หลินเยว่ชิง บุปผาหมื่นมารยา(สนพ.B2S)

-

เขียนโดย ถานเซียง

วันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2562 เวลา 17.00 น.

  8 ตอน
  1 วิจารณ์
  8,086 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2562 08.56 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) ฝึกฝน ก้าวแรก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

          หลังจากหลินเยว่ชิงเรียกพบองครักษ์ทั้งสี่ นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาอี้เหิงก็มาสอนวรยุทธนางทุกเช้า ในทุกวันนางต้องตื่นแต่เช้าเพื่อมาวิ่งออกกำลังกาย จนกลายเป็นภาพชินตาของบ่าวไพร่ในจวน ภาพของดรุณีน้อยวัย 5 หนาว วิ่งอย่างกระหืดกระหอบสร้างความเป็นห่วงให้แก่ลู่กงกงที่เฝ้ามองอยู่ยิ่งนัก

          ลู่ซื่อเหลียนแทบร่ำไห้เมื่อเห็นสภาพท่านหญิงน้อยที่ผ่านพ้นการฝึกฝนในวันแรก ร่างเล็กดูอิดโรยไม่ต่างจากผักเหี่ยวๆ ต้นหนึ่งเลย ตัวเขาเองก็เคยฝึกยุทธมาพร้อมกับฉีหวาง ย่อมรู้ดีว่าต้องใจสู้เพียงใดจึงจะสามารถฝึกวรยุทธสำเร็จได้ ลู่กงกงได้แต่ยกชายแขนเสื้อซับน้ำตาของตนเพราะสงสารท่านหญิงน้อย

          แฮ่ก! แฮ่ก! แฮ่ก!

          หลินเยว่ชิงหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน อี้เหิงเป็นอาจารย์ที่โหดเอาการ พอนางบอกว่าไม่ต้องเกรงใจ ท่านองครักษ์เงาผู้หล่อเหลาก็จัดบทเรียนชุดใหญ่ให้นางทันที

         “เหิงเหิง ขะ..ข้าขอพักก่อนได้หรือไม่ แฮ่กๆ” หลินเยว่ชิงส่งสายตาอ้อนวอน ดวงตากลมโตกระพริบปริบๆ มองอีกฝ่ายตาแป๋ว

         “แต่ท่านหญิงยังวิ่งไม่ครบ 5 รอบ เลยนะขอรับ” อี้เหิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

        “นี่ท่านลืมไปแล้วรึ ข้าเพิ่งจะ 5 หนาวเองนะ..ขอพักแค่ครึ่งเค่อก็ยังดี” หลินเยว่ชิงยังคงต่อรองกับอีกฝ่ายเช่นเคย เหตุใดเวลาที่ฝึกวรยุทธกับ  ท่านอาควนถึงไม่เคยรู้สึกเหนื่อยเช่นนี้นะ หรือท่านอาจะไม่ได้สอนนางอย่างจริงจัง

         “ขอรับ ข้าจะน้อยให้เวลาท่านหญิงพักเพียงหนึ่งเค่อเท่านั้น แล้วเราจะมาฝึกกันต่อ”

         สิ้นคำกล่าวจากอี้เหิง หลินเยว่ชิงก็ทิ้งตัวลงนอนแผ่ราบไปกับพื้นหญ้ากลางลานฝึกโดยทันที ร่างเล็กหันไปมองนางกำนัลคนสนิทที่มีสภาพไม่ต่างจากนางสักเท่าใดนัก

         นับตั้งแต่ได้องครักษ์หนุ่มทั้งสี่มาเป็นพวกแล้ว หลินเยว่ชิงก็ให้ทุกคนพูดกับนางธรรมดาไม่ต้องถือยศถืออย่างใดๆ ทั้งสิ้น เด็กน้อยอยากจะกราบอี้เหิงเป็นอาจารย์ แต่องครักษ์หน้านิ่งผู้นี้กลับไม่ยอมรับการคาราวะน้ำชาจากนาง อี้เหิงต้องหาหน้ากากมาใส่ทุกครั้ง ก่อนจะออกจากเงามืดเพื่อมาสอนวรยุทธให้นางและเสี่ยวอวี้

        ตอนนี้เวลาก็ล่วงเข้าวันที่สิบแล้ว นับตั้งแต่ร่างเล็กเริ่มฝึกวรยุทธอย่างจริงจัง วันแรกของการฝึกฝนทำเอาร่างกายนางแทบแตกสลาย ขนาดว่านางเคยฝึกกับท่านอาควนมาบ้างยังเทียบไม่ได้กับบทเรียนจากอี้เหิงเลยสักนิด

         ทุกวันหลินเยว่ชิงต้องตื่นมาวิ่งรอบจวน 5 รอบตั้งแต่ยามเหม่า เมื่อเสร็จแล้วก็พักทานมื้อเช้าก่อนจะไปเจออี้เหิงที่ลานฝึกยุทธของจวน ดรุณีน้อยต้องยืนท่าขี่ม้าต่ออีกหนึ่งชั่วยาม [1] เพื่อฝึกพื้นฐาน จากนั้นก็ฝึกออกมัดมวยเตะต่อยลมฟ้าอากาศเพื่อคลายกล้ามเนื้อ วันๆ ของนางจะวนเวียนซ้ำไปมาอยู่เช่นนี้

         อี้เหิงทะลวงจุดชีพจรให้หลินเยว่ชิงแล้ว 1 จุด เพื่อให้ท่านหญิงสามารถฝึกรวบรวมลมปราณได้ องครักษ์หนุ่มบอกเด็กน้อยว่าชีพจรหลักของคนเรามี 8 จุด 180 ตำแหน่ง นางจะต้องค่อยๆ ฝึกฝนและทะลวงชีพจรจุดต่างๆ ที่เหลืออีกเมื่อสามารถรับรู้ถึงเส้นลมปราณได้แล้ว

         ตลอดสิบวันมานี้ สิ่งที่หลินเยว่ชิงรับรู้มีเพียงร่างกายที่ปวดร้าวราวจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ลู่กงกงผู้ใจดีก็ต้มยาแก้ปวดมาส่งนางและเสี่ยวอวี้ทุกวัน แต่นางจะมายอมแพ้ให้กับเรื่องแค่นี้มิได้ เพราะยังมีหนี้แค้นที่รอให้ต้องสะสางอยู่

        “ฮึบ! เอาล่ะพี่เสี่ยวอวี้เรามาวิ่งกันต่อเถอะ” ร่างเล็กดีดตัวลุกขึ้นนั่งเมื่อรู้สึกว่าได้พักพอแล้ว ก่อนจะไปวิ่งต่อจนครบ 5 รอบ

        “เพคะ” เสี่ยวอวี้แม้เหนื่อยแทบขาดใจก็ทำได้เพียงตอบรับท่านหญิงน้อยไป นางแอบก่นด่าถึงความโหดของบทเรียนจากท่านอี้เหิงอยู่ในใจ

         หนึ่งท่านหญิงน้อยและหนึ่งนางกำนัลยังคงวิ่งรอบจวนต่อไป เมื่อวิ่งครบแล้ว สองนายบ่าวจึงจับประคองกันไปยังโถงของเรือนเพื่อรับอาหารเช้า ช่วงนี้หลินเยว่ชิงทานได้มากขึ้นเพราะทุกวันต้องใช้แรงไปมาก ลู่กงกงก็ช่างรู้ใจเตรียมอาหารบำรุงนางเสียดิบดี

         หลินเยว่ชิงคีบอาหารเข้าปากอย่างรวดเร็ว ความอ่อนช้อยงดงามใดๆ ล้วนไม่สนใจอีกต่อไป ตอนนี้นางหิวมาก หลังจากวิ่งมาจนเหนื่อยนางต้องการอาหารเข้าไปใช้ทดแทนพลังที่สูญเสียไป

         ลู่กงกงได้แต่ยืนมองท่านหญิงน้อยตาปริบๆ เขาอยากจะช่วยเจ้านายน้อยของตนเช่นกัน แต่ก็ทำสิ่งใดมิได้ เขาคงทำได้เพียงดูแลจวนให้ดี เพื่อไม่ให้มีปัญหาเกิดขึ้นจนท่านหญิงต้องเหนื่อยไปมากกว่านี้

         “ลู่กงกง ข้าจะฝึกวรยุทธกับอี้เหิงแค่ครึ่งวัน..ยามอุ้ย [2] ท่านก็เอาบัญชีทั้งหมดของจวนมาหาข้าที่เรือนเหิงเยว่ด้วยแล้วกัน” หลินเยว่ชิงเงยหน้าขึ้นมาสั่งความกับลู่ซื่อเหลียน ก่อนจะก้มหน้าก้มตาทานอาหารต่อไป

         “พ่ะย่ะค่ะ..แต่ท่านหญิงจะไม่ทรงเหนื่อยเกินไปหรือพ่ะย่ะค่ะ” ลู่ซื่อเหลียนถามอย่างเป็นห่วงเจ้านายน้อยของตน

          ไม่มีเสียงตอบกลับใดๆ มีเพียงรอยยิ้มบางเบาที่มุมปากของร่างเล็กที่มอบกลับมาให้..ลู่กงกงได้แต่เก็บรู้สึกความเวทนาท่านหญิงไว้ในใจ แล้วทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย

          เมื่อรับมื้อเช้าเสร็จแล้ว หลินเยว่ชิงและเสี่ยวอวี้ก็เดินมายังลานฝึกขนาดใหญ่ของจวนฉีหวาง ก็พบว่าอี้เหิงได้มารออยู่ก่อนแล้ว และไม่ได้มีอี้เหิงเพียงผู้เดียว แต่ยังมีท่านอาควนด้วยอีกคนที่อยู่ตรงนั้น แล้วยังมองนางด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใยอย่างไม่คิดปิดบัง

         “คาราวะท่านหญิงขอรับ” หลี่ควนเอ่ยทักร่างเล็กที่ดูเหนื่อยอ่อนเบื้องหน้าตน แก้มขาวๆ ตอนนี้แดงระเรื่อด้วยโดนแสงแดดโลมเลีย ถึงแม้จะเป็นวสันตฤดูที่มีสายลมพัดเย็นสบาย แต่แสงแดดในฤดูกาลนี้ก็แรงเอาการอยู่เหมือนกัน

         “มีเรื่องจะรายงานหรือเจ้าคะท่านอา” หลินเยว่ชิงเอ่ยถามหลี่ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ท่านอาควนถึงแม้จะทำหน้าที่เป็นองครักษ์ต้องคอยปกป้องอยู่ข้างกายนางตลอด แต่ว่ายามนางอยู่ในจวนมิได้ออกไปที่ใด ก็จะชอบใช้ให้ท่านอาออกไปสืบข่าวภายนอกจวนมาให้เสมอๆ

         “มิได้ขอรับ..เพียงแต่สำนักพันดาราที่รับจ้างวานให้ลอบสังหารหวางเย่ ตอนนี้ถูกฆ่าล้างสำนักไปแล้วขอรับ”

         “งั้นรึ? แล้วรู้หรือไม่ว่าเป็นฝีมือผู้ใด” ร่างเล็กครางรับเสียงเบา ก่อนจะเอ่ยถามสิ่งที่อยากรู้ออกไป

         “จากข่าวที่ได้รับมา เห็นว่าเป็นชาวยุทธด้วยกันที่มีหนี้แค้นกับสำนักพันดาราขอรับ”

         “จะเป็นเช่นนั้นจริงๆ น่ะหรือ” หลินเยว่ชิงพึมพำกับตนเองเบาๆ คิ้วของนางขมวดเป็นปมอย่างกำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่ในใจ

         “ต้องลำบากท่านอาแล้วนะเจ้าคะ” ร่างเล็กเอ่ยขอบคุณอีกฝ่ายอย่างจริงใจพร้อมส่งยิ้มบางๆ ไปให้

         “เป็นหน้าที่ข้าน้อยอยู่แล้วขอรับ...เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวไปดูร้านเฟิงหวงก่อนนะขอรับ” หลี่ควนก้มศีรษะคำนับลาท่านหญิงน้อยแล้วจากไป

          หลินเยว่ชิงหันมาหาร่างสูงใหญ่ที่ยืนหน้านิ่งอยู่เบื้องหน้าตน ร่างเล็กส่งยิ้มบางไปให้องครักษ์หนุ่ม วันนี้อาจารย์จำเป็นผู้นี้จะสอนสิ่งใดให้แก่นางอีกนะ?

         “ท่านหญิงกับแม่นางซินพร้อมหรือยังขอรับ” อี้เหิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยดังเดิม

         เสี่ยวอวี้เมื่อได้ยินอี้เหิงเรียกนางว่า ‘แม่นางซิน’ ก็พาให้คิ้วกระตุกทันที นางยังเป็นเพียงดรุณีน้อยวัย 10 หนาวเท่านั้น เหตุใดคนผู้นี้จึงเรียกขานนางเช่นนี้

        “ท่านอี้เหิง เรียกข้าน้อยว่าเสี่ยวอวี้เถอะเจ้าค่ะ..ข้าน้อยเป็นเพียงเด็กน้อยวัย 10 หนาวเท่านั้น หาใช่แม่นางที่ใดไม่” เสี่ยวอวี้รีบเอ่ยบอกอีกฝ่ายให้เปลี่ยนคำเรียกขานนางเสียใหม่

         “อืม” อี้เหิงยังคงตอบรับอย่างเฉยชา

         “วันนี้ข้าน้อยจะให้ท่านหญิงฝึกท่าขี่ม้าเหมือนเดิม แต่ว่า..จะเพิ่มถุงทรายที่ข้อเท้าและข้อมือข้างละครึ่งจิน [3] ” อี้เหิงกล่าวจบก็ยิบถุงทรายขนาดเล็กที่ตนเตรียมไว้ออกมา

         หลินเยว่ชิงคิดตามที่อี้เหิงบอกอย่างเงียบๆ อยู่ผู้เดียว เขาให้นางผูกถุงทรายติดแขนและขาข้างละครึ่งจิน แสดงว่านางต้องฝึกท่าขี่ม้าโดยแบกถุงทรายน้ำหนัก 2 จินไว้กับตัว อา!..ลำพังแค่ยืนตัวเปล่าก็ปวดเมื่อยจะแย่อยู่แล้ว นี่อี้เหิงยังจะเพิ่มถุงทรายมาอีก เขาคิดว่ากำลังฝึกองครักษ์เงาอยู่หรืออย่างไรกัน!

          หลินเยว่ชิงหันไปมองเสี่ยวอวี้ที่ทำหน้าแหยๆ ใส่อี้เหิง พร้อมกับบ่นอุบอิบอยู่ผู้เดียวพาให้ชวนขบขันไม่น้อย

          “มาเถอะเหิงเหิง..ข้าพร้อมแล้ว ผูกถุงทรายมาเลย” ร่างเล็กบอกอาจารย์เฉพาะกิจของตน ให้นำถุงทรายมาผูกให้นางได้เลย

          องครักษ์หนุ่มเข้าไปผูกถุงทรายให้ร่างเล็กจนครบ แล้วจึงหันไปผูกให้เสี่ยวอวี้ต่อ

           หลินเยว่ชิงเมื่อได้รับการผูกถุงทรายจนครบแล้วนางก็ย่อเข่าลงทำท่าเหมือนกำลังขี่ม้า แขนเล็กๆ นั้นก็ยื่นออกไปข้างหน้าให้ขนานกับพื้นหญ้าเบื้องล่าง ยังดีที่อี้เหิงให้นางยืนฝึกท่าขี่ม้าในร่ม หากต้องยืนตากแดดนางคงเป็นลมไปก่อนแน่ ผ่านไปราวครึ่งเค่อแขนเล็กๆ ที่เคยขนานกับพื้นก็เริ่มตกลงมาทีละน้อย

          “แขนขอรับท่านหญิง” อี้เหิงเอ่ยเตือนให้ลูกศิษย์จำเป็นของตนยกแขนขึ้นตามเดิม มิใช่ว่าชายหนุ่มจะไม่สงสารเด็กน้อย แต่เขาก็ต้องทำเป็นใจแข็ง หากดรุณีน้อยไม่สามารถผ่านการฝึกขั้นพื้นฐานนี้ไปได้ ก็จะฝึกขั้นต่อไปมิได้เช่นกัน ท่านหญิงมีเป้าหมายในการแก้แค้น และคนเหล่านั้นก็ดูเหมือนจะไม่ธรรมดา พวกเขาใช่ว่าจะปกป้องท่านหญิงให้ปลอดภัยได้ทุกครั้งเสียเมื่อใดกัน เพราะฉะนั้นท่านหญิงต้องแข็งแกร่งขึ้นเพื่อปกป้องตนเองให้ได้ด้วยเช่นกัน

          หลินเยว่ชิงยืนแขนขาสั่นจากการฝึกท่าขี่ม้า แต่ร่างเล็กก็ยังกัดฟันสู้และอดทนจนผ่านเวลาหนึ่งชั่วยามไปได้ นางอยากจะล้มเลิกการฝึกนี้ไปเสียหลายครา แต่เมื่อหลับตาลงครั้งใดก็เห็นภาพของอาเหนียงที่ร่างกายอาบไปด้วยเลือดแล้วล้มลงไปต่อหน้าต่อตานาง จึงทำให้ร่างเล็กมีแรงฮึดสู้ขึ้นมาอีก

           เมื่อครบกำหนดหนึ่งชั่วยามแล้ว หลินเยว่ชิงก็มาฝึกเตะต่อยลมต่ออีกสองเค่อ จากนั้นอี้เหิงก็เรียกนางและเสี่ยวอวี้ไปใต้ต้นเฟิงที่อยู่ข้างๆ ลานฝึกยุทธ

           “วันนี้ข้าน้อยจะสอนท่านหญิงฝึกรวบรวมลมปราณ..เมื่อท่านหญิงสามารถรวบรวมลมปราณได้แล้ว ค่อยฝึกการใช้กระบี่เป็นลำดับต่อไป เชิญท่านหญิงนั่งขัดสมาธิใต้ต้นเฟิงเลยขอรับ”

            หลินเยว่ชิงทำตามอี้เหิงอย่างว่าง่าย นางจูงมือเสี่ยวอวี้ให้ไปนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ กัน

             “หลับตาลงขอรับ” อี้เหิงกล่าวเสียงเรียบ “กำหนดลมหายใจเข้าออกให้สม่ำเสมอ มีสมาธิจดจออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่าวอกแวก..คิดถึงเรื่องที่ทำให้มีความสุขแล้วท่านหญิงจะรับรู้ถึงลมปราณได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องกดดันตัวเองจนเกินไป วันนี้เป็นเพียงวันแรกที่ท่านหญิงเริ่มฝึก อาจจะยังไม่รับรู้ถึงพลังลมปราณก็อย่าได้เสียใจไปนะขอรับ”

              คำสอนของอี้เหิงฟังดูแล้วเหมือนง่าย แค่หลับตาแล้วกำหนดสมาธิ แต่ความจริงแล้วมันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย ทุกครั้งที่ร่างเล็กหลับตาลงก็มีเพียงภาพของบิดามารดาที่หมดลมไปต่อหน้านาง

              หลินเยว่ชิงพยายามจดจออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งตามที่อี้เหิงบอกแต่ก็ทำไม่ได้ ไม่ว่าจะพยายามเท่าใดนางก็มองเห็นแต่ภาพเลวร้ายต่างๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้น ใจของนางตอนนี้ไม่มีความสงบเลยแม้แต่น้อย มีเพียงความเกรี้ยวกราดจากเพลิงแค้นเท่านั้น

              อี้เหิงยังคงเฝ้ามองท่านหญิงอยู่ตรงนั้น เขาเห็นร่างเล็กขยับตัวยุกยิก เปลือกตาที่กระตุกเป็นพักๆ บอกให้รู้ว่าเด็กน้อยไม่มีสมาธิเอาเสียเลย เฮ้อ! เห็นทีว่าวันนี้คงต้องหยุดการฝึกไว้เพียงเท่านี้ หากดึงดันต่อไปคงไม่เป็นผลดีต่อท่านหญิงแน่

             “วันนี้ฝึกแค่นี้พอ ท่านหญิงลืมตาขึ้นเถอะขอรับ” อี้เหิงบอกร่างเล็กตรงหน้าให้ลืมตาขึ้น เขารู้ว่าท่านหญิงยังเยาว์และเพิ่งผ่านเรื่องร้ายมาจะให้จิตใจสงบอย่างพวกนักพรตคงมิได้ การฝึกฝนคงต้องค่อยเป็นค่อยไป

              หลินเยว่ชิงได้ยินดังนั้นก็ลืมตาขึ้นมาทันที แววตาของนางวาวโรจน์อยู่แวบเดียวก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว ร่างเล็กกล่าวขอบคุณอี้เหิงสำหรับการสอนวันนี้ แล้วจึงเดินออกจากลานฝึกไป

              ต้นยามอุ้ยในเรือนเหิงเยว่ มีร่างเล็กกำลังนั่งอ่านตำราอย่างขะมักเขม้นอยู่ที่โต๊ะตรงกลางโถงของเรือน ลู่กงกงมาขอพบท่านหญิงน้อยพร้อมสมุดบัญชีอีกห้าเล่ม เขาเดินเข้าไปในโถงรับรองเรือนเหิงเยว่ ก่อนจะทำความเคารพเจ้านายน้อยของตน “คาราวะ ท่านหญิงพ่ะย่ะค่ะ”

              ร่างเล็กที่นั่งก้มหน้าก้มตาอ่านตำราอยู่นั้นก็เงยหน้าขึ้น ก่อนจะตบไปที่เก้าอี้ข้างๆ ตน “ตามสบายเถอะลู่กงกง..ท่านมานั่งตรงนี้เถิด จะได้พูดคุยกันสะดวกยิ่งขึ้น”

              ลู่ซื่อเหลียนเดินไปนั่งอย่างไม่อิดออด ก่อนจะยื่นบัญชีทั้งหมดของจวนไปให้ท่านหญิงน้อย “บัญชีทรัพย์สินต่างๆ และบัญชีรายรับรายจ่ายของจวนพ่ะย่ะค่ะ”

             “ลู่กงกง..พูดกับข้าธรรมดาเถอะ ตอนนี้ไม่มีผู้อื่นอยู่ในห้องนี้เสียหน่อย ท่านก็อย่าได้มากพิธีไปเลย”

             “ขอรับ”

            หลินเยว่ชิงรับบัญชีทั้งหมดมาเปิดดูคร่าวๆ ถึงนางจะชอบอ่านตำราแต่เรื่องการทำบัญชีนางไม่มีความรู้เลยสักนิ “ลู่กงกง ท่านช่วยสอนข้าทำบัญชีได้หรือไม่?..ไม่สิ ไม่ใช่แค่ข้า แต่เป็นพี่เสี่ยวอวี้ด้วย”

            “ตะ..แต่ท่านหญิง บ่าวว่าไม่เหมาะสมหรอกเพคะ” เสี่ยวอวี้รีบทัดทานท่านหญิงทันที นางเป็นเพียงเด็กกำพร้าต่ำต้อยจะให้มาดูแลบัญชีสำคัญเหล่านี้ของจวนได้อย่างไร

            “ข้าบอกว่าได้ ก็ได้สิ..ต่อไปพี่ต้องเป็นมือขวาของข้า เพราะฉะนั้น เรื่องเหล่านี้พี่ก็ต้องเรียนรู้เช่นกัน” หลินเยว่ชิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด

            “เพคะ” เสี่ยวอวี้รับคำเสียงแผ่ว ต่อไปนี้ชีวิตนางคงมีเรื่องให้ทำอีกมากเป็นแน่ ดูท่าท่านหญิงของนางคงวางแผนจะทำการอีกมากมาย

            “ลู่กงกง ตอนนี้ในจวนมีคนอยู่ทั้งหมดกี่ชีวิต” หลินเยว่ชิงยังคงเปิดดูบัญชีทรัพย์สินต่อไปเรื่อยๆ

            “หากรวมทหารองครักษ์ด้วยตอนนี้มีทั้งหมด 120 ชีวิตจาก 300 ชีวิตขอรับ”

            “อืม” ร่างเล็กครางรับคำเสียงแผ่วเบา ก่อนจะใช้นิ้วเรียวเคาะโต๊ะอย่างกำลังครุ่นคิด “ตอนนี้เบี้ยหวัดที่เคยได้รับจากวังหลวงก็ไม่มีแล้ว เหลือเพียงสมบัติในคลังของจวนเท่านั้น หากเราอยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไรก็อยู่ได้สบายๆ ไปตลอดชาติ..แต่ว่านะลู่กงกง..ท่านรู้ใช่หรือไม่ว่าข้าคิดจะทำสิ่งใด”

             “ข้าน้อยทราบขอรับท่านหญิง..ท่านต้องการจะล่าคนชั่วที่มันให้ร้ายหวางเย่ และคงต้องใช้ตำลึงเงินอีกมากเพื่อการนี้..ข้าน้อยเลยคิดว่าเราน่าจะลดนางกำนัลลงเหลือแค่ 30 คนก็พอ แล้วปิดเรือนต่างๆ ที่ไม่ได้ใช้ไปเสียเพื่อลดค่าใช้จ่าย ท่านหญิงเห็นว่าเป็นเช่นไรขอรับ?”

            “จัดการตามนั้นได้เลย แต่องครักษ์ของอาเตี่ยที่คอยคุ้มครองจวนก็ให้คงไว้เช่นเดิม..ท่านช่วยข้าดูแลร้านเฟิงหวงของอาเหนียงด้วยได้หรือไม่? คงไม่ทำให้ท่านลำบากเกินไปใช่ไหม?”

            “ไม่เลยขอรับ ข้าน้อยยินดีแบ่งเบาภาระของท่านหญิงขอรับ” ลู่ซื่อเหลียนรีบลนลานตอบเจ้านายน้อยของตน เขายินดีช่วยทุกอย่างขอเพียงมิให้ท่านหญิงน้อยเหนื่อยล้าจนเกินไป

             “ดียิ่ง! เช่นนั้นก็ฝากท่านด้วยแล้วกัน สำหรับร้านเฟิงหวงข้าจะให้ท่านอาควนหาคนมาช่วยท่านอีกแรง..เอาล่ะ มาเริ่มสอนการทำบัญชีให้ข้าเลยละกัน”

              กว่าหลินเยว่ชิงจะศึกษาเรื่องการอ่านเขียนบัญชีจนเข้าใจได้ เวลาก็ล่วงเข้าปลายยามอิ่ว [4] เสียแล้ว ท้องน้อยๆ ของนางเริ่มประท้วงขออาหารด้วยการส่งเสียงโครกครากออกมา เสี่ยวอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รีบกุลีกุจอไปยกสำรับอาหารเย็นมาให้ท่านหญิงน้อยทันที

             หลังจากรับมื้อเย็นเสร็จแล้ว หลินเยว่ชิงก็อาบน้ำผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เตรียมเข้านอน เสี่ยวอวี้จะมานอนเฝ้านางทุกคืน เสียงลมหายใจสม่ำเสมอดังมาจากนางกำนัลคนสนิทที่เฝ้าอยู่ข้างเตียง วันนี้เสี่ยวอวี้คงจะเหนื่อยไม่น้อยเช่นกัน ร่างเล็กยังคงนอนลืมตามองแสงจันทราที่สาดสองเข้ามาในเรือนนอนของนาง

              ‘อาเตี่ยอาเหนียง อยู่บนนั้นสบายดีหรือไม่เจ้าคะ ไม่ต้องห่วงชิงเอ๋อร์นะ ..ชิงเอ๋อร์จะใช้ชีวิตให้ดีและจะลากคอคนพวกนั้นมาขอขมาอาเตี่ยอาเหนียงให้ได้..ปกป้องชิงเอ๋อร์ด้วยนะเจ้าคะ สิ้นเสียงรำพึงในใจร่างเล็กก็ผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้าจากการฝึกวรยุทธ ลมหายใจดังอย่างสม่ำเสมอ แต่หางตาของนางกลับมีหยดน้ำสีใสเกาะอยู่

******

[1] 1 ชั่วยาม = 2 ชั่วโมง

[2] ยามอุ้ย = เวลา 13.00น. – 14.59 น .

[3] 1 จิน = 500 กรัม

[4] ยามอิ่ว = เวลา 17.00 น . – 18.59 น.

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา