จงกระทำด้วยความรัก” เสียงศาสนาจารย์ ที่เคยเทศนาเรื่องความรัก ดังอยู่ในหูผมไม่หยุด มันเป็นข้อพระคัมภีร์ ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ในพระธรรม 1 โครินทร์ บทที่ 16 ข้อ 14

        ใช่ สิ่งที่ผมทำอยู่ตอนนี้ คือ การทำด้วยความรัก ความปรารถนาดี ที่พาพี่สาว มาที่สุสาน ตามคำพูดของเทพทัต

        “โอโซน โอโซนครับ” เสียงแหลมเล็กที่คุ้นเคย ดังอยู่ข้างหูผม

        ผมตื่นจากภวังค์ และหันขวับไปมองตามเสียง แต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป

        “เหม่อหาสาวที่ไหนครับ ลงจากรถได้แล้ว อาเรียกหลายรอบแล้วนะครับ”

        ใช่ ผมกำลังเหม่อ และมองทะลุกระจกรถออกไป ชมวิว จนติดอยู่ในภวังค์ นึกถึงเรื่องศาสนาจารย์ที่คริสตจักรสอน

 

        ทุกคนลงจากรถ และงงกับจุดประสงค์ที่ผมชวน พี่เรรินมาที่นี่ ในเวลานี้ ต่างพากันตั้งคำถามกับผม ผมเองก็ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี ผมควรพูดให้ทุกคนว่าเทพทัต บอกผมให้พาพี่สาวมาที่นี่ใช่ไหม

        “เทพทัต บอกให้ผมพาพี่สาวมาที่นี่ครับ จริงๆนะครับ” ผมยืนยันด้วยน้ำเสียงเข้ม

        “เทพทัต เป็นใครกัน” อามิ้นเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

        “อาจารย์คะ เป็นเพื่อนหนูเองค่ะ” พี่สาวตอบคำถามแทนผม แต่อามิ้นก็ดูยังไม่หายสงสัย หรือ คลายกังวลแต่อย่างใด

        “น้องโอโซน ลองติดต่อกับเทพทัตสิคะ พี่ว่าลองติดต่อดูค่ะ” พี่สาวพูดขึ้น โดยไม่สนใจ ธาวิน กับอามิ้น ที่มีท่าทีสงสัย อยากรู้ อยากเห็น

        “ผมมองไม่เห็นเขาเลยครับ ปกติเขาไม่ไปไกลจากพี่สาวนะครับ” ผมให้เหตุผล

        “บางที พระเจ้าอาจจะให้เราเข้าสู่การทดสอบ ทดลองก็ได้” พี่สาวพูดด้วยน้ำเสียงเศร้า

        “แต่เราต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ในพระเจ้า” ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

        ผมขออธิบายตรงนี้เลยว่า การที่คริสเตียนต้องดำเนินชีวิตอยู่โดยความเชื่อนี้เอง เป็นเหตุให้มีการทดลองเกิดขึ้นในชีวิตคริสเตียน ซึ่งการทดลองนั้นมาจาก 2 แหล่ง และ 2 จุดประสงค์  คือ

        แหล่งที่ 1 มาจากพระเจ้า เพื่อ ‘ทดสอบ’ ความเชื่อของคริสเตียน โดยมีจุดประสงค์ให้คริสเตียน ‘ผ่าน’ การทดสอบนั้น

        แหล่งที่ 2 มาจากมารซาตาน เพื่อ ‘ทดลอง’ จุดประสงค์ก็คือให้คริสเตียน ‘ละทิ้ง’ ความเชื่อ เป็นการ ‘พ่ายแพ้’ ต่อการทดลอง

        ชีวิตคริสเตียนอย่างพวกผม มีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ เพื่อพระเจ้า เป้าหมายหลังจากความตาย คือ ‘ชีวิตนิรันดร์’ การที่ ‘ละทิ้ง’ ความเชื่อ จะทำให้ชีวิตไม่ได้รับชีวิตนิรันดร์

       

        ฉับพลัน ท้องฟ้าที่พวกเรายืนอยู่ตรงนั้นก็มืดสนิทลงอย่างรวดเร็ว บรรยากาศเยือกเย็นลง มีเสียงกรีดร้อง และหัวเราะของใครสักคน ราวกับเป็นเสียงของปีศาจ มีกลิ่นคาวเลือดโชยมาแตะจมูกผม

        “นี่อะไรกัน ทำไมทุกอย่างเป็นแบบนี้” ธาวินเปรยขึ้นเสียงดัง

        อามิ้น พี่สาว และผมรวบรวมสติ ก่อนที่อามิ้นจะบอกให้ทุกคนรีบเข้าไปในรถ

        “ทุกคน เข้าไปในรถกัน” อามิ้นรีบวิ่งนำหน้าไป

        แต่ทุกสิ่งไม่เป็นอย่างที่คิด ประตูรถกลับเปิดไม่ได้ ราวมันโดนสะกดไว้โดยเวทมนตร์

        “ประตูรถเปิดไม่ได้ค่ะ อาจารย์ ทำยังไงดีคะ” พี่สาวดูลุกลี้ลุกลน ทำอะไรไม่ถูก

        กับดัก!

        หรือผมจะโดนเทพทัตหลอกให้มาที่นี่ สรุปแล้ว เทพทัต คือ ปีศาจ หรือซาตานใช่ไหม เพราะก่อนที่ผมจะเห็นเขาปรากฏตัวในบ้านของผม ด้วยบุคลิกที่เปลี่ยนไป ก่อนหน้านั้น ผมนึกถึงข้อพระคัมภีร์ที่ว่า

        “ในพระธรรมมัธธิว บทที่ 7 ข้อ 15 กล่าวว่า จงระวังผู้เผย พระวจนะเท็จ ที่มาหาท่านนุ่งห่มดุจแกะ แต่ภายในเขาร้ายกาจดุจหมาป่า”

        หรือความจริงแล้ว เทพทัตคือหมาป่า ที่กำลังนุ่งห่มดุจแกะ มาหลอกลวงพวกเรา เพื่อให้ติดกับดักกันแน่

        “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

        “อาว่า พวกเราคุกเข่าลงอธิษฐานกับพระเจ้ากันไหม” อามิ้นพูดพร้อมกับจะนำอธิษฐาน

        ฮา ฮ่า ฮา ฮ่า ฮา ฮ่า ฮา ฮา ฮ่า ฮา ฮ่า ฮา ฮ่า ฮา ฮา ฮ่า ฮา ฮ่า ฮา ฮ่า ฮา

        เสียงหัวเราะของใครสักคนดังขึ้น ท่ามกลางความมืด ราวกับเป็นเสียงของปีศาจ

        “พวกแก คิดเหรอ ว่าจะรอดไปได้ ตายซะเถอะ”

        ฮา ฮ่า ฮา ฮ่า ฮา ฮ่า ฮา ฮา ฮ่า ฮา ฮ่า ฮา ฮ่า ฮา ฮา ฮ่า ฮา ฮ่า ฮา ฮ่า ฮา

        พวกเราต่างรีบจับมือกันวิ่งหนี จากตรงนั้น พวกเราไม่รู้ว่าอะไรกำลังจ้องมอง หรือกำลังจะเล่นงานพวกเรา

        “พระเจ้าช่วยพวกเราด้วย พระเยซู” ผมพึมพำ กับพระเจ้า พร้อมกับวิ่งและวิ่ง

        “เทพทัตไปไหน ทำไม พระเจ้าไม่ส่งเขามาช่วยเรา” พี่สาวพ่ำบ่น

        “บางทีเขาอาจจะเป็นซาตานที่ปลอมตัวมา หรือไม่เขาอาจจะถูกซาตานเล่นงานอยู่ด้วยก็ได้” ซึ่งผมภาวนาให้เป็นประโยคหลังมากกว่า

        “เรามาอธิษฐานเผื่อทูตสวรรค์ ที่ดูแลพวกเรา กันดีไหม” ใช่ทุกคนมีทูตสวรรค์ ที่คอยดูแลเราอยู่ตลอดเวลา แต่ผมก็มองไม่เห็นทูตสวรรค์ของผม หรือติดต่อได้แบบเทพทัตหรอกนะ ผมก็ยังไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร

        “ในนามพระเยซูคริสต์ พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ขอโปรดเมตตาช่วยเหลือพวกเราในวันอันเลวร้ายนี่ด้วยเทอญ อธิษฐานเผื่อทูตสวรรค์ที่คอยดูแลลูก ขอให้เขามีกำลัง ต่อกรกับซาตานได้ เอเมน”

        ฮาเลลูยา ฮาเลลูยา

        อามิ้น นำอธิษฐาน และสิ้นคำอธิษฐาน ท้องฟ้ากลับสว่าง เป็นเวลาที่ดวงอาทิตย์กำลังตกดินเหมือนเดิม

        นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!..

        “อาไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนเลย มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” อามิ้นพูดด้วยน้ำเสียงอิดโรย

        ผมกับพี่สาวมองหน้ากันว่าควรตอบอย่างไรดี แต่พวกเราก็เงียบเอาไว้

        “เด่วผมพยุงอาไปที่รถนะครับ”

        ผมเข้าประคองร่างอันบอบบางของอาสาวไปที่รถ ฝ่ายธาวินกับพี่สาว ก็ค่อยๆ เดินตามหลังผมมา ทุกคนต่างดูอิดโรย และยังไม่พูดอะไร

        แค่เพียงเท่านั้นที่เดินถึงรถเก๋งสีขาวคันที่ขับมาที่นี่ พี่สาวก็รีบเปิดประตูรถ และขับมันออกจากสถานที่แห่งนี้ทันที ตลอดทางพวกเราต่างคนต่างเงียบ กำลังคิดทบทวนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ มันเป็นเรื่องจริง หรือ  เด จาวู กันแน่

       

       

 

       

 

 

 

           

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา