สลักใจจอมทัพ

-

เขียนโดย Xiaobei

วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2562 เวลา 19.52 น.

  23 บท
  0 วิจารณ์
  19.77K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2562 11.50 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

20) บทที่ 5-2

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
พอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จมาที่โถงหน้า เห็นเซ่าเจินจิบชาสบายอารมณ์ โม่เหยียนก็ขมวดคิ้วแน่นไม่รู้ในใจคิดอะไร ทั้งสองคนที่อยู่ในห้องโถงเห็นการปรากฏตัวของเซ่าเหยียน พร้อมสังเกตเห็นชุดที่อยู่บนตัวเขาเปลี่ยนเป็นชุดสีขาวอมฟ้าแล้ว
เซ่าเจินสีหน้านิ่งลงเล็กน้อย “ ที่ประตูเมืองจับคนของเหลียวหยางได้หลายคน แต่เรื่องในครั้งนี้เขาเตรียมการเอาไว้ก่อนแล้วจึงสืบสาวไปถึงเบื้องบนไม่ได้ เรื่องในครั้งนี้ข้าจะแทรกมือเพียงเท่านี้ คนที่จับได้เพียงพอจะรายงานต่อสำนักราชทัณฑ์ หลังจากนี้ไม่ใช่ความรับผิดชอบของข้า หู่พั่ว เล่าเรื่องให้เขาฟัง” เซ่าเจินเหลือบมองหู่พั่ว
หู่พั่วหยิบสมุดสีดำหลายเล่มจากอกพูดว่า “ข้าน้อยทำตามคำสั่งลอบเข้าตระกูลตันขโมยสมุดรายชื่อลักลอบขนอาวุธกับคนเหลียวหยางที่ปิดบังไว้ของแต่ละร้านค้า แต่ว่าสมุดเล่มที่คนเหลียวหยางส่งให้กับตันฮั่นที่องค์ชายหกเห็นที่หอหมั่นเว่ยนั้นไม่อยู่ในนั้น อาจจะทำลายทิ้งหรือพกติดตัวเอาไว้” เขายื่นสมุดไป แล้วพูดอีกว่า “ทางฝั่งข้าน้อยก็ได้แจ้งโทษก่อการกบฏควบคุมตัวฮวงชิงลู่และตันเป่าฉายที่อยู่ต่างเมืองเข้าไปในเมืองหลวง ส่วนคนที่เหลือในตระกูลฮวงยังไม่ได้ลงโทษ ให้อยู่ในบ้านสั่งคนเฝ้าเอาไว้ ทางฝั่งประตูเมืองคนของพวกเราถอนกำลังแล้ว” พูดจบ ก็เห็นสายตาเย็นชาของเซ่าเหยียนมองไปที่เซ่าเจิน
“เหตุใดถึงไม่ลงโทษ พี่สี่ยังไม่รู้ความร้ายแรงของเรื่องนี้อีกหรือ?” น้ำเสียงเย็นชาของเขาทำเอารู้สึกสยอง แต่เซ่าเจินไม่สะทกสะท้าน เอามือเท้าคางพูดขึ้น “ไม่มีอะไร เพราะไม่จำเป็นต้องจับคนทั้งบ้าน เรื่องเป็นผู้เฒ่าฮวงและลูกชายของเขาที่ก่อขึ้น”
“โทษการก่อกบฏไม่ร้ายแรงงั้นหรือ?” เขาถามขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
เผชิญหน้ากับคำถามที่เย็นชา เขากลับตอบอย่างนิ่งเฉยแค่ว่า “ข้ารับคำสั่งจากสำนักราชทัณฑ์มาตรวจสอบ ไม่ได้มาฆ่าคนตามอำเภอใจ”
เขาเข้าใจหลักการทำงานของเซ่าเจิน ถึงแม้ว่าภายนอกที่ขี้โรคทำให้เขาดูเหมือนไม่เป็นภัย แต่เขากลับยึดมั่นกับเรื่องที่เขาตัดสินใจเองอย่างแน่วแน่ น้อยมากที่จะเปลี่ยนแปลงเพื่อคนอื่น ดังนั้น เขาจึงขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วไม่ถามอีก พอรับสมุดมาก็จะจากไป แต่กลับถูกโม่เหยียนขวางเอาไว้
เขาเหลือบมองด้วยสีหน้าเย็นชา ไม่ต้องอ้าปากเขาก็รู้ว่าโม่เหยียนอยากจะพูดอะไร
“เจ้ารู้ว่าข้าทำไม่ได้”
“ข้าหวังว่าท่านจะไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์” เขาออกปากขอร้อง หวังว่าเขาจะเมตตาไม่ลากคนบริสุทธิ์เข้ามาเอี่ยว
“ตอบข้ามาราชครู การก่อกบฏมีโทษอย่างไร?” เขาไม่ตอบกลับถาม น้ำเสียงที่เข้มงวดทำเอาขนลุก
โม่เหยียนกัดฟันพูด “ประหารทั้งตระกูล ฆ่าเจ็ดชั่วโคตร ไม่มีผ่อนปรน”
“ยังมีอะไรอีก?”
“คนที่เหลือขับไล่สู่ชายแดน หรือขังคุกสามสิบปี” พูดจบ เขาก็ถอนหายใจพูดอีกว่า “ หรือทางเดียวคือประหาร”
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าคิดว่าเหล่าคนที่ถูกเรียกว่าเป็นผู้บริสุทธิ์นั้นจะยอมถูกขับไล่สู่ชายแดนหรือถูกขังคุก หรือเพราะเหตุเช่นนี้จึงแค้นฝังใจแล้วกลับมาแก้แค้น สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ ดังนั้นความตายจึงเร็วที่สุดและไร้ความเสี่ยง ต่อให้บริสุทธิ์ก็ใช่ว่าจะปล่อยก็ปล่อย” พูดจบ โม่เหยียนก็หลับตาลงถอนหายใจไม่ขวางทางเขาอีก
เซ่าเจินเห็นดังนั้นจึงพูดขึ้น “เส้นทางของเจ้าแคว้นมักเริ่มจากการก้าวข้ามศพผู้คนมากมาย จึงจำเป็นต้องมีขุนนางเพื่อเตือนสติเจ้าแคว้นว่าเวลาใดควรใช้ความเมตตา แม้ว่าทุกสิ่งจะเดินไปในทางที่ถูกหรือผิดตามคำชี้แนะของขุนนาง แต่หากเจ้าแคว้นตัดสินใจแน่วแน่ตั้งแต่แรก ขุนนางข้างกายก็ไม่จำต้องแบกรับผลลัพธ์ที่หนักอึ้ง” เขาเหลือบมองโม่เหยียน พูดอีกว่า “เขาไม่ใช่คนที่อยากนั่งอยู่บนบัลลังก์ ที่เขานึกถึงไม่ใช่ขุนนางแต่เป็นวังหลวง และเซ่าเหยียนที่เจ้ารู้จักที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อขุนนางมิใช่หรือ แม้เขาจะโหดเหี้ยมเสียจริง”
เขาถอนหายใจ “ข้าน้อย รับคำชี้แนะ” เพราะอย่างไรเสียการอยู่ข้างกายเจ้าแคว้นก็ปลงกับความเป็นความตายมามาก เขายกมือทำความเคารพด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน
เซ่าเจินยิ้มพยักหน้า แล้วเปลี่ยนความคิดอย่างรวดเร็ว เขาเลิกคิ้วถามว่า “แต่เจ้าหกแม้แต่ญาติมิตรก็ไม่สนใจ ทั้งยังตำหนิความเมตตาของราชครูอย่างไร้ยางอาย เช่นนั้นพวกเจ้าคิดว่าเขาจะฆ่าแม่นางที่พากลับมาด้วยหรือว่าจะเก็บนางเอาไว้?”
คำถามเช่นนี้ทำเอาบรรยากาศในห้องโถงชะงักงันทันที
“ข้าน้อยมิทราบ” หู่พั่วกลบเกลื่อนทันที
เซ่าเจินกรอกตาใส่อย่างเบื่อหน่าย “ข้าเดาว่าเจ้าหกจะต้องมีเรื่องเพราะแม่นางผู้นี้ ถึงขั้นชีวิตต้องตกอยู่ในอันตรายก็เป็นได้ คำพูดที่เขาพูดตอนท้าย บางทีอาจจะตบปากของเขาเสียเอง”
โม่เหยียนไม่พูดอะไร หรือเลือกที่จะแกล้งไม่ได้ยินที่เขาพูด คำทำนายนี้เขารู้ตั้งแต่ดูลายมือให้เสวี่ยหรั่นแล้ว
บริเวณหน้าบ้าน รอบๆ ก็คืออั่นเซียวที่เตรียมตัวอยู่ก่อนแล้ว สายตาที่เยียบเย็นของเซ่าเหยียนกวาดมองดวงตาที่คมกริบแต่ละคู่ ไม่เอ๋ยอะไรที่ไม่จำเป็น มีเพียงคำสั่งเดียว “บ้านตระกูลตัน วันนี้ห้ามเหลือรอด”
“ขอรับ!”
จากนั้นก็ไปที่บ้านตระกูลตันทำให้ถนนที่นิ่งสงบจากตอนแรกมีอุบัติเหตุไฟไหม้ เกิดบรรยากาศฆ่าล้างที่ชวนสยดสยองดั่งผีร้ายจุตติ
กลางดึก คนบอกเวลายามถือฆ้องเคาะตี ตะโกนเสียงดังว่าอากาศแห้งแล้ง ระวังฟืนไฟ ขณะที่คนบอกเวลาเดินผ่านถนนตระกูลตันนั้น ก็มีเงาคนคนหนึ่งปีนข้ามกำแพงมาด้วยท่าทางไม่ชำนาญ คนที่ไม่รู้คงคิดว่าเป็นขโมยยามดึก แต่พอมองดูละเอียดแล้วกลับเป็นหญิงคนหนึ่งที่มีใบหน้างดงามร่วงลงพื้นด้วยท่าทางทุลักทุเล นางปัดฝุ่นบนร่างกาย
“เชอะ สวมเสื้อผ้าผู้หญิงก็เคลื่อนไหวยากเช่นนี้ ทำเอาข้าปีนกำแพงอยู่นาน” เขาบ่นอย่างหัวเสีย มองซ้ายมองขวาคิดว่าจะไปทางไหนดี
วันนี้ทั้งบ้านตระกูลตันเหนื่อยกันมาก เรือที่ระเบิดสร้างความวุ่นวายไม่น้อยทำเอาอารมณ์ทุกคนได้รับผลกระทบ ยากที่จะสงบได้ในยามคำคืน แต่เพื่อความรอบคอบนางยังไม่กล้าออกประตูหน้าจึงได้แต่ปีนกำแพงหลบหนี
หยิบห่อผ้าที่ร่วงอยู่ที่พื้นขึ้นมาพาดบนไหล่ ขณะที่เตรียมจะจากไปนั้นคนชุดดำหลายคนก็ลงมาจากฟ้าทำเอานางเกือบเสียการทรงตัวล้มไปกับพื้น
นางตกใจเบิกตาโต นึกไม่ถึงว่าบนถนนกลางดึกเช่นนี้จะมีกลุ่มคนชุดดำปรากฏขวางทางเอาไว้ นางมองคนชุดดำที่ล้อมตัวเองเอาไว้ด้วยความสงสัย จีสิบสองมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ไประรานใคร ไม่รู้ว่าเป้าหมายของคนพวกนี้คือใคร
ภายใต้แสงจันทร์นั้น พลันปรากฏชายสวมชุดสีขาวฟ้าอ่อนประณีตเดินออกมาจากกลุ่มคนชุดดำ ทำเอาจีสิบสองอ้าปากค้างอย่างตกใจ ใบหน้าที่ไร้รอยยิ้มเผยรอยยิ้มที่ยากจะได้เห็น ทำเอาเสียวสันหลังขึ้นมาจนอยากจะเบนสายตาหนี แต่คิดไม่ถึงว่าคนที่ล้มเลิกตามหากลับปรากฏตัวในเวลาเช่นนี้
“เซ่าชิง ก่อนจากไปจะไม่ทักทายผีร้ายที่ไม่มีความเป็นมนุษย์ ร้ายอย่างสุดขีดหน่อยหรือ?” เขาก้มมองการแต่งตัวแบบผู้หญิงของเขา เอ๋ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ได้ยินเช่นนี้ เซ่าชิงหัวใจกระตุก ว่าแล้ว ‘เงาผี’ ที่เห็นในห้องวันนั้นไม่ใช่ภาพหลอนของเขาเขากลืนน้ำลายหนืดคอ ปรับเป็นเสียงของตัวเองพนมมือ แล้วพูดขึ้น “พี่ พี่หก ข้าก็แค่พูดเล่นเท่านั้นเอง พี่ก็อย่าเอาเป็นจริงเป็นจังไปเลย อีกอย่างในเมื่อพี่ก็รู้อยู่ว่าข้าตามหาพี่ทำไมพี่ถึงไม่ปรากฏ ข้าเขียนจดหมายให้พี่ ด้วยนะ พี่เห็นหรือยัง?”
เขาไม่ตอบแต่ถามกลับ “ตอนนี้เจ้าจะไปที่ใดอีก”
คำตอบนี้เหมือนบอกเขาอ้อมๆ ว่าไม่ได้อ่านจดหมาย และไม่อยากรู้ด้วยว่าเขาเขียนอะไร ช่างน่าน้อยใจนัก  ถึงกลับอ่านก็ไม่อ่านเขาถอดเครื่องประดับบนหัวออกแล้วโยนลงพื้นอย่างหมดอารมณ์ เกาหัวพูดขึ้น “ข้าจะไปหาพี่สี่ให้มาช่วยคน”
“ช่วยคนงั้นหรือ?” เขาเลิกคิ้ว ทำท่าเหมือนสนใจ
เขาไม่อยากพูดอะไรมาก จึงเปลี่ยนเรื่องว่า “นั่นไม่สำคัญ กลับเป็นพี่หกต่างหากคิดมาทำอะไร? ทำไมถึงมีคนชุดดำกลุ่มใหญ่ปรากฏตัวที่นี่?” มองไปที่พวกเขา ก็เหลือบเห็นสัญลักษณ์ที่ปักอยู่บนแขนเสื้อแล้วขมวดคิ้ว นี่เป็นอั่นเซียวมิใช่หรือ? หรือว่า...
“ในเมื่อไม่สำคัญ งั้นเจ้าก็เข้าไปใหม่”
“อะไรนะ?” เขามองอย่างตกใจ ยังคิดว่าตัวเองได้ยินเสียงหลอนจึงพูดเสียงดังเล็กน้อย
“เข้าไปใหม่” เขาพูดซ้ำอีกครั้งอย่างสงบนิ่ง ครั้งนี้เพิ่มน้ำเสียงที่มิอาจปฏิเสธได้
เซ่าชิงมองเขาอย่างประหลาดใจ ไม่เข้าใจความหมายที่จะให้เขาเข้าไปใหม่คืออะไร เขาอุตส่าห์ได้ออกมาแล้วนะ ตอนนี้จะให้เขาเข้าไปใหม่แล้วอาจจะเสียตัวให้กับผู้ชายงั้นหรือ? สวรรค์โปรด ถ้าเสด็จแม่รู้เข้าก็เรื่องใหญ่ล่ะสิ ลูกชายตัวเองถูกผู้ชายปู้ยี่ปู้ยำจะเสียเกียรติขนาดไหน เสด็จแม่จะต้องลากเขาไปคว้านท้องสำเร็จโทษต่อหน้าเสด็จพ่ออย่างแน่นอน

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา