ลำนำบุปผาพิษ

-

เขียนโดย Xiaobei

วันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2562 เวลา 17.37 น.

  30 ตอน
  0 วิจารณ์
  28.14K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2562 14.04 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) บทที่ 7-8

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
บทที่ 7 ไว้หน้าสักหน่อยแล้วกัน
เป็นเสื้อคลุมที่งามล้ำค่ายิ่ง! เหมาะให้เธอใช้!
นี่ต้องเป็นเสื้อผ้าที่เทพเจ้าประทานมาให้เธออย่างแน่นอน!
กู้ซีจิ่วไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เดินไปถอดเสื้อคลุมสีขาวดุจหิมะตัวนั้นออกจากร่างของรูปสลักหยก
เดิมทีเธอยังกังวลอยู่ว่ารูปสลักหยกนั้นแข็งกระด้าง ไม่สามารถยืดแขนได้ เสื้อคลุมตัวนี้คงถอดออกมาไม่ได้ง่ายๆ แต่คิดไม่ถึงว่าเสื้อคลุมตัวนี้จะยืดหยุ่นมาก เธอถอดเสื้อคลุมสีขาวออกได้ง่ายดายยิ่งนัก
เมื่อถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกมาเธอค่อยพบว่า บนร่างของรูปสลักหยกยังสวมเสื้อตัวในไว้ด้วย แม้กระทั่งกางเกงตัวในก็ยังสวมไว้... แต่งกายคล้ายพวกคนโบราณที่เธอเคยเห็นในทีวีทุกประการ ไม่ผิดเพี้ยนเลยสักนิดเดียว
ผู้ที่แกะสลักหยกชิ้นนี้จะทุ่มเทเกินไปหรือเปล่า? ปฏิบัติราวกับเป็นคนที่มีชีวิตจริงๆ
หรือว่าภายใต้กางเกงของรูปสลักหยกนี้ กระทั่งส่วนลับของบุรุษก็สลักไว้ด้วย?!
กู้ซีจิ่วคว้าหมับเข้าที่หว่างขาของรูปปั้นหยกทันทีอย่างอดไม่ไหว ไม่คิดเลย ไม่คิดเลยว่าจะสมบูรณ์ครบครันยิ่งนัก!และดูเหมือนมีขนาดใหญ่เสียด้วย...
เธอกระแอมไอเล็กน้อย สายตาทั้งคู่อดไม่ได้ที่จะมองสังเกตรูปสลักหยกอย่างละเอียดอีกครั้ง เมื่อเสื้อคลุมตัวใหญ่ถูกถอดออกไปแล้ว เสื้อตัวในที่สวมอยู่บนร่างรูปสลักหยกก็พอดีตัวมาก เป็นบุรุษโครงร่างสูงสง่า ทุกอย่างลงตัวยิ่ง ไม่มากไม่น้อยเกินไป ตั้งแต่หัวจรดเท้าล้วนสมบูรณ์แบบเป็นที่สุด รูปสลักหยกนี้ไม่คล้ายถูกสร้างโดยฝีมือของมนุษย์ แต่คล้ายผลงานชั้นเลิศแสนสมบูรณ์ที่เทพเจ้ารังสรรค์ขึ้น
รูปสลักหยกนี้คือการรวมความสมบูรณ์แบบโดยแท้ ถ้าหากมีคนเช่นนี้อยู่จริงๆ เดาว่าสตรีทั้งหมดบนโลกคงต้องบ้าคลั่งเพราะเขาสินะ?!
โชคดีที่มันเป็นเพียงรูปสลักหยกชิ้นหนึ่ง!
กู้ซีจิ่วมองดูมันอยู่สักพัก จึงยกมือขึ้นตบลงบนใบหน้าของรูปสลักหยกเบาๆ
“ต้องล่วงเกินพี่เทพบุตรเสียแล้ว ท่านงดงามถึงเพียงนี้ต่อให้เปลือยเปล่าก็ยังเจิดจรัสมากอยู่ดี เพราะฉะนั้นเสื้อผ้าทั้งหมดของท่านก็เอามาให้ข้ายืมเสียเถอะ ถือเสียว่าท่านกระทำความดีถวายเทพเซียนก็แล้วกัน...”
ถ้าให้เธอสวมแค่เสื้อคลุมตัวเดียว แต่ข้างในไม่สวมอะไรเลยก็รู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่ ดังนั้นเธอจึงกล่าวคำขอล่วงเกิน จากนั้นก็ยื่นมือไปถอดเสื้อและกางเกงตัวในที่อยู่บนรูปสลักหยกออกอย่างไม่เกรงใจ...
แต่เสื้อผ้าสองชิ้นนี้ไม่มีความยืดหยุ่นเลย แถมอีกฝ่ายยังอยู่ในท่านั่งสมาธิเช่นนี้ เธอวุ่นวายอยู่พักใหญ่ แต่ก็ถอดออกมาไม่ได้
เว้นเสียแต่ว่าจะฉีกเสื้อผ้าทั้งสองชิ้นนั้นซะ ไม่เช่นนั้นเธอก็ไม่มีทางที่จะเอาออกมาได้ แต่ถ้าฉีกเสื้อผ้าออกจริงๆเธอก็สวมมันไม่ได้แล้ว...
‘งั้นก็ช่างเถอะ! ถือว่าไว้หน้ารูปสลักหยกนี้สักหน่อยแล้วกัน ไม่ถอดจนมันต้องเปลือยแล้ว...’
ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็ถอดใจ สวมแค่เสื้อคลุมสีขาวหิมะตัวนั้นบนร่างตน เสื้อคลุมนี้เมื่อสวมบนร่างเธอก็หลวมโพรก
เธอจึงใช้กระบี่ล้ำค่าตัดชายเสื้อคลุมออกอย่างไม่เกรงใจ แล้วใช้เศษชายเสื้อยาวๆ ที่ถูกตัดออกมาผูกไว้ที่เอว ถึงแม้จะยังหลวมอยู่บ้าง แต่ก็ไม่รุ่มร่ามแล้ว
เนื้อผ้าที่สวมอยู่บนร่างกายนี้ให้สัมผัสพิเศษยิ่ง เรียบลื่นบางเบาราวกับสัมผัสสายลมอ่อนโชย กู้ซีจิ่วเริ่มคิดแล้วว่าหลังจากที่กลับไปจะนำเสื้อคลุมนี้มาตัดเย็บเป็นชุดชั้นใน...
เดิมทีเธอโดนสายฝนกระหน่ำเทใส่จนเปียกเหมือนลูกนกตกน้ำ หนาวจนทนแทบไม่ไหว แต่ขณะนี้หลังจากที่สวมเสื้อคลุมแล้ว ร่างกายก็อบอุ่นขึ้นมาทันที ความหนาวเย็นทั้งหมดสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เป็นของดีอย่างที่คิดไว้เลย!
แต่จะว่าไป ใครกันนะที่นำเอารูปสลักหยกล้ำค่ามาตั้งไว้ในถ้ำกลางหุบเขาที่รกร้างว่างเปล่าแห่งนี้?
อย่าว่าแต่มูลค่าของรูปสลักหยกเลย ขนาดเสื้อผ้าพวกนี้ที่มันสวมอยู่ก็เป็นสมบัติล้ำค่ามิใช่หรือ?
กู้ซีจิ่วสังเกตดูภายในถ้ำอย่างละเอียดอีกครั้ง ก็ไม่พบสมบัติอย่างอื่นเลย ไม่คล้ายจะเป็นถ้ำขุมทรัพย์ของโจรด้วย
หรือว่าจะมีจอมโจรสักคนที่เพิ่งจะขโมยมันมาเมื่อไม่นานนี้ เลยไม่ง่ายนักที่จะขายมันในช่วงนี้ ดังนั้นจึงต้องนำมาไว้ที่นี่ก่อนชั่วคราว?
‘มีความเป็นไปได้!’
-------------------------------------------------------------------------------------

บทที่ 8 โจรปล้นโจร
ตอนนี้เธอไม่มีกำลังภายใน ต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัวบ้าง ไม่ควรไปหาเรื่องกับจอมโจร ควรคิดหาทางกลับไปจวนแม่ทัพเสียก่อน...
หากว่าเธอทายไม่ผิดล่ะก็ เดาได้เลยว่าพรุ่งนี้เช้าจวนแม่ทัพน่าจะมีละครสนุกๆ สักฉากให้ชม
ดังนั้นเธอจะต้องกลับไปถึงก่อนรุ่งสาง!
เธอหลุบตามองมือเล็กๆ ของตัวเองอยู่หลายครั้ง พลางยิ้มน้อยๆ
จนกระทั่งตอนนี้นี่เองที่เธอรู้สึกถึงความเป็นจริง
ในเมื่อเทพเจ้าให้เธอได้เกิดใหม่ในร่างนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นเธอก็จะใช้ชีวิตต่อไปอย่างยอดเยี่ยม! ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาล้วนเป็นแค่อดีตที่ผ่านพ้นไปแล้ว ควรโยนมันทิ้งไว้ข้างหลังซะ!
เธอถือโอกาสนี้สางเส้นผมที่เปียกชุ่มโชก แล้วเหลือบมองรูปสลักหยกนั้นแวบหนึ่ง รูปสลักหยกมีริมฝีปากเป็นสีชมพูจาง หยักโค้งบางๆ ได้รูป ดูคล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่เชิง มองแล้วทำให้รู้สึกอยากจะประทับจูบเบาๆ ยิ่งนัก...
กู้ซีจิ่วโน้มกายเข้าไปจูบริมฝีปากเย็นเฉียบของรูปสลักหยกนั้นอย่างอดใจไม่ไหว ไม่คิดเลยว่าริมฝีปากของรูปสลักหยกจะมีกลิ่นหอมประหลาดจางๆ สายหนึ่ง กลิ่นหอมนั้นเบาบางอย่างยิ่ง มีอยู่ก็เหมือนไม่มี แต่กลับแทรกซึมตรงเข้าสู่ร่างกายคน ดมแล้วรู้สึกผ่อนคลายยิ่งนัก
เดิมทีแล้วกู้ซีจิ่วคิดว่าจูบแล้วก็จะจากไป แต่กลับหลงใหลในกลิ่นหอมนี้ จึงเบียดริมฝีปากแนบชิดเข้าไปอีกหน่อยอย่างอดใจไม่อยู่ หลังจากนั้นสักพักจึงถอนริมฝีปากออกอย่างไม่ใคร่จะเต็มใจ
นี่เป็นหยกชนิดไหนกันแน่นะ? ดูจากเนื้อหยกแล้วคล้ายจะเป็นหยกขาวมันแพะ[1] แต่ก็มีเนื้อเนียนละเอียดเกลี้ยงเกลากว่าหยกมันแพะมากนัก ทั้งยังมีกลิ่นหอมที่นึกไม่ถึงเช่นนี้อยู่อีกด้วย
พิสดารนัก! สมบัติล้ำค่า! อยากเป็นโจรปล้นโจรเสียจริง อยากจะแบกมันกลับไปยังจวนแม่ทัพด้วยเหลือเกิน
แต่น่าเสียดายนัก ด้วยร่างเล็กๆ ของเธอในตอนนี้จะกระทำการนี้เป็นเรื่องที่ยากลำบากยิ่ง แถมยังสะดุดตาเกินไป ‘เอาเถอะ หากว่าภายหลังมีโอกาสก็ค่อยว่ากันอีกที’
เธอไม่อยากเสียเวลาอีก จึงสาวเท้าเดินออกไปข้างนอก
เธอเดินมาจนถึงสถานที่ที่พลัดตกลงมา พลางคำนวณระยะทางอยู่ในใจเงียบๆ แล้วใช้วิชาเคลื่อนย้ายในพริบตาอีกครั้ง...
วิชาเคลื่อนย้ายในพริบตานี้เป็นความสามารถพิเศษของเธอที่ได้รับการฝึกฝนจากยุคปัจจุบัน ไม่คิดเลยว่ายามที่มาเข้าร่างนี้แล้วก็ยังใช้มันได้อยู่ ถึงแม้พลังจะไม่สมบูรณ์เท่าไหร่ แต่กู้ซีจิ่วก็รู้สึกพอใจมาก
ตามความทรงจำของร่างเดิม เธอถึงทราบว่ายุคนี้ไม่ใช่ยุคประวัติศาสตร์ใดๆ ที่เธอเคยรู้จัก ทวีปนี้ถูกเรียกว่าทวีปซิงเยวี่ยแบ่งออกเป็นสามอาณาจักร ได้แก่ อาณาจักรเฟยซิง อาณาจักรเฮ่าเยวี่ย อาณาจักรเจาหยาง ซึ่งทั้งสามอาณาจักรนี้ล้วนคอยคานอำนาจกันอยู่
ผู้คนในทวีปนี้ยึดมั่นในเรื่องของพละกำลัง มีการฝึกฝนพลังวิญญาณห้าธาตุ และสิ่งสำคัญที่สุดในการฝึกฝนพลังวิญญาณก็คือรากฐานวิญญาณในร่างกาย ผู้คนทั้งหมดในทวีปนี้แทบจะทุกคนล้วนมีรากฐานวิญญาณ เพียงแค่มีความแข็งแกร่งที่แตกต่างกันก็เท่านั้น
หากมีรากฐานวิญญาณแข็งแกร่ง การฝึกฝนวรยุทธ์ก็ถือเป็นการทำน้อยแต่ได้มาก[2] เพราะส่งผลโดยตรงต่อการฝึกฝนระดับพลังวิญญาณในร่างกาย
คนที่มีพลังวิญญาณสูงก็คือผู้แข็งแกร่งในโลกนี้ จะได้รับความเคารพยกย่องจากผู้คน
แน่นอนว่าในโลกนี้ก็มีผู้ที่มีรากฐานวิญญาณอ่อนแออยู่เป็นจำนวนมาก คนเหล่านี้ต่อให้พยายามฝึกฝนอย่างหนักตลอดชีวิต อย่างมากสุดก็ฝึกฝนได้ถึงระดับพลังวิญญาณขั้นที่สองเท่านั้น เป็นได้เพียงทหารยามรักษาการไร้เกียรติ ไม่มีวันเจริญก้าวหน้า
ทว่ากู้ซีจิ่วนั้นไม่มีแม้แต่รากฐานที่อ่อนแอเลยด้วยซ้ำ ไม่สามารถฝึกฝนพลังวิญญาณได้อย่างสิ้นเชิง เป็นสวะไร้ค่าชิ้นใหญ่ที่พบเจอได้ยากยิ่ง
ทำให้จวนแม่ทัพกลายเป็นที่น่าหัวเราะเยาะ จึงไม่ได้รับความรักจากบิดาเลยแม้แต่น้อย น่าเวทนาที่คุณหนูสูงศักดิ์ผู้หนึ่งซึ่งกำเนิดจากภรรยาเอกต้องกลายเป็นเป้าหมายการกลั่นแกล้งของผู้อื่น...
แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องเหล่านี้ล้วนผ่านพ้นไปแล้ว ร่างนี้มีเธอมารับช่วงต่อแล้ว เธอจะทวงคืนทุกอย่างแทนเจ้าของร่างเดิม ทวงเอาทุกสิ่งที่ควรมีกลับมา!
ไม่มีพลังวิญญาณก็ไม่เห็นเป็นไร เธอสำรวจคุณสมบัติเดิมของร่างนี้ดูแล้ว ถือเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีเหมาะจะฝึกฝนกำลังภายใน เพียงแค่เธอฝึกฝนตามวิธีของตนเอง ไม่ถึงสามปี ก็สามารถฝึกฝนถึงระดับเดียวกับตัวเธอในชาติก่อนได้แล้ว เธอจะอยู่บนโลกนี้อย่างสง่าผ่าเผยเหมือนเริ่นหว่อสิง[3]
-------------------------------------------------------------------------------------
[1] หยกขาวมันแพะ เป็นหยกที่มีลักษณะขาวใสเหมือนไขมันของแพะจึงถูกเรียกว่าหยกขาวมันแพะ ถือเป็นหยกที่หายากและมีราคาแพง
[2] ทำน้อยแต่ได้มาก ความหมายคือการลงแรงทำอะไรแค่เพียงเล็กน้อยแต่ได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าแรงที่เสียไป
[3] เริ่นหว่อสิง เป็นตัวละครฝ่ายร้ายในนวนิยายเรื่อง กระบี่เย้ยยุทธจักร ผลงานประพันธ์ของกิมย้ง
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา