ลำนำบุปผาพิษ
-
เขียนโดย Xiaobei
วันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2562 เวลา 17.37 น.
30 ตอน
0 วิจารณ์
28.16K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2562 14.04 น. โดย เจ้าของนิยาย
15) บทที่ 29-30
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 29 ไม่มีทาง!
หัวใจเขาเต้นแรง นำเอากริชลงมา แล้วหยิบเอาจดหมายออกมาอ่านใกล้ๆ แสงตะเกียง สีหน้าดำทะมึนขึ้นโดยพลัน...
เมื่ออ่านจดหมายจบ เขาก็ตบโต๊ะจนพังเป็นเสี่ยงๆ “ใครก็ได้เข้ามานี่หน่อย! ไปเชิญเจ้ากรมกรมวังฮู่และองค์ชายแปดหรงเช่อมาที่จวนที!”
เหล่าข้ารับใช้รับคำสั่งแล้วก็ออกไปเชิญคนมาทันที
กู้ซีจิ่วที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด นัยน์ตาฉายแววอำมหิตแวบหนึ่ง มุมปากหยักยิ้มบางๆ
องค์ชายหรงเหยียนเอ๋ย เจ้ากล้าปองร้ายข้า เช่นนั้นก็จงยอมรับผลกรรมซะเถอะ!
คิดจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นงั้นรึ? ไม่มีทาง!
เรื่องที่ควรทำก็ทำไปพอสมควรแล้ว จากนี้เธอแค่ต้องรอดูผลลัพธ์ก็พอ
กู้ซีจิ่วแหงนหน้าขึ้นมองพระจันทร์เสี้ยวที่ลอยอยู่เหนือศีรษะ นี่ก็ดึกแล้ว เธอควรจะกลับได้แล้ว เธอขยับกายคราหนึ่ง แล้วค่อยๆ อันตรธานหายไปอย่างสง่างาม
ถึงแม้จวนพระอนุชาขององค์จักรพรรดิจะมีการคุ้มกันอย่างหนาแน่น ทว่ากู้ซีจิ่วนั้นมีวิชาเคลื่อนย้ายในพริบตา บวกกับการที่เธอเชี่ยวชาญการสัญจรในยามราตรีเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นเธอจึงเข้ามาในจวนพระอนุชาคนนี้ได้อย่างราบรื่น โดยไม่ถูกใครพบเห็นตัว
เพราะเหตุการณ์สืบค้นในครั้งนั้น ทำให้กู้เซี่ยเทียนค่อนข้างรู้สึกผิดต่อกู้ซีจิ่ว จึงต้องการชดเชยให้เธอ ดังนั้นไม่ว่ากู้ซีจิ่วจะมีข้อเรียกร้องใดเขาก็รับปากทั้งสิ้น
อาทิเช่นยกเรือนพักที่งดงามและเงียบสงบไม่มีผู้คนมารบกวนหลังหนึ่งให้แก่เธอ มอบสาวใช้ประจำตัวให้เธอสี่คน ข้ารับใช้ที่เอาไว้ใช้แรงงานอีกสี่คน ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็ได้ใช้ชีวิตเยี่ยงคุณหนูผู้สูงศักดิ์แล้ว
เหลิ่งเซียงอวี้เป็นผู้กุมอำนาจการจัดการกิจธุระต่างๆ ของจวนแม่ทัพไว้ในมือมานานแล้ว ทั้งแปดคนที่ถูกส่งมาย่อมมีสายสืบของเหลิ่งเซียงอวี้ปะปนอยู่ คงมีหน้าที่คอยจับตาดูทุกความเคลื่อนไหวของกู้ซีจิ่ว
แน่นอนว่ากู้ซีจิ่วย่อมทราบถึงเรื่องนี้ และเธอก็ยังทราบอย่างชัดเจนอีกด้วยว่าสายสืบคนนี้เป็นหนึ่งในสาวใช้ประจำตัวทั้งสี่คนที่ติดตามรับใช้อยู่ข้างกาย เพียงแต่ยังไม่แน่ใจว่าเป็นคนไหน
เธอเป็นนักฆ่า สิ่งที่เชี่ยวชาญที่สุดก็คือการสังเกตสีหน้าท่าทางของผู้คน การสืบหาตัวหนอนบ่อนไส้สำหรับเธอแล้วง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก ดังนั้นเธอจึงใช้ลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ ทำให้สายสืบที่ปะปนอยู่ในกลุ่มสาวใช้ประจำตัวโผล่หางออกมา เธอจับได้อย่างคาหนังคาเขาในขณะที่สาวใช้คนนั้นกำลังจะส่งข่าวออกไปภายนอก
กู้ซีจิ่วจึงไม่เกรงอกเกรงใจ สั่งให้คนโบยสาวใช้นางนั้นปางตาย โดยไม่สนใจเสียงร้องไห้อ้อนวอนของสาวใช้นางนั้น เธอหานายหน้ามาแล้วขายสาวใช้นางนั้นทิ้งเสีย
เป็นเพราะกู้ซีจิ่วมีหลักฐานแน่ชัด อีกทั้งยังรายงานเรื่องนี้ให้กู้เซี่ยเทียนทราบแล้ว ด้วยเหตุนี้เหลิ่งเซียงอวี้จึงขัดขวางเธอไม่ได้ ได้แต่ทำตาปริบๆ มองสาวใช้นางนั้นถูกหามออกไป
นับว่าการเชือดไก่ให้ลิงดูของกู้ซีจิ่วในครั้งนี้ได้ผลไม่เลว เขย่าขวัญบรรดาสาวใช้ประจำตัวและเหล่าข้ารับใช้ได้สำเร็จ
เดิมทีพวกนางยังรู้สึกไม่ยอมรับกู้ซีจิ่วอยู่บ้าง แต่หลังจากผ่านเหตุการณ์นี้ไป ในที่สุดก็ทราบว่า แม้คุณหนูกู้ผู้นี้จะดูอ่อนแอเหมือนเคย ทว่าไม่ควรจะไปหาเรื่องนางเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว...
เพราะเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน เหลิ่งเซียงอวี้ก็ปกป้องพวกนางไว้ไม่ได้...
หากอยากกำราบคนเหล่านี้ให้ยอมรับใช้ตนด้วยใจจริง จะใช้เพียงพระเดชคงไม่พอ
ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงเรียกทั้งเจ็ดคนที่เหลือมารวมตัวกันแล้วเปิดการประชุมขนาดเล็ก ตั้งกฎการลงโทษและการตกรางวัลไว้อย่างชัดเจน
หากพบว่าสาวใช้คนใดมีแววจะเป็นสายสืบเหมือนสาวใช้นางนั้นก็ให้มาแจ้งกับเธออย่างลับๆ แล้วเธอจะตกรางวัลอย่างงามให้แก่ผู้ที่จงรักภักดี...
หลังจากนั้นเธอก็เรียกทั้งเจ็ดคนนี้เข้ามาในห้องทีละคน บางครั้งก็ไต่ถามเล็กน้อย บางครั้งก็กักตัวพวกนางไว้สักพักแล้วค่อยปล่อยตัวไป...
ด้วยวิธีการนี้ คนเหล่านี้จึงไม่รู้ว่าใครคือผู้ที่ถูกตกรางวัล ได้แต่หวาดระแวงกันเอง จะกระทำการใดก็ต้องระมัดระวังตัวทุกฝีก้าว
กู้ซีจิ่วแบ่งแยกการให้รางวัลและการลงโทษเอาไว้อย่างชัดเจน หากว่าใครกระทำเพื่อเธอด้วยใจจริง เธอจะให้รางวัลให้ต่อหน้าคนอื่นๆ ทันที
ที่จริงแล้วสายสืบของเหลิ่งเซียงอวี้ที่อยู่ในกลุ่มนี้ไม่ได้มีแค่คนเดียว แต่หลังจากที่ผ่านเหตุการณ์เช่นนี้ต่อเนื่องกันหลายครา ในที่สุดสายสืบที่เหลือก็เข้าใจได้ว่าใครคือเจ้านายที่พวกนางควรจะภักดีด้วย จึงกล้าที่จะบอกกู้ซีจิ่วว่าเมื่อก่อนพวกนางรับคำสั่งจากเหลิ่งเซียงอวี้ เพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อกู้ซีจิ่ว...
-------------------------------------------------------------------------------------
บทที่ 30 เที่ยวเล่นได้อย่างสบายใจหายห่วง
สองวัน ใช้เวลาเพียงแค่สองวัน กู้ซีจิ่วก็กำราบสาวใช้เหล่านี้ได้อยู่หมัด ทำให้พวกนางยอมรับใช้ตนเองอย่างเต็มใจ
แน่นอนว่า ช่วงเวลาสั้นๆ แค่นี้ เธอยังไม่สามารถไว้ใจพวกนางได้ แต่อย่างไรเสียก็รับประกันได้ว่าคนเหล่านี้จะไม่แอบขายเธออีก ดังนั้นไม่ว่าเธอจะสั่งให้พวกนางทำอะไร พวกนางล้วนต้องปฏิบัติตามคำสั่งทุกอย่าง
อย่างเช่น ในห้องนอนของเธอ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากเธอ ใครหน้าไหนก็ห้ามเข้าไปในห้อง
คนเหล่านี้จึงไม่กล้าล่วงล้ำเข้ามาแม้แต่ก้าวเดียว ได้แต่รั้งอยู่ในเรือนและในห้องโถงรอฟังคำสั่ง
เรื่องที่กู้ซีจิ่วใช้วิชาเคลื่อนย้ายในพริบตาเพื่อออกไปข้างนอกในยามราตรี คนเหล่านี้จึงไม่เคยทราบเลย แน่นอนว่า พฤติกรรมของเธอในสองวันมานี้คนเหล่านั้นก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก
เมื่อออกมาจากจวนพระอนุชาของจักรพรรดิแล้ว กู้ซีจิ่วก็เดินเตร็ดเตร่ไปตามถนน ซื้อของหลายอย่างที่เธอต้องการ ถึงได้กลับมาช้า
ยามที่เธออกไปข้างนอกจะเปลี่ยนมาสวมชุดบุรุษ แล้วก็แปลงโฉมซะ จึงไม่มีใครดูออก เธอเลยเดินเที่ยวเล่นได้อย่างสบายใจหายห่วง
ทว่าสิ่งเดียวที่ทำให้ไม่สบายใจคือของที่เธอต้องการมีตั้งมากมายหลายอย่าง แต่เงินกลับมีอยู่เพียงน้อยนิด ทำให้เธอต้องใช้จ่ายอย่างระมัดระวังอยู่บ้าง เห็นทีเธอต้องคิดวิธีหาเงินซะแล้ว...
เพราะร่างนี้ขาดสารอาหารมาเป็นเวลานาน ทำให้อ่อนแอราวกับแม่นางหลิน[1]ก็มิปาน ตั้งแต่เปียกฝนที่ภูเขาหนิงอู่คราวนั้นกลับมา ก็หวิดจะป่วยหนัก เคราะห์ดีที่ชาติก่อนเธอพอจะชำนาญการแพทย์อยู่บ้าง เมื่อรู้สึกผิดปกตินิดหน่อย ก็รีบนวดฟื้นฟูสุขภาพตัวเองทันที ทั้งยังหยิบฉวยเอายาหลายขนานมาจากร้านยาได้แบบสบายๆ เช่นนี้ไข้หวัดก็ไม่มากล้ำกรายแล้ว
ถึงแม้ยามนี้จะไม่เป็นไรแล้ว ทว่ามือเท้าก็ยังคงไร้เรี่ยวแรง วิชาตัวเบาใดๆ ก็ใช้ได้ไม่คล่องแคล่ว
หากคิดจะบำรุงร่างนี้ให้กลับมาดีดังเดิมต้องใช้สมุนไพรล้ำค่าหลายชนิด สมุนไพรเหล่านี้ล้วนไม่ใช่ของที่พบเจอได้โดยบังเอิญ บางครั้งก็ถูกนำมาประมูลในโรงประมูล แถมแต่ละชนิดก็ราคาไม่ใช่น้อย เธอแอบสอบถามมาแล้ว ของที่เธอต้องการนั้นต่อให้ถูกที่สุดก็ยังมีราคาถึงหมื่นตำลึง หากต้องการรวบรวมให้ครบทั้งหกชนิด อย่างน้อยต้องมีถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึง อาศัยเบี้ยหวัดรายเดือนเพียงสามสิบตำลึงของเธอในยามนี้แล้วยังห่างไกลกันยิ่งนัก...
หนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึง เทียบได้กับรายรับของจวนแม่ทัพห้าปี ต่อให้บิดาราคาถูกของเธอใจกว้างแค่ไหนก็คงไม่นำเงินมากขนาดนี้มาใช้บำรุงสวะไร้ค่าแบบเธอ ดังนั้นหากเธออยากหาเงินคงต้องพึ่งตัวเองแล้ว
เธอมาที่นี่ด้วยตัวเปล่า จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีเพื่อนเลยสักคน ความเข้าใจเกี่ยวกับโลกใบนี้ก็มีเท่าหางอึ่ง มีเรื่องมากมายที่ยังไม่เข้าใจ จึงไม่สามารถหาหนทางทำเงินได้ในขณะนี้
อย่างไรเสียที่นี่ก็คือเมืองหลวง ถึงแม้ยามนี้จะดึกแล้ว แต่บนถนนใหญ่ก็ยังมีผู้คนสัญจรไปมาไม่ขาดสาย บ้างก็ซื้อ บ้างก็ขาย ดูคึกคักยิ่งนัก
กู้ซีจิ่วเองก็ไหลไปตามกระแสฝูงชนที่เดินกันอย่างสะเปะสะปะ ทำให้เดินมาถึงหน้าโรงประมูลแห่งหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
โรงประมูลแห่งนี้คือโรงประมูลที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง เป็นเรือนแบบสามชั้น[2] มีหอสูงตระหง่าน บนซุ้มประตูทั้งสามบานฝังตัวอักษรขนาดใหญ่ที่ทำจากทองคำเอาไว้สามตัว ‘หอเลิศทรัพย์’ กระทบกับแสงโคมหน้าประตูจนส่องแสงวูบวาบ ยามนี้ ด้านในหอเลิศทรัพย์สว่างไสวไปด้วยแสงไฟ เห็นได้ชัดว่ากำลังมีการประมูลกันอยู่
กู้ซีจิ่วเลยอยากเข้าไปชมเสียหน่อย เพื่อดูว่าจะหาโอกาสทำการค้าบางอย่างได้หรือไม่ แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะถูกยามเฝ้าประตูที่แต่งกายดูดีขวางเอาไว้ในขณะที่เธอกำลังจะก้าวเข้าไปด้านใน
วันนี้กู้ซีจิ่วออกมาโดยสวมเพียงเสื้อคลุมปอนๆ ตัวหนึ่ง วิชาแปลงโฉมของเธอนั้นยอดเยี่ยม เพื่อปกปิดรอยปานที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอ เธอจึงทาใบหน้าให้กลายเป็นสีดำขะมุกขะมอม เมื่อร่วมกับรูปร่างเล็กๆ แล้ว ก็ดูคล้ายเด็กหนุ่มบ้านนอกอายุราวสิบสองสิบสามปีคนหนึ่ง
เด็กหนุ่มทั้งสี่คนที่เฝ้ายามอยู่หน้าประตูหอเลิศทรัพย์หากต้องเทียบกันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการแต่งองค์ทรงเครื่องหรือว่าลักษณะท่าทางก็ล้วนเหนือชั้นกว่ากู้ซีจิ่วนัก!
-------------------------------------------------------------------------------------
[1] แม่นางหลิน ในที่นี้หมายถึงหลินไต้อวี้ ตัวเอกจากเรื่อง ‘ความฝันในหอแดง’ โดยในเรื่องหลินไต้อวี้นั้นอ่อนแอขี้โรคเป็นอย่างยิ่ง
[2] เรือนแบบสามชั้น เป็นรูปแบบของบ้านเรือนของจีนในสมัยโบราณ โดยจะสร้างเรือนล้อมกันไว้สามชั้น แต่ละชั้นจะมีประตูหนึ่งบานเพื่อแยกสัดส่วนของบ้าน
หัวใจเขาเต้นแรง นำเอากริชลงมา แล้วหยิบเอาจดหมายออกมาอ่านใกล้ๆ แสงตะเกียง สีหน้าดำทะมึนขึ้นโดยพลัน...
เมื่ออ่านจดหมายจบ เขาก็ตบโต๊ะจนพังเป็นเสี่ยงๆ “ใครก็ได้เข้ามานี่หน่อย! ไปเชิญเจ้ากรมกรมวังฮู่และองค์ชายแปดหรงเช่อมาที่จวนที!”
เหล่าข้ารับใช้รับคำสั่งแล้วก็ออกไปเชิญคนมาทันที
กู้ซีจิ่วที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด นัยน์ตาฉายแววอำมหิตแวบหนึ่ง มุมปากหยักยิ้มบางๆ
องค์ชายหรงเหยียนเอ๋ย เจ้ากล้าปองร้ายข้า เช่นนั้นก็จงยอมรับผลกรรมซะเถอะ!
คิดจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นงั้นรึ? ไม่มีทาง!
เรื่องที่ควรทำก็ทำไปพอสมควรแล้ว จากนี้เธอแค่ต้องรอดูผลลัพธ์ก็พอ
กู้ซีจิ่วแหงนหน้าขึ้นมองพระจันทร์เสี้ยวที่ลอยอยู่เหนือศีรษะ นี่ก็ดึกแล้ว เธอควรจะกลับได้แล้ว เธอขยับกายคราหนึ่ง แล้วค่อยๆ อันตรธานหายไปอย่างสง่างาม
ถึงแม้จวนพระอนุชาขององค์จักรพรรดิจะมีการคุ้มกันอย่างหนาแน่น ทว่ากู้ซีจิ่วนั้นมีวิชาเคลื่อนย้ายในพริบตา บวกกับการที่เธอเชี่ยวชาญการสัญจรในยามราตรีเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นเธอจึงเข้ามาในจวนพระอนุชาคนนี้ได้อย่างราบรื่น โดยไม่ถูกใครพบเห็นตัว
เพราะเหตุการณ์สืบค้นในครั้งนั้น ทำให้กู้เซี่ยเทียนค่อนข้างรู้สึกผิดต่อกู้ซีจิ่ว จึงต้องการชดเชยให้เธอ ดังนั้นไม่ว่ากู้ซีจิ่วจะมีข้อเรียกร้องใดเขาก็รับปากทั้งสิ้น
อาทิเช่นยกเรือนพักที่งดงามและเงียบสงบไม่มีผู้คนมารบกวนหลังหนึ่งให้แก่เธอ มอบสาวใช้ประจำตัวให้เธอสี่คน ข้ารับใช้ที่เอาไว้ใช้แรงงานอีกสี่คน ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็ได้ใช้ชีวิตเยี่ยงคุณหนูผู้สูงศักดิ์แล้ว
เหลิ่งเซียงอวี้เป็นผู้กุมอำนาจการจัดการกิจธุระต่างๆ ของจวนแม่ทัพไว้ในมือมานานแล้ว ทั้งแปดคนที่ถูกส่งมาย่อมมีสายสืบของเหลิ่งเซียงอวี้ปะปนอยู่ คงมีหน้าที่คอยจับตาดูทุกความเคลื่อนไหวของกู้ซีจิ่ว
แน่นอนว่ากู้ซีจิ่วย่อมทราบถึงเรื่องนี้ และเธอก็ยังทราบอย่างชัดเจนอีกด้วยว่าสายสืบคนนี้เป็นหนึ่งในสาวใช้ประจำตัวทั้งสี่คนที่ติดตามรับใช้อยู่ข้างกาย เพียงแต่ยังไม่แน่ใจว่าเป็นคนไหน
เธอเป็นนักฆ่า สิ่งที่เชี่ยวชาญที่สุดก็คือการสังเกตสีหน้าท่าทางของผู้คน การสืบหาตัวหนอนบ่อนไส้สำหรับเธอแล้วง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก ดังนั้นเธอจึงใช้ลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ ทำให้สายสืบที่ปะปนอยู่ในกลุ่มสาวใช้ประจำตัวโผล่หางออกมา เธอจับได้อย่างคาหนังคาเขาในขณะที่สาวใช้คนนั้นกำลังจะส่งข่าวออกไปภายนอก
กู้ซีจิ่วจึงไม่เกรงอกเกรงใจ สั่งให้คนโบยสาวใช้นางนั้นปางตาย โดยไม่สนใจเสียงร้องไห้อ้อนวอนของสาวใช้นางนั้น เธอหานายหน้ามาแล้วขายสาวใช้นางนั้นทิ้งเสีย
เป็นเพราะกู้ซีจิ่วมีหลักฐานแน่ชัด อีกทั้งยังรายงานเรื่องนี้ให้กู้เซี่ยเทียนทราบแล้ว ด้วยเหตุนี้เหลิ่งเซียงอวี้จึงขัดขวางเธอไม่ได้ ได้แต่ทำตาปริบๆ มองสาวใช้นางนั้นถูกหามออกไป
นับว่าการเชือดไก่ให้ลิงดูของกู้ซีจิ่วในครั้งนี้ได้ผลไม่เลว เขย่าขวัญบรรดาสาวใช้ประจำตัวและเหล่าข้ารับใช้ได้สำเร็จ
เดิมทีพวกนางยังรู้สึกไม่ยอมรับกู้ซีจิ่วอยู่บ้าง แต่หลังจากผ่านเหตุการณ์นี้ไป ในที่สุดก็ทราบว่า แม้คุณหนูกู้ผู้นี้จะดูอ่อนแอเหมือนเคย ทว่าไม่ควรจะไปหาเรื่องนางเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว...
เพราะเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน เหลิ่งเซียงอวี้ก็ปกป้องพวกนางไว้ไม่ได้...
หากอยากกำราบคนเหล่านี้ให้ยอมรับใช้ตนด้วยใจจริง จะใช้เพียงพระเดชคงไม่พอ
ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงเรียกทั้งเจ็ดคนที่เหลือมารวมตัวกันแล้วเปิดการประชุมขนาดเล็ก ตั้งกฎการลงโทษและการตกรางวัลไว้อย่างชัดเจน
หากพบว่าสาวใช้คนใดมีแววจะเป็นสายสืบเหมือนสาวใช้นางนั้นก็ให้มาแจ้งกับเธออย่างลับๆ แล้วเธอจะตกรางวัลอย่างงามให้แก่ผู้ที่จงรักภักดี...
หลังจากนั้นเธอก็เรียกทั้งเจ็ดคนนี้เข้ามาในห้องทีละคน บางครั้งก็ไต่ถามเล็กน้อย บางครั้งก็กักตัวพวกนางไว้สักพักแล้วค่อยปล่อยตัวไป...
ด้วยวิธีการนี้ คนเหล่านี้จึงไม่รู้ว่าใครคือผู้ที่ถูกตกรางวัล ได้แต่หวาดระแวงกันเอง จะกระทำการใดก็ต้องระมัดระวังตัวทุกฝีก้าว
กู้ซีจิ่วแบ่งแยกการให้รางวัลและการลงโทษเอาไว้อย่างชัดเจน หากว่าใครกระทำเพื่อเธอด้วยใจจริง เธอจะให้รางวัลให้ต่อหน้าคนอื่นๆ ทันที
ที่จริงแล้วสายสืบของเหลิ่งเซียงอวี้ที่อยู่ในกลุ่มนี้ไม่ได้มีแค่คนเดียว แต่หลังจากที่ผ่านเหตุการณ์เช่นนี้ต่อเนื่องกันหลายครา ในที่สุดสายสืบที่เหลือก็เข้าใจได้ว่าใครคือเจ้านายที่พวกนางควรจะภักดีด้วย จึงกล้าที่จะบอกกู้ซีจิ่วว่าเมื่อก่อนพวกนางรับคำสั่งจากเหลิ่งเซียงอวี้ เพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อกู้ซีจิ่ว...
-------------------------------------------------------------------------------------
บทที่ 30 เที่ยวเล่นได้อย่างสบายใจหายห่วง
สองวัน ใช้เวลาเพียงแค่สองวัน กู้ซีจิ่วก็กำราบสาวใช้เหล่านี้ได้อยู่หมัด ทำให้พวกนางยอมรับใช้ตนเองอย่างเต็มใจ
แน่นอนว่า ช่วงเวลาสั้นๆ แค่นี้ เธอยังไม่สามารถไว้ใจพวกนางได้ แต่อย่างไรเสียก็รับประกันได้ว่าคนเหล่านี้จะไม่แอบขายเธออีก ดังนั้นไม่ว่าเธอจะสั่งให้พวกนางทำอะไร พวกนางล้วนต้องปฏิบัติตามคำสั่งทุกอย่าง
อย่างเช่น ในห้องนอนของเธอ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากเธอ ใครหน้าไหนก็ห้ามเข้าไปในห้อง
คนเหล่านี้จึงไม่กล้าล่วงล้ำเข้ามาแม้แต่ก้าวเดียว ได้แต่รั้งอยู่ในเรือนและในห้องโถงรอฟังคำสั่ง
เรื่องที่กู้ซีจิ่วใช้วิชาเคลื่อนย้ายในพริบตาเพื่อออกไปข้างนอกในยามราตรี คนเหล่านี้จึงไม่เคยทราบเลย แน่นอนว่า พฤติกรรมของเธอในสองวันมานี้คนเหล่านั้นก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก
เมื่อออกมาจากจวนพระอนุชาของจักรพรรดิแล้ว กู้ซีจิ่วก็เดินเตร็ดเตร่ไปตามถนน ซื้อของหลายอย่างที่เธอต้องการ ถึงได้กลับมาช้า
ยามที่เธออกไปข้างนอกจะเปลี่ยนมาสวมชุดบุรุษ แล้วก็แปลงโฉมซะ จึงไม่มีใครดูออก เธอเลยเดินเที่ยวเล่นได้อย่างสบายใจหายห่วง
ทว่าสิ่งเดียวที่ทำให้ไม่สบายใจคือของที่เธอต้องการมีตั้งมากมายหลายอย่าง แต่เงินกลับมีอยู่เพียงน้อยนิด ทำให้เธอต้องใช้จ่ายอย่างระมัดระวังอยู่บ้าง เห็นทีเธอต้องคิดวิธีหาเงินซะแล้ว...
เพราะร่างนี้ขาดสารอาหารมาเป็นเวลานาน ทำให้อ่อนแอราวกับแม่นางหลิน[1]ก็มิปาน ตั้งแต่เปียกฝนที่ภูเขาหนิงอู่คราวนั้นกลับมา ก็หวิดจะป่วยหนัก เคราะห์ดีที่ชาติก่อนเธอพอจะชำนาญการแพทย์อยู่บ้าง เมื่อรู้สึกผิดปกตินิดหน่อย ก็รีบนวดฟื้นฟูสุขภาพตัวเองทันที ทั้งยังหยิบฉวยเอายาหลายขนานมาจากร้านยาได้แบบสบายๆ เช่นนี้ไข้หวัดก็ไม่มากล้ำกรายแล้ว
ถึงแม้ยามนี้จะไม่เป็นไรแล้ว ทว่ามือเท้าก็ยังคงไร้เรี่ยวแรง วิชาตัวเบาใดๆ ก็ใช้ได้ไม่คล่องแคล่ว
หากคิดจะบำรุงร่างนี้ให้กลับมาดีดังเดิมต้องใช้สมุนไพรล้ำค่าหลายชนิด สมุนไพรเหล่านี้ล้วนไม่ใช่ของที่พบเจอได้โดยบังเอิญ บางครั้งก็ถูกนำมาประมูลในโรงประมูล แถมแต่ละชนิดก็ราคาไม่ใช่น้อย เธอแอบสอบถามมาแล้ว ของที่เธอต้องการนั้นต่อให้ถูกที่สุดก็ยังมีราคาถึงหมื่นตำลึง หากต้องการรวบรวมให้ครบทั้งหกชนิด อย่างน้อยต้องมีถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึง อาศัยเบี้ยหวัดรายเดือนเพียงสามสิบตำลึงของเธอในยามนี้แล้วยังห่างไกลกันยิ่งนัก...
หนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึง เทียบได้กับรายรับของจวนแม่ทัพห้าปี ต่อให้บิดาราคาถูกของเธอใจกว้างแค่ไหนก็คงไม่นำเงินมากขนาดนี้มาใช้บำรุงสวะไร้ค่าแบบเธอ ดังนั้นหากเธออยากหาเงินคงต้องพึ่งตัวเองแล้ว
เธอมาที่นี่ด้วยตัวเปล่า จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีเพื่อนเลยสักคน ความเข้าใจเกี่ยวกับโลกใบนี้ก็มีเท่าหางอึ่ง มีเรื่องมากมายที่ยังไม่เข้าใจ จึงไม่สามารถหาหนทางทำเงินได้ในขณะนี้
อย่างไรเสียที่นี่ก็คือเมืองหลวง ถึงแม้ยามนี้จะดึกแล้ว แต่บนถนนใหญ่ก็ยังมีผู้คนสัญจรไปมาไม่ขาดสาย บ้างก็ซื้อ บ้างก็ขาย ดูคึกคักยิ่งนัก
กู้ซีจิ่วเองก็ไหลไปตามกระแสฝูงชนที่เดินกันอย่างสะเปะสะปะ ทำให้เดินมาถึงหน้าโรงประมูลแห่งหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
โรงประมูลแห่งนี้คือโรงประมูลที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง เป็นเรือนแบบสามชั้น[2] มีหอสูงตระหง่าน บนซุ้มประตูทั้งสามบานฝังตัวอักษรขนาดใหญ่ที่ทำจากทองคำเอาไว้สามตัว ‘หอเลิศทรัพย์’ กระทบกับแสงโคมหน้าประตูจนส่องแสงวูบวาบ ยามนี้ ด้านในหอเลิศทรัพย์สว่างไสวไปด้วยแสงไฟ เห็นได้ชัดว่ากำลังมีการประมูลกันอยู่
กู้ซีจิ่วเลยอยากเข้าไปชมเสียหน่อย เพื่อดูว่าจะหาโอกาสทำการค้าบางอย่างได้หรือไม่ แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะถูกยามเฝ้าประตูที่แต่งกายดูดีขวางเอาไว้ในขณะที่เธอกำลังจะก้าวเข้าไปด้านใน
วันนี้กู้ซีจิ่วออกมาโดยสวมเพียงเสื้อคลุมปอนๆ ตัวหนึ่ง วิชาแปลงโฉมของเธอนั้นยอดเยี่ยม เพื่อปกปิดรอยปานที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอ เธอจึงทาใบหน้าให้กลายเป็นสีดำขะมุกขะมอม เมื่อร่วมกับรูปร่างเล็กๆ แล้ว ก็ดูคล้ายเด็กหนุ่มบ้านนอกอายุราวสิบสองสิบสามปีคนหนึ่ง
เด็กหนุ่มทั้งสี่คนที่เฝ้ายามอยู่หน้าประตูหอเลิศทรัพย์หากต้องเทียบกันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการแต่งองค์ทรงเครื่องหรือว่าลักษณะท่าทางก็ล้วนเหนือชั้นกว่ากู้ซีจิ่วนัก!
-------------------------------------------------------------------------------------
[1] แม่นางหลิน ในที่นี้หมายถึงหลินไต้อวี้ ตัวเอกจากเรื่อง ‘ความฝันในหอแดง’ โดยในเรื่องหลินไต้อวี้นั้นอ่อนแอขี้โรคเป็นอย่างยิ่ง
[2] เรือนแบบสามชั้น เป็นรูปแบบของบ้านเรือนของจีนในสมัยโบราณ โดยจะสร้างเรือนล้อมกันไว้สามชั้น แต่ละชั้นจะมีประตูหนึ่งบานเพื่อแยกสัดส่วนของบ้าน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ