Big brother ลักยิ้มของตะหนูโหด
3.7
1) บทที่ 1 : ม่อนเตอร์เพื่อนรัก 2 เดือน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ 2 เดือนต่อมา “ไอ้เตอร์! ไปแดกข้าวกัน” ผมว่าเดินเข้ามารัดคอมันอย่างแรง “แอ้ก! ไอ้เหี้ย! พ่อมึงตาย อ๊อก! ปล่อยกู!!” ไอ้สัดชอบว่ะ สนุกฉิบหาย “อ่ะปล่อยๆ” “ไอ้เหี้ยนี่!!” ปล่อยมันได้ไม่นานก็มาแว๊ดกัดผมโดยการดึงหัวผมเข้าไปกดๆตรงท้องมันจนผมต้องดิ้นพล้าน ไอ้ห่าราก หายใจไม่ออก “มึงจะทำอีกมั้ย! ตอบกู” “ไอ่อำแอ้ววว! (ไม่ทำแล้ว)” ฟึ่บ “หู้ววว” มันหัวเราะออกมาดังลั่นก่อนจะลุกขึ้นมาตบไหล่ผมเบาๆ “ไอ้สัด เล่นกันอยู่สองคนลืมพวกกูเลยนะ” ผมสองคนหันหลังไปก็เจอกับแก๊งเพื่อนสนิทเราอีกสองคน ไอ้คนที่พูดหัวฟูๆอยู่นี่ชื่อ กาย แต่พวกผมเรียกมันว่า หยอย ไอ้คนข้างๆใส่แว่นนี่ชื่อ วี มันค่อนข้างโรคจิตน่ะครับ พวกเราคบกันอยู่แค่สี่คน ไม่มีชื่อแก๊งไม่มีเหี้ยอะไรทั้งนั้นอ่ะ มีแต่ตัวและหัวใจที่จริงใจต่อกัน ฮิ้ววววว!! “ไม่ลืมๆ ไปๆ เดี๋ยวโรงอาหารเต็ม” ผมยิ้มและกระโดดขี่หลังไอ้หยอยจนโดดมันด่า ตีกันสักพักแล้วค่อยเดินไปโรงอาหาร โชคไม่ช่วย เพราะเรามัวแต่เล่นทำให้โรงอาหารคนแน่นปึ้ก หาโต๊ะนั่งแทบไม่ได้ มองไปทางไหนก็มีแต่หัวคนดำๆนั่งกันไปหมด ผมล่ะหมั่นไส้ไอ้พวกที่แม่งกินเสร็จแล้วไม่ยอมลุกนั่งหาพระแสงอะไรก็ไม่รู้ “เอาไง” ไอ้วีหันมาถามไอ้หยอย “ซื้อขนมปังกินก็ได้มั้ง” “เอางั้นก็ได้” ผมว่าและหันไปถามคนข้างๆ “เตอร์จะแดกไร” “ไม่หิวอ่ะ พวกมึงกินเหอะ” “พ่อมึงอ่ะ มึงต้องกินยาไม่ใช่แงะ” พอดีช่วงนี้เตอร์มันเป็นหวัดน่ะครับรุนแรงด้วยและหม่าม้ามันก็ยังฝากฝังมันไว้กับผม เตอร์มันเป็นคนไม่ชอบกินยา ทำให้เวลาป่วยทีไม่ชอบไปหาหมอ นี่ถ้าม้ามันไม่กลับบ้านก็คงจะไม่รู้ ปล่อยให้ตัวเองเป็นหวัดแดกสเลดแทนข้าวอยู่อย่างนั้นล่ะ “เออออ กินไม่กินก็เหมือนกันล่ะ” “ไอ้ควาย มันก็กัดกระเพาะอ่ะดิ กระเพาะรั่วขึ้นมามันไม่ดีนะเว้ย เวลามึงกินข้าวเม็ดข้าวมันก็จะไหลออกมารวมกับเลือดมึงได้ แล้วที่นี่พอมันสะสมๆ ตัวมึงก็จะพองๆพอจิ้มๆไปปุ๊ปมันก็ขรุขระๆนุ่มนิ่ม ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ” มันเหลือบมองผมอย่างไม่สบอารมณ์และทันใดที่ผมไม่ทันตั้งตัว! พลั้วะ!! “อู้ยยยยยย ไอ้เหี้ยเตอร์!” ผมว่าเอามือกุมท้องน้อยๆ ไอ้สัด มึงต่อยมาได้อย่างไง โอ๊ยยย จุกเหี้ยๆ “แตกหนึ่ง” หยอยหัวเราะเสียงดัง “ว้ายๆๆๆ” ไอ้วีก็อีกคนมาทำเป็นชี้ไม้ชี้มือสมหน้าน้ำ เดี๋ยวกูก็ต่อยแว่นหลุดเลย ไอ้ฟัคเกอร์ “ไปซื้อขนมปัง” เตอร์พูดและเดินนำไป ปล่อยให้ผมโอดครวญจะเป็นจะตายอยู่ตรงนั้น เพื่อนอีกสองคนก็ไม่ใยดีเดินตามมันต้อยๆ “อ้าว รีบเดินดิ หรือมึงจะต้องให้กูเอาหญ้ามาล่อ” ฟัคเอ้ย! ทั้งเจ็บใจทั้งจุก ฝากไว้ก่อนเถ๊อะมึง!
สรุปพวกเราซื้อขนมปังกับนมและน้ำออกมากินข้างนอกตรงโดมที่ประจำ ผมชอบกินวนิลามากเลยอ่ะ ไม่รู้ทำไมเพราะงั้นขนมปังผมมันก็เลยเป็นไส้วนิลาด้วยล่ะ เหลืออันสุดท้ายพอดี ส่วนไอ้หยอยมันซื้อไส้พริกเผามา ไอ้วีมันซื้อไส้ช็อกชิพ และไอ้เหี้ยเตอร์คำไหนคำนั้นไม่กินจริงๆด้วย แบบนี้ได้เวลาแก้แค้น “อ่ะเตอร์ กูแบ่งให้มึง” ผมฉีกขนมปังวนิลาในมือและยื่นให้มัน “กูไม่หิว” เป็นไปตามแผน “กินสักหน่อยน่ะ ต้องกินยานะ” ผมยื่นไปจ่อตรงปากมัน กระพริบตาปริบๆให้ดูรู้ว่าจริงใจขนาดไหน (?) “กูไม่หิวววววว!!” “ตามใจ” ผมชักขนมปังในมือกลับและมืออีกข้างหนึ่งก็วางขนมปังที่เหลือไว้บนซองเพื่อความปลอดภัยก่อนที่ผมจะพลิกตัวไปล็อคคอมันบีบปากสีชมพูว์ของมันให้อ้าออก “ไอ้เหี้ย! มึงทำอะไย!” เตอร์ตาเบิกกว้างขึ้นจากการจู่โจมที่ไม่ทันได้ตั้งตัว ตอนนี้ไอ้ม่อนมันขึ้นมานั่งคร่อมบนตัวผมแล้ว และผมเกลียด เกลียดอีสายตานี้ของมันที่สุด! “แดกหน่อยน่าาา หม่าม้ามึงสั่งมานะ” ม่อนยกยิ้มและจับขนมปังชิ้นพอดีคำยัดเข้าปากเตอร์ พร้อมเอามืออุดปากไม่ให้คายออกไว้ “มึงกินหมดหรือยัง” “…” เตอร์พยักหน้าแทนคำตอบ ผมจึงวางใจปล่อยตัวอีกฝ่ายและในตอนนั้นเองที่เตอร์ได้หลุดพ้นจากการเกาะกุม มันก็กระโดดเข้ามาทับตัวผม แต่แน่นอน ผมรู้ทันมันผมก็เตรียมรับมือไว้โดยการใช้มือผลักออกไปเรียบร้อยแต่ครั้งนี้ไอ้เตอร์แม่งดูจะแรงเยอะ ทำให้มันแค่เซได้นิดหน่อย อีกแปปมันก็กลับมากดทับผม “ไอ้เหี้ยม่อนนนน!!” “ฮ่าๆๆๆ เตอร์ แอ๊ก!” เตอร์กดทับผมอย่างแรงอีกทีผมจึงใช้มือดันไหล่มันออกมาและเปลี่ยนตำแหน่งเป็นผมที่พลิกตัวทับมันอยู่ “กูไม่ยอมมึง!!” และตำแหน่งก็พลิกอีกรอบเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆจนเราตกจากพื้นปูนไปเป็นพื้นสนามหญ้า ถ้าถามว่าแล้วไอ้หยอยกับไอ้วีไปไหน คำตอบคือ มันก็นั่งอยู่ตรงนั้นล่ะครับ การที่พวกผมทะเลาะกัน ตีกัน บลาๆ เป็นเรื่องปกติของมันสองคนไปแล้ว จนมันไม่ใส่ใจแล้วอ่ะ “ไอ้เหี้ยม่อน! ไอ้เด็กเหี้ย!” ตอนนี้เราไม่ได้ทับกันแล้วครับ แต่ตอนนี้ไอ้เตอร์มันนั่งทับหลังผมอยู่และกำลังหักขาผมเล่น “อ๊ากกกก!! โอ๊ยยยยย!! เตอร์ๆๆๆ” ผมใช้มือตีพื้นระบายความเจ็บปวด “มึงมันเลว!!” แล้วมันก็หักขาผมอีกระรอก “อ๊ากกกก! ยอมๆ ยอมแล้วๆ” จบคำพูดไอ้เตอร์มันก็ปล่อยขาผมลง แล้วเอาตัวเองลงมากลิ้งตัวอยู่บนหญ้าด้วยอาการเหนื่อยหอบไม่ต่างจากผม “ครั้งนี้กูยอมมึงไปก่อนนะ” “เหอะ..” มันยิ้มหันมามองหน้าผม ผมเองก็เหมือนกัน “ไอ้สัด!” “ห้ะอะไร!” มันสะดุ้งลุกพรวดขึ้นมา “เสื้อนักเรียนกู เปื้อนไปแล้วมั้ง!” มันลุกขึ้นมาปัดดินที่ก้นพยานมจะหันไปมองเสื้อข้างหลัง “เปื้อนเยอะป่ะ” “ไม่มากหรอก..จะเดือดร้อนทำไม ดูกูนี่ยังไม่เดือดร้อนเลย” ผมลุกขึ้นมาอย่างสง่าชนิดที่ว่าสาวๆเห็นจะต้องกรี๊ด แต่แย่หน่อยที่แถวนี้ไม่มี (=_=) “มึงจะเดือดร้อนทำไม โนมันเป็นคนซักเสื้อป่ะ” แหม หยอกหน่อย คิ้วขมวดจะผูกโบเชียวนะ “ใช่ กูก็เลยไม่เครียด” ผมไหวไหล่ “เพราะมึง!” เตอร์ว่าชี้หน้าผมเดินฮึดฮัดกลับไปนั่งที่เดิม อะไรวะ เพื่อนกูเทพเจ้าแห่งการหัวร้อนเกมมิ่ง (?) ชั่วโมงนั้นจบลงที่การนั่งกินขนมปัง เล่นเกม บังคับเตอร์ให้แดกยา และหลังจากนั้นพวกเราก็ไปเรียนต่อ อยากจะบอกว่าทุกวันนี้ไม่ค่อยได้เรียนเท่าไหร่ รู้สึกว่าตั้งแต่ขึ้นมอปลายมามีแต่กิจกรรม เดี๋ยวก็อบรม เดี๋ยวก็รณรงค์ เปิดเรียนมา 8 สัปดาห์การบ้านท่วมหัวแต่ไม่ค่อยได้เรียน คืออะไร?
“พี่ม่อน!!” ผมหันหลังไปตามต้นเสียงก็เห็นน้องชายตัวดีของไอ้ม่อนวิ่งหอบมา เป็นอะไรของมันกลัวตกรถหรือไง “วันนี้น้องขอไปเที่ยวกับเพื่อนนะ” “กลับตอนไหน” “ก็ไม่เกินทุ่มหนึ่ง” “ทุ่มหนึ่ง!” “มึงจะเสียงดังทำไม” ผมหันไปด่ามัน ม่อนรู้ว่าเตอร์ไม่มีทางเข้าใจ นี่เป็นครั้งแรกที่โนมันออกไปเที่ยวแล้วขอกลับทุ่มหนึ่ง แต่เหนือสิ่งอื่นใดมีบางอย่างที่สำคัญกว่า “ไอ้โน มึงกลับทุ่มหนึ่งแล้วข้าวเย็นกูอ่ะ” นี่ล่ะ ประเด็น! “มาม่าก็มีป่ะพี่” โนถอนหายใจออกมา เบื่อกับอีนิสัยโอเวอร์ของพี่ชายเต็มที “กูไม่กิน! ข้าวเย็นมันควรมีประโยชน์กว่านี้ป่ะ” ม่อนโวยวาย “กูไม่ให้มึงไป” “พี่ม่อนนน!!” โนทำหน้าโอดครวญส่งสายตาอ้อนวอนต่อผู้เป็นพี่ที่ไม่ได้รู้สึกอะไรสักนิด “ไม่เอา ให้น้องไปเหอะ” “ไม่!” “ไอ้พี่ม่อน!” อ้าว ไอ้เด็กเวรนี่ คิดจะลองดีกับพี่ชายอย่างกูเหรอ “มึงลองไปกูจะฟ้องพ่อกับแม่ว่ามึงแอบเข้าผับ 18+” “โอ้ ร้ายเหมือนกันนะโน” เตอร์ว่ายิ้มกริ่ม เห็นงิ๋มๆงี้ไม่คิดว่าจะมีโม้เมนต์แบบนี้ “เฮ้ย! พี่..รู้ได้ไงวะ” โนหน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด “มันไม่ใช่อย่างที่พี่คิดนะเว้ย! ผมเข้าไปก็จริงแต่แค่..อยากรู้อ่ะ ไม่ได้ทำไรจริงๆนะ ไม่ดื่มด้วย” “เหอะๆ กูแอบถ่ายรูปไว้ด้วย บังเอิญตอนนั้นกูกับเพื่อนไปแถวนั้นพอดีเลย” เตอร์ขำออกมาเบาๆ ว่าแต่ไอ้โน ไอ้ม่อนก็ไม่เบาเหมือนกันนะเนี่ย “พี่ม่อน..” โนทำหน้าจะร้องไห้ มีน้ำตาคลอเบาๆ ที่ม่อนดูก็รู้ว่าตอแหล “เฮ้ย ม่อนโนมันจะร้องแล้วนะ” เตอร์ว่าสะกิดผม “แล้วไงกูไม่สน ปากท้องกูสำคัญและมึงคิดว่ามันดีเหรอที่เข้าผับทั้งๆที่ตัวเองยังไม่ 18 ใครเขาเห็นก็ว่าพ่อแม่กูเสียๆหายๆได้นะเว้ย” เชรดเข้! มาดพี่ชายมีเหตุผลก็มา “เออออ ผมขอโทษษษ ..ผมสัญญาว่าจะระวังมากกว่านี้ แต่ผมพูดจริงนะ ผมไม่ได้ทำอะไรจริงๆ” “มึงให้น้องไปเหอะ ยังไงทุ่มหนึ่งก็ไม่ดึกมาก” “แล้วข้าวกูอ่ะ” ไอ้สัดตะกละตะกลาม “มากินบ้านกูก็ได้” “พี่เตอร์..” โนหันไปมองหน้าเตอร์อย่างซาบซึ้ง ทำเอาคนพูดขนลุกกันเลยทีเดียว “…” ม่อนมองเตอร์สลับกับโนอย่างหน่ายๆ ให้ทำไงได้วะ “เออ ห้ามเกินทุ่มหนึ่งนะ” “เยส! ไม่เกินทุ่มแน่นอนครับผม” โนทำท่ายืนตรงอย่างรับทราบในคำสั่ง ทำให้ม่อนหลุดยิ้มออกมาแต่เสือกมีมาดไม่ให้ใครเห็น “น้องไปแล้วนะ ขอบคุณนะพี่เตอร์” “เออ รีบไปได้แล้ว” ม่อนหันไปมองเตอร์อีกครั้ง ถึงแม้จะเป็นเพื่อนกันได้ไม่ถึงปี แต่เตอร์ก็สัมผัสได้ถึงแววตาที่ดูมีความกังวลอยู่ในนั้น “มึงเป็นไรป่ะเนี่ย” “เปล่า ไปเหอะ เดี๋ยวรถก็มาแล้ว” ผมว่าพลั่กไอ้เตอร์ให้เดินนำไปแต่ยังไม่ลืมที่จะหันหลังไปมองไอ้โน มันยืนคุยอยู่กับกลุ่มเพื่อนของมัน มีไอ้เต๋ออยู่ด้วย..มีไอ้เด็กนั่นอีกคน ผมก็เบาใจไปเยอะ
แกร๊ก ผมเดินตามเตอร์เข้ามาในบ้านมัน หลังเข้าบ้านตัวเองเอาของไปเก็บและเปลี่ยนเสื้อเรียบร้อยแล้ว “โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง!” ผมยิ้มเมื่อต้นเสียงเห่าวิ่งดุ๊กดิ๊กส่ายหางเข้ามาหาถึง 3 ตัว นี่คือ กริซ แพนด้า และ หมีขาว เป็นสุนัขพันธุ์คอร์กี้ที่เตอร์มันเลี้ยงเอาไว้ และสามตัวนี้เองก็เป็นพี่น้องกัน หมาอะไรก็ไม่รู้ ตัวก็สั้น ขาก็สั้น ต้วมเตี้ยมๆ “หึ้ยยยยย มันเขี้ยววววโว้ยยย” “แหมๆ จับเบาๆก็ได้ เดี๋ยวหมากูก็เนื้อหลุดออกจากคอพอดี” เตอร์หยอก เดินเข้ามาอุ้มหมีขาวมาคลอเคลีย ผมหัวเราะ “จังหวะนี้นี่น่าถ่ายรูปเก็บไว้จริงๆ พี่เตอร์คนโหดอุ้มลูกหมาขึ้นมาคลอเคลียอย่างน่าเอ็นดู” “ไอ้สัดนี่!” ผลั้วะ! “โอ๊ยยย ขากู!” ไม่ทันไรก็ทำร้ายร่างกายกูอีกล่ะ “มึงจะทำกูแล้วเดินหนีไม่ได้”หมับ! “เชี้ย!” ภาพทุกอย่างเหมือนกำลังฉายอย่างรวดเร็วก่อนจะกลับมาหยุดนิ่งตึก! “ไอ้ม่อน! ตูดกู!” เตอร์จับก้นตัวเองที่หล่นลงพื้นกระเบื้องแข็งๆเบา นึกเสียใจที่ไปทำมันก่อน ไอ้ม่อน ไอ้เหี้ย “สม หิวล่ะไปทำข้าวไป๊” ผมทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นกลับไปเล่นกับเจ้าแพนด้าต่อ “ไม่ต้องแดกดีมั้ย” เตอร์ขู่ “อย่าเล่นตัวไอ้สัด ไปเลย” มันลุกขึ้น โบกนิ้วกลางให้ผมและเดินไปยังครัวตรงกลางบ้าน
17 : 20 น. “ง่อววววว” ผมร้องเมื่อเห็นกับข้าวตรงหน้า ไอ้เตอร์มันทำสปาเก็ตตี้เชดด้าชีส ใส่กุ้ง โรยต้นหอมเบาๆ จังหวะนี้มีควันอ่อนๆลอยคลุ้ง ผสมกับกลิ่นชีสแล้วมันรัญจวนใจจริงๆ หน้าตาอย่างนี้ไม่น่าจะทำอาหารดีๆได้เลยด้วยซ้ำ หน้าตาอาหารค่อนข้างสวยงาม ที่เหลือก็คงจะเป็นแค่เรื่องรสชาติ “กินแล้วจะท้องเสียป่ะเนี่ย” ผมหยอก ส่วนเตอร์มันยกยิ้มมุมปากพร้อมไหวไหล่ท้าทายผม “กินแล้วนะ” อือหื้อ ควันคลุ้งเลย คุณผู้ชมดูนี่สิครับ เห็นเชดด้าเยิ้มๆที่มันแผล็บตรงส้อมนั่นหรือเปล่า โอ้! อดใจไม่ไหว สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะบอก ม่อนคนนี้ชอบชีสที่สุดในโลก งับ! เชรดโด้! เส้นเหนียวนุ่ม เชดด้าชีสเองก็ไม่เลี่ยนเกินไป หวานๆมันๆหอมนมกำลังพอดี บวกกับต้นหอมแล้วตัดรสหวานได้ดีเยี่ยม กลิ่นของต้นหอมและชีสมันตีขึ้นมาที่จมูกเต็มๆ “มึงทำหน้าเวอร์ไปป่ะ” เตอร์ยิ้มแหยๆ “มึงมันอร่อย มึงรู้ป่ะว่ากูชอบชีสที่สุดในโลกเลย” ผมใช้มือฟาดโต๊ะเสียงดังจนไอ้เตอร์ถึงกับตกใจ “มึงทำเองจริงดิ” “อือ..แม่กูเคยเป็นเชฟอ่ะ ก่อนที่จะออกมาทำงานกับพ่อ” มันว่ายิ้มกว้าง ดูภูมิใจ “ตอนเด็กๆกูชอบทำกับข้าวมาก เขาเลยสอนกูไว้อ่ะ” “เฮ้ย! น่ารักว่ะ มาๆนั่งๆ” ผมกวักมือให้มันนั่งลงหลังยืนดูผมอยู่นาน “เออๆ” “ลองกินของมึงสิๆ” “..กูกินบ่อยแล้ว แล้วกูก็ไม่ชอบกินข้าวเย็นเท่าไหร่” ไอ้ห่านี่ กูบอกให้กิน ผมไม่รีรอผมรีบจับส้อมของตัวเองม้วนๆเป็นสปาเก็ตตี้คำโต “เตอร์” “ห้ะ อุ๊บ!” เสร็จกู “มันอร่อยมึงลอง” มันอร่อยจริงๆนะเว้ย หลังผมจับยัดเข้าปากมันเรียบร้อย มันก็มองผมด้วยสายตารำคาญแต่ยังคงเคี้ยวตุ้ยๆจนแก้มป่องเป็นแฮมเตอร์ อดขำไม่ได้ “ฮ่าๆ มึงนี่ แก้มเยอะเหมือนกันนะ” ผมว่าจิ้มแก้มมันไปทีหนึ่ง “ไอ้อัด!” ดูเหมือนผมจะจับยัดคำใหญ่ไป พอมันอ้าปากจะพูดไอ้สปาเก็ตตี้ที่อยู่ในปากก็เหมือนจะไหลออกมาได้ทุกเมื่อ “เคี้ยวให้หมดก่อน..อ่ะกริซ” ผมยื่นกุ้งตัวหนึ่งให้เจ้ากริซที่นอนอยู่ตรงเท้า มันกระดิกหางดิ๊กๆ เตรียมลุกขึ้น “อื้อ!” ปึง! “เชี่ยเตอร์! ไรมึงเนี่ย” ผมชักมือกลับก่อนที่ไอ้กริซจะเดินมาถึงหันไปโวยวายกับคนที่นั่งอยู่อีกฝั่ง ไม่รู้ว่ามันจะสื่อสารอะไรหรือเปล่าถึงได้ใช้ตีนทุบใต้โต๊ะซะดัง “…” แก้มสองข้างยังคงขยับไปเรื่อยๆเพียงแค่ตอนนี้มันอาจจะลดระดับความพองลง แต่ก็เหมือนแฮมเตอร์อยู่ดี “อ่ะ เคี้ยวก่อนแล้วพูด” เตอร์เริ่มเคี้ยวให้ไวขึ้น มันหยิบน้ำขึ้นมาดื่มอึกใหญ่ “มึงจะให้อาหารคอร์กี้กูไม่ได้!” มันว่าทำสีหน้าจริงจัง “ทำไมอ่ะ มึงก็ยังไม่ได้ให้ข้าวมันนี่” “กริซ แพนด้า หมีขาว จะได้กินก็ต่อเมื่อมึงหรือกูกินข้าวเสร็จแล้วเท่านั้น!” “..เพื่อ?” “มันเป็นการฝึกสุนัขของกู” มันเอนตัวลงบนเก้าอี้ดูผ่อนคลายขึ้นแต่มีมาด ไอ้สัดน่าถีบ “กูคือจ่าฝูง” “..มึงอยากเป็นหมาเหรอ?” ถามแบบซื่อๆเลยนะยอมรับว่ามีกวนตีนนิดๆ “พ่อมึงอ่ะ! มันเป็นการฝึกสุนัขอ่ะ เข้าใจ?” มันจ้อง “มึงไม่เขาใจหรอก มึงโง่ ไอ้ควาย” “เอ้า” อะไรวะคนเรา ไม่รู้คือกูผิด? “ไม่ต้องถาม รู้ไว้ก็พอ รีบๆแดก จะได้ไปล้างจาน” เอ๊ะ! “..กูล้างเหรอ” “เออดิ มึงกินคนเดียวอ่ะ” “แต่มึงเป็นเจ้าบ้านนะเว้ย!” “มึงเป็นแขกที่มาอาศัยบ้านคนอื่นกินข้าว” “มึงมันเป็นเจ้าบ้านไม่ดี ไม่มีมารยาท”มันไหวไหล่ “ก็กูพอใจ” ผมเบะปาก ม้วนสปาเก็ตตี้กินต่อ
“เห้อ..” ผมทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาข้างๆเตอร์ “ล้างเสร็จแล้วเหรอ” “อือ” “เอี่ยมเปล่าาาา” มันยกคิ้ว “เอี่ยมดิ ไม่เชื่อลองเลียดู” ไม่ทันไรหมัดหนักๆของอีกฝ่ายก็ฟาดเต็มๆเข้าที่แขนข้างซ้ายผมตามด้วยเสียงหัวเราะ “เจ็บ ไอ้สัด!” และก็เป็นผมที่เอาคืนด้วยการตบหัวมันด้วยแรงปานกลาง “เหอะๆ นี่บ้านกู” จบคำพูดมันก็ตบหัวผมกลับด้วยแรงเท่ากันแต่อาจมากกว่า “แต่กูเป็นแขกไง” ผมยิ้ม ชกมันเข้าที่แขนข้างขวา “เป็นแขกที่ไร้มารยาทเหมือนกันนะ” มันเตรียมปล่อยหมัดเข้ามาที่แขนตำแหน่งเดิมแต่ผมก็มือไวคว้าเอาไว้เสียก่อน และส่งยิ้มหวานๆสุดจะจริงใจไปให้ “พอเถอะ เชื่อกู เดี๋ยวยาว” เตอร์หัวเราะและวางมือลง “ไรวะ หนีนี่หว่า” “พรุ่งนี้ก่อน” ผมยิ้ม “น่าเบื่อว่ะ ทำไรต่อดี” “..ดูหนังป่ะ” “มีแต่หนังตอนเย็น น้ำเน่า น่าเบื่อ” “กูมีแผ่น ม้ากลับมาครั้งก่อนซื้อไว้ให้อ่ะ” เตอร์ลุกขึ่นเดินขึ่นไปยังชั้นสองสักพักแล้วโผล่หัวออกมา “รอพ่อตัดริบบิ้นเหรอ ขึ้นมา” “..ไม่ได้ดูข้างล่างแงะ” “มันมีเครื่องเล่นป่ะ แหกตาดู” มาทำเป็นบอกให้กูแหกตา แหกตามึงก่อนมั้ย นั่นตาหรือตุ่มยุ่งกัด (?) ผมตามเตอร์ขึ้นไปยังชั้นสองในห้องนอนของมัน รกนิดหน่อยตามสไตล์ผู้ชาย มีเลโก้สตาร์วอร์เต็มไปหมด พึ่งรู้เลยนะเนี่ยว่าเตอร์มันชอบสตาร์วอร์ ห้องของเตอร์ไม่ใหญ่มาก มีทีวีจอแบนเล็กๆ เตียง กับห้องน้ำในตัวแค่นั้น มีระเบียงเล็กๆที่มีต้นไม้ปลูกอยู่นิดหน่อย ห้องส่วนใหญ่จะตกแต่งโดยสีน้ำเงินมืดๆ “เตอร์นี่มึงวาดเองเหรอ” ผมถามเมื่อมองไปที่รูปผู้ชายครึ่งหน้าที่มีสีสันเต็มไปหมด “ไหน..อ๋อ รูปนั้นเตี่ยวาดอ่ะ” มันตอบแล้วก็กลับไปค้นกล่องอะไรสักอย่างของมันต่อ “นี่ไง แต่เป็นหนังรักนะ” “มีเรื่องเดียวเหรอ” ผมถามเดินเข้าไปพลิกดูแผ่นดีวีดีนั้น “อือ กูไม่ค่อยได้ดูหนังอ่ะ อันนี้ม้าก็มาทิ้งไว้” ผมพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้มันเปิด “เอาป๊อปคอร์นป่ะ” “ตลก” มันหัวเราะและกวักมือให้ผมมานั่งใกล้ๆ ห้องนอนเตอร์ไม่มีโซฟา เราเลยได้หนังดูบนเตียงแทน แบบพิงพนักเตียงเอาอ่ะ “ในห้องมีแต่กลิ่นมึง” “..มึงโรคจิตป่ะเนี่ย” “อ้าว จริงๆนะ กลิ่นมึงมันเหมือน..” ผมหยุดหันไปมองมันแล้วสูดลมหายใจเบาๆแบบไม่ใกล้ชิน “ดอกมะลิ” “…” “พึ่งนึกออก ในบ้านมึงมีแต่กลิ่นดอกมะลิ” “..คงจะเป็น สมุนไพรของอาม่ามั้ง กูชอบเอามาจุดอบๆในบ้านอ่ะ” “เออ หอมดี กูชอบ” “…” “เออ นี่เรื่องอะไรเนี่ย” ตอนหยิบมาดูกูก็ดูแต่ปกลืมอ่านชื่อเรื่องเลย “Five feet apart” “เออ แล้ว-“ “พอ หนังเริ่มล่ะ” มันยกมือเบรกเป็นจราจร อ่ะ พอก็พอ โอเค Five feet apart เป็นหนังรักของชายหญิงคู่หนึ่งที่เป็นโรคปอดเรื้อรังแล้วอยู่ใกล้กันไม่ได้ ต้องห่างกันอย่างน้อย 6 ฟุต แต่นางเอกขอย่นระยะเหลือแค่ 5 ฟุต ไม่อยากสปอยมาก ตอนแรกดูน่าเบื่อแต่พอดูจริงๆเป็นหนังที่ดีมาก มันค่อนข้างเศร้าน่ะครับ “..ฮึก” น้ำตาแตกแล้วหนึ่ง อย่าแซว ผมอ่อนไหวง่าย “อ่ะทิชเงียบๆ” เตอร์หันมามองส่งม้วนทิชชู่ให้ผม “อย่าเล่นกูเศร้าอยู่” ผมว่าใช้ทิชเงียบๆสั่งน้ำมูกไปล็อตใหญ่
’หลับตาก่อนสิ คุณมองอย่างงี้ ผมไม่รู้จะเดินจากไปยังไง’
"ฮึก..ฮืออออออ" เวลานี้ผมไม่สนมาดใดๆแล้ว ผมจะร้อง “ทิชชู่กูหมดม้วนพอดี” ใครจะเหมือนมึง ไอ้คนแข็งใจ ไอ้ใจดำ ไม่มีจิตใจ น้ำตาสักแอ๊ะยังไม่มีเลย.. ‘จงสำผัสคนที่คุณรัก ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้สัมผัสอีก’
“ฮืออออ กินใจกูเหลือเกิน” ผมว่าใช้ทิชชู่แผ่นสุดท้ายเช็ดคราบน้ำตา ก่อนหันไปมองเตอร์ “เตอร์กูขอสัมผัสมึงได้มั้ยวะเพื่อน” “พ่อมึงอ่ะ วุ้!” มันด่า ลุกหนีไปเอาแผ่นออกจากเครื่องเฉย “อ้าว กูรักมึงนะเนี่ย” “ฟัคยู” ว่าแล้วก็ยกนิ้วกลางเรียวสวยตามมาติดๆ “เออมึง เพลินเลยกี่โมงแล้ววะ” “นู่น นาฬิกา” มันยังคงหงุดหงิด พยักพะเยิดให้ผมหันไปมองนาฬิกาบนฝาพนัง.. 20 : 01 น. ทันใดเมื่อรู้เวลา ม่อนก็ลุกขึ้นไปเปิดผ้าม่านตรงระเบียงห้องเตอร์ทันที และเห็นว่าบ้านตัวเองยังคงเงียบกริบ ไฟมืดดับทั้งบ้าน หมายความว่าตอนนี้สองทุ่มเรตมาชั่วโมงนึงแล้ว..โนยังไม่กลับมาบ้าน “ม่อน” เตอร์เรียกเบาๆ “มึงไอ้โนยังไม่กลับมาเลยว่ะ” ม่อนจับไหล่เตอร์อย่างกังวล ทำให้เตอร์แปลกใจมากว่าทำไมอีกฝ่ายถึงดูห่วงน้องขนาดนี้ทั้งๆที่โนเองมันก็เป็นผู้ชาย “ใจเย็นๆ โทรหาน้องก่อนดิ” ม่อนไม่รอช้ารีบทำตามคำบอกของเตอร์ทันที ม่อนกดต่อสายหาโนไปครั้งแรกก็ทำเอาเขาโมโหเอามากๆ โนปิดเครื่อง! “มันปิดเครื่อง!” ม่อนเดินไปหาในห้อง เตอร์ไม่เคยเห็นม่อนเป็นอย่างนี้มาก่อน “ไอ้เต๋อ! กูโทรหามันก่อน” ม่อนพูดเหมือนจะพูดกับเตอร์ แต่จริงๆแล้วเหมือนพึมพำกับตัวเองมากกว่า
“ฮัลโหลเต๋อ...ไอ้โนอ่ะ…..ห้ะ!...กูนึกว่ามึงไปกับมัน……ไอ้เหี้ย!.....มึงอยู่ไหน…..ไม่เป็นไรๆ……รู้ป่ะว่ามันไปร้านไหน……ไอ้ร้านนั้นอีกแล้วหรอ!” เตอร์เข้ามาจับไหล่ม่อนเบาๆ หวังจะให้อีกฝ่ายใจเย็นลง “เออ….ถามจริงเหอะพวกมึงเข้าได้ไง…..อ๋อ…ไอ้สัดนั่นมันยัดใต้โต๊ะเลยนี่หว่า……เออกูจัดการเอง….ขอบคุณมึงมาก…เออแค่นี้ล่ะ” ม่อนกดวางสายไป แววตาดูรีบร้อนมากๆ “เดี๋ยวกูไปหาไอ้โนก่อนนะ ไอ้เหี้ย แม่งยัดเงินเข้าผับ” “เดี๋ยวกูไปด้วย” “เออ ไป” ม่อนรีบดึงมือเตอร์ให้ตามตนเองไปโดยไว
สรุปพวกเราซื้อขนมปังกับนมและน้ำออกมากินข้างนอกตรงโดมที่ประจำ ผมชอบกินวนิลามากเลยอ่ะ ไม่รู้ทำไมเพราะงั้นขนมปังผมมันก็เลยเป็นไส้วนิลาด้วยล่ะ เหลืออันสุดท้ายพอดี ส่วนไอ้หยอยมันซื้อไส้พริกเผามา ไอ้วีมันซื้อไส้ช็อกชิพ และไอ้เหี้ยเตอร์คำไหนคำนั้นไม่กินจริงๆด้วย แบบนี้ได้เวลาแก้แค้น “อ่ะเตอร์ กูแบ่งให้มึง” ผมฉีกขนมปังวนิลาในมือและยื่นให้มัน “กูไม่หิว” เป็นไปตามแผน “กินสักหน่อยน่ะ ต้องกินยานะ” ผมยื่นไปจ่อตรงปากมัน กระพริบตาปริบๆให้ดูรู้ว่าจริงใจขนาดไหน (?) “กูไม่หิวววววว!!” “ตามใจ” ผมชักขนมปังในมือกลับและมืออีกข้างหนึ่งก็วางขนมปังที่เหลือไว้บนซองเพื่อความปลอดภัยก่อนที่ผมจะพลิกตัวไปล็อคคอมันบีบปากสีชมพูว์ของมันให้อ้าออก “ไอ้เหี้ย! มึงทำอะไย!” เตอร์ตาเบิกกว้างขึ้นจากการจู่โจมที่ไม่ทันได้ตั้งตัว ตอนนี้ไอ้ม่อนมันขึ้นมานั่งคร่อมบนตัวผมแล้ว และผมเกลียด เกลียดอีสายตานี้ของมันที่สุด! “แดกหน่อยน่าาา หม่าม้ามึงสั่งมานะ” ม่อนยกยิ้มและจับขนมปังชิ้นพอดีคำยัดเข้าปากเตอร์ พร้อมเอามืออุดปากไม่ให้คายออกไว้ “มึงกินหมดหรือยัง” “…” เตอร์พยักหน้าแทนคำตอบ ผมจึงวางใจปล่อยตัวอีกฝ่ายและในตอนนั้นเองที่เตอร์ได้หลุดพ้นจากการเกาะกุม มันก็กระโดดเข้ามาทับตัวผม แต่แน่นอน ผมรู้ทันมันผมก็เตรียมรับมือไว้โดยการใช้มือผลักออกไปเรียบร้อยแต่ครั้งนี้ไอ้เตอร์แม่งดูจะแรงเยอะ ทำให้มันแค่เซได้นิดหน่อย อีกแปปมันก็กลับมากดทับผม “ไอ้เหี้ยม่อนนนน!!” “ฮ่าๆๆๆ เตอร์ แอ๊ก!” เตอร์กดทับผมอย่างแรงอีกทีผมจึงใช้มือดันไหล่มันออกมาและเปลี่ยนตำแหน่งเป็นผมที่พลิกตัวทับมันอยู่ “กูไม่ยอมมึง!!” และตำแหน่งก็พลิกอีกรอบเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆจนเราตกจากพื้นปูนไปเป็นพื้นสนามหญ้า ถ้าถามว่าแล้วไอ้หยอยกับไอ้วีไปไหน คำตอบคือ มันก็นั่งอยู่ตรงนั้นล่ะครับ การที่พวกผมทะเลาะกัน ตีกัน บลาๆ เป็นเรื่องปกติของมันสองคนไปแล้ว จนมันไม่ใส่ใจแล้วอ่ะ “ไอ้เหี้ยม่อน! ไอ้เด็กเหี้ย!” ตอนนี้เราไม่ได้ทับกันแล้วครับ แต่ตอนนี้ไอ้เตอร์มันนั่งทับหลังผมอยู่และกำลังหักขาผมเล่น “อ๊ากกกก!! โอ๊ยยยยย!! เตอร์ๆๆๆ” ผมใช้มือตีพื้นระบายความเจ็บปวด “มึงมันเลว!!” แล้วมันก็หักขาผมอีกระรอก “อ๊ากกกก! ยอมๆ ยอมแล้วๆ” จบคำพูดไอ้เตอร์มันก็ปล่อยขาผมลง แล้วเอาตัวเองลงมากลิ้งตัวอยู่บนหญ้าด้วยอาการเหนื่อยหอบไม่ต่างจากผม “ครั้งนี้กูยอมมึงไปก่อนนะ” “เหอะ..” มันยิ้มหันมามองหน้าผม ผมเองก็เหมือนกัน “ไอ้สัด!” “ห้ะอะไร!” มันสะดุ้งลุกพรวดขึ้นมา “เสื้อนักเรียนกู เปื้อนไปแล้วมั้ง!” มันลุกขึ้นมาปัดดินที่ก้นพยานมจะหันไปมองเสื้อข้างหลัง “เปื้อนเยอะป่ะ” “ไม่มากหรอก..จะเดือดร้อนทำไม ดูกูนี่ยังไม่เดือดร้อนเลย” ผมลุกขึ้นมาอย่างสง่าชนิดที่ว่าสาวๆเห็นจะต้องกรี๊ด แต่แย่หน่อยที่แถวนี้ไม่มี (=_=) “มึงจะเดือดร้อนทำไม โนมันเป็นคนซักเสื้อป่ะ” แหม หยอกหน่อย คิ้วขมวดจะผูกโบเชียวนะ “ใช่ กูก็เลยไม่เครียด” ผมไหวไหล่ “เพราะมึง!” เตอร์ว่าชี้หน้าผมเดินฮึดฮัดกลับไปนั่งที่เดิม อะไรวะ เพื่อนกูเทพเจ้าแห่งการหัวร้อนเกมมิ่ง (?) ชั่วโมงนั้นจบลงที่การนั่งกินขนมปัง เล่นเกม บังคับเตอร์ให้แดกยา และหลังจากนั้นพวกเราก็ไปเรียนต่อ อยากจะบอกว่าทุกวันนี้ไม่ค่อยได้เรียนเท่าไหร่ รู้สึกว่าตั้งแต่ขึ้นมอปลายมามีแต่กิจกรรม เดี๋ยวก็อบรม เดี๋ยวก็รณรงค์ เปิดเรียนมา 8 สัปดาห์การบ้านท่วมหัวแต่ไม่ค่อยได้เรียน คืออะไร?
“พี่ม่อน!!” ผมหันหลังไปตามต้นเสียงก็เห็นน้องชายตัวดีของไอ้ม่อนวิ่งหอบมา เป็นอะไรของมันกลัวตกรถหรือไง “วันนี้น้องขอไปเที่ยวกับเพื่อนนะ” “กลับตอนไหน” “ก็ไม่เกินทุ่มหนึ่ง” “ทุ่มหนึ่ง!” “มึงจะเสียงดังทำไม” ผมหันไปด่ามัน ม่อนรู้ว่าเตอร์ไม่มีทางเข้าใจ นี่เป็นครั้งแรกที่โนมันออกไปเที่ยวแล้วขอกลับทุ่มหนึ่ง แต่เหนือสิ่งอื่นใดมีบางอย่างที่สำคัญกว่า “ไอ้โน มึงกลับทุ่มหนึ่งแล้วข้าวเย็นกูอ่ะ” นี่ล่ะ ประเด็น! “มาม่าก็มีป่ะพี่” โนถอนหายใจออกมา เบื่อกับอีนิสัยโอเวอร์ของพี่ชายเต็มที “กูไม่กิน! ข้าวเย็นมันควรมีประโยชน์กว่านี้ป่ะ” ม่อนโวยวาย “กูไม่ให้มึงไป” “พี่ม่อนนน!!” โนทำหน้าโอดครวญส่งสายตาอ้อนวอนต่อผู้เป็นพี่ที่ไม่ได้รู้สึกอะไรสักนิด “ไม่เอา ให้น้องไปเหอะ” “ไม่!” “ไอ้พี่ม่อน!” อ้าว ไอ้เด็กเวรนี่ คิดจะลองดีกับพี่ชายอย่างกูเหรอ “มึงลองไปกูจะฟ้องพ่อกับแม่ว่ามึงแอบเข้าผับ 18+” “โอ้ ร้ายเหมือนกันนะโน” เตอร์ว่ายิ้มกริ่ม เห็นงิ๋มๆงี้ไม่คิดว่าจะมีโม้เมนต์แบบนี้ “เฮ้ย! พี่..รู้ได้ไงวะ” โนหน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด “มันไม่ใช่อย่างที่พี่คิดนะเว้ย! ผมเข้าไปก็จริงแต่แค่..อยากรู้อ่ะ ไม่ได้ทำไรจริงๆนะ ไม่ดื่มด้วย” “เหอะๆ กูแอบถ่ายรูปไว้ด้วย บังเอิญตอนนั้นกูกับเพื่อนไปแถวนั้นพอดีเลย” เตอร์ขำออกมาเบาๆ ว่าแต่ไอ้โน ไอ้ม่อนก็ไม่เบาเหมือนกันนะเนี่ย “พี่ม่อน..” โนทำหน้าจะร้องไห้ มีน้ำตาคลอเบาๆ ที่ม่อนดูก็รู้ว่าตอแหล “เฮ้ย ม่อนโนมันจะร้องแล้วนะ” เตอร์ว่าสะกิดผม “แล้วไงกูไม่สน ปากท้องกูสำคัญและมึงคิดว่ามันดีเหรอที่เข้าผับทั้งๆที่ตัวเองยังไม่ 18 ใครเขาเห็นก็ว่าพ่อแม่กูเสียๆหายๆได้นะเว้ย” เชรดเข้! มาดพี่ชายมีเหตุผลก็มา “เออออ ผมขอโทษษษ ..ผมสัญญาว่าจะระวังมากกว่านี้ แต่ผมพูดจริงนะ ผมไม่ได้ทำอะไรจริงๆ” “มึงให้น้องไปเหอะ ยังไงทุ่มหนึ่งก็ไม่ดึกมาก” “แล้วข้าวกูอ่ะ” ไอ้สัดตะกละตะกลาม “มากินบ้านกูก็ได้” “พี่เตอร์..” โนหันไปมองหน้าเตอร์อย่างซาบซึ้ง ทำเอาคนพูดขนลุกกันเลยทีเดียว “…” ม่อนมองเตอร์สลับกับโนอย่างหน่ายๆ ให้ทำไงได้วะ “เออ ห้ามเกินทุ่มหนึ่งนะ” “เยส! ไม่เกินทุ่มแน่นอนครับผม” โนทำท่ายืนตรงอย่างรับทราบในคำสั่ง ทำให้ม่อนหลุดยิ้มออกมาแต่เสือกมีมาดไม่ให้ใครเห็น “น้องไปแล้วนะ ขอบคุณนะพี่เตอร์” “เออ รีบไปได้แล้ว” ม่อนหันไปมองเตอร์อีกครั้ง ถึงแม้จะเป็นเพื่อนกันได้ไม่ถึงปี แต่เตอร์ก็สัมผัสได้ถึงแววตาที่ดูมีความกังวลอยู่ในนั้น “มึงเป็นไรป่ะเนี่ย” “เปล่า ไปเหอะ เดี๋ยวรถก็มาแล้ว” ผมว่าพลั่กไอ้เตอร์ให้เดินนำไปแต่ยังไม่ลืมที่จะหันหลังไปมองไอ้โน มันยืนคุยอยู่กับกลุ่มเพื่อนของมัน มีไอ้เต๋ออยู่ด้วย..มีไอ้เด็กนั่นอีกคน ผมก็เบาใจไปเยอะ
แกร๊ก ผมเดินตามเตอร์เข้ามาในบ้านมัน หลังเข้าบ้านตัวเองเอาของไปเก็บและเปลี่ยนเสื้อเรียบร้อยแล้ว “โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง!” ผมยิ้มเมื่อต้นเสียงเห่าวิ่งดุ๊กดิ๊กส่ายหางเข้ามาหาถึง 3 ตัว นี่คือ กริซ แพนด้า และ หมีขาว เป็นสุนัขพันธุ์คอร์กี้ที่เตอร์มันเลี้ยงเอาไว้ และสามตัวนี้เองก็เป็นพี่น้องกัน หมาอะไรก็ไม่รู้ ตัวก็สั้น ขาก็สั้น ต้วมเตี้ยมๆ “หึ้ยยยยย มันเขี้ยววววโว้ยยย” “แหมๆ จับเบาๆก็ได้ เดี๋ยวหมากูก็เนื้อหลุดออกจากคอพอดี” เตอร์หยอก เดินเข้ามาอุ้มหมีขาวมาคลอเคลีย ผมหัวเราะ “จังหวะนี้นี่น่าถ่ายรูปเก็บไว้จริงๆ พี่เตอร์คนโหดอุ้มลูกหมาขึ้นมาคลอเคลียอย่างน่าเอ็นดู” “ไอ้สัดนี่!” ผลั้วะ! “โอ๊ยยย ขากู!” ไม่ทันไรก็ทำร้ายร่างกายกูอีกล่ะ “มึงจะทำกูแล้วเดินหนีไม่ได้”หมับ! “เชี้ย!” ภาพทุกอย่างเหมือนกำลังฉายอย่างรวดเร็วก่อนจะกลับมาหยุดนิ่งตึก! “ไอ้ม่อน! ตูดกู!” เตอร์จับก้นตัวเองที่หล่นลงพื้นกระเบื้องแข็งๆเบา นึกเสียใจที่ไปทำมันก่อน ไอ้ม่อน ไอ้เหี้ย “สม หิวล่ะไปทำข้าวไป๊” ผมทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นกลับไปเล่นกับเจ้าแพนด้าต่อ “ไม่ต้องแดกดีมั้ย” เตอร์ขู่ “อย่าเล่นตัวไอ้สัด ไปเลย” มันลุกขึ้น โบกนิ้วกลางให้ผมและเดินไปยังครัวตรงกลางบ้าน
17 : 20 น. “ง่อววววว” ผมร้องเมื่อเห็นกับข้าวตรงหน้า ไอ้เตอร์มันทำสปาเก็ตตี้เชดด้าชีส ใส่กุ้ง โรยต้นหอมเบาๆ จังหวะนี้มีควันอ่อนๆลอยคลุ้ง ผสมกับกลิ่นชีสแล้วมันรัญจวนใจจริงๆ หน้าตาอย่างนี้ไม่น่าจะทำอาหารดีๆได้เลยด้วยซ้ำ หน้าตาอาหารค่อนข้างสวยงาม ที่เหลือก็คงจะเป็นแค่เรื่องรสชาติ “กินแล้วจะท้องเสียป่ะเนี่ย” ผมหยอก ส่วนเตอร์มันยกยิ้มมุมปากพร้อมไหวไหล่ท้าทายผม “กินแล้วนะ” อือหื้อ ควันคลุ้งเลย คุณผู้ชมดูนี่สิครับ เห็นเชดด้าเยิ้มๆที่มันแผล็บตรงส้อมนั่นหรือเปล่า โอ้! อดใจไม่ไหว สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะบอก ม่อนคนนี้ชอบชีสที่สุดในโลก งับ! เชรดโด้! เส้นเหนียวนุ่ม เชดด้าชีสเองก็ไม่เลี่ยนเกินไป หวานๆมันๆหอมนมกำลังพอดี บวกกับต้นหอมแล้วตัดรสหวานได้ดีเยี่ยม กลิ่นของต้นหอมและชีสมันตีขึ้นมาที่จมูกเต็มๆ “มึงทำหน้าเวอร์ไปป่ะ” เตอร์ยิ้มแหยๆ “มึงมันอร่อย มึงรู้ป่ะว่ากูชอบชีสที่สุดในโลกเลย” ผมใช้มือฟาดโต๊ะเสียงดังจนไอ้เตอร์ถึงกับตกใจ “มึงทำเองจริงดิ” “อือ..แม่กูเคยเป็นเชฟอ่ะ ก่อนที่จะออกมาทำงานกับพ่อ” มันว่ายิ้มกว้าง ดูภูมิใจ “ตอนเด็กๆกูชอบทำกับข้าวมาก เขาเลยสอนกูไว้อ่ะ” “เฮ้ย! น่ารักว่ะ มาๆนั่งๆ” ผมกวักมือให้มันนั่งลงหลังยืนดูผมอยู่นาน “เออๆ” “ลองกินของมึงสิๆ” “..กูกินบ่อยแล้ว แล้วกูก็ไม่ชอบกินข้าวเย็นเท่าไหร่” ไอ้ห่านี่ กูบอกให้กิน ผมไม่รีรอผมรีบจับส้อมของตัวเองม้วนๆเป็นสปาเก็ตตี้คำโต “เตอร์” “ห้ะ อุ๊บ!” เสร็จกู “มันอร่อยมึงลอง” มันอร่อยจริงๆนะเว้ย หลังผมจับยัดเข้าปากมันเรียบร้อย มันก็มองผมด้วยสายตารำคาญแต่ยังคงเคี้ยวตุ้ยๆจนแก้มป่องเป็นแฮมเตอร์ อดขำไม่ได้ “ฮ่าๆ มึงนี่ แก้มเยอะเหมือนกันนะ” ผมว่าจิ้มแก้มมันไปทีหนึ่ง “ไอ้อัด!” ดูเหมือนผมจะจับยัดคำใหญ่ไป พอมันอ้าปากจะพูดไอ้สปาเก็ตตี้ที่อยู่ในปากก็เหมือนจะไหลออกมาได้ทุกเมื่อ “เคี้ยวให้หมดก่อน..อ่ะกริซ” ผมยื่นกุ้งตัวหนึ่งให้เจ้ากริซที่นอนอยู่ตรงเท้า มันกระดิกหางดิ๊กๆ เตรียมลุกขึ้น “อื้อ!” ปึง! “เชี่ยเตอร์! ไรมึงเนี่ย” ผมชักมือกลับก่อนที่ไอ้กริซจะเดินมาถึงหันไปโวยวายกับคนที่นั่งอยู่อีกฝั่ง ไม่รู้ว่ามันจะสื่อสารอะไรหรือเปล่าถึงได้ใช้ตีนทุบใต้โต๊ะซะดัง “…” แก้มสองข้างยังคงขยับไปเรื่อยๆเพียงแค่ตอนนี้มันอาจจะลดระดับความพองลง แต่ก็เหมือนแฮมเตอร์อยู่ดี “อ่ะ เคี้ยวก่อนแล้วพูด” เตอร์เริ่มเคี้ยวให้ไวขึ้น มันหยิบน้ำขึ้นมาดื่มอึกใหญ่ “มึงจะให้อาหารคอร์กี้กูไม่ได้!” มันว่าทำสีหน้าจริงจัง “ทำไมอ่ะ มึงก็ยังไม่ได้ให้ข้าวมันนี่” “กริซ แพนด้า หมีขาว จะได้กินก็ต่อเมื่อมึงหรือกูกินข้าวเสร็จแล้วเท่านั้น!” “..เพื่อ?” “มันเป็นการฝึกสุนัขของกู” มันเอนตัวลงบนเก้าอี้ดูผ่อนคลายขึ้นแต่มีมาด ไอ้สัดน่าถีบ “กูคือจ่าฝูง” “..มึงอยากเป็นหมาเหรอ?” ถามแบบซื่อๆเลยนะยอมรับว่ามีกวนตีนนิดๆ “พ่อมึงอ่ะ! มันเป็นการฝึกสุนัขอ่ะ เข้าใจ?” มันจ้อง “มึงไม่เขาใจหรอก มึงโง่ ไอ้ควาย” “เอ้า” อะไรวะคนเรา ไม่รู้คือกูผิด? “ไม่ต้องถาม รู้ไว้ก็พอ รีบๆแดก จะได้ไปล้างจาน” เอ๊ะ! “..กูล้างเหรอ” “เออดิ มึงกินคนเดียวอ่ะ” “แต่มึงเป็นเจ้าบ้านนะเว้ย!” “มึงเป็นแขกที่มาอาศัยบ้านคนอื่นกินข้าว” “มึงมันเป็นเจ้าบ้านไม่ดี ไม่มีมารยาท”มันไหวไหล่ “ก็กูพอใจ” ผมเบะปาก ม้วนสปาเก็ตตี้กินต่อ
“เห้อ..” ผมทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาข้างๆเตอร์ “ล้างเสร็จแล้วเหรอ” “อือ” “เอี่ยมเปล่าาาา” มันยกคิ้ว “เอี่ยมดิ ไม่เชื่อลองเลียดู” ไม่ทันไรหมัดหนักๆของอีกฝ่ายก็ฟาดเต็มๆเข้าที่แขนข้างซ้ายผมตามด้วยเสียงหัวเราะ “เจ็บ ไอ้สัด!” และก็เป็นผมที่เอาคืนด้วยการตบหัวมันด้วยแรงปานกลาง “เหอะๆ นี่บ้านกู” จบคำพูดมันก็ตบหัวผมกลับด้วยแรงเท่ากันแต่อาจมากกว่า “แต่กูเป็นแขกไง” ผมยิ้ม ชกมันเข้าที่แขนข้างขวา “เป็นแขกที่ไร้มารยาทเหมือนกันนะ” มันเตรียมปล่อยหมัดเข้ามาที่แขนตำแหน่งเดิมแต่ผมก็มือไวคว้าเอาไว้เสียก่อน และส่งยิ้มหวานๆสุดจะจริงใจไปให้ “พอเถอะ เชื่อกู เดี๋ยวยาว” เตอร์หัวเราะและวางมือลง “ไรวะ หนีนี่หว่า” “พรุ่งนี้ก่อน” ผมยิ้ม “น่าเบื่อว่ะ ทำไรต่อดี” “..ดูหนังป่ะ” “มีแต่หนังตอนเย็น น้ำเน่า น่าเบื่อ” “กูมีแผ่น ม้ากลับมาครั้งก่อนซื้อไว้ให้อ่ะ” เตอร์ลุกขึ่นเดินขึ่นไปยังชั้นสองสักพักแล้วโผล่หัวออกมา “รอพ่อตัดริบบิ้นเหรอ ขึ้นมา” “..ไม่ได้ดูข้างล่างแงะ” “มันมีเครื่องเล่นป่ะ แหกตาดู” มาทำเป็นบอกให้กูแหกตา แหกตามึงก่อนมั้ย นั่นตาหรือตุ่มยุ่งกัด (?) ผมตามเตอร์ขึ้นไปยังชั้นสองในห้องนอนของมัน รกนิดหน่อยตามสไตล์ผู้ชาย มีเลโก้สตาร์วอร์เต็มไปหมด พึ่งรู้เลยนะเนี่ยว่าเตอร์มันชอบสตาร์วอร์ ห้องของเตอร์ไม่ใหญ่มาก มีทีวีจอแบนเล็กๆ เตียง กับห้องน้ำในตัวแค่นั้น มีระเบียงเล็กๆที่มีต้นไม้ปลูกอยู่นิดหน่อย ห้องส่วนใหญ่จะตกแต่งโดยสีน้ำเงินมืดๆ “เตอร์นี่มึงวาดเองเหรอ” ผมถามเมื่อมองไปที่รูปผู้ชายครึ่งหน้าที่มีสีสันเต็มไปหมด “ไหน..อ๋อ รูปนั้นเตี่ยวาดอ่ะ” มันตอบแล้วก็กลับไปค้นกล่องอะไรสักอย่างของมันต่อ “นี่ไง แต่เป็นหนังรักนะ” “มีเรื่องเดียวเหรอ” ผมถามเดินเข้าไปพลิกดูแผ่นดีวีดีนั้น “อือ กูไม่ค่อยได้ดูหนังอ่ะ อันนี้ม้าก็มาทิ้งไว้” ผมพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้มันเปิด “เอาป๊อปคอร์นป่ะ” “ตลก” มันหัวเราะและกวักมือให้ผมมานั่งใกล้ๆ ห้องนอนเตอร์ไม่มีโซฟา เราเลยได้หนังดูบนเตียงแทน แบบพิงพนักเตียงเอาอ่ะ “ในห้องมีแต่กลิ่นมึง” “..มึงโรคจิตป่ะเนี่ย” “อ้าว จริงๆนะ กลิ่นมึงมันเหมือน..” ผมหยุดหันไปมองมันแล้วสูดลมหายใจเบาๆแบบไม่ใกล้ชิน “ดอกมะลิ” “…” “พึ่งนึกออก ในบ้านมึงมีแต่กลิ่นดอกมะลิ” “..คงจะเป็น สมุนไพรของอาม่ามั้ง กูชอบเอามาจุดอบๆในบ้านอ่ะ” “เออ หอมดี กูชอบ” “…” “เออ นี่เรื่องอะไรเนี่ย” ตอนหยิบมาดูกูก็ดูแต่ปกลืมอ่านชื่อเรื่องเลย “Five feet apart” “เออ แล้ว-“ “พอ หนังเริ่มล่ะ” มันยกมือเบรกเป็นจราจร อ่ะ พอก็พอ โอเค Five feet apart เป็นหนังรักของชายหญิงคู่หนึ่งที่เป็นโรคปอดเรื้อรังแล้วอยู่ใกล้กันไม่ได้ ต้องห่างกันอย่างน้อย 6 ฟุต แต่นางเอกขอย่นระยะเหลือแค่ 5 ฟุต ไม่อยากสปอยมาก ตอนแรกดูน่าเบื่อแต่พอดูจริงๆเป็นหนังที่ดีมาก มันค่อนข้างเศร้าน่ะครับ “..ฮึก” น้ำตาแตกแล้วหนึ่ง อย่าแซว ผมอ่อนไหวง่าย “อ่ะทิชเงียบๆ” เตอร์หันมามองส่งม้วนทิชชู่ให้ผม “อย่าเล่นกูเศร้าอยู่” ผมว่าใช้ทิชเงียบๆสั่งน้ำมูกไปล็อตใหญ่
’หลับตาก่อนสิ คุณมองอย่างงี้ ผมไม่รู้จะเดินจากไปยังไง’
"ฮึก..ฮืออออออ" เวลานี้ผมไม่สนมาดใดๆแล้ว ผมจะร้อง “ทิชชู่กูหมดม้วนพอดี” ใครจะเหมือนมึง ไอ้คนแข็งใจ ไอ้ใจดำ ไม่มีจิตใจ น้ำตาสักแอ๊ะยังไม่มีเลย.. ‘จงสำผัสคนที่คุณรัก ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้สัมผัสอีก’
“ฮืออออ กินใจกูเหลือเกิน” ผมว่าใช้ทิชชู่แผ่นสุดท้ายเช็ดคราบน้ำตา ก่อนหันไปมองเตอร์ “เตอร์กูขอสัมผัสมึงได้มั้ยวะเพื่อน” “พ่อมึงอ่ะ วุ้!” มันด่า ลุกหนีไปเอาแผ่นออกจากเครื่องเฉย “อ้าว กูรักมึงนะเนี่ย” “ฟัคยู” ว่าแล้วก็ยกนิ้วกลางเรียวสวยตามมาติดๆ “เออมึง เพลินเลยกี่โมงแล้ววะ” “นู่น นาฬิกา” มันยังคงหงุดหงิด พยักพะเยิดให้ผมหันไปมองนาฬิกาบนฝาพนัง.. 20 : 01 น. ทันใดเมื่อรู้เวลา ม่อนก็ลุกขึ้นไปเปิดผ้าม่านตรงระเบียงห้องเตอร์ทันที และเห็นว่าบ้านตัวเองยังคงเงียบกริบ ไฟมืดดับทั้งบ้าน หมายความว่าตอนนี้สองทุ่มเรตมาชั่วโมงนึงแล้ว..โนยังไม่กลับมาบ้าน “ม่อน” เตอร์เรียกเบาๆ “มึงไอ้โนยังไม่กลับมาเลยว่ะ” ม่อนจับไหล่เตอร์อย่างกังวล ทำให้เตอร์แปลกใจมากว่าทำไมอีกฝ่ายถึงดูห่วงน้องขนาดนี้ทั้งๆที่โนเองมันก็เป็นผู้ชาย “ใจเย็นๆ โทรหาน้องก่อนดิ” ม่อนไม่รอช้ารีบทำตามคำบอกของเตอร์ทันที ม่อนกดต่อสายหาโนไปครั้งแรกก็ทำเอาเขาโมโหเอามากๆ โนปิดเครื่อง! “มันปิดเครื่อง!” ม่อนเดินไปหาในห้อง เตอร์ไม่เคยเห็นม่อนเป็นอย่างนี้มาก่อน “ไอ้เต๋อ! กูโทรหามันก่อน” ม่อนพูดเหมือนจะพูดกับเตอร์ แต่จริงๆแล้วเหมือนพึมพำกับตัวเองมากกว่า
“ฮัลโหลเต๋อ...ไอ้โนอ่ะ…..ห้ะ!...กูนึกว่ามึงไปกับมัน……ไอ้เหี้ย!.....มึงอยู่ไหน…..ไม่เป็นไรๆ……รู้ป่ะว่ามันไปร้านไหน……ไอ้ร้านนั้นอีกแล้วหรอ!” เตอร์เข้ามาจับไหล่ม่อนเบาๆ หวังจะให้อีกฝ่ายใจเย็นลง “เออ….ถามจริงเหอะพวกมึงเข้าได้ไง…..อ๋อ…ไอ้สัดนั่นมันยัดใต้โต๊ะเลยนี่หว่า……เออกูจัดการเอง….ขอบคุณมึงมาก…เออแค่นี้ล่ะ” ม่อนกดวางสายไป แววตาดูรีบร้อนมากๆ “เดี๋ยวกูไปหาไอ้โนก่อนนะ ไอ้เหี้ย แม่งยัดเงินเข้าผับ” “เดี๋ยวกูไปด้วย” “เออ ไป” ม่อนรีบดึงมือเตอร์ให้ตามตนเองไปโดยไว
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
4 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
3 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ