สลักใจจอมทัพ
-
เขียนโดย Xiaobei
วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2562 เวลา 19.52 น.
23 บท
0 วิจารณ์
19.79K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2562 11.50 น. โดย เจ้าของนิยาย
12) บทที่ 3-3
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความระหว่างทางที่ถือกล่องปิ่นปักผมไปที่ร้าน เสวี่ยหรั่นนวดรอยเขียวช้ำตรงหน้าผากด้วยความเจ็บปวด แล้วอดรู้สึกไม่ได้ว่าช่วงนี้นางเจอเรื่องร้ายๆ ไม่น้อยเลย ครั้งก่อนถูกม้าเหยียบจนบาดเจ็บ ครั้งนี้กลับชนเข้ากับเก้าอี้
นางยิ้มเจื่อนๆ โชคของตัวเองทำไมถึงได้ร้ายเช่นนี้
“อา!” ขณะที่จมอยู่กับความคิดจึงไม่ทันสังเกตว่าข้างหน้ามีคนอยู่จึงชนเข้าอย่างจัง นางรีบโค้งคำนับขอโทษ “ขอโทษ ขอโทษ เป็นข้าที่ไม่ทันสังเกตแล้วชนท่านเข้า”
เซ่าเจินมองแม่นางที่ชนเขาที่เอาแต่โค้งคำนับลูกเดียว จนเกือบทำเอาเขาหน้ามืด เขาสะบัดมือพูดขึ้น “แม่นาง ไม่ต้องโค้งคำนับมากถึงขนาดนี้ ไม่เป็นอะไร” แต่นี้กลับไม่ได้ทำให้นางหยุดโค้งคำนับ
เขายักคิ้วให้หู่พั่วส่งสัญญาณให้เขาหาวิธี แน่นอนว่าหู่พั่วคิดก็ไม่คิดเข้าไปห้ามนางที่โค้งคำนับต่อเนื่อง
ตอนที่หู่พั่วยื่นมือจะแตะโดนตัวนางนั่นเอง ฝ่ามือใหญ่ก็ดึงนางไปเสียก่อน การกระทำที่เกิดขึ้นกะทันหันเช่นนี้ทำเอาเซ่าเจินและหู่พั่วตกใจไม่น้อย
คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเขา!
เสวี่ยหรั่นที่จู่ๆ ก็ถูกคนดึงถอยหลังก็ตกใจเช่นกัน รีบมองคนที่ดึง “เจ้าเอง!”
เซ่าเหยียนจ้องเซ่าเจินด้วยสายตาเย็นชา เหมือนกำลังเตือนเขาว่าอย่าแตะต้องแม่นางคนนี้ ทำเอาเซ่าเจินรู้สึกน้อยใจ ตัวเองยังไม่ได้ทำอะไรเลย คนที่ปรากฏตัวออกมากะทันหันนี้กลับวางท่า ‘อย่าหาเรื่องนาง’ แบบนั้นทำให้เขารู้สึกไม่ได้รับความยุติธรรมจริงๆ
เขายังไม่ได้ทำเรื่องเลวร้ายอะไรเลยนะ
“ทำไมเจ้าอยู่ที่นี่? ไม่ใช่ ข้าต้องขอโทษเขาก่อน” พูดจบ นางก็มองไปที่คนที่ถูกนางชน แต่พอได้มองนางถึงกับตกใจ นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะหน้าตาดีเช่นนี้ ถึงแม้ว่าผิวหนังจะขาวซีดคล้ายกับคนป่วย แต่เครื่องหน้าของเขาก็เผยกลิ่นอายผู้ดี
เนื้อผ้าราคาแพงที่เขาสวมใส่อยู่เผยให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นคุณชายที่มาจากตระกูลที่มีชื่อเสียง นี้ยิ่งทำให้นางรู้สึกตึงเครียดไม่รู้จะชดใช้อย่างไร
“ขอ ขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ...”
“ไม่เป็นไรไม่เป็นไร แม้ว่าข้าจะป่วยมานาน แต่ก็ไม่ถึงกับถูกแม่นางชนแล้วก็จะจากโลกนี้ไป” เขาสะบัดมือ แล้วเยาะเย้ยตัวเองเล็กน้อย
หลังจากอ่านความหมายของเขาออก เสวี่ยหรั่นยิ้มขออภัยเล็กน้อย “ขอบคุณคุณชายที่ไม่เอาเรื่อง ถ้าหากท่านบาดเจ็บข้าก็ไม่สบายใจนัก”
เซ่าเจินฟังน้ำเสียงและเสื้อผ้าที่นางสวมใส่ ไม่ต้องคิดเยอะก็พอจะรู้ว่านางน่าจะเป็นสาวใช้ของตระกูลร่ำรวย เดิมทีเขาก็ไม่คิดถือความกับนางอยู่แล้ว เป็นนางเองที่มีมารยาทเกินไป
แต่ว่าสาวใช้คนหนึ่งทำไมถึงรู้จัก ‘เขา’ ได้ เขาก็อยากรู้เช่นกัน
“แม่นางไม่ต้องขอโทษ กลับเป็นข้าเองที่กลัวว่าเจ้าจะบาดเจ็บแล้วจะทำให้เพื่อนของเจ้าโกรธ” คำพูดนี้ถึงแม้จะพูดกับนาง แต่สายตากลับมองไปที่เซ่าเหยียนที่อยู่ข้างๆ
เสวี่ยหรั่นรีบอธิบายขึ้น “ข้าไม่เป็นอะไร” แล้วยื่นมือดึงเซ่าเหยียนเข้าใกล้ตัวเอง แล้วพูดอีกว่า “เขาก็ไม่ได้หมายความเช่นนั้น ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะทำอะไร ถ้าหากคุณชายไม่เป็นไรแล้วพวกเราก็ขอตัวก่อน” ไม่คิดอะไรมากนางก็จูงมือเซ่าเหยียนเดินผ่านพวกเขาไปข้างหน้า
เซ่าเจินเหลือบมองเซ่าเหยียนที่เดินผ่านเขาไป ต่างสบตากันไม่พูดอะไร กลับรู้อยู่แก่ใจบางอย่าง
เห็นพวกเขาเดินไปไกลเขาถึงหันไปพูดกับหู่พั่วว่า “เจ้าว่า เขากำลังเตือนข้าอยู่หรือไม่?”
“ข้าน้อยไม่แน่ใจ”
“ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขารู้ว่าข้าอยู่ในเมืองนี้แต่กลับไม่ยอมพบข้า ตอนนี้เพราะแม่นางคนหนึ่งจู่ๆ ถึงได้ปรากฏตัว เหมือนว่าแม่นางคนนั้นจะสำคัญต่อเขามาก ถึงกับยอมให้คนอื่นแตะตัวงตัวเขาได้ ช่างประหลาดใจเสียจริง ไปตรวจสอบที่มาของแม่นางคนนี้ที”
“แต่ก่อนหน้านี้ เรื่องที่ท่านได้สั่งไว้เริ่มมีเบาะแสแล้ว”
ได้ยินดังนั้นมุมปากที่ตอนแรกยังยิ้มอยู่ก็กลับมาปกติ แววตาที่แฝงด้วยความสนุกก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที “ระวังอย่าให้ถูกพบเข้า จะต้องไม่เสียแรงเปล่า”
“ข้าน้อยรับทราบ”
“ไปกันเถอะ ถึงเวลาไปเยี่ยมคุณชายใหญ่ตระกูลตันแล้ว” แล้วทั้งสองคนก็เดินไปทางบ้านตระกูลตัน
เสวี่ยหรั่นดึงเขาเดินได้ระยะหนึ่ง พลันรู้สึกตัวว่าที่นี่เป็นถนนใหญ่ การจูงมือชายคนหนึ่งเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องงามจึงจะปล่อยมือแต่กลับถูกจับ นางตกใจคิดจะดึงมือออกอีกทว่ากลับถูกกำแน่นยิ่งขึ้น
นางมองฝ่ามืออันใหญ่ที่กำมือตัวเองแน่น ใบหน้าค่อยๆ ร้อนผ่าว
จึงเงยหน้ามองเขา แววตาที่ต่อให้เย็นชานั้นกลับมีความอ่อนโยนบางๆ แฝงอยู่ นางไม่ชินกับการเปลี่ยนแปลงกะทะหันที่เกิดขึ้นกับเขา
“ข้าคิดว่าเจ้าเกลียดข้าและไม่อยากสนใจข้า นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะออกมาช่วยข้า ทำเอาข้าตกใจไม่น้อย” นางหยุดเล็กน้อย รู้สึกเขินอาย “เจ้า...ปล่อยมือข้าก่อนได้หรือไม่?”
เซ่าเหยียนไม่ได้ปล่อยมือแต่กลับจ้องมองฝ่ามือของนางที่หยาบกร้านจากการทำงานหนักเป็นเวลายาวนาน ผิวแบบนี้ทำให้นางรีบชักมือเก็บไว้ข้างหลัง “มือของข้าน่าเกลียดมาก ทั้งหยาบทั้งกร้าน
“ไม่น่าเกลียด”
“หืม?” นางกะพริบตา คิดว่าตัวเองอ่านปากของเขาผิด “เจ้าว่าอะไรนะ?”
เขาดึงมือนางกลับมาที่ตรงหน้าตัวเองอีกครั้ง พูดอย่างใจเย็นอีกครั้งว่า “ไม่น่าเกลียด” และใช้นิ้วลูบมือนางอย่างอ่อนโยน
ความรู้สึกที่อ่อนโยนแบบนี้ก็เหมือนกับมีขนนกจั๊กจี้ที่ฝ่ามือ ความรู้สึกจั๊กจี้นี้ได้ลามไปทั่วร่างเหมือนกับไฟฟ้าไหลผ่านทำเอานางอดไม่ได้อยากจะชักมือกลับมาอีกครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเข้ามาใกล้นางเอง แต่การกระทำที่สนิทสนมเช่นนี้ทำเอานางยากจะต่อต้าน และก็ไม่รู้จะตอบโต้อย่างไรดี หัวที่เริ่มร้อนทำให้คิดอะไรไม่ออก จึงต้องใช้การพูดเพื่อเบี่ยงแบนความสนใจ
“ใช่ ใช่แล้ว ข้ายังไม่ได้บอกชื่อของข้าให้เจ้าฟังใช่ไหม ข้าชื่อเสวี่ยหรั่น” พูดจบ ก็จับมือของเขาเพื่อหลบการลูบอย่างอ่อนโยนนั้น “ตอนนี้พวกเราเป็นเพื่อนกันได้แล้วใช่ไหม”
เซ่าเหยียนเห็นนางที่พยายามจะทำตัวสงบ แต่แก้มที่แดงเรื่อได้เผยความว้าวุ่นของนางนานแล้ว จนทำเอาเขาอดกระตุกมุมปากยิ้มขึ้นมาไม่ได้
รอยยิ้มที่ยากจะได้เห็นนี้ทำเอาเสวี่ยหรั่นประหลาดใจ ที่แท้เขาก็ยิ้มเป็นด้วย อีกทั้งพอฉีกยิ้มแล้วยังดูดีมาก เหมือนกับคุณชายหน้าขาวเมื่อครู่เลย
“เสวี่ยหรั่น”
“หืม?” อ่านรูปปากที่คุ้นเคย นางชี้ที่ตัวเองแล้วถามอย่างไม่น่าเชื่อว่า “เจ้าเรียกชื่อข้าอยู่หรือ?”
เขาไม่ตอบอะไรแค่ลูบรอยเขียวช้ำบนหน้าผากของนางเบาๆ แล้วพูดด้วยความเศร้าใจว่า “การถูกกระทำแบบนี้หลังจากนี้จะไม่มีอีกแล้ว” จากนั้นก็ยกคางของนางขึ้นก้มหน้าปิดริมฝีปากของนาง
อะไร?
นางยังไม่ทันตั้งสติ แค่รู้สึกที่ริมฝีปากตัวเองมีความอ่อนนิ่มทาบอยู่ มองใบหน้าที่ขยายขึ้นหลายเท่าจนแทบจะหายใจไม่ออก ความรู้สึกที่อ่อนนิ่มและอุ่นเล็กน้อยบนริมฝีปากเหมือนดั่งเต้าหู้ที่อ่อนนุ่ม วิญญาณก็เหมือนจะถูกดึงออกไปรู้สึกเบาหวิวเสียอย่างนั้น
นางตกใจตัวแข็งทื่อ กล่องใส่ปิ่นปักผมร่วงลงพื้น ปิ่นปักผมกระเด็นออกมาก็ยังไม่รู้ตัว
เสวี่ยหรั่นไม่รู้สึกตัวเลยว่าตัวเองถูกจูบบนถนนใหญ่
จากนั้นพักหนึ่งก็ละริมฝีปากออก แล้วยื่นนิ้วลูบริมฝีปากของนางอย่างแผ่วเบา พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ที่ข้าพูดไปจำได้หรือไม่?”
นางตอบรับแต่จำไม่ได้เลยว่าเขาได้พูดอะไรไป ในหัวว่างเปล่าไปนานไม่รู้เลยว่าเดิมทีแล้วตัวเองต้องจำอะไร เพียงแค่ตอบรับไปตามสัญชาตญาณเท่านั้น
เขาเก็บปิ่นปักผมและกล่อง ตบหน้านางเบาๆ “จะไปไหน? ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้า”
การสัมผัสที่สนิทสนมเช่นนี้ทำเอานางเขินอาย “ข้า ข้าจะไปร้านปิ่นปักผม”
เขานำหน้าจูงมือนางไว้ในฝ่ามือใหญ่ของตน ส่วนนางก็ได้แต่เดินตามอย่างเหม่อลอย จนถึงตอนนี้นางยังไม่รู้เลยว่าตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตัวเอง นางลูบริมฝีปากตัวเอง ความอบอุ่นที่ชายคนนั้นให้ไว้ยังคงหลงเหลืออยู่ จึงเขินอายอีกครั้งอย่างอดไม่ได้
เซ่าเหยียนเห็นทุกการกระทำของนางอยู่ในสายตา จึงเผยรอยยิ้มอ่อนๆ อีกครั้ง
เดินเข้าไปในร้านปิ่นปักผม เซ่าเหยียนเอากล่องปิ่นปักผมให้เจ้าของร้าน เสวี่ยหรั่นก็เดินไปข้างหน้าแล้วพูดขึ้น “คุณเจ้าของร้าน นายหญิงน้อยที่บ้านข้าจะขอคืนปิ่นปักผมนี้ บอกว่าไม่ชอบรูปแบบนี้”
เจ้าของร้านยิ้มใส่ “ได้เลย ขอข้าดูก่อนว่าเสียหายหรือไม่” จากนั้นก็เปิดกล่องปิ่นปักผมออก ก็เห็นหยกสีเขียวที่อยู่ฝังอยู่บนปิ่นปักผมมีรอยร้าว
เจ้าของร้านขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วขยับปิ่นปักผมนี้ไปตรงหน้านาง ชี้แล้วพูดว่า “แม่นาง สินค้าที่จะขอคืนนี้หากไม่มีความเสียหายก็จะคืนเงินให้อย่างแน่นอน แต่หยกสีเขียวที่ฝังอยู่บนปิ่นปักผมนี้ถูกขูดเป็นรอย แบบนี้ขอคืนไม่ได้แล้ว”
เสวี่ยหรั่นมองปิ่นปักผมนี้อย่างประหลาดใจ นึกไม่ออกว่าไปทำหยกที่สำคัญที่สุดบนปิ่นปักผมเสียหายได้อย่างไร“นี่ นี่ทำไมถึง...” พูดไปพลางคิดไปพลางว่าไปทำปิ่นปักผมเสียหายที่ไหน จากนั้นก็ทำตาโตมองไปที่เซ่าเหยียนที่มองดูรอบๆ อยู่...
เห้อ น่าจะเป็นการกระทำเมื่อสักครู่ของเขาทำให้นางปล่อยมือโดยไม่รู้ตัว ทำให้กล่องใส่ปิ่นปักผมหล่นกระแทกกับพื้น ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นแล้ว ไม่สามารถคืนให้กับที่ร้านเพื่อเอาเงินกลับมาและก็ไม่มีเงินมากขนาดที่จะชดใช้ให้ตันโหรวอี จึงได้แต่ขอร้องเจ้าของร้านว่า “คุณเจ้าของร้าน เจ้าเป็นร้านเก่าแก่ที่ร่วมงานกับตระกูลตันมาโดยตลอด สามารถผ่อนผันคืนเงินให้ข้าก่อนได้ไหม จากนั้นข้าจะค่อยๆ ชดใช้คืนเจ้า ได้หรือไม่?”
“คือ...” เจ้าของร้านแสดงสีหน้าลำบากใจ “แม่นาง การเปิดร้านจะผ่อนผันเป็นบางครั้งก็ใช่ว่าจะไม่ได้ เพียงแต่ช่วงนี้ตระกูลตันของพวกเจ้ามีเรื่องเล็กน้อย เกรงว่าคงจะคืนเงินให้ไม่ได้ ดังนั้นเชิญแม่นางเอาปิ่นปักผมกลับไปเถอะ ครั้งนี้ข้าผ่อนผันให้ไม่ได้จริงๆ“
มีเรื่อง? ช่วงนี้นางก็ไม่ได้ยินว่าที่บ้านมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นนี่นา เสวี่ยหรั่นทำหน้าสงสัย “เจ้าของร้าน คือว่า...”
“ปิ่นปักผมนี้ไม่ต้องคืนแล้ว” จู่ๆ แขนก็ถูกคนกระชาก พร้อมหยิบปิ่นปักผมบนโต๊ะไปเสียดื้อๆ
นางตกใจ “เจ้าจะทำอะไร?”
เซ่าเหยียนจูงมือนางออกจากร้าน แล้ววางปิ่นปักผมไว้บนมือนาง “จะเอาเท่าไหร่ ข้าให้”
“เจ้าให้?”
เขาก้มหน้าลง แล้วหยิบถุงเงินจากตรงเอววางไว้บนมืออีกข้างหนึ่งของนาง เสวี่ยหรั่นมองปิ่นปักผมในมือข้างหนึ่ง ถุงเงินที่หนักอึ้งในมืออีกข้างหนึ่งของตัวเอง สองตากลับพร่ามัวเล็กน้อย “นี่ นี่หมายความว่าอย่างไร!”
ไม่มีการอธิบาย เขาหยิบปิ่นปักผมเสียบเข้าที่มวยผมด้านซ้ายของนาง “ปิ่นปักผมให้เจ้า เงินเอาให้เจ้าไปคืนตระกูลตัน” เขาลูบหน้านางเบาๆ ตรวจดูเล็กน้อย “ดูดี” พูดจบก็หันหลังจากไป
“หืม!” เบิกตาโตตกตะลึง รูปปากที่พูดว่าดูดีนั้นทำเอานางทั้งดีใจและประหลาดใจ เสวี่ยหรั่นมองแผ่นหลังที่จากไปของเขาอย่างเหม่อลอย
--------------------------------------------------------------------
นางยิ้มเจื่อนๆ โชคของตัวเองทำไมถึงได้ร้ายเช่นนี้
“อา!” ขณะที่จมอยู่กับความคิดจึงไม่ทันสังเกตว่าข้างหน้ามีคนอยู่จึงชนเข้าอย่างจัง นางรีบโค้งคำนับขอโทษ “ขอโทษ ขอโทษ เป็นข้าที่ไม่ทันสังเกตแล้วชนท่านเข้า”
เซ่าเจินมองแม่นางที่ชนเขาที่เอาแต่โค้งคำนับลูกเดียว จนเกือบทำเอาเขาหน้ามืด เขาสะบัดมือพูดขึ้น “แม่นาง ไม่ต้องโค้งคำนับมากถึงขนาดนี้ ไม่เป็นอะไร” แต่นี้กลับไม่ได้ทำให้นางหยุดโค้งคำนับ
เขายักคิ้วให้หู่พั่วส่งสัญญาณให้เขาหาวิธี แน่นอนว่าหู่พั่วคิดก็ไม่คิดเข้าไปห้ามนางที่โค้งคำนับต่อเนื่อง
ตอนที่หู่พั่วยื่นมือจะแตะโดนตัวนางนั่นเอง ฝ่ามือใหญ่ก็ดึงนางไปเสียก่อน การกระทำที่เกิดขึ้นกะทันหันเช่นนี้ทำเอาเซ่าเจินและหู่พั่วตกใจไม่น้อย
คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเขา!
เสวี่ยหรั่นที่จู่ๆ ก็ถูกคนดึงถอยหลังก็ตกใจเช่นกัน รีบมองคนที่ดึง “เจ้าเอง!”
เซ่าเหยียนจ้องเซ่าเจินด้วยสายตาเย็นชา เหมือนกำลังเตือนเขาว่าอย่าแตะต้องแม่นางคนนี้ ทำเอาเซ่าเจินรู้สึกน้อยใจ ตัวเองยังไม่ได้ทำอะไรเลย คนที่ปรากฏตัวออกมากะทันหันนี้กลับวางท่า ‘อย่าหาเรื่องนาง’ แบบนั้นทำให้เขารู้สึกไม่ได้รับความยุติธรรมจริงๆ
เขายังไม่ได้ทำเรื่องเลวร้ายอะไรเลยนะ
“ทำไมเจ้าอยู่ที่นี่? ไม่ใช่ ข้าต้องขอโทษเขาก่อน” พูดจบ นางก็มองไปที่คนที่ถูกนางชน แต่พอได้มองนางถึงกับตกใจ นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะหน้าตาดีเช่นนี้ ถึงแม้ว่าผิวหนังจะขาวซีดคล้ายกับคนป่วย แต่เครื่องหน้าของเขาก็เผยกลิ่นอายผู้ดี
เนื้อผ้าราคาแพงที่เขาสวมใส่อยู่เผยให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นคุณชายที่มาจากตระกูลที่มีชื่อเสียง นี้ยิ่งทำให้นางรู้สึกตึงเครียดไม่รู้จะชดใช้อย่างไร
“ขอ ขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ...”
“ไม่เป็นไรไม่เป็นไร แม้ว่าข้าจะป่วยมานาน แต่ก็ไม่ถึงกับถูกแม่นางชนแล้วก็จะจากโลกนี้ไป” เขาสะบัดมือ แล้วเยาะเย้ยตัวเองเล็กน้อย
หลังจากอ่านความหมายของเขาออก เสวี่ยหรั่นยิ้มขออภัยเล็กน้อย “ขอบคุณคุณชายที่ไม่เอาเรื่อง ถ้าหากท่านบาดเจ็บข้าก็ไม่สบายใจนัก”
เซ่าเจินฟังน้ำเสียงและเสื้อผ้าที่นางสวมใส่ ไม่ต้องคิดเยอะก็พอจะรู้ว่านางน่าจะเป็นสาวใช้ของตระกูลร่ำรวย เดิมทีเขาก็ไม่คิดถือความกับนางอยู่แล้ว เป็นนางเองที่มีมารยาทเกินไป
แต่ว่าสาวใช้คนหนึ่งทำไมถึงรู้จัก ‘เขา’ ได้ เขาก็อยากรู้เช่นกัน
“แม่นางไม่ต้องขอโทษ กลับเป็นข้าเองที่กลัวว่าเจ้าจะบาดเจ็บแล้วจะทำให้เพื่อนของเจ้าโกรธ” คำพูดนี้ถึงแม้จะพูดกับนาง แต่สายตากลับมองไปที่เซ่าเหยียนที่อยู่ข้างๆ
เสวี่ยหรั่นรีบอธิบายขึ้น “ข้าไม่เป็นอะไร” แล้วยื่นมือดึงเซ่าเหยียนเข้าใกล้ตัวเอง แล้วพูดอีกว่า “เขาก็ไม่ได้หมายความเช่นนั้น ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะทำอะไร ถ้าหากคุณชายไม่เป็นไรแล้วพวกเราก็ขอตัวก่อน” ไม่คิดอะไรมากนางก็จูงมือเซ่าเหยียนเดินผ่านพวกเขาไปข้างหน้า
เซ่าเจินเหลือบมองเซ่าเหยียนที่เดินผ่านเขาไป ต่างสบตากันไม่พูดอะไร กลับรู้อยู่แก่ใจบางอย่าง
เห็นพวกเขาเดินไปไกลเขาถึงหันไปพูดกับหู่พั่วว่า “เจ้าว่า เขากำลังเตือนข้าอยู่หรือไม่?”
“ข้าน้อยไม่แน่ใจ”
“ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขารู้ว่าข้าอยู่ในเมืองนี้แต่กลับไม่ยอมพบข้า ตอนนี้เพราะแม่นางคนหนึ่งจู่ๆ ถึงได้ปรากฏตัว เหมือนว่าแม่นางคนนั้นจะสำคัญต่อเขามาก ถึงกับยอมให้คนอื่นแตะตัวงตัวเขาได้ ช่างประหลาดใจเสียจริง ไปตรวจสอบที่มาของแม่นางคนนี้ที”
“แต่ก่อนหน้านี้ เรื่องที่ท่านได้สั่งไว้เริ่มมีเบาะแสแล้ว”
ได้ยินดังนั้นมุมปากที่ตอนแรกยังยิ้มอยู่ก็กลับมาปกติ แววตาที่แฝงด้วยความสนุกก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที “ระวังอย่าให้ถูกพบเข้า จะต้องไม่เสียแรงเปล่า”
“ข้าน้อยรับทราบ”
“ไปกันเถอะ ถึงเวลาไปเยี่ยมคุณชายใหญ่ตระกูลตันแล้ว” แล้วทั้งสองคนก็เดินไปทางบ้านตระกูลตัน
เสวี่ยหรั่นดึงเขาเดินได้ระยะหนึ่ง พลันรู้สึกตัวว่าที่นี่เป็นถนนใหญ่ การจูงมือชายคนหนึ่งเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องงามจึงจะปล่อยมือแต่กลับถูกจับ นางตกใจคิดจะดึงมือออกอีกทว่ากลับถูกกำแน่นยิ่งขึ้น
นางมองฝ่ามืออันใหญ่ที่กำมือตัวเองแน่น ใบหน้าค่อยๆ ร้อนผ่าว
จึงเงยหน้ามองเขา แววตาที่ต่อให้เย็นชานั้นกลับมีความอ่อนโยนบางๆ แฝงอยู่ นางไม่ชินกับการเปลี่ยนแปลงกะทะหันที่เกิดขึ้นกับเขา
“ข้าคิดว่าเจ้าเกลียดข้าและไม่อยากสนใจข้า นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะออกมาช่วยข้า ทำเอาข้าตกใจไม่น้อย” นางหยุดเล็กน้อย รู้สึกเขินอาย “เจ้า...ปล่อยมือข้าก่อนได้หรือไม่?”
เซ่าเหยียนไม่ได้ปล่อยมือแต่กลับจ้องมองฝ่ามือของนางที่หยาบกร้านจากการทำงานหนักเป็นเวลายาวนาน ผิวแบบนี้ทำให้นางรีบชักมือเก็บไว้ข้างหลัง “มือของข้าน่าเกลียดมาก ทั้งหยาบทั้งกร้าน
“ไม่น่าเกลียด”
“หืม?” นางกะพริบตา คิดว่าตัวเองอ่านปากของเขาผิด “เจ้าว่าอะไรนะ?”
เขาดึงมือนางกลับมาที่ตรงหน้าตัวเองอีกครั้ง พูดอย่างใจเย็นอีกครั้งว่า “ไม่น่าเกลียด” และใช้นิ้วลูบมือนางอย่างอ่อนโยน
ความรู้สึกที่อ่อนโยนแบบนี้ก็เหมือนกับมีขนนกจั๊กจี้ที่ฝ่ามือ ความรู้สึกจั๊กจี้นี้ได้ลามไปทั่วร่างเหมือนกับไฟฟ้าไหลผ่านทำเอานางอดไม่ได้อยากจะชักมือกลับมาอีกครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเข้ามาใกล้นางเอง แต่การกระทำที่สนิทสนมเช่นนี้ทำเอานางยากจะต่อต้าน และก็ไม่รู้จะตอบโต้อย่างไรดี หัวที่เริ่มร้อนทำให้คิดอะไรไม่ออก จึงต้องใช้การพูดเพื่อเบี่ยงแบนความสนใจ
“ใช่ ใช่แล้ว ข้ายังไม่ได้บอกชื่อของข้าให้เจ้าฟังใช่ไหม ข้าชื่อเสวี่ยหรั่น” พูดจบ ก็จับมือของเขาเพื่อหลบการลูบอย่างอ่อนโยนนั้น “ตอนนี้พวกเราเป็นเพื่อนกันได้แล้วใช่ไหม”
เซ่าเหยียนเห็นนางที่พยายามจะทำตัวสงบ แต่แก้มที่แดงเรื่อได้เผยความว้าวุ่นของนางนานแล้ว จนทำเอาเขาอดกระตุกมุมปากยิ้มขึ้นมาไม่ได้
รอยยิ้มที่ยากจะได้เห็นนี้ทำเอาเสวี่ยหรั่นประหลาดใจ ที่แท้เขาก็ยิ้มเป็นด้วย อีกทั้งพอฉีกยิ้มแล้วยังดูดีมาก เหมือนกับคุณชายหน้าขาวเมื่อครู่เลย
“เสวี่ยหรั่น”
“หืม?” อ่านรูปปากที่คุ้นเคย นางชี้ที่ตัวเองแล้วถามอย่างไม่น่าเชื่อว่า “เจ้าเรียกชื่อข้าอยู่หรือ?”
เขาไม่ตอบอะไรแค่ลูบรอยเขียวช้ำบนหน้าผากของนางเบาๆ แล้วพูดด้วยความเศร้าใจว่า “การถูกกระทำแบบนี้หลังจากนี้จะไม่มีอีกแล้ว” จากนั้นก็ยกคางของนางขึ้นก้มหน้าปิดริมฝีปากของนาง
อะไร?
นางยังไม่ทันตั้งสติ แค่รู้สึกที่ริมฝีปากตัวเองมีความอ่อนนิ่มทาบอยู่ มองใบหน้าที่ขยายขึ้นหลายเท่าจนแทบจะหายใจไม่ออก ความรู้สึกที่อ่อนนิ่มและอุ่นเล็กน้อยบนริมฝีปากเหมือนดั่งเต้าหู้ที่อ่อนนุ่ม วิญญาณก็เหมือนจะถูกดึงออกไปรู้สึกเบาหวิวเสียอย่างนั้น
นางตกใจตัวแข็งทื่อ กล่องใส่ปิ่นปักผมร่วงลงพื้น ปิ่นปักผมกระเด็นออกมาก็ยังไม่รู้ตัว
เสวี่ยหรั่นไม่รู้สึกตัวเลยว่าตัวเองถูกจูบบนถนนใหญ่
จากนั้นพักหนึ่งก็ละริมฝีปากออก แล้วยื่นนิ้วลูบริมฝีปากของนางอย่างแผ่วเบา พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ที่ข้าพูดไปจำได้หรือไม่?”
นางตอบรับแต่จำไม่ได้เลยว่าเขาได้พูดอะไรไป ในหัวว่างเปล่าไปนานไม่รู้เลยว่าเดิมทีแล้วตัวเองต้องจำอะไร เพียงแค่ตอบรับไปตามสัญชาตญาณเท่านั้น
เขาเก็บปิ่นปักผมและกล่อง ตบหน้านางเบาๆ “จะไปไหน? ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้า”
การสัมผัสที่สนิทสนมเช่นนี้ทำเอานางเขินอาย “ข้า ข้าจะไปร้านปิ่นปักผม”
เขานำหน้าจูงมือนางไว้ในฝ่ามือใหญ่ของตน ส่วนนางก็ได้แต่เดินตามอย่างเหม่อลอย จนถึงตอนนี้นางยังไม่รู้เลยว่าตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตัวเอง นางลูบริมฝีปากตัวเอง ความอบอุ่นที่ชายคนนั้นให้ไว้ยังคงหลงเหลืออยู่ จึงเขินอายอีกครั้งอย่างอดไม่ได้
เซ่าเหยียนเห็นทุกการกระทำของนางอยู่ในสายตา จึงเผยรอยยิ้มอ่อนๆ อีกครั้ง
เดินเข้าไปในร้านปิ่นปักผม เซ่าเหยียนเอากล่องปิ่นปักผมให้เจ้าของร้าน เสวี่ยหรั่นก็เดินไปข้างหน้าแล้วพูดขึ้น “คุณเจ้าของร้าน นายหญิงน้อยที่บ้านข้าจะขอคืนปิ่นปักผมนี้ บอกว่าไม่ชอบรูปแบบนี้”
เจ้าของร้านยิ้มใส่ “ได้เลย ขอข้าดูก่อนว่าเสียหายหรือไม่” จากนั้นก็เปิดกล่องปิ่นปักผมออก ก็เห็นหยกสีเขียวที่อยู่ฝังอยู่บนปิ่นปักผมมีรอยร้าว
เจ้าของร้านขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วขยับปิ่นปักผมนี้ไปตรงหน้านาง ชี้แล้วพูดว่า “แม่นาง สินค้าที่จะขอคืนนี้หากไม่มีความเสียหายก็จะคืนเงินให้อย่างแน่นอน แต่หยกสีเขียวที่ฝังอยู่บนปิ่นปักผมนี้ถูกขูดเป็นรอย แบบนี้ขอคืนไม่ได้แล้ว”
เสวี่ยหรั่นมองปิ่นปักผมนี้อย่างประหลาดใจ นึกไม่ออกว่าไปทำหยกที่สำคัญที่สุดบนปิ่นปักผมเสียหายได้อย่างไร“นี่ นี่ทำไมถึง...” พูดไปพลางคิดไปพลางว่าไปทำปิ่นปักผมเสียหายที่ไหน จากนั้นก็ทำตาโตมองไปที่เซ่าเหยียนที่มองดูรอบๆ อยู่...
เห้อ น่าจะเป็นการกระทำเมื่อสักครู่ของเขาทำให้นางปล่อยมือโดยไม่รู้ตัว ทำให้กล่องใส่ปิ่นปักผมหล่นกระแทกกับพื้น ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นแล้ว ไม่สามารถคืนให้กับที่ร้านเพื่อเอาเงินกลับมาและก็ไม่มีเงินมากขนาดที่จะชดใช้ให้ตันโหรวอี จึงได้แต่ขอร้องเจ้าของร้านว่า “คุณเจ้าของร้าน เจ้าเป็นร้านเก่าแก่ที่ร่วมงานกับตระกูลตันมาโดยตลอด สามารถผ่อนผันคืนเงินให้ข้าก่อนได้ไหม จากนั้นข้าจะค่อยๆ ชดใช้คืนเจ้า ได้หรือไม่?”
“คือ...” เจ้าของร้านแสดงสีหน้าลำบากใจ “แม่นาง การเปิดร้านจะผ่อนผันเป็นบางครั้งก็ใช่ว่าจะไม่ได้ เพียงแต่ช่วงนี้ตระกูลตันของพวกเจ้ามีเรื่องเล็กน้อย เกรงว่าคงจะคืนเงินให้ไม่ได้ ดังนั้นเชิญแม่นางเอาปิ่นปักผมกลับไปเถอะ ครั้งนี้ข้าผ่อนผันให้ไม่ได้จริงๆ“
มีเรื่อง? ช่วงนี้นางก็ไม่ได้ยินว่าที่บ้านมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นนี่นา เสวี่ยหรั่นทำหน้าสงสัย “เจ้าของร้าน คือว่า...”
“ปิ่นปักผมนี้ไม่ต้องคืนแล้ว” จู่ๆ แขนก็ถูกคนกระชาก พร้อมหยิบปิ่นปักผมบนโต๊ะไปเสียดื้อๆ
นางตกใจ “เจ้าจะทำอะไร?”
เซ่าเหยียนจูงมือนางออกจากร้าน แล้ววางปิ่นปักผมไว้บนมือนาง “จะเอาเท่าไหร่ ข้าให้”
“เจ้าให้?”
เขาก้มหน้าลง แล้วหยิบถุงเงินจากตรงเอววางไว้บนมืออีกข้างหนึ่งของนาง เสวี่ยหรั่นมองปิ่นปักผมในมือข้างหนึ่ง ถุงเงินที่หนักอึ้งในมืออีกข้างหนึ่งของตัวเอง สองตากลับพร่ามัวเล็กน้อย “นี่ นี่หมายความว่าอย่างไร!”
ไม่มีการอธิบาย เขาหยิบปิ่นปักผมเสียบเข้าที่มวยผมด้านซ้ายของนาง “ปิ่นปักผมให้เจ้า เงินเอาให้เจ้าไปคืนตระกูลตัน” เขาลูบหน้านางเบาๆ ตรวจดูเล็กน้อย “ดูดี” พูดจบก็หันหลังจากไป
“หืม!” เบิกตาโตตกตะลึง รูปปากที่พูดว่าดูดีนั้นทำเอานางทั้งดีใจและประหลาดใจ เสวี่ยหรั่นมองแผ่นหลังที่จากไปของเขาอย่างเหม่อลอย
--------------------------------------------------------------------
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ