ลำนำบุปผาพิษ
เขียนโดย Xiaobei
วันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2562 เวลา 17.37 น.
แก้ไขเมื่อ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2562 14.04 น. โดย เจ้าของนิยาย
22) บทที่ 43-44
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 43 วันนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ต้องการหรือ?
“แน่นอน!”
คุณชายน้อยผู้นั้นทำหน้าม่อยพลางถอนหายใจ “ได้ เช่นนั้นมันเป็นของข้าแล้ว”
หลังจากที่ตัวแทนการซื้อขายทำการเคาะประมูลแล้ว คุณชายน้อยผู้นั้นจึงล้วงตั๋วเงินปึกหนึ่งจากอกเสื้อส่งให้ ทั้งยังวางเงินอีกหนึ่งตำลึงไว้บนตั๋วเงินปึกนั้นด้วยท่าทางเป็นการเป็นงาน
ผู้คนมองเขาเหมือนมองเรื่องตลกอยู่ เห็นทีว่านอกจากเขาจะขโมยไก่ไม่ได้แล้วยังเสียข้าวสารไปอีกหนึ่งกำมือ[1] เสียเงินแปดแสนตำลึงเพื่อซื้อสมุนไพรราคาห้าหมื่นตำลึงต้นหนึ่ง...
คุณชายน้อยถือกล่องแก้วผลึกที่บรรจุสมุนไพรต้นนั้นเอาไว้ มองแล้วก็ถอนหายใจออกมา มองอีกแล้วก็ถอนหายใจออกมาอีก
องค์ชายหรงฉู่เห็นเขาแสดงท่าทีว่าปวดใจก็รู้สึกเบิกบานเป็นพิเศษ จึงจงใจเอ่ยถาม “สหายท่านนี้ ในเมื่อได้รับสมุนไพรที่ต้องการแล้ว เหตุใดยังถอนหายใจอยู่อีกเล่า?”
คุณชายน้อยผู้นั้นเงยหน้ามององค์ชายหรงฉู่ที่อยู่บนชั้นสอง ดูเหมือนยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจ “องค์ชายสี่ ท่านไม่ต้องการสมุนไพรนี้แล้วจริงๆ หรือ?”
องค์ชายหรงฉู่ตอบอย่างรื่นรมย์ “ไม่ต้องการ!”
“วันนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ต้องการหรือ?”
“ไม่ผิด วันนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ต้องการแล้ว” องค์ชายหรงฉู่ตอบอย่างหนักแน่น
“อย่างนั้น...ก็ได้” ในที่สุดคุณชายน้อยผู้นั้นก็ยอมล้มเลิกความตั้งใจ ค่อยๆ เปิดกล่องออก แล้วจ้องมองอย่างละเอียด จู่ๆ ก็ยิ้มออกมา “หญ้าวิเศษชั้นยอดอายุสามพันปีต้นหนึ่ง ไม่คิดเลยว่าจะซื้อมาได้ในราคาแค่แปดแสนตำลึง กำไรแล้ว!”
เมื่อกล่าวประโยคนี้ออกไป ฝูงชนล้วนตกตะลึงกันถ้วนหน้า!
ถ้วยชาที่องค์ชายหรงฉู่กุมไว้พลันร่วงหล่นลงพื้น “อะไรนะ?!”
หญ้าวิเศษนั้นหายาก ต้นที่มีอายุสิบปีจะมีราคาประมาณห้าหมื่นตำลึง และที่ถูกนำมาประมูลบนเวทีอยู่บ่อยครั้งก็คือชนิดนี้
ส่วนชนิดที่เติบโตจนมีอายุถึงสามพันปีนั้น มีอยู่แค่ในตำนานเท่านั้น! กล่าวได้ว่ามีค่าควรเมือง อย่าว่าแต่แปดแสนตำลึงเลย ต่อให้เป็นแปดล้านก็ยังไม่แน่ว่าจะซื้อได้!
เกิดเสียงฮือฮาไปทั่วทั้งห้องโถง
องค์ชายหรงฉู่อึ้งอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็หัวเราะด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “โกหก! ข้าไม่เชื่อ! บนโลกนี้มีหญ้าวิเศษชั้นยอดอายุสามพันปีเสียที่ไหน?! เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่านี่คือหญ้าวิเศษที่มีอายุสิบปี!”
คุณชายน้อยเอ่ยอย่างสบายอกสบายใจ “ข้าน้อยก็ไม่ได้ขอร้องให้องค์ชายเชื่อเลยนี่นา” แล้วก็นำกล่องที่บรรจุสมุนไพรนั้นใส่เข้าไปในแขนเสื้ออย่างเชื่องช้า...
“น้องชาย ช้าก่อน! ให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งสำนักถามสวรรค์พลิ้วกายลงมาจากชั้นสอง แล้วยืนอยู่เบื้องหน้าของคุณชายน้อย
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งสำนักถามสวรรค์มีชื่อเสียงว่าเป็นผู้หลุดพ้นจากโลกีย์ทั้งปวง แทบจะไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา ต่อให้เป็นองค์ชายสี่หรงฉู่เองก็ยังต้องให้ความเคารพนางถึงสามส่วน ทั้งยังต้องแอบเอาใจนางเล็กน้อยด้วย สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว หากได้สนทนากับนางเพียงไม่กี่ประโยคก็นับว่าเป็นเกียรติอย่างสูงแล้ว
สตรีศักดิ์สิทธิ์ผู้สูงส่งพลิ้วกายลงมาแล้วยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าสะสวยอมยิ้มนิดๆ ถึงแม้จะกล่าวด้วยน้ำเสียงเชิงขอเจรจาพาที แต่คงทนไม่ได้หากถูกคนปฏิเสธ และนางก็ไม่คิดว่าคุณชายน้อยผู้นี้จะกล้าปฏิเสธ
คุณชายน้อยเองก็ไม่ปฏิเสธจริงๆ แต่เขาเสนอราคาออกมาตรงๆ “ได้สิ หนึ่งแสนตำลึง!”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ผู้สูงส่งอึ้งไปเล็กน้อย “อะไรนะ?”
“ถ้าจ่ายหนึ่งแสนตำลึงก็จะให้ท่านดูแวบหนึ่ง” คุณชายน้อยกล่าวได้ชัดถ้อยชัดคำยิ่งนัก
สตรีศักดิ์สิทธิ์ผู้สูงส่งเป็นบื้อใบ้โดยพลัน
“หรือว่าคุณชายจะไม่รู้จักข้า? ข้าเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งสำนักถามสวรรค์นามว่ากู่ซีซี...” สตรีศักดิ์สิทธิ์แนะนำตัวออกมาตรงๆ
“สองแสนตำลึง...” คุณชายน้อยไม่ฟังอะไรทั้งนั้น แถมยังเพิ่มราคาขึ้นไปอีก
ใบหน้างดงามของสตรีศักดิ์สิทธิ์แดงขึ้นเล็กน้อย “เจ้า...”
“สามแสนตำลึง”
“เจ้า...เจ้าเพิ่มราคาสูงถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?!”
“สี่แสนตำลึง” คุณชายน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงสบายอกสบายใจ “ท่านสตรีศักดิ์สิทธิ์ ข้าน้อยอยากจะเพิ่มราคาสูงๆ และไม่อนุญาตให้ท่านต่อรองด้วย หากว่าท่านไม่เต็มใจจ่ายก็ไม่ต้องมาดูสิ ข้าน้อยไม่ได้บังคับท่านเสียหน่อย อ้อ ท่านให้ร้ายข้าทั้งยังพูดจาโอ้อวดตั้งมากมาย ตอนนี้ราคาคือแปดแสนตำลึงแล้ว ขืนท่านยังพูดมากอยู่อีกก็จะกลายเป็นเก้าแสนตำลึง สรุปแล้วท่านจะดูหรือไม่ดู?”
-------------------------------------------------------------------------------------
บทที่ 44 ตั้งราคามาเลย
นี่เป็นการปล้นกันซึ่งๆ หน้าชัดๆ จงใจจะโก่งราคากันเห็นๆ แต่ก็ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าไม่ถูกต้องตรงไหน
ภายในห้องโถงนั้นเงียบเสียจนสามารถได้ยินเสียงเข็มหล่นกระทบพื้น ฝูงชนต่างพากันกลั้นหายใจ อยากรู้ว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้จะโต้กลับอย่างไร
ใบหน้าสะสวยของกู่ซีซีทั้งเขียวทั้งขาวสลับกันไปมาอย่างพบเห็นได้ยาก นางนิ่งไปพักใหญ่ จู่ๆ ก็คลี่ยิ้มหวาน “ได้ ข้าจะจ่ายแปดแสนตำลึงเพื่อชมมันสักครั้ง!”
นางคือหญิงงามผู้แสนเย็นชา ทั้งยังสะคราญโฉมมาตั้งแต่เกิด ยามปกติแล้วจะไม่ยิ้มออกมาง่ายๆ ยามนี้เมื่อแย้มยิ้มออกมาก็ดูราวกับมวลบุปผากำลังเบ่งบาน ทั่วทั้งห้องโถงคล้ายจะสว่างไสวขึ้นมาทันตา ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ไม่รู้ว่ามองกันจนโง่งมไปสักเท่าไหร่แล้ว
แม้แต่องค์ชายสิบสองหรงเหยียนที่มาพร้อมกับสาวงามสองนางข้างกายก็ยังมองจนตาค้าง บังเกิดความรู้สึกว่าหากได้รับรอยยิ้มจากโฉมงามผู้นี้แล้ว ให้เขาทำอะไรก็ยอมทั้งนั้น...
ทว่าคุณชายน้อยผู้นั้นคล้ายเป็นเพียงไม้ซุงท่อนหนึ่ง เผชิญหน้ากับยอดพธูผู้งามล้ำเช่นนี้ก็ไม่อ่อนข้อให้เลยแม้แต่น้อย ไม่ยอมลดให้แม้แต่ตำลึงเดียว
เขาค่อยๆ รับเอาตั๋วเงินที่กู่ซีซียื่นให้ ตรวจดูอย่างละเอียดเพื่อพิสูจน์ว่าเป็นของจริงหรือไหม แล้วจึงเปิดกล่องใบนั้นให้กู่ซีซีดูแวบหนึ่ง...
ให้นางดูเพียงแค่แวบเดียวจริงๆ จากนั้นก็ปิดฝากล่องจนเกิดเสียงดังปัง “เอาล่ะ ได้ดูแวบหนึ่งแล้ว”
ใบหน้างดงามของนางซีดเผือดเล็กน้อย นางสูดลมหายใจเข้าเบาๆ “คุณชาย สมุนไพรนี้ต้องใช้เงินเท่าไรท่านถึงจะยอมขาย? เชิญตั้งราคามาเลย!”
ในเมื่อนางกล่าวประโยคนี้ออกมา ก็แสดงว่าสมุนไพรนี้คือหญ้าวิเศษอายุสามพันปีจริงๆ ฝูงชนต่างตกตะลึง สายตาริษยามากมายจับจ้องไปที่คุณชายน้อยผู้นั้น...
เงาสีม่วงปรากฏกายขึ้น เป็นองค์ชายหรงฉู่ที่กระโจนลงมา “ซีซี เจ้าเห็นชัดเจนแล้วหรือ?”
กู่ซีซีพยักหน้าน้อยๆ “ไม่ผิดแน่! หญ้าวิเศษอายุสิบปีจะมีแปดใบ เป็นใบเลี้ยงคู่ ลักษณะใบกลมและเป็นสีแดงอ่อนๆ ส่วนหญ้าวิเศษอายุสามพันปี จะมีสิบใบ เป็นใบเลี้ยงคู่ ลักษณะใบคล้ายรูปหัวใจและเป็นสีแดงอ่อนๆ มีเพียงก้านใบที่เป็นทรงจันทร์เสี้ยวสีขาว...”
นางคือผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร ความรู้ด้านสมุนไพรจะธรรมดาเสียที่ไหน สมุนไพรที่ลักษณะคล้ายคลึงกันนางแค่เหลือบมองก็แยกแยะได้ในทันที ไม่เคยพลาดเลยสักครั้ง
ถึงแม้ว่านางจะไม่เคยเห็นหญ้าวิเศษสามพันปีมาก่อน แต่ก็เคยฟังอาจารย์อธิบายอย่างละเอียด จึงทราบข้อแตกต่างระหว่างหญ้าวิเศษทั้งสองนิด
การมองดูเมื่อครู่นางมองลักษณะสำคัญของมันออกได้ไม่น้อย เหมือนที่อาจารย์บอกไว้ไม่มีผิด!
ว่ากันว่าสมุนไพรชนิดนี้สามารถผลัดกระดูกชำระเส้นเอ็นได้ มีสรรพคุณช่วยให้เปลี่ยนเป็นคนใหม่ได้ และช่วยเพิ่มพูนตบะอีกหนึ่งร้อยปี ทำให้คนธรรมดากลายเป็นอัจฉริยะได้
ทั้งยังร่ำลือกันอีกว่าใช้มันหลอมเป็นเม็ดยาคืนวิญญาณที่สามารถเรียกวิญญาณคนตายไปแล้วกลับคืนมาได้ และช่วยสร้างร่างกายใหม่ให้แก่คนผู้นั้นอีกด้วย...
สรุปคือ สรรพคุณที่แสนมหัศจรรย์พันลึกของสมุนไพรนี้ถูกเล่าต่อๆ กันมา ดังนั้นสมุนไพรนี้จึงเป็นสิ่งที่พึงพบเจอแต่ไม่พึงร้องขอ มีค่าควรเมือง
กู่ซีซีจึงมีความปรารถนาในสมุนไพรนี้อย่างแรงกล้า นางเองก็เป็นผู้ที่ร่ำรวยอย่างแท้จริงผู้หนึ่ง จึงเสนอราคาออกไปตรงๆ ถึงสิบล้าน! คนทั้งห้องโถงตกตะลึงจนแทบอ้าปากค้าง
คิดไม่ถึงว่าคุณชายน้อยผู้นั้นจะนำกล่องเก็บเข้าไปในแขนเสื้อ แล้วตอบนางเพียงสองคำ “ไม่ขาย!”
กู่ซีซีเองก็ยอมทุ่มหมดหน้าตัก เสนอราคาเพิ่มอีกสามหน เสนอจนราคาสูงถึงสิบห้าล้านตำลึง แต่จนใจที่คุณชายผู้นี้ราวกับกินตาชั่งเหล็ก[2]เข้าไป ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมขาย
ในที่สุดองค์ชายหรงฉู่ก็สอดปากขึ้น “สุดท้ายแล้วเจ้าต้องการเท่าไรถึงจะยอมขายมัน?”
คุณชายน้อยผู้นั้นเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับองค์ชายกัน? ก่อนหน้านี้พระองค์แสดงออกอย่างชัดเจนแล้วว่าไม่อยากซื้อมัน หรือองค์ชายจะรู้สึกเสียใจแล้ว?”
วาจานี้ทำให้องค์ชายหรงฉู่ถึงกับสะอึกอยู่ตรงนั้น ยามนี้เขารู้สึกเสียใจยิ่งนักที่ก่อนหน้านั้นไม่ได้เพิ่มเงินเข้าไปอีกหนึ่งตำลึงเพื่อซื้อมัน ตอนนี้แม้จะเสนอราคามากกว่าเดิมยี่สิบเท่าอีกฝ่ายก็ไม่ยอมขาย...
มนุษย์เราก็เป็นเช่นนี้ ยิ่งเป็นสิ่งที่ซื้อไม่ได้ก็ยิ่งรู้สึกว่าล้ำค่า ยิ่งอยากจะซื้อให้ได้
-------------------------------------------------------------------------------------
[1] ขโมยไก่ไม่ได้แล้วยังเสียข้าวสารไปอีกหนึ่งกำมือ ความหมายคือ นอกจากจะไม่ได้ผลประโยชน์แล้วยังต้องสูญเสียเพิ่มอีกด้วย
[2] กินตาชั่งเหล็ก หมายถึง หากตัดสินใจจะทำอะไรแล้วก็จะมุ่งมั่นดึงดันกับสิ่งนั้นไม่ยอมเปลี่ยนแปลง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ