ลำนำบุปผาพิษ
เขียนโดย Xiaobei
วันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2562 เวลา 17.37 น.
แก้ไขเมื่อ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2562 14.04 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) บทที่ 11-12
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 11 ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย สังหารหมดไม่ละเว้น!
เขาพูดยังไม่ทันขาดคำ ก็มีเศษผ้าชิ้นหนึ่งถูกโยนใส่หน้าเขา นายท่านเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
“ไสหัวไปสืบหาที่มาของเศษผ้านี้ให้ข้า ถ้าหากภายในหนึ่งชั่วยามยังสืบไม่พบ เจ้าก็ไปตายซะ!”
“ขอรับ!” มู่เฟิงไม่กล้าชักช้า รีบโดดเข้าไปคว้าเศษผ้าชิ้นนั้นแล้วหายลับไปอย่างรวดเร็ว
‘ในที่สุดนายท่านก็กลับมาเป็นปกติแล้ว’ อีกสามคนที่เหลือถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“มู่อวิ๋น มู่เหลย มู่เตี้ยน พวกเจ้าทั้งสามคนไปตรวจสอบบริเวณรอบๆ นี้ในระยะยี่สิบลี้หาตัวเด็กคนหนึ่ง อายุประมาณสิบขวบ บนร่างสวมเสื้อคลุมของข้าอยู่ หลังจากหาพบแล้วจงสังหารทิ้งซะ!”
ทั้งสามคนเหลือบมองหน้ากัน แววตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
นายท่านรักสะอาดอย่างยิ่ง ของทุกสิ่งที่เขาเคยใช้แล้วต้องนำมาทำลายทิ้ง ไม่มีทางมอบให้ผู้อื่นต่อเด็ดขาด แล้วเสื้อคลุมของนายท่านไปอยู่บนตัวเด็กคนหนึ่งได้อย่างไรกัน?
“นายท่าน เด็กคนนั้น...เป็นชายหรือหญิงขอรับ?” มู่อวิ๋นรวบรวมความกล้าถามออกไปประโยคหนึ่ง
น้ำเสียงของนายท่านผู้นั้นเย็นเยียบ “ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย สังหารหมดไม่ละเว้น!”
เสื้อผ้าของนายท่านตกไปอยู่ในมือของผู้อื่น แต่นายท่านกลับไม่รู้ว่าคนผู้นั้นเป็นชายหรือหญิง...หรือว่าจะโดนขโมยไป? ยังมีผู้ที่สามารถขโมยของไปจากมือนายท่านได้ด้วยหรือ?
ทะ...ท้าทายอำนาจเกินไปแล้ว!
ความสงสัยที่อยู่ในใจของทั้งสามคนอาจทำให้พวกเขาตายได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าถามออกไป ทำได้เพียงตอบรับ และแยกย้ายกันไปค้นหาอย่างว่องไว
นายท่านผู้นั้นยืนอยู่ท่ามกลางความมืดในยามราตรี สายลมในภูเขาพัดผ่านมาทำให้เสื้อคลุมบนกายเขาปลิวไสว ราวกับจะลอยไปพร้อมสายลม
เด็กคนนั้นเพิ่งออกจากถ้ำนี้ไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ทั้งยังไม่มีพลังวิญญาณ ย่อมเดินทางได้ไม่เร็วนัก ต่อให้วิ่งได้ว่องไวเป็นพิเศษ ก็คงวิ่งไปได้ไม่เกินยี่สิบลี้ ความสามารถในการตามหาคนของพวกมู่อวิ๋นไร้เทียมทาน พวกเขาต้องหาตัวเด็กอัปลักษณ์คนนั้นมาได้ในไม่ช้านี้...
บนโลกนี้ไม่เคยมีใครหน้าไหนได้เห็นรูปร่างหน้าตาของเขามาก่อน แต่หากได้เห็นแล้วต้องตายสถานเดียว!
แต่เด็กเหลือขอคนนั้นไม่เพียงเห็นรูปร่างหน้าตาของเขา ยังลูบคลำไปจนถึงไหนต่อไหนอีก สมควรถูกเตะส่งไปลงนรกโดยเร็ว...
.......
ขณะนี้กู้ซีจิ่วเด็กอัปลักษณ์ที่ถูกนายท่านกล่าวถึงไม่เพียงแต่วิ่งมาได้ไกลเกินยี่สิบลี้เท่านั้น แต่ยังเข้าเมืองไปแล้วอีกด้วย
ยามนี้กำลังเดินลอยชายอยู่ในร้านเสื้อผ้าที่ปิดแล้ว
วิชาเคลื่อนย้ายในพริบตาของเธอไม่ได้ถูกจำกัดไว้ด้วยสิ่งของประเภทกำแพง ดังนั้นผนังอิฐหนาของร้านเสื้อผ้าและประตูใหญ่ที่ปิดไว้อย่างหนาแน่นก็ขวางกั้นเธอไม่ได้
กู้ซีจิ่วกระทำการรอบคอบอย่างยิ่ง เมื่อเธอลงจากเขามาก็ได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนว่า หากผู้ที่ครอบครองรูปสลักหยกพบว่าเสื้อผ้าหายไป จะต้องรู้แน่นอนว่ามีคนเข้าไป อาจจะออกค้นหาไปทุกหนทุกแห่ง ถ้าเธอยังสวมเสื้อคลุมนี้ไว้ก็คงสะดุดตาเกินไป เพราะฉะนั้นเปลี่ยนไปสวมเสื้อผ้าธรรมดาน่าจะปลอดภัยกว่า
ร้านแห่งนี้ค่อนข้างใหญ่ มีเสื้อผ้างดงามหลากหลายละลานตา กู้ซีจิ่วเลือกดูเสื้อผ้าไปเรื่อย และแล้วก็หาเสื้อผ้าที่เหมาะกับตัวเองได้ เพียงครู่เดียวก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย แล้วเคลื่อนย้ายออกมาจากร้าน ต่อมาก็เคลื่อนย้ายออกมาจากเมืองอีกครั้ง แล้วพับเสื้อคลุมสีขาวสะดุดตาตัวนั้น นำไปพันไว้กับหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง แล้วโยนลงไปในคูเมือง...
เธอปัดมือเล็กน้อย เพียงเท่านี้ก็เทพไม่รู้ผีไม่เห็น[1]แล้ว แค่รู้สึกเสียดายเสื้อคลุมที่งดงามตัวนี้อยู่บ้าง...
แต่พรุ่งนี้ยังต้องแสดงละครฉากใหญ่ เธอควรกลับไปพักผ่อนและฟื้นฟูจิตใจได้แล้ว
...........
ในยามดึก มู่เหลยและคนอื่นๆ ค้นหาบริเวณรอบๆ ภูเขาในระยะยี่สิบลี้ไปหนึ่งรอบแล้ว อย่าว่าแต่เด็กที่สวมเสื้อคลุมของนายท่านเลย แม้แต่กระต่ายป่าพวกเขาก็ยังเจอไม่ถึงสองตัว!
อีกทั้งพวกเขาก็ไม่รู้ว่ากลิ่นอายของเด็กคนนั้นเป็นอย่างไร จึงใช้สุนัขล่าสัตว์ทำการดมกลิ่นค้นหาไม่ได้
-------------------------------------------------------------------------------------
บทที่ 12 เป็นเพียงเด็กคนหนึ่งจริงๆ หรือ?
หลังจากที่ฝนห่าใหญ่ตกลงมา ร่องรอยทั้งหมดบนพื้นดินล้วนถูกสายฝนทำให้ยุ่งเหยิงเละเทะ เดิมทีแล้วมู่เฟิงและพรรคพวกมีความสามารถในการแกะรอยได้เยี่ยมยอด แต่ขณะนี้จนปัญญาอย่างยิ่ง
พวกเขาขยายขอบเขตการค้นหาให้กว้างขึ้น ในที่สุดด้วยความช่วยเหลือจากนกแร้งสวินเฟิงที่ได้กลิ่นเสื้อผ้าของนายท่านจากในคูเมือง ภายหลังจึงนำเสื้อคลุมที่ถูกพันไว้กับหินก้อนใหญ่ขึ้นมาได้...
พวกมู่เหลยทั้งสามคนมองไปยังเสื้อคลุมของนายท่านที่เปียกโชกและยับยู่ยี่ก็รู้สึกหนาวสะท้านจนตัวสั่นเทา!
นายท่านของพวกเขามีนิสัยที่แปลกประหลาดมากอยู่อย่างหนึ่ง ตามปกติแล้วข้าวของที่เป็นของเขาต้องสะอาดหมดจดและเป็นระเบียบ ต่อให้เป็นของที่ไม่ต้องการใช้แล้วก็ต้องนำไปทำลายทิ้งทันที ไม่ยินยอมให้คนอื่นได้สัมผัสโดยเด็ดขาด วันนี้ไม่คิดเลยว่าเสื้อคลุมที่นายท่านมักจะสวมใส่เป็นประจำจะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้...
นี่เป็นฝีมือของเด็กโชคร้ายบ้านใดกันนะ? โง่เขลายิ่งนัก! ใจกล้ายิ่งนัก!
ขณะที่ทั้งสามคนกำลังใจลอยอยู่นั้น ด้านหลังพลันมีสายลมเอื่อยๆ พัดผ่าน พร้อมกันนั้นก็มีเสียงกระจ่างใสดุจสายลมในฤดูใบไม้ผลิดังขึ้นมา
“หาตัวเจอแล้วหรือ?”
ทั้งสามคนหันกลับไปทำความเคารพ สีหน้าของมู่เหลยเต็มไปด้วยความละอายใจ “นายท่าน ข้าน้อยไร้ความสามารถ ตามหามาได้เพียงเสื้อคลุมของนายท่าน...”
ผู้ที่ปรากฏกายอย่างไร้สุ้มเสียงอยู่ด้านหลังย่อมเป็นนายท่านของพวกเขา ไม่รอให้มู่เหลยกล่าวจนจบ เขาก็มองเห็นเสื้อคลุมที่เปียกโชกจนเสียรูปทรงของตนแล้ว...
ใบหน้าของเขาสวมหน้ากากปีศาจเอาไว้ ทั้งสามคนจึงมองไม่เห็นว่าเขารู้สึกอย่างไร เพียงแต่สัมผัสถึงกลิ่นอายคุกรุ่นรอบกายของเขาได้...
นายท่านไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแค่ยกมือขึ้น เสื้อคลุมชุดนั้นที่พันไว้กับหินก้อนใหญ่ก็ลอยขึ้นมา เขาแบมืออีกครั้ง เสื้อคลุมก็กางออกมา สะอาดหมดจดเรียบลื่นดุจแพรต่วน รอยยับสักรอยก็ไม่มี แต่มีสิ่งที่น่าเสียดายอยู่อย่างหนึ่งคือบริเวณชายเสื้อคลุมมีรอยขาดขนาดใหญ่อยู่...
แร้งสวินเฟิงที่เกาะอยู่บนไหล่ของมู่เหลยโผบินออกมา บินวนรอบเสื้อคลุมนั้นหนึ่งรอบ
มู่เหลยจึงสอบถาม “ได้กลิ่นของคนผู้นั้นรึไม่?” สวินเฟิงเป็นแร้งสายพันธุ์พิเศษ มันแตกต่างกับแร้งตัวอื่นๆ เพราะมันได้รับการฝึกฝนมา มันสามารถดมกลิ่นได้มากกว่าสุนัขล่าสัตว์ทั่วไปถึงสิบเท่า มันถูกใช้เพื่อตามหาสิ่งของและตามหาผู้คนโดยเฉพาะ
หัวกลมๆ ของแร้งสวินเฟิงส่ายไปมา เสื้อคลุมตัวนี้แช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานาน กลิ่นอายใดๆ ย่อมไม่หลงเหลืออยู่แล้ว
แสงในดวงตานายท่านเลือนหายไป ปลายนิ้วบีบขยี้ผ่านไปในความว่างเปล่า เสื้อคลุมล้ำค่ายากจะหาสิ่งใดมาเทียบได้ก็พลันสลายกลายเป็นผุยผง สายลมพัดมาคราหนึ่งก็กระจัดกระจายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
แววตาของเขาวูบไหวเล็กน้อย นี่ถือเป็นเด็กเช่นใดกันแน่นะ? ด้วยสภาพไม่มีพลังวิญญาณเลยแม้แต่น้อย คาดไม่ถึงว่าจะวิ่งไปตามถนนในภูเขาได้ไกลถึงสามสิบลี้ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม!
กระทำการได้รอบคอบถึงเพียงนี้ กระทั่งร่องรอยสักนิดก็ไม่หลงเหลือไว้ นักฆ่าที่มีฝีมือที่สุดของเขาเกรงว่าจะด้อยกว่าอีกฝ่ายเสียด้วยซ้ำ...
‘เป็นเพียงเด็กคนหนึ่งจริงๆ หรือ?’
‘หรืออาจจะเป็นคนแคระ?’
ขณะที่เขากำลังจมอยู่ในภวังค์ความคิด ก็มีเสียงลมดังขึ้น มู่เฟิงที่ไปสืบหาต้นตอของเศษผ้าชิ้นนั้นปรากฏตัวขึ้นแล้วคุกเข่าอยู่เบื้องหน้านายท่าน
“เรียนนายท่าน ข้าน้อยได้สำรวจทั่วภูเขาหนิงอู่แล้ว ในบริเวณนี้ห่างออกไปไม่กี่สิบลี้มีคฤหาสน์ลับอยู่หลังหนึ่ง เป็นคฤหาสน์ลับของเล่อฮวาโหวหรงอี้ กลางดึกคืนนี้ หรงอี้ถูกสังหาร นักรบพลังวิญญาณขั้นสามสองนายและข้ารับใช้อีกสองคนก็ถูกสังหารด้วยเช่นกัน เศษผ้าที่นายท่านมอบให้ข้าน้อยนั้นเป็นชิ้นส่วนจากม่านเตียงของหรงอี้ ข้าน้อยตรวจสอบบาดแผลของพวกหรงอี้ดูแล้ว เป็นการสังหารโดยใช้ปิ่นหยกแทงเข้าจุดสำคัญ ฝีมือแม่นยำอย่างยิ่ง พวกหรงอี้ไม่มีโอกาสได้ตอบโต้กลับเลยแม้แต่น้อย...”
“เล่อฮวาโหวหรงอี้? ได้ยินว่าเขามีรากฐานวิญญาณระดับกลาง พลังวิญญาณขั้นสี่ เขาจะถูกเด็กคนหนึ่งสังหารโดยไร้สุ้มเสียงได้อย่างไร?” ดวงตาของมู่เหลยเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ
ฝึกฝนพลังวิญญาณถึงขั้นที่สี่ได้ ก็นับว่าเป็นยอดฝีมือในแผ่นดินนี้ โดยปกติแล้วคนหลายสิบคนก็ไม่สามารถเข้าใกล้เขาได้ ใครจะไปคิดว่าจะถูกเด็กที่ไร้พลังวิญญาณคนหนึ่งสังหารเอาได้เล่า?
-------------------------------------------------------------------------------------
[1] เทพไม่รู้ผีไม่เห็น หมายถึง ปกปิดได้มิดชิดจนไม่มีใครรู้เห็น
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ