The Ancient Stone ตำนานศิลาโบราณ
-
เขียนโดย Halpy
วันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 เวลา 20.46 น.
1 chapter
0 วิจารณ์
2,580 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 21.24 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) Prologue
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ "ทิ้งสมอเรือ!" เสียงตระโกนจากหัวเรือดังกังวาลไปทั่วบริเวณ กะลาสีร่างใหญ่ทอดสมอหนักกว่าร้อยกิโลลงไปด้านล่างพื้นน้ำ
ที่เย็นเฉียบ เสียงไม้ร้องดังเอี้ยดอ้าดจากการเดินทางที่ยาวนาน เสากระโดงเรือมีร่องรอยจากการต่อสู้เหลืออยู่ ปืนใหญ่เอียงไปมาตามแรงเหวี่ยงของเรือที่โดนคลื่นทะเลกระแทกใส่ เรือค่อยๆเดินทางเข้าใกล้ฝั่ง จากนั้นไม่นานก็เกิดแรงกระแทกจากพื้นทรายเรือได้จอดอยู่บริเวณหาดทรายที่ยาวสุดลูกหูลูกตา เบื้องหน้าเป็นภูเขาและหินผาที่รายล้อมไปด้วยก้อนหินแหลมท้องฟ้าเริ่มกลายเป็นสีแดงส้มแกม แสงอาทิตย์เริ่มเลือนลางลงแล้ว
"จากการคำนวณของข้า ข้าคิดว่าเกาะแห่งนี้คงมีอายุมากกว่า 1000 ปีแล้ว คงจะเป็นการดีถ้าหากท่านรีบทำธุระที่นี้ให้เสร็จโดยเร็วก่อนที่จะเกิดเรื่องที่ไม่ดีขึ้น" ชายแก่พูดขึ้นมาด้วยด้วยน้ำเสียงวิตกกังวล พลางหยิบตะเกียงขึ้นมาจุดไฟให้มองเห็นแผนที่โลกที่เก่าจนเหลืองไปหมด "พวกเราออกนอกพื้นที่รับรองมาไกลมากแล้ว ได้โปรดอย่าประมาท " เขาพูดกับกัปตันที่กำลังส่องกล้องส่องทางไกลไปที่เกาะตรงหน้า
"ไม่ต้องห่วงหรอกท่าน พวกข้าจะไปไม่นานหรอก" กัปตันมากอายุพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงมั่นใจ สายตาจดจ่อไปที่แหลมหินรอบๆ ไม่พบร่องรอยของสิ่งมีชีวิตอยู่เลย เสียงที่ได้ยินมีเพียงแต่เสียงคลื่นน้ำกระทบกับฝั่งทะเลและเสียงลมที่พัดออกมาจากรอยแยกของภูเขา ถ้าหากจะรอให้ถึงเช้าในวันพรุ่งนี้ก็อาจะไม่ทันการ อาหารและน้ำจืดกำลังจะหมดลงแล้ว เกาะแห่งนี้ก็ไม่มีวี่แววว่าจะสามารถพักอาศัยได้ ต้องรีบทำภารกิจนี้ให้เสร็จก่อนที่จะเดินทางกลับ
"เราจะเข้าไปในรอยแยกนั่นแล้วกลับออกมาก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้นอีกครั้ง จดบันทึกให้มากที่สุดเท่าที่พวกเจ้าทำได้และจงจำไว้ว่า พวกเจ้าต้องปกป้องนักวาดไว้ด้วยชีวิต ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม จงนำข้อมูลนี้กลับสู่แผ่นดินหลักให้ได้"กัปตันป่าวประกาศคำสั่งเสียงดัง กะลาสีส่งเสียงร้องรับคำสั่งตอบกลับแล้วทำการเตรียมตัวลงเรือเดินทางเข้าขึ้นบนเกาะแห่งนี้
เด็กหนุ่มหุ่นผอมแห้งแต่งตัวใส่เสื้อผ้าหนัง พร้อมเก็บอุปกรณ์สำหรับวาดภาพมากมายลงในเป้ ที่สำคัญที่สุดคือกระดาษห้ามลืมเด็ดขาด ขวดน้ำหมึกขนาดเล็กถูกนำมาเก็บไว้ด้านข้างกางเกง พร้อมกับมีดสั้นที่ใช้ในการป้องกันตัวยามฉุกเฉิน มีดเล็กขนาดนี้จะไปฆ่าอะไรได้หล่ะเนี่ย เขาคิดในใจพร้อมกับใส่เสื้อสำหรับนักวาด หนักชะมัดเลย
"นี้เจ้าหนู เรากำลังจะเดินทางแล้ว รีบๆเตรียมของให้เสร็จแล้วลงไปด้านล่างซักที" กะลาสีร่างใหญ่พูดใส่เด็กหนุ่มด้วยน้ำเสียงดุดัน "เดี๋ยวข้าจะรีบตามลงไปนะท่าน ข้ายังเหลือของที่ต้องเตรียมนิดหน่อย" เด็กหนุ่มรีบหยิบกล้องส่องทางไกลกล่องไม้ขนาดเล็ก เข็มทิศ และ ขวดเหล้าเปล่า เขาใส่สร้อยคอที่มีรูปกากบาทสีเทาก่อนที่จะเปิดประตูออกไป
เด็กหนุ่มเด็กหนุ่มรีบวิ่งออกมาจากห้องพัก เพื่อที่จะได้เดินลงไปข้างล่างชายหาด แต่ถูกชายแก่หยุดไว้ "ไอหนุ่ม.. ข้ารู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ... ถ้าหากเกิดอะไรขึ้น จงรีบหนีออกมาเสีย" ชายแก่พูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง มือที่จับไม้เท้าสั่นเทาไปหมด"ไม่ต้องห่วงหรอกท่าน ข้าฝึกการเป็นนักวาดมาแล้ว ข้าไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอก" เขาพูดและเดินต่อไป ชายแก่จับสร้อยคอกากบาทที่มีสีทองแล้วขอพร เท้าของชายหนุ่มได้ก้าวลงมาสัมผัสกับชายหาด มันแข็งกว่าพื้นทรายทั่วไป
"เอาหล่ะสหายของข้า เราจะเดินขบวนเข้าไป จงเตรียมตะเกียงและน้ำมันไว้ให้พร้อม อย่าให้ขาดแสงไฟเป็นอันขาด"กัปตันพูดเสียงดังแล้วทำการจัดหมวกให้เรียบร้อย เขาหยิบตะเกียงขึ้นมาแล้วจุดไฟ พร้อมกับค่อยๆเดินเข้าไปในรอยแยกของภูเขา เด็กหนุ่มยืนมองไปรอบๆพร้อมกับเปิดแผ่นไม้ที่ติดอยู่กับเสื้อ เป็นเหมือนแผ่นกระดานวาดภาพที่ติดอยู่กับอก เขาหยิบกล่องไม้ขนาดเล็กแล้วเปิดออกมามีหินส่องสว่าง เขาหยิบหินออกมาเสียบไว้กับที่รูที่กลางอก เผื่อให้มีแสงเหมาะสำหรับการเขียนเขาหยิบปากกาขึ้นมาจุ่มขวดน้ำหมึกที่เปิดฝารอไว้ด้านข้างกางเกง แล้วทำการเริ่มเขียนบันทึก และ วาดภาพสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
การเดินทางรอบนี้ราบลื่นมากกว่าทุกครั้ง ภายในรอยแยกนั้นไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจเสียเท่าไหร่ มีเพียงแต่หินแหลมๆที่พร้อมจะแทงทะลุร่างกายบุคคลที่เดินไม่ระวัง ชายหนุ่มเดินเขียนบันทึกเหมือนทุกครั้ง โดยมีกะลาสีร่างโตคอยเดินถือตะเกียงส่องสว่างไปโดยรอบ ดาบข้างเอวกระทบกันดังกังวาล กะลาสีพวกนี้ตัวใหญ่จนพื้นดินที่ก้าวผ่านสั่นสะเทือนตามจังหวะการเดิน ข้านึกว่าแผ่นดินไหวเสียแล้วซะอีก ชายหนุ่มคิดในใจ
ทุกอย่างเริ่มมืดลงอย่างเห็นได้ชัด ตอนนี้จะเป็นเวลากลางคืนเสียแล้ว
"นั้นมันอะไรหน่ะ" ชายกะลาสีที่เดินนำอยู่ด้านหน้าเอ่ยขึ้น สายตาของทุกคนจดจ้องไปที่ปากถ่ำที่มีสัญลักษณ์ประหลาดแกะสลักไว้ที่หิน มันเป็นสัญลักษณ์ที่แปลกประหลาดไม่สามารถตีความได้ มันถูกแกะไว้เป็นอย่างดีราวกับชิ้นงานของนักแกะสลักมือหนึ่ง คำถามมากมายหลั่งไหลเข้ามาในความคิดของทุกคนตรงหน้า แต่ก็ไม่สามารถตอบอะไรได้เลย
"เจ้าเคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนไหมเจ้าหนู" กัปตันกล่าวพร้อมหันมามองนักวาดหนุ่มที่กำลังจดจ่อกับการวาดสัญลักษณ์บนปากถ่ำนั้น "มันเป็นสัญลักษณ์ที่ซับซ้อนที่สุดเท่าที่ข้าเคยวาดมาเลย" เขาพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ในมือวาดภาพอย่างรวดเร็วด้วยปากกาคู่ใจ "ข้าคิดว่า พวกเรามาถูกที่แล้วกัปตัน ศิลาต้องอยู่ที่นี้เป็นแน่"
"งานนี้พวกเราคงได้เลื่อนยศเป็นแน่แท้" กะลาสีคนหนึ่งพูดขึ้นมา ชาวกะลาสีกว่าสิบคนส่งเสียงโหร้องดีใจ พร้อมกับยิ้มหัวเราะชอบใจกัน "นี้! อย่าเพิ่งดีใจไป ภารกิจของเรายังไม่จบนะ" กัปตันตะคอกขึ้นมา พร้อมกับเดินเข้าใกล้ปากถ่ำ เขาหยิบเศษหินที่ตกอยู่แล้วโยนเข้าไปในถ่ำ เสียงก้อนหินกระทบดังก้องไป มันค่อยๆเบาลงเรื่อยๆจนเงียบในที่สุด
"ถ่ำนี้ใหญ่กว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก" เขาเอ่ยขึ้นมาพร้อมมองไปในถ่ำที่มืดสนิท "เอาหล่ะ ตามข้ามา" เขาพูดบอกกับกะลาสีแล้วเดินนำเข้าไปในถ่ำ แสงจากตะเกียงเปิดเผยให้เห็นเพดานถ่ำที่ค่อยๆสูงขึ้นเรื่อยทุกครั้งที่เดินเข้าไป มีหินงอกหินย้อยแหลมผิดธรรมชาติของถ่ำหินปูน เส้นทางในถ่ำเดินลาดลงไปเรื่อยๆ บรรยากาศโดยรอบมืดสนิม ถ้าหากไม่มีแสงจากตะเกียง และ หินส่องสว่างของชายหนุ่มคงได้เดินหลงเป็นอันแน่ ชายหนุ่มเขียนอธิบายถึงสิ่งที่เห็นรอบตัวพร้อมกับม้วนกระดาษเก็บไว้ในขวด
การเดินทางในถ่ำช่างยาวนานและน่าเบื่อ รอบตัวไม่มีอะไรนอกจากหินแหลม กัปตันหยิบเข็มทิศขึ้นมาดู พบว่าเข็มหมุนราวกับน้ำวนที่รุนแรง เสียงก้าวเดินของพวกเขาก้องกังวาลขึ้นมากกว่าตอนที่เดินเข้ามาในถ่ำ ตอนนี้พวกเขาเดินเข้ามาถึงโถงใหญ่แล้ว
"กอน หยิบไอนั้นมาให้ฉันสิ" เขาสั่งกะลาสีให้หยิบอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งออกมาจากเป้ที่แบกไว้ มันเป็นเหมือนกระบอกไม้ไผ่ที่ใหญ่เท่ามือ มีสายผ้าไหมยื่นออกมาจากปากกระบอก กัปตันหยิบไม้ไผ่แล้วจุดไฟไปที่ผ้าไหม พร้อมกับขว้างเข้าไปในห้องโถง
ตู้มมม! เสียงระเบิดดังสนั่นไปทั่วถ่ำ มีเศษผงส่องสว่างกระจายไปทั่วบริเวณ แสงจากเศษผงเหล่านั้นทำให้มองเห็นว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเป็นเสมือนกับเสาหินสี่เหลี่ยมสีดำขนาดใหญ่ ขนาดของมันเทียบเท่ากับบ้านหลังหนึ่ง ถูกแกะสลักไปด้วยสัญลักษณ์มากมายราวกับท้องทะเลที่มีปลาแหวกว่ายเต็มไปหมด นี้คือศิลาที่ตามหาอย่างแน่นอนไม่มีผิด ศิลาถูกล้อมรอบไปด้วยก้อนหินสีดำขนาดเล็กกระจัดกระจายไปอยู่ทั่วบริเวณ มันถูกวางเรียงไว้เป็นวงกลมล้อมรอบศิลาราวกับดวงดาวที่ล้อมรอบดวงจันทร์ ชายหนุ่มวาดภาพสิ่งที่อยู่ตรงหน้าตาไม่กระพิบ
"นี้เป็นการค้นพบที่สำคัญมาก ทางการต้องรับรู้เรื่องนี้โดยเร็วที่สุด" กัปตันหันหลังกลับมาพูดกับเหล่าผู้ติดตามของเขาพร้อมกับยิ้ม ตะโกนเสียงเหลั่นดังกังวาล นี้เป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขาเลยก็ว่าได้
โคร้มมมม!เสียงดังสนั่นดังมาจากข้างหลังของหินศิลา เสียงเหของเหล่านักเดินทางหายไปในทันที พวกเขามองหาต้นกำเนิดเสียงนั้นมันคือเสียงอะไรกัน มันดังเสียยิ่งกว่าฟ้าร้อง
ตู้มมม! เสียงมันดังขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงเสียงเท่านั้น พื้นที่พวกเขากำลังยืนอยู่เริ่มเปียกไปหมด น้ำกำลังไหลเข้ามาในถ่ำ?!
"หนีออกจากถ่ำเร็วเข้า!" กัปตันตะโกนขึ้นมา ชายหนุ่มรีบเก็บกระดานวาดภาพพับไว้กับเสื้อ นำกระดาษที่จดบันทึกม้วนใส่ขวดแก้วแล้วปิดฝาขวดไว้ แล้วเริ่มทำการวิ่งสุดกำลัง เสียงโกลาหลของกะลาสีดังก้องไปทั่วถ่ำ พวกเขาต้องรีบวิ่งกลับไปที่ปากถ่ำ แต่เส้นทางมันช่างยาวไกลเสียเหลือเกิน แผ่นดินของถ่ำเริ่มสั่นไหว เสียงน้ำที่ไหลขึ้นตามมาด้านหลังติดๆ เด็กหนุ่มวิ่งตาม หลังของกัปตันมาไม่ห่าง พวกกะลาสีวิ่งคุ้มครองให้ด้านหลัง น้ำไหลเชี้ยวขึ้นมาราวกับจะกลืนกินทุกอย่างที่มันผ่าน
"อ้ากกกก" กะลาสีผู้โชคร้ายสะดุดล้มใส่หินแหลม หินปักเข้าใส่แขนของเขาจนทะลุออก "ช่วยข้าด้วย!!" เขาตะโกนดังโหยหวนแต่ทว่าไม่มีผู้ใดที่จะช่วยเขาเลย "ข- ข้าขอโทษ" กะลาสีคนอื่นพูดพร้อมกับหันหลังวิ่งขึ้นไป เสียงกะลาสีร้องตะโกนเรียกให้พวกเขาหันกลับไปช่วยดังขึ้นมาอย่างน่าเวทนา แต่ไม่นานนักเสียงนั้นก็หายไปพร้อมกับเสียงน้ำที่ไหลขึ้นตามหลังพวกเขา
พวกเขาวิ่งสุดแรงเท่าที่พวกเขาจะมีได้ สายตาของพวกเขามองไปรอบๆเผื่อไม่ให้วิ่งชนหินแหลม เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นตามมาเป็นระยะ ชายหนุ่มวิ่งหน้าตื่นกลัว วิ่งกอดเป้แน่น หินย้อยบนเพดานถ่ำหักตกลงมากระทบพื้น เขาได้ยินเสียงกะลาสีร้องด้วยความเจ็บปวดดังมาจาดด้านหลังของเขา ได้โปรด ขอให้มันจบลงเสียที่!
ไม่นานนัก พวกเขาเริ่มมองเห็นแสงจันทร์ที่เริ่มส่องสว่างมาจากปากถ่ำ พวกเขาใกล้ถึงทางออกแล้ว พวกเขาวิ่งเต็มกำลังเราจะต้องรอดออกไปให้ได้!
โครมมมม
เสียงหินถล่มดังสนั่น ปากถ่ำถูกหินถล่มปิดไว้สนิท ร่างของผู้รอดชีวิตนอนแผ่อยู่บนพื้น พวกเขาค่อยๆลุกขึ้นมาปัดเศษดินที่เปรอะเปื้อนตามตัว กัปตันหยิบหมวกที่หลุดกระเด็นมาปัดไปมา ชายหนุ่มลุกขึ้นมาปัดตัวพร้อมเปิดเป้สำรวจดูของยังอยู่ครบ แล้วเขามองไปที่กัปตันที่กำลังลงไปนั่งบนพื้นพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ
"สี่คน.... พวกเราสูญเสียลูกเรือถึงสี่คน..." กัปตันพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธ "ทำไมมันต้องเป็นแบบนี้ด้วย!" เขาโยนหมวกลงกับพื้นอย่างรุนแรง ใบหน้าของเขามีน้ำตาไหลออกมา เขากำลังเสียใจชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงความเศร้าที่ระเบิดออกมาจากกัปตัน เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากมองดูผู้นำที่กำลังเจ็บปวด
ความโศรกเศร้าของพวกเขาถูกขัดด้วยเสียงสั่นสะเทือน แผ่นดินที่พวกเขายืนอยู่เริ่มสั่นไหว มันรุนแรงกว่าในถ่ำเสียอีกรอยแยกเริ่มมีการเคลื่อนไหว มันกำลังบีบเข้ามา!
พวกเขารีบลุกขึ้นมาวิ่งหนีตายอีกครั้ง น้ำจากถ่ำพุ่งกระฉูดอย่างรุนแรงออกมาจากปากถ่ำ พวกเขาต้องหนีออกไปจากเกาะนี้!หินแหลมรอบๆตัวเริ่มหล่นหักลงมา แผ่นดินสั่นไหวรุนแรงราวกับว่ามันจะแตกออกเป็นชิ้นๆ
"ระวัง!!" กะลาสีตะโกนด้วยความตกใจ ก้อนหินก้อนใหญ่ตกลงมาใส่จุดที่พวกเขากำลังวิ่งผ่าน กะลาสีผลักชายหนุ่มจนเขากระเด็นออกมา ก่อนที่ก้อนหินตกลงมาใส่ร่างของเขาเต็มแรง หินห่างจากเขาเพียงฝ่ามือเดียวเท่านั้น แต่ทว่าเจ้าของเสียงคนนั้นถึงจุดจบลงเสียแล้ว
ชายหนุ่มยืนมองไปที่ร่างของชายกะลาสีผู้ช่วยชีวิตของเขาด้วยความเวทนา... เขาตายเพราะข้าอย่างนั้นหรือ เขายืนแข็งทื่อก่อนที่จะโดนมือกระชากที่แขนเสื้อ "วิ่งเร็วเข้า!!" กัปตันตระโกนใส่เขาพร้อมกับดึงให้เขาวิ่งตาม ชายหนุ่มรีบวิ่งตามทางที่พวกเขาเดินตามมาก่อนที่จะเห็นแสงจากเรือ พวกเขาถึงเรือแล้ว!
"รีบออกเรือซะ!!" กัปตันตะโกนสั่งกะลาสีที่กำลังนั่งเฝ้าเรือ พวกเขาวิ่งวุ่นวายและดึงสมอเรือขึ้นมา น้ำจากถ่ำไหลมาถึงเรือแล้วพวกเขารีบวิ่งขึ้นเรืออย่างรวดเร็ว เก็บแผ่นไม้ แล้วเตรียมออกเรือโดยด่วนที่สุด พวกเขารอดแล้ว
ตู้มมมม เสียงระเบิดดังมาจากด้านล่างของเรือ เสาหินสีดำแทงขึ้นมาจากพื้นทรายทะลุลำเรือ เด็กหนุ่มถูกแรงกระแทกกระเด็นตกลงทะเลเขารีบว่ายขึ้นมาหายใจเหนือน้ำ สิ่งที่เขาเห็นตรงหน้าคือพื้นดินนั้นกำลังพริ้วไหวราวกับสิ่งมีชีวิต เกาะทั้งเกาะกำลังเคลื่อนไหวภูเขาที่อยู่ตรงหน้าขยับราวกับว่าเป็นมือขนาดใหญ่มหึมา มันลอยเข้ามาเหนือเรือของพวกเขาก่อนที่มันจะตกลงมาใส่อย่างแรง...
ที่เย็นเฉียบ เสียงไม้ร้องดังเอี้ยดอ้าดจากการเดินทางที่ยาวนาน เสากระโดงเรือมีร่องรอยจากการต่อสู้เหลืออยู่ ปืนใหญ่เอียงไปมาตามแรงเหวี่ยงของเรือที่โดนคลื่นทะเลกระแทกใส่ เรือค่อยๆเดินทางเข้าใกล้ฝั่ง จากนั้นไม่นานก็เกิดแรงกระแทกจากพื้นทรายเรือได้จอดอยู่บริเวณหาดทรายที่ยาวสุดลูกหูลูกตา เบื้องหน้าเป็นภูเขาและหินผาที่รายล้อมไปด้วยก้อนหินแหลมท้องฟ้าเริ่มกลายเป็นสีแดงส้มแกม แสงอาทิตย์เริ่มเลือนลางลงแล้ว
"จากการคำนวณของข้า ข้าคิดว่าเกาะแห่งนี้คงมีอายุมากกว่า 1000 ปีแล้ว คงจะเป็นการดีถ้าหากท่านรีบทำธุระที่นี้ให้เสร็จโดยเร็วก่อนที่จะเกิดเรื่องที่ไม่ดีขึ้น" ชายแก่พูดขึ้นมาด้วยด้วยน้ำเสียงวิตกกังวล พลางหยิบตะเกียงขึ้นมาจุดไฟให้มองเห็นแผนที่โลกที่เก่าจนเหลืองไปหมด "พวกเราออกนอกพื้นที่รับรองมาไกลมากแล้ว ได้โปรดอย่าประมาท " เขาพูดกับกัปตันที่กำลังส่องกล้องส่องทางไกลไปที่เกาะตรงหน้า
"ไม่ต้องห่วงหรอกท่าน พวกข้าจะไปไม่นานหรอก" กัปตันมากอายุพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงมั่นใจ สายตาจดจ่อไปที่แหลมหินรอบๆ ไม่พบร่องรอยของสิ่งมีชีวิตอยู่เลย เสียงที่ได้ยินมีเพียงแต่เสียงคลื่นน้ำกระทบกับฝั่งทะเลและเสียงลมที่พัดออกมาจากรอยแยกของภูเขา ถ้าหากจะรอให้ถึงเช้าในวันพรุ่งนี้ก็อาจะไม่ทันการ อาหารและน้ำจืดกำลังจะหมดลงแล้ว เกาะแห่งนี้ก็ไม่มีวี่แววว่าจะสามารถพักอาศัยได้ ต้องรีบทำภารกิจนี้ให้เสร็จก่อนที่จะเดินทางกลับ
"เราจะเข้าไปในรอยแยกนั่นแล้วกลับออกมาก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้นอีกครั้ง จดบันทึกให้มากที่สุดเท่าที่พวกเจ้าทำได้และจงจำไว้ว่า พวกเจ้าต้องปกป้องนักวาดไว้ด้วยชีวิต ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม จงนำข้อมูลนี้กลับสู่แผ่นดินหลักให้ได้"กัปตันป่าวประกาศคำสั่งเสียงดัง กะลาสีส่งเสียงร้องรับคำสั่งตอบกลับแล้วทำการเตรียมตัวลงเรือเดินทางเข้าขึ้นบนเกาะแห่งนี้
เด็กหนุ่มหุ่นผอมแห้งแต่งตัวใส่เสื้อผ้าหนัง พร้อมเก็บอุปกรณ์สำหรับวาดภาพมากมายลงในเป้ ที่สำคัญที่สุดคือกระดาษห้ามลืมเด็ดขาด ขวดน้ำหมึกขนาดเล็กถูกนำมาเก็บไว้ด้านข้างกางเกง พร้อมกับมีดสั้นที่ใช้ในการป้องกันตัวยามฉุกเฉิน มีดเล็กขนาดนี้จะไปฆ่าอะไรได้หล่ะเนี่ย เขาคิดในใจพร้อมกับใส่เสื้อสำหรับนักวาด หนักชะมัดเลย
"นี้เจ้าหนู เรากำลังจะเดินทางแล้ว รีบๆเตรียมของให้เสร็จแล้วลงไปด้านล่างซักที" กะลาสีร่างใหญ่พูดใส่เด็กหนุ่มด้วยน้ำเสียงดุดัน "เดี๋ยวข้าจะรีบตามลงไปนะท่าน ข้ายังเหลือของที่ต้องเตรียมนิดหน่อย" เด็กหนุ่มรีบหยิบกล้องส่องทางไกลกล่องไม้ขนาดเล็ก เข็มทิศ และ ขวดเหล้าเปล่า เขาใส่สร้อยคอที่มีรูปกากบาทสีเทาก่อนที่จะเปิดประตูออกไป
เด็กหนุ่มเด็กหนุ่มรีบวิ่งออกมาจากห้องพัก เพื่อที่จะได้เดินลงไปข้างล่างชายหาด แต่ถูกชายแก่หยุดไว้ "ไอหนุ่ม.. ข้ารู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ... ถ้าหากเกิดอะไรขึ้น จงรีบหนีออกมาเสีย" ชายแก่พูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง มือที่จับไม้เท้าสั่นเทาไปหมด"ไม่ต้องห่วงหรอกท่าน ข้าฝึกการเป็นนักวาดมาแล้ว ข้าไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอก" เขาพูดและเดินต่อไป ชายแก่จับสร้อยคอกากบาทที่มีสีทองแล้วขอพร เท้าของชายหนุ่มได้ก้าวลงมาสัมผัสกับชายหาด มันแข็งกว่าพื้นทรายทั่วไป
"เอาหล่ะสหายของข้า เราจะเดินขบวนเข้าไป จงเตรียมตะเกียงและน้ำมันไว้ให้พร้อม อย่าให้ขาดแสงไฟเป็นอันขาด"กัปตันพูดเสียงดังแล้วทำการจัดหมวกให้เรียบร้อย เขาหยิบตะเกียงขึ้นมาแล้วจุดไฟ พร้อมกับค่อยๆเดินเข้าไปในรอยแยกของภูเขา เด็กหนุ่มยืนมองไปรอบๆพร้อมกับเปิดแผ่นไม้ที่ติดอยู่กับเสื้อ เป็นเหมือนแผ่นกระดานวาดภาพที่ติดอยู่กับอก เขาหยิบกล่องไม้ขนาดเล็กแล้วเปิดออกมามีหินส่องสว่าง เขาหยิบหินออกมาเสียบไว้กับที่รูที่กลางอก เผื่อให้มีแสงเหมาะสำหรับการเขียนเขาหยิบปากกาขึ้นมาจุ่มขวดน้ำหมึกที่เปิดฝารอไว้ด้านข้างกางเกง แล้วทำการเริ่มเขียนบันทึก และ วาดภาพสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
การเดินทางรอบนี้ราบลื่นมากกว่าทุกครั้ง ภายในรอยแยกนั้นไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจเสียเท่าไหร่ มีเพียงแต่หินแหลมๆที่พร้อมจะแทงทะลุร่างกายบุคคลที่เดินไม่ระวัง ชายหนุ่มเดินเขียนบันทึกเหมือนทุกครั้ง โดยมีกะลาสีร่างโตคอยเดินถือตะเกียงส่องสว่างไปโดยรอบ ดาบข้างเอวกระทบกันดังกังวาล กะลาสีพวกนี้ตัวใหญ่จนพื้นดินที่ก้าวผ่านสั่นสะเทือนตามจังหวะการเดิน ข้านึกว่าแผ่นดินไหวเสียแล้วซะอีก ชายหนุ่มคิดในใจ
ทุกอย่างเริ่มมืดลงอย่างเห็นได้ชัด ตอนนี้จะเป็นเวลากลางคืนเสียแล้ว
"นั้นมันอะไรหน่ะ" ชายกะลาสีที่เดินนำอยู่ด้านหน้าเอ่ยขึ้น สายตาของทุกคนจดจ้องไปที่ปากถ่ำที่มีสัญลักษณ์ประหลาดแกะสลักไว้ที่หิน มันเป็นสัญลักษณ์ที่แปลกประหลาดไม่สามารถตีความได้ มันถูกแกะไว้เป็นอย่างดีราวกับชิ้นงานของนักแกะสลักมือหนึ่ง คำถามมากมายหลั่งไหลเข้ามาในความคิดของทุกคนตรงหน้า แต่ก็ไม่สามารถตอบอะไรได้เลย
"เจ้าเคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนไหมเจ้าหนู" กัปตันกล่าวพร้อมหันมามองนักวาดหนุ่มที่กำลังจดจ่อกับการวาดสัญลักษณ์บนปากถ่ำนั้น "มันเป็นสัญลักษณ์ที่ซับซ้อนที่สุดเท่าที่ข้าเคยวาดมาเลย" เขาพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ในมือวาดภาพอย่างรวดเร็วด้วยปากกาคู่ใจ "ข้าคิดว่า พวกเรามาถูกที่แล้วกัปตัน ศิลาต้องอยู่ที่นี้เป็นแน่"
"งานนี้พวกเราคงได้เลื่อนยศเป็นแน่แท้" กะลาสีคนหนึ่งพูดขึ้นมา ชาวกะลาสีกว่าสิบคนส่งเสียงโหร้องดีใจ พร้อมกับยิ้มหัวเราะชอบใจกัน "นี้! อย่าเพิ่งดีใจไป ภารกิจของเรายังไม่จบนะ" กัปตันตะคอกขึ้นมา พร้อมกับเดินเข้าใกล้ปากถ่ำ เขาหยิบเศษหินที่ตกอยู่แล้วโยนเข้าไปในถ่ำ เสียงก้อนหินกระทบดังก้องไป มันค่อยๆเบาลงเรื่อยๆจนเงียบในที่สุด
"ถ่ำนี้ใหญ่กว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก" เขาเอ่ยขึ้นมาพร้อมมองไปในถ่ำที่มืดสนิท "เอาหล่ะ ตามข้ามา" เขาพูดบอกกับกะลาสีแล้วเดินนำเข้าไปในถ่ำ แสงจากตะเกียงเปิดเผยให้เห็นเพดานถ่ำที่ค่อยๆสูงขึ้นเรื่อยทุกครั้งที่เดินเข้าไป มีหินงอกหินย้อยแหลมผิดธรรมชาติของถ่ำหินปูน เส้นทางในถ่ำเดินลาดลงไปเรื่อยๆ บรรยากาศโดยรอบมืดสนิม ถ้าหากไม่มีแสงจากตะเกียง และ หินส่องสว่างของชายหนุ่มคงได้เดินหลงเป็นอันแน่ ชายหนุ่มเขียนอธิบายถึงสิ่งที่เห็นรอบตัวพร้อมกับม้วนกระดาษเก็บไว้ในขวด
การเดินทางในถ่ำช่างยาวนานและน่าเบื่อ รอบตัวไม่มีอะไรนอกจากหินแหลม กัปตันหยิบเข็มทิศขึ้นมาดู พบว่าเข็มหมุนราวกับน้ำวนที่รุนแรง เสียงก้าวเดินของพวกเขาก้องกังวาลขึ้นมากกว่าตอนที่เดินเข้ามาในถ่ำ ตอนนี้พวกเขาเดินเข้ามาถึงโถงใหญ่แล้ว
"กอน หยิบไอนั้นมาให้ฉันสิ" เขาสั่งกะลาสีให้หยิบอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งออกมาจากเป้ที่แบกไว้ มันเป็นเหมือนกระบอกไม้ไผ่ที่ใหญ่เท่ามือ มีสายผ้าไหมยื่นออกมาจากปากกระบอก กัปตันหยิบไม้ไผ่แล้วจุดไฟไปที่ผ้าไหม พร้อมกับขว้างเข้าไปในห้องโถง
ตู้มมม! เสียงระเบิดดังสนั่นไปทั่วถ่ำ มีเศษผงส่องสว่างกระจายไปทั่วบริเวณ แสงจากเศษผงเหล่านั้นทำให้มองเห็นว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเป็นเสมือนกับเสาหินสี่เหลี่ยมสีดำขนาดใหญ่ ขนาดของมันเทียบเท่ากับบ้านหลังหนึ่ง ถูกแกะสลักไปด้วยสัญลักษณ์มากมายราวกับท้องทะเลที่มีปลาแหวกว่ายเต็มไปหมด นี้คือศิลาที่ตามหาอย่างแน่นอนไม่มีผิด ศิลาถูกล้อมรอบไปด้วยก้อนหินสีดำขนาดเล็กกระจัดกระจายไปอยู่ทั่วบริเวณ มันถูกวางเรียงไว้เป็นวงกลมล้อมรอบศิลาราวกับดวงดาวที่ล้อมรอบดวงจันทร์ ชายหนุ่มวาดภาพสิ่งที่อยู่ตรงหน้าตาไม่กระพิบ
"นี้เป็นการค้นพบที่สำคัญมาก ทางการต้องรับรู้เรื่องนี้โดยเร็วที่สุด" กัปตันหันหลังกลับมาพูดกับเหล่าผู้ติดตามของเขาพร้อมกับยิ้ม ตะโกนเสียงเหลั่นดังกังวาล นี้เป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขาเลยก็ว่าได้
โคร้มมมม!เสียงดังสนั่นดังมาจากข้างหลังของหินศิลา เสียงเหของเหล่านักเดินทางหายไปในทันที พวกเขามองหาต้นกำเนิดเสียงนั้นมันคือเสียงอะไรกัน มันดังเสียยิ่งกว่าฟ้าร้อง
ตู้มมม! เสียงมันดังขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงเสียงเท่านั้น พื้นที่พวกเขากำลังยืนอยู่เริ่มเปียกไปหมด น้ำกำลังไหลเข้ามาในถ่ำ?!
"หนีออกจากถ่ำเร็วเข้า!" กัปตันตะโกนขึ้นมา ชายหนุ่มรีบเก็บกระดานวาดภาพพับไว้กับเสื้อ นำกระดาษที่จดบันทึกม้วนใส่ขวดแก้วแล้วปิดฝาขวดไว้ แล้วเริ่มทำการวิ่งสุดกำลัง เสียงโกลาหลของกะลาสีดังก้องไปทั่วถ่ำ พวกเขาต้องรีบวิ่งกลับไปที่ปากถ่ำ แต่เส้นทางมันช่างยาวไกลเสียเหลือเกิน แผ่นดินของถ่ำเริ่มสั่นไหว เสียงน้ำที่ไหลขึ้นตามมาด้านหลังติดๆ เด็กหนุ่มวิ่งตาม หลังของกัปตันมาไม่ห่าง พวกกะลาสีวิ่งคุ้มครองให้ด้านหลัง น้ำไหลเชี้ยวขึ้นมาราวกับจะกลืนกินทุกอย่างที่มันผ่าน
"อ้ากกกก" กะลาสีผู้โชคร้ายสะดุดล้มใส่หินแหลม หินปักเข้าใส่แขนของเขาจนทะลุออก "ช่วยข้าด้วย!!" เขาตะโกนดังโหยหวนแต่ทว่าไม่มีผู้ใดที่จะช่วยเขาเลย "ข- ข้าขอโทษ" กะลาสีคนอื่นพูดพร้อมกับหันหลังวิ่งขึ้นไป เสียงกะลาสีร้องตะโกนเรียกให้พวกเขาหันกลับไปช่วยดังขึ้นมาอย่างน่าเวทนา แต่ไม่นานนักเสียงนั้นก็หายไปพร้อมกับเสียงน้ำที่ไหลขึ้นตามหลังพวกเขา
พวกเขาวิ่งสุดแรงเท่าที่พวกเขาจะมีได้ สายตาของพวกเขามองไปรอบๆเผื่อไม่ให้วิ่งชนหินแหลม เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นตามมาเป็นระยะ ชายหนุ่มวิ่งหน้าตื่นกลัว วิ่งกอดเป้แน่น หินย้อยบนเพดานถ่ำหักตกลงมากระทบพื้น เขาได้ยินเสียงกะลาสีร้องด้วยความเจ็บปวดดังมาจาดด้านหลังของเขา ได้โปรด ขอให้มันจบลงเสียที่!
ไม่นานนัก พวกเขาเริ่มมองเห็นแสงจันทร์ที่เริ่มส่องสว่างมาจากปากถ่ำ พวกเขาใกล้ถึงทางออกแล้ว พวกเขาวิ่งเต็มกำลังเราจะต้องรอดออกไปให้ได้!
โครมมมม
เสียงหินถล่มดังสนั่น ปากถ่ำถูกหินถล่มปิดไว้สนิท ร่างของผู้รอดชีวิตนอนแผ่อยู่บนพื้น พวกเขาค่อยๆลุกขึ้นมาปัดเศษดินที่เปรอะเปื้อนตามตัว กัปตันหยิบหมวกที่หลุดกระเด็นมาปัดไปมา ชายหนุ่มลุกขึ้นมาปัดตัวพร้อมเปิดเป้สำรวจดูของยังอยู่ครบ แล้วเขามองไปที่กัปตันที่กำลังลงไปนั่งบนพื้นพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ
"สี่คน.... พวกเราสูญเสียลูกเรือถึงสี่คน..." กัปตันพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธ "ทำไมมันต้องเป็นแบบนี้ด้วย!" เขาโยนหมวกลงกับพื้นอย่างรุนแรง ใบหน้าของเขามีน้ำตาไหลออกมา เขากำลังเสียใจชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงความเศร้าที่ระเบิดออกมาจากกัปตัน เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากมองดูผู้นำที่กำลังเจ็บปวด
ความโศรกเศร้าของพวกเขาถูกขัดด้วยเสียงสั่นสะเทือน แผ่นดินที่พวกเขายืนอยู่เริ่มสั่นไหว มันรุนแรงกว่าในถ่ำเสียอีกรอยแยกเริ่มมีการเคลื่อนไหว มันกำลังบีบเข้ามา!
พวกเขารีบลุกขึ้นมาวิ่งหนีตายอีกครั้ง น้ำจากถ่ำพุ่งกระฉูดอย่างรุนแรงออกมาจากปากถ่ำ พวกเขาต้องหนีออกไปจากเกาะนี้!หินแหลมรอบๆตัวเริ่มหล่นหักลงมา แผ่นดินสั่นไหวรุนแรงราวกับว่ามันจะแตกออกเป็นชิ้นๆ
"ระวัง!!" กะลาสีตะโกนด้วยความตกใจ ก้อนหินก้อนใหญ่ตกลงมาใส่จุดที่พวกเขากำลังวิ่งผ่าน กะลาสีผลักชายหนุ่มจนเขากระเด็นออกมา ก่อนที่ก้อนหินตกลงมาใส่ร่างของเขาเต็มแรง หินห่างจากเขาเพียงฝ่ามือเดียวเท่านั้น แต่ทว่าเจ้าของเสียงคนนั้นถึงจุดจบลงเสียแล้ว
ชายหนุ่มยืนมองไปที่ร่างของชายกะลาสีผู้ช่วยชีวิตของเขาด้วยความเวทนา... เขาตายเพราะข้าอย่างนั้นหรือ เขายืนแข็งทื่อก่อนที่จะโดนมือกระชากที่แขนเสื้อ "วิ่งเร็วเข้า!!" กัปตันตระโกนใส่เขาพร้อมกับดึงให้เขาวิ่งตาม ชายหนุ่มรีบวิ่งตามทางที่พวกเขาเดินตามมาก่อนที่จะเห็นแสงจากเรือ พวกเขาถึงเรือแล้ว!
"รีบออกเรือซะ!!" กัปตันตะโกนสั่งกะลาสีที่กำลังนั่งเฝ้าเรือ พวกเขาวิ่งวุ่นวายและดึงสมอเรือขึ้นมา น้ำจากถ่ำไหลมาถึงเรือแล้วพวกเขารีบวิ่งขึ้นเรืออย่างรวดเร็ว เก็บแผ่นไม้ แล้วเตรียมออกเรือโดยด่วนที่สุด พวกเขารอดแล้ว
ตู้มมมม เสียงระเบิดดังมาจากด้านล่างของเรือ เสาหินสีดำแทงขึ้นมาจากพื้นทรายทะลุลำเรือ เด็กหนุ่มถูกแรงกระแทกกระเด็นตกลงทะเลเขารีบว่ายขึ้นมาหายใจเหนือน้ำ สิ่งที่เขาเห็นตรงหน้าคือพื้นดินนั้นกำลังพริ้วไหวราวกับสิ่งมีชีวิต เกาะทั้งเกาะกำลังเคลื่อนไหวภูเขาที่อยู่ตรงหน้าขยับราวกับว่าเป็นมือขนาดใหญ่มหึมา มันลอยเข้ามาเหนือเรือของพวกเขาก่อนที่มันจะตกลงมาใส่อย่างแรง...
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ