The Wine : สายสัมพันธ์พิศวง
-
เขียนโดย Banana_Balm
วันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2562 เวลา 07.33 น.
1 chapter
0 วิจารณ์
2,533 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2562 07.44 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) Ep.1 Leora meet Dante
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความกุกกักๆ
ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ชีวิตฉันก็ยังคงวนเวียนอยู่ในหอสมุดแห่งนี้ไม่จบไม่สิ้น ถึงตัวเองจะเป็นหนอนหนังสือขนาดไหนแต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะไม่ยอมออกไปพบเจออะไรใหม่ๆเลยนะ วันๆเอาแต่นั่งจัดหนังสือพวกนี้เข้าหมวดหมู่สะจนลืมหัวลืมเท้าไปเลยว่าตัวฉันเองชอบทำอะไรกันแน่
“ลอร่า แกคิดว่าชีวิตเราจะมาจบอยู่ที่หอสมุดนี้จริงๆรึเปล่าวะ” แองเจ็นบ่นพึมพัมถามฉันในขณะที่ตัวเองสภาพก็ไม่ต่างจากฉันมาก “อย่าตอบนะๆ ฉันพอจะเดาออกว่าแกจะพูดว่าอะไร” เราสองคนตกเป็นทาสของหอสมุดตั้งแต่อายุสิบเจ็ดตอนนี้ยี่สิบห้าปีแล้วก็ยังไม่ต่างจากเดิมเลย
“แล้วแกจะถามฉันทำไมถ้าจะพูดเองเออเองแบบนี้ แต่คราวนี้ฉันอาจจะตอบต่างจากครั้งก่อนก็ได้นะ”
“แกจะตอบว่าอะไร”
“ลองคิดดีๆสิแองเจ็น คนมากมายไปทำงานลำบากลำบนทนแดดทนฝนแต่มาดูพวกเราสินั่งจัดหนังสือในห้องสมุดแอร์เย็นแบบนี้แถมยังได้ตังด้วย ไม่คิดมั้งเหรอว่ามันสุขสบายกว่าคนอื่นอีกอ่ะ เราต้องมองโลกในแง่ดีบ้างนะเธอ”
แองเจ็นอ้าปากคิดภาพตามสิ่งที่ฉันพูดไปเมื่อกี้ แต่มันก็จริงนะทำไมคนเราต้องมาคิดลบกับเรื่องโชคชะตาตัวเองด้วยล่ะ ตราบใดที่มีลมหายใจอยู่คนอย่างลอร่าจะไม่มีวันยอมแพ้ต่อโชคชะตาอย่างแน่นอน
“พอมาคิดดูแล้วตัวฉันเองก็ยังไม่เคยเจอเรื่องแย่ๆอะไรเท่าเธอเลยนะ ทำไมถึงต้องเครียดทุกวันด้วยนะ”
“ไม่มีเรื่องจะพูดแล้วรึไงยะ จัดหนังสือพวกนี้ต่อกันดีกว่ายิ่งพูดเรื่องนั้นเมื่อไหร่ฉันก็จะยิ่งหัวเสียมากขึ้นนะ”
“จ้าฉันผิดไปแล้ว เอาเป็นว่าเรื่องมันผ่านไปแล้วก็ลืมๆมันไปเถอะนะเพื่อน” ยัยแองเจ็นพูดกล่อมฉันวนไปมาอย่างน่าอนาถแต่คนอย่างฉันไม่อยากถือสาใครหรอก ถึงเรื่องนั้นจะมีผลต่อจิตใจฉันมากแค่ไหนก็ตาม...
หลังจากจัดหนังสือตามหมวดของมันเสร็จเรียบร้อย ฉันก็รีบปลีกตัวเองไปที่ล็อคเกอร์ส่วนตัวทันที วันนี้ฉันกะว่าจะขอลางานครึ่งวันเพราะช่วงเย็นติดธุระบางอย่างที่ฉันเองก็ยังไม่บอกกับใครสักคนแม้กระทั่งยัยแองเจ็น ถ้าบอกไปก็ขายหน้าเขาน่ะสิเมื่อสองสามอาทิตย์ก่อนคนในหอสมุดคุยกันว่าถ้าอยากมีชีวิตที่ดีขึ้นหรือพบเจอแต่เรื่องเฮงๆรวยๆให้ไปขอพรที่หลุมฝังศพทายาทของตระกูล ‘เล็นโดริน’ ที่เมืองคลิ๊นสโตน ตอนแรกก็ว่าจะปล่อยผ่านไปนั้นแหละแต่พอเก็บเรื่องนี้ไปคิดแล้วคิดอีก แถมค้นหาประสบการ์ณจากคนอื่นในอินเตอร์เน็ตก็ทำให้ความแน่ใจของฉันมันเพิ่มมากขึ้น ถึงมันจะเป็นเรื่องบ้าบอคอแตกแต่การลองทำก็ไม่ใช่เรื่องผิดนี่น่า แต่ฉันได้ข่าวว่าคฤหาสน์หลังนั้นมีเรื่องลึกลับเกิดขึ้นแทบจะทุกครั้งที่คนไปขอพรกัน แต่พวกเราต้องไปแบบที่เจ้าของบ้านไม่รู้เป็นอันขาดนะเพราะที่นั่นมีแต่คนดุๆทั่งนั้น ยิ่งถ้าเป็น ‘ดันเต้’ ไอ้ผู้ชายที่เคยทำให้ฉันผิดใจกับใครคนหนึ่ง และถ้าเกิดเขาเข้ามาเจอฉันในสภาพนี้มันจะต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ ก็นะเมืองคนรวยนี้น่า ถึงฉันจะเคยอยู่ที่นั้นมาก่อนก็เถอะพูดแล้วเศร้า
ระหว่างทางที่ฉันขับรถมาที่เมืองคลิ๊นสโตนรู้สึกว่าความหลังสมัยมัธยมเหมือนโดนปลุกให้รู้สึกกลับไปสมัยก่อนเลย สายตาของฉันที่จับจ้องแต่ถนนข้างหน้าทำให้เผลอนึกคิดถึงวันวานที่เคยมาขับรถเล่นที่นี่กับเขาคนนั้น ‘วินช์’ ชายหนุ่มที่เป็นเสมือนรักแรกของฉัน เขาเป็นคนดีและเป็นที่ยอมรับของสังคมในทุกชนชั้น แต่เพราะเหตุการ์ณบางอย่างทำให้เราจบกันแบบไม่ดีเท่าไหร่
แต่นี่ฉันเองก็บ้าเอาการอยู่เหมือนกัน คฤหาสน์ของตระกูลเล็นโดรินเป็นของดันเต้และแน่นอนว่าเขาคนนั้นเป็นเพื่อนสนิทชิดเชื้อของวินช์ รักแรกของน้องนางลอร่านั้นเอง แล้วถ้าเกิดดันเต้จับได้ว่าฉันแอบเข้ามาในคฤหาสน์ของเขาแถมยังมาทำพิธีขอพรบ้าบออะไรตามเทรนด์ที่เขาฮิตๆกันแบบนี้อีก เรื่องนี้ต้องถูกสาวไปถึงวินช์แน่ๆเลย เอาวะไหนๆก็มาแล้วจะให้มาแล้วกลับไปแบบมือเปล่าได้ยังไงกันล่ะ การเดินทางครั้งนี้เปรียบเสมือนใบเบิกทาง(ที่ไม่รู้จะเชื่อได้มากแค่ไหนก็ตามเถอะ -_- )แต่มันก็เป็นเครื่องยืนยันอีกทางให้ฉันมั่นใจและสบายใจว่ามันจะต้องมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนแปลงแน่ๆ
Clinstone town
กว่าจะมาถึงเมืองนี้ได้ก็เล่นเอาค่ำเหมือนกันนะเนี้ย บรรยากาศแบบนี้มันดูเหมือนหนังสยองขวัญสมัยก่อนเลยอ่ะ ดีนะที่รถฉันไม่ได้เสียตามพล็อตเรื่องของหนังแนวๆนั้น ถ้าเกิดแบบนั้นจริงป่านนี้ลอร่าคงอกแตกตายคารถไปแล้วล่ะ เพราะสภาพแวดล้อมของเมืองนี้มันเงียบสงบและติดหรูแบบหลอนๆ แต่การที่มันเงียบสงบก็ไม่ใช่ว่าไม่หลอนนะถึงขั้นเป็นโลเคชั่นหนังผีแวมไพร์ได้เลยแหละ
เอาล่ะต้องรีบทำให้เสร็จก่อนที่มันจะค่ำไปมากกว่านี้ ฉันจัดการขับรถหาเขตรั้วของตระกูลเล็นโดรินอย่างรวดเร็ว แถวนี้เหมือนจะเป็นเขตของพวก ‘เกรแฮม’ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะอยู่แถวๆปาร์คละมั้ง พอขับรถมาถึงที่หมายฉันก็จัดการอ้อมรถไปทางด้านหลังของคฤหาสน์เล็นโดรินทันที งานนี้ต้องอาศัยความเป็นสปายในตัวแล้วล่ะ ดีนะที่ตัวฉันมันไม่ได้หนักอึ้งอะไรเท่าไหร่พอจะเคลื่อนที่ได้เบาหวิวอยู่บ้าง
การปีนข้าวรั้วของคฤหาสน์นี้มันช่างยากลำบากจริงๆ แต่อยากรู้จังว่าคนที่เข้ามาขอพรนี่ต้องทำแบบนี้กันทุกครั้งเลยรึไงกัน แล้วดันเต้เขาไม่เล่นโซเชี่ยลรึไงถึงได้ปล่อยให้คนข้างนอกเข้ามาขอพรสุ่มสี่สุ่มห้ากันได้สบายๆ ถ้าเกิดฉันเป็นคนเจ้าของบ้านคงเอาน้ำมาสาด
ซ่า!!!
“กรี๊ด!” น้ำจริงด้วยอ่ะ นี่ฉันมีพลังจิตรึเปล่าเนี้ยทำไมพอนึกปุ๊ปแล้วน้ำมาปั๊ปเลยอ่ะ เอ๊ะแต่น้ำพวกนี้มันถูกสาดมาจากข้างขวานี้น่า
ขวับ
พอฉันหันไปมองก็พบว่าเป็นสปริงเกอร์น้ำที่ติดอยู่ตามสนามหญ้านั่นเอง แต่เมื่อกี้แอบกรี๊ดไปไม่รู้จะมีใครได้ยินรึเปล่า
โฮ่งๆ โฮ่งๆ
ให้มันได้อย่างนี้สิ เสียงคำรามของสุนัขดังระงมไปทั่วสารทิศตอนนี้ฉันแทบจะหาที่ซ่อนไม่ทัน ไปแอบที่พุ่มไม้ตรงหัวมุมดีกว่า ฉันเอามือเปิดทางให้ตัวเองได้เข้าไปนั่งแอบใต้พุ่มไม้นั้นได้อย่างสะดวกแต่ไม่รู้ว่าไอ้เจ้าตูบพวกนั้นมันจะดมกลิ่นเจอรึเปล่า
ไม่นานนักกองทัพตูบก็ได้ยกขบวนเข้ามาดมกลิ่นตามสนามหญ้าที่ฉันเคยเหยียบเดิน พวกมันแยกย้ายกันตามหาอย่างรวดเร็ว แทนที่ดันเต้จะเดินมากับพวกมันด้วยกลับปล่อยให้เจ้าตูบพวกนั้นมากันเอง แต่ก็ดีแล้วล่ะที่มีแต่พวกมัน
ซู๊ดๆ
เฮงซวยแล้ว ไอ้ตูบตัวนึงเดินเข้ามาทางพุ่มไม้ที่ฉันซ่อนตัวอยู่แถมยังดมกลิ่นแรงเหมือนว่ากำลังเจอเบาะแสอะไรบางอย่างแล้ว ไอ้ตัวนี้ต้องรู้แน่เลยว่ามีมนุษย์เข้ามาซ่อนตัวในนี้
โฮ่งๆ
เป็นไปตามที่คาดไว้จ้า เจ้าตูบนรกส่งเสียงร้องเรียกเพื่อนทันทีที่เห็นฉันนั่งซ่อนตัวอยู่ข้างในพุ่มไม้ตาแป๋วๆ ไม่กี่นาทีต่อมาแก๊งหมู่หมานั้นก็แห่กันเข้ามาเห่าไล่ต้อนฉันให้ไปชิดรั้วกำแพง ซวยแน่เลยลอร่น่าจะเลือกที่ซ่อนให้ได้ดีกว่านี้ ถ้าเกิดฉันโดนจับได้ว่าแอบเข้ามาที่บ้านเขายามวิกาลแบบนี้ต้องโดนโทษทัณฑ์มากมายแน่ๆ
“เจอตัวแล้วเหรอพวกแก” เสียงทุ้มใหญ่ๆของผู้ชายดังขึ้นหลังจากที่ไอ้ตูบพวกนั้นไล่ต้อนฉันมาจนชิดรั้วสำเร็จ
โฮ่งๆ
เออเห่าหอนกันเข้าไปไอ้หมาใจบาป ฉันได้แต่ยืนนิ่งเป็นหุ่นเชิดอยู่ริมรั้วเพราะการได้เจอหน้าดันเต้แถมยังอยู่ในคดีที่ร้ายแรงแบบนี้มันช่างน่าอึดอัดใจเสียเหลือเกิน
“...” เงียบไว้จ้า ตอนนี้ฉันไม่มีคำพูดอะไรที่สามารถจะเผล้งออกไปได้เลย การเจอดันเต้ครั้งนี้ถึงจะไม่ใช่ครั้งแรกแล้วก็ตามแต่มันก็น่าเกรงขามสะจนเข่าแทบทรุด
“ไม่มีอะไรจะพูดกับฉันหน่อยเหรอลอร่า” ดันเต้พูดพลางยิ้มยวนกวนประสาท “เราไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” พูดเสร็จเขาก็เดินเข้ามาไล่หมาพวกนั้นให้กลับไปพักผ่อน ตอนนี้มีแต่ฉันกับเขาที่ยืนประจันหน้าเป็นคู่พระนางอยู่ริมรั้ว
“ฉันไม่รู้จะพูดอะไร นายควรจะตกลงเอาโทษฉันแล้วก็รีบปล่อยไปสักทีสถานการ์ณแบบนี้มันน่าอึดอัดนะรู้มั้ย”
“ไม่อ่ะฉันไม่คิดแบบนั้น มีคนมากมายเข้ามาที่นี้ด้วยเหตุผลเดียวกับเธอแต่ฉันก็เล่นงานตามแบบปกติไปสะทุกราย แต่คราวนี้ฉันอยากลองเปลี่ยนการเอาโทษให้เป็นแบบอื่นดูบ้าง เผื่อมันจะทำให้คนมี่คิดแบบเดียวกับเธอหลาบจำ”
“ดันเต้ ฉันรู้ว่าเรื่องในอดีตของเรามันอาจจะจบไม่ค่อยดีแต่อย่าเอาอารมณ์ส่วนตัวมาตัดสินปัญหาได้มั้ย ถ้านายไม่ยอมลงโทษฉันดีๆล่ะก็ งั้นก็ลากันตรงนี้เลย”
หมับ
ดันเต้คว้าแขนฉันก่อนที่จะได้หันหน้าหนี เขาเข้ามาใกล้ฉันพลางกระซิบข้างหูฉันเบาๆว่า
“เธอทำผิดก็ต้องได้รับโทษ แต่โทษที่ฉันจะให้เธอชดใช้นั้นมันอาจจะส่งผลดีต่อตัวเธอในอนาคตก็ได้นะ”
“ส่งผลดียังไงไม่ทราบ นายมันก็แค่ไอ้พวกชอบวางแผนปั่นหัวชาวบ้านนั้นแหละ”
“เอาเป็นว่าเราเข้าไปตกลงเงื่อนไขกันในบ้านดีกว่า ถ้ามีคนเข้ามาเห็นตอนนี้ภาพพจน์ฉันไม่ดีแน่ๆ”
“มันก็ไม่ดีตั้งนานแล้วนะ”
“ปากดีไปเถอะ”
ดันเต้เดินพาฉันเข้าไปข้างในคฤหาสน์แสนหรูของเขาทันทีที่พูดจบ ที่นี่ตกแต่งอย่างสวยงามผิดจากที่อื่น ถึงจะสวยงามดูดียังไงแต่ก็มีความหลอนซ่อนเอาไว้มากมาย ฉันเดินผ่านห้องโถงแสนขนลุกนั้นเข้ามานั่งในห้องรับแขก โคมไฟที่นี่ใหญ่กว่าหลังคาบ้านฉันอีกมั้งเนี้ย ดันเต้เดินไปนั่งตรงข้ามฉันก่อนจะพูดถึงเรื่องคดีที่ฉันเพิ่งก่อไป
“เอาจริงๆฉันแอบสงสารเธอนะ”
“เรื่องอะไร”
“ก็การที่เธอต้องออกจากเมืองนี้ไปทนทรมานอยู่ที่อื่นไง ครอบครัวของเธออยู่ที่นี้แล้วทำไมต้องไปอยู่ที่อื่นด้วยล่ะ”
“แกล้งถามรึไง นายก็รู้อยู่แก่ใจว่าทำไมฉันต้องไปอยู่ที่อื่น ถ้าไม่ใช่เพราะแผนที่นายทำให้ฉันต้องแตกหักกับวินช์ ป่านนี้ฉันคงได้อยู่กับพ่อแม่ไปนานแล้ว”
“มันขึ้นอยู่กับเธอนั้นแหละลอร่า ฉันแค่สร้างเรื่องราวให้เธอขบคิดขึ้นมาก็เท่านั้น”
“ไม่!นายนั้นแหละทำ ถ้าฉันกับวินช์เราไม่เป็นอย่างนี้ ทุกอย่างจะดีขึ้นกว่านี้ ที่ฉันไปอยู่เมืองอื่นก็เพราะนาย ครอบครัวของฉันอยู่ในการดูแลของคราสันมันก็โอเคอยู่แล้ว แต่ที่ฉันออกมาคนเดียวก็เพราะไม่อยากให้ใครต้องมาเดือดร้อนเพราะตัวฉันเอง”
ดันเต้ทำท่าทางเหมือนรับฟังแต่ก็ซ่อนไปด้วยลูกเล่นยียวนกวนประสาทตามแบบฉบับของเขา สีหน้าและความรู้สึกของเขามันช่างชั่วและหม่นหมองจริงๆ จะมีใครน่าหมั่นไส้กว่าไอ้หมอนี่อีกมั้ยเนี้ย พระเจ้าช่วย!
“คุยแต่เรื่องเครียดๆระวังจะแก่เร็วนะ”
“ยังจะมีหน้ามาพูดตลกอีกเหรอ ที่ฉันต้องมาทุกข์ใจอยู่แบบนี้มันก็เพราะนายไอ้ทุเรศ นายทำให้ฉันต้องเลิกกับวินช์และยังไม่กล้าเจอหน้าเขาอีก ครอบครัวก็อยู่ในความดูแลของตระกูลวินช์อีก ถึงเขาจะดีกับครอบครัวฉันมากแค่ไหนแต่ฉันก็ไม่กล้าไปเจอหน้าเขาอยู่ดีหรอก”
“มันก็เป็นแค่เรื่องราวที่ฉันสร้างขึ้นมาให้ชีวิตเธอไม่น่าเบื่อไง” ถ้าเกิดย้อนเวลาไปได้นะ ฉันจะไม่รู้จักผู้ชายคนนี้ วินช์เป็นคนดีเกินกว่าจะมีเพื่อนเลวห่ามทรามแบบนี้ ฉันเองก็งงว่าทำไมคนดีๆแบบวินช์ต้องมาคบกับคนแบบดันเต้ หล่อรวยแต่เลวอย่างนี้ก็ไม่ไหวนะ
“เอาเป็นว่ารีบๆเคลียร์ปัญหากันดีกว่า ตกลงนายจะเอายังไงหา!” ฉันขึ้นเสียงสูงแล้วนะ ฉันแทบจะควันออกหูพ่นไฟใส่หน้าไอ้เลวดันเต้ๆไปแล้วเมื่อกี้
“ทำไมเธอต้องเข้ามาขอพรที่หลุมศพตระกูลฉันด้วยล่ะ เชื่อเรื่องโชคลางตามที่คนในเน็ตพูดกันรึไง”
“ถ้าเอาตรงๆก็ใช่ เพราะคนที่ทำงานก็พูดกันเป็นเกลียวว่าถ้ามาขอพรที่นี้แล้วมันจะเป็นจริง”
“เป็นจริงน่ะใช่ เพราะสวนหลังบ้านฉันมันถูกสร้างมาตั้งแต่รุ่นของรุ่นแถมยังเป็นหลุมฝังศพตระกูลฉันด้วย ความเชื่อของบรรพบุรุษทำให้ที่นี้ดูศักดิ์สิทธิ์และน่าพิศวงมากขึ้น แต่การที่มีคนอื่นหรือคนนอกเข้ามาขอพรแบบนี้มันทำให้ฉันรู้เหมือนเดินเหยียบบนหน้า”
“หมายความว่าไง”
“ก็เหมือนการไม่ให้เกียรตินั้นแหละ เธอชอบมั้ยละถ้ามีคนเดินเข้ามาในห้องครัวของเธอแล้วหยิบอาหารของเธอไปโดยไม่รู้หน้าค่าตากันเลย”
เอาจริงๆฉันเองก็รู้อยู่แล้วว่าการทำแบบนี้มันผิดมหันต์แต่ทำไงได้ล่ะ ความเชื่อของคนเรามันแข็งแกร่งเหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะรู้ว่ามันผิดหรือยังไงคนเรามันก็นึกถึงเรื่องอื่นไม่เป็นนอกจากเรื่องของตัวเองหรอก
“ฉันเข้าใจแล้ว ตกลงกันมาเลยมันจะได้จบๆ”
“จะรีบไปไหนล่ะครับคุณ ฮึๆ”
“เอาเถอะน่าฉันไม่อยากอยู่กับนายนานไปกว่านี้ ไม่อยากจะสร้างเรื่องราวอะไรต่อกันอีก”
การอยู่กับเขามันก็เหมือนกำลังเล่นเกมส์สยองขวัญที่ลืมตาข้างเดียวนั้นแหละ อีกใจนึงก็อยากจะรู้อีกใจนึงก็กลัวจะมีอะไรโผล่มาสะจนตัวแทบหด
“ปกติการเอาโทษของฉันมันจะเป็นแค่การสั่งสอนให้มาดูแลสนามหญ้าหลังบ้านเป็นเวลาอาทิตย์นึงแต่กับเธอฉันไม่อยากทำแบบนั้นแล้ว”
“อ้าวทำไมล่ะ ทำแบบเดิมสิมันจะได้เหมือนกัน”
“แบบเดิมนั้นแหละแต่ฉันอยากเปลี่ยนสถานที่เฉยๆ เดือนนี้ฉันมีธุรกิจเกี่ยวกับไวน์ ฉันต้องการคนดูแลเรื่องนี้อยู่พอดีแต่มันจะสนุกกว่านี้ถ้าเธอยอมรับโทษสะโดยดี”
“อย่าบอกนะว่านายจะให้ไปช่วยธุรกิจเรื่องไวน์น่ะ”
“ใช่แล้ว แต่ไม่ใช่อาทิตย์นึงนะโทษเธอถึงจะเท่าคนอื่นแต่เพราะเป็นเธอ ฉันเลยให้เวลาเดือนนึงเลยในการรับโทษและห้ามเถียงอะไรทั้งนั้นเข้าใจมั้ย ไม่งั้นฉันจะแจ้งความในข้อหาบุกรุกที่อยู่อาศัยในยามวิกาล”
“ฮึ!” ไม่มีข้อโต้แย้งอะไรที่สามารถเอาชนะเขาได้เลย อีตานี้เกิดมาเพื่อข่มขู่คนอื่นเท่านั้น เขาเดินมาลูบหัวฉันพลางส่งสายตาที่เห็นทีไรก็นึกถึงเรื่องก่อนๆที่เขาเคยสร้างมาป่วนประสาทฉัน
“ตกลงนะ”
“ฉันมีทางเลือกเหรอ เอาไงเอากันเดือนนึงขอให้มันจบๆไปเถอะ” ดันเต้ยิ้มร่าก่อนจะเดินไปหยิบกล้องอะไรสักอย่างมาตรงหน้าฉัน เขาจัดการกดปุ่มอัดคลิปเหมือนว่านี่คือข้อผูกมัดระหว่างเรา
“ฉันจะถ่ายคลิปนี้ไว้เป็นหลักฐาน ถ้าเธอผิดหรือหนีไปฉันจะได้เอาคลิปนี้ไปยินยันกับทางตำรวจ”
“นายนี้มัน…”
“แต่ถ้าเธอถามว่าตำรวจจะสนใจเรื่องแค่นี้มั้ยละก็อย่าลืมนะว่าฉันเป็นใคร แค่ชื่อของฉันอะไรก็เป็นได้” ร้ายกาจที่สุดอีตาดันเต้นี่มันช่างเหี้ยมโหดจริงๆ แผนสูง ชั่วร้าย เวรตะไลมันรวมอยู่ที่เขาหมดแล้ว
“แต่ฉันจะกลับบ้านได้ใช่มั้ยพอทำงานเสร็จในแต่ละวัน”
“ได้สิแต่บ้านเธอก็คือที่นี่ในเดือนนี้ ฮึๆฉันนี่ใจกว้างจริงๆนะให้คนที่ทำผิดเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์ของตัวเองด้วย”
“ฉันว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่ถ้านายจะให้ฉันอยู่ที่นี่ แล้วพ่อแม่นายไปใหนละ”
“พวกเขาอยู่คฤหาสน์อีกหลังนึง พวกท่านคงไม่มายุ่งวุ่นวายเรื่องพวกนี้หรอกตั้งแต่ไหนแต่ไหร่แล้ว” สีหน้าดันเต้เปลี่ยนไปนิดนึงเมื่อพูดถึงพ่อแม่ เขาน่าจะมีปมฝังใจเกี่ยวกับครอบครัวล่ะมั้ง แต่ที่แน่ๆอีตานี้ต้องได้รับการอบรมสั่งสอนใหม่หมดยกเครื่องเลย “คฤหาสน์หลังนี้เป็นเสมือนสวรรค์ของฉันแต่อาจจะเป็นนรกของเธอหลังจากนี้”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ