ด้วยความคิดถึง...I'm missing you.
เขียนโดย Raksha
วันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2562 เวลา 13.30 น.
แก้ไขเมื่อ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2562 13.36 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) 3 คิดถึง…เพลง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
บ้านฉันรักดนตรีกันทั้งบ้าน เช้าไหนตื่นมาแล้วไม่ได้ยินเสียงเพลง แสดงว่าพ่อกับแม่ของฉันคงจะไม่อยู่บ้าน
พ่อบอกว่าตอนที่พ่อเป็นอาจารย์ฝึกสอนที่มหาวิทยาลัยใหม่ๆ ท่านใช้เพลง ‘Love me tender’ ของ เอลวิส เพรสลีย์ จีบแม่ของฉัน ที่เป็นอาจารย์ฝึกสอนรุ่นเดียวกัน เพลงนี้เลยกลายเป็นเพลงประจำของบ้าน
ฉันว่ามันก็น่ารักดี มันเป็นเรื่องที่ฉันฟังไม่เคยจะเบื่อ มันเป็นมุมโรแมนติกในแบบของคนที่แอบรัก รักแล้วก็อยากที่จะอยู่ใกล้ รู้ว่าเขาชอบอะไรก็อยากที่จะหามาให้
พ่อเคยบอกว่าถ้าวันนั้นแม่ฉันไม่ตอบรับรักของพ่อ พ่อก็จะขอรักแม่ตลอดไปแม้เพียงแค่ข้างเดียวก็ตาม แต่โชคก็เข้าข้างฉันเพราะถ้าแม่ไม่รับรักพ่อ คงจะไม่มีฉันในวันนี้
คิดไปคิดมาก็นึกถึงเรื่องของฉันกับเธอ เราเองก็เคยมีเพลงของเราเหมือนกัน หรือถ้าจะเรียกให้ถูกต้องมันก็คงจะเป็นเพลงของฉัน…ที่มอบให้กับเธอ
What can I do to make you love me?
What can I do to make you care?
What can I say to make you feel this?
What can I do to get you there?
เพลงของวงพี่น้องชาวไอริชดังแว่ว ทำให้ฉันต้องพยายามเปิดเปลือกตาที่แสนจะหนักอึ้ง สภาพห้องที่ไม่คุ้นเคยทำให้ฉันต้องรีบดีดตัวเองขึ้นมา แต่แล้วอาการบ้านหมุนจนต้องเอามือขึ้นมาขยุ้มผมตัวเอง แล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง
ถ้ารู้ว่าจะแฮงค์หนักขนาดนี้ จะไม่ยอมดื่มตามที่พี่ต้นกับไอ้ตาลคะยั้นคะยอเสียแต่ทีแรกหรอก ไหนใครว่าเหล้านอกไม่มีอาการแต่นี่มาเต็มๆ เลย
“ขิมตื่นแล้วก็ไปอาบน้ำซิ เค้กเอาเสื้อผ้าขิมไปซักอบแห้งให้แล้วนะ อาบน้ำแต่งตัวเสร็จจะได้ลงไปทานข้าวกัน”
หันมาอีกครั้งก็เจอใบหน้าสวยหวานของคนที่ ‘คนึงหา’ อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แล้วภาพตั้งแต่ที่ร้านจนมาถึงกิจกรรมเร่าร้อนบนเตียงนี้ ก็วูบเข้ามาเป็นฉากๆ ให้หน้าแดงหูแดงมองมือตัวเองก็แดง ไม่กล้าสู้หน้าให้ต้องหลบสายตากันพัลวัน
“อ้าวลุกซิคะ อะนี่คะผ้าเช็ดตัว ไปเร็วอย่างมัวอ้อยอิ่งอยู่ เค้กก็หิวข้าวแล้วเหมือนกันนะ”
เธอวางผ้าเช็ดตัวลงที่ปลายเตียง หันมาทำตาดุใส่ยิ้มน้อยๆ แล้วส่ายหัว เป็นท่าที่เธอมักจะทำประจำเวลาที่ฉันทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ แต่มันน่ามองเสียจริง
รีบลุกไปยังห้องน้ำทันทีที่เธอเดินออกไปจากห้องแล้ว มองร่างสูงโปร่งของตัวเองที่หน้ากระจก รอยแดงทั่วตัวที่แสดงถึงอารมณ์ร้อนแรงเมื่อคืน ก็ทำให้ต้องยกมือขึ้นปิดหน้าด้วยความเขินอายอีกสักทียังทันไหม
อาบน้ำใส่เสื้อผ้าชุดเดิมแต่กลิ่นนั้นหอมสะอาด แล้วลงเดินไปยังชั้นล่างตรงไปยังห้องครัว พอเห็นเธอที่กำลังจะยกจานข้าวฉันเลยรีบเข้าไปช่วย
“มาๆ เดี๋ยวขิมช่วยถือ”
“ไม่ต้องๆ แต่ช่วยไปหยิบน้ำในตู้เย็นมาหน่อยก็พอ”
ฉันเลยพยักหน้าแล้วเดินไปหยิบขวดน้ำในตู้เย็นมาถือไว้ แล้วลองเปิดตู้ด้านบนเพื่อหาแก้ว เทน้ำลงไปจนเกือบเต็มแก้วแล้วเดินถือออกมายังโต๊ะอาหาร
“มานั่งข้างเค้กซิ”
เธอตบมือลงที่เก้าอี้ข้างตัว ฉันก็ได้แต่อมยิ้มเพราะมันคือที่ประจำที่เธอชอบให้ฉันนั่ง เธอให้เหตุผลว่าเวลาคุยแล้วมันไม่ได้รสชาติ เพราะบางครั้งก็อยากที่จะแตะตัวไปด้วยพูดไปด้วย
ฉันว่ามันแปลกดีแต่ก็รู้สึกดีไปด้วยในที เพราะตัวฉันเองก็ชอบการสัมผัส
เช่น การเดินจับมือ การกอด การหอม ฉันชอบหมด จนบางครั้งก็กลัวว่าอีกคนจะรำคาญแต่ก็ไม่เลย เพราะเธอเองก็ชอบเหมือนกับฉันเหมือนกัน รสนิยมเดียวกัน ก็ไปกันได้
“เค้กคะ ขิมขอบคุณนะคะที่เมื่อคืนเค้กพาขิมมานอนที่บ้าน ไม่อย่างนั้นขิมอาจกำลังไปนอนอยู่ข้างถังขยะก็ได้”
คิดแล้วก็น่าหัวเราะ นี่ถ้าลูกค้ามาเห็นเราในสภาพนี้ สงสัยคงจะถูกยกเลิกสัญญาพราะคนขายภาพลักษณ์ไม่ดี
“จริงๆ เล้ยขิม ไม่อยากจะบ่นนะแต่มันก็อดไม่ได้จริงๆ เลิกๆ ไปซะทีได้ไหมไอ้การดื่มเหล้าแบบลืมตายเนี่ย จำไม่ได้รึไงว่าเมื่อก่อนตอนปีหนึ่งงานรับน้องน่ะ ขิมก็เมาจนเกือบจะตกทะเล”
ใช่…เราเคยเมามากแบบชนิดที่เรียนกว่าสุนัขรักกันเลยทีเดียว ปีนั้นเราไปรับน้องที่ชะอำ แล้วก็ถูกพวกรุ่นพี่แกล้งให้ดื่มเยอะจนเมามายแทบไม่ได้สติ
รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ก็มีมือของใครคนหนึ่งมาฉุดรั้งกันเอาไว้ ไม่งั้นเราคงต้องตกลงจากสะพานปลาสูงเป็นเมตรกินน้ำเค็มกันเต็มปอดแน่นอน
“ขอโทษค่ะ ขิมจะไม่ดื่มอีกแล้วค่ะ” ยิ้มแห้งๆ อย่างคนรู้สึกผิด แล้วก็ตักแกงจืดตำลึงเข้าปาก
“เพลงเพราะจังเนอะ” เอ่ยถึงเพลงที่คุ้นเคย หวังจะให้บรรยากาศดีขึ้น
“อือก็ชอบน่ะ” ฉันเห็นเธอยิ้มหน่อยๆ เท่านี้ก็พอใจ
คิดแล้วก็นึกถึงครั้งที่ร้องเพลงนี้ที่สนามบาสเก็ตบอลของโรงเรียน ฉันกับเพื่อนในวงโยธวาทิตช่วยกันเล่นส่วนฉันเป็นคนร้อง สุดท้ายต้องโดนอาจารย์ทำโทษเพราะแอบเอาอุปกรณ์ออกมาโดยไม่ได้รับอนุญาต
ในขณะที่ฉันกำลังทานข้าวอยู่ ก็สังเกตได้ว่าบ้านช่องนั้นค่อนข้างใหญ่เหมือนกันถ้าจะอยู่คนเดียว แต่ยังไม่มันจะถามอะไรเธอก็เป็นคนพูดขึ้นมาก่อน
“แล้วนี่ขิมอยู่ที่ไหนละ เดี๋ยวเค้กไปส่ง” เธอถาม
“ไม่เป็นไรๆ เค้ก เดี่ยวขิมกลับเองได้ แค่นี้ก็เกรงใจจะแย่แล้ว”
รีบปฏิเสธกันในทันที ไม่ใช่ว่าไม่อยากที่จะให้ไป แต่เพราะกลัวว่าเธอจะไปเจอห้องรกๆ ของฉันที่คอนโดแล้วจะรับไม่ได้ คงได้โดนบ่นจนหูชาเรื่องความสะอาดอีกระลอกแน่นอน
เธอเหมือนจะหน้าเสียลงไปเล็กน้อย เขี่ยข้าวในจานเล่นแล้วเอ่ยถามออกมาเสียเบา
“ทำไมเหรอ แฟนอยู่เหรอเลยไม่อยากให้ไป”
อ้าว! แล้วไฉนเลยถึงมาเป็นเรื่องนี้ได้ เมื่อคืนก็รื้อฟื้นความหลังกันไปอย่างเผ็ดร้อนขนาดนั้น นี่ยอม ‘รัก’ กับฉันทั้งที่ยังไม่แน่ใจว่าฉันมีใครอีกคนหรือไม่ มันไม่ใช่เธอคนนี้เลย
รีบวางข้อนแล้วหันไปหากันเต็มตัว พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น เพื่อสื่อให้คนที่ฟังได้รับรู้ความจริงใจ
“นอกจากเค้กแล้ว ขิมก็ไม่เคยมีใครอีกเลยนะ”
เธอหันมาด้วยสีหน้าที่ฉันเองก็บอกไม่ถูก ดวงตาหวานมีน้ำเอ่อขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เธอหันกลับไปสนใจจานมากกว่าที่จะอยากมองหน้าฉัน แล้วพูดกลับมาด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย
“แล้วทำไม ไม่มีล่ะ”
ทำไมน่ะหรือ? นี่ไม่รู้จริง...หรือลืมกันไปหมดแล้ว
“ขิมจะรัก รักแค่เค้กได้แค่คนเดียว”
ไม่ต้องเอื้อนเอ่ยอะไรกันออกมาอีก เราสองคนสวมกอดกันในทันทีที่ฉันพูดจบประโยค เธอร้องไห้กับไหล่ของฉันที่เธอซุกอยู่ ฉันทำเธอร้องไห้อีกแล้ว แต่ครั้งนี้มันเป็นการร้องไห้ที่แตกต่างออกไป
ฉันรู้สึกได้ว่ามันคือน้ำตาแห่งความตื้นตันและยินดี
ไม่นานนักเธอก็นิ่ง เธอหยุดร้องไห้ผละตัวออกจากฉันเอาหลังมือตัวเองยกขึ้นปาดน้ำตา ฉันมองเธอที่ร้องไห้เหมือนเด็กแล้วก็จูบลงที่หน้าผากมนนั้นของเธออย่างแสนรัก
“ทานข้าวกันต่อนะ แล้วเค้กช่วยไปส่งขิมที่ห้องหน่อยนะคะ”
ฉันเห็นเธอยิ้มกว้างด้วยความดีใจ แล้วหันไปตักนั่นนี่ให้เราจนเต็มจาน ไม่มีการพูดจาอะไรกันอีก มีก็แต่สองคนทานไปยิ้มไปให้แก่กัน พอเราจัดการกับอาหารจนเกลี้ยง เธอก็ขับรถพาฉันมาส่งยังคอนโดมิเนียมส่วนตัว
ฉันหยิบคีย์การ์ดขึ้นมาแนบก่อนกดเบอร์ห้องถ้าตรงกันลิฟต์ถึงจะทำงาน คอนโดมิเนียมที่นี่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่สูง ถ้าใครไม่มีคีย์การ์ดที่ระบุเลขห้องเอาไว้ คนคนนั้นก็ไม่สามารถขึ้นไปยังส่วนที่พักได้
“ห้องรกหน่อยนะ ห้ามบ่นล่ะ”
ฉันบอกในขณะที่กำลังจะเปิดประตูเข้าห้องตัวเอง เธอทำจมูกย่นกลับมาให้นึกเอ็นดู
“โอ้โห!” เธอร้องออกมาพร้อมทำตาโต
“หยุดเลยนะ บอกแล้วไงว่าห้ามบ่น” ฉันทำท่ายกมือขึ้นปิดจะปากของเธอ
“ก็ดูดิ ทำไมหนังสือมันเกลื่อนห้องอย่างนี้ล่ะขิม นี่เอาออกมาอ่านแล้วไม่คิดจะเก็บบ้างเลยเหรอ”
ไม่พูดเปล่าเธอเข้ามาหยิบหนังสือที่วางเกลื่อนอยู่ทั่วห้องนั่งเล่น หยิบเก็บทีละเล่มอย่างใจเย็น แล้วเดินเอาไปไว้ตรงชั้นหนังสือที่โล่งจนน่าใจหาย เพราะทุกเล่มมันกลับถูกวางไว้ที่พื้นแทนที่จะเป็นตรงนั้นน่ะซิ
“ก็พอขิมอ่านแล้วมันติดพันน่ะเค้ก จะเอาไปเก็บก็ไม่ได้เพราะอยากจะ อ่านต่อซ้ำๆ”
ฉันปล่อยให้แม่บ้านคนขยันบ่นไปเก็บไปอย่างนั้น แล้วเดินเข้ามายังห้องนอนเพื่อหาเสื้อผ้าเปลี่ยน หยิบกางเกงขายาวผ้าเบาสบายกับเสื้อยืดสีขาวที่ใส่ประจำออกมา
พอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยก็เดินออกมายังห้องนั่งเล่น แล้วก็ต้องตกใจเพราะหนังสือกว่าครึ่งถูกจัดเก็บไว้ยังที่ที่ควรจะเป็นเรียบร้อยแล้ว
แหม…เห็นอย่างนี้แล้วอยากจะขอให้มาเป็นแม่บ้านส่วนตัวเสียจริง
เดินอมยิ้มเลยไปยังห้องครัวหยิบแก้วเปิดตู้เย็นเทน้ำส้มคั้นสดลงไป เวลาเหนื่อยๆ เธอจะชอบดื่มน้ำส้มคั้นสดเย็นๆ เสมอ ฉันจำได้และฉันเองก็ดื่มมันเป็นประจำ ในเวลาที่คิดถึงเธอเช่นเดียวกัน
“เก่งจังแป๊บเดียวเองนะเนี่ย ห้องขิมก็สะอาดเกลี้ยงกริ๊บเลย อะนี่ค่ะรางวัลแม่บ้านคนเก่ง”
เธอรับแก้วน้ำส้มของฉันไปแล้วเดิมในทันที แต่สายตาก็ส่งค้อนกลับมาให้เราต้องอมยิ้มอย่างชอบใจ ดูซิ…คนอะไรขนาดท่าค้อนยังน่ารักเลย
“อร่อยจังคั้นเองเหรอคะ”
“อื้อคั้นเองซิ”
ทำตัวไม่ถูกเพราะถูกคนสวยชม ทำเป็นเดินเองๆ ไปนั่งที่โซฟาแล้วหยิบรีโมทเปิดทีวี
“ขิมทำงานอะไรอยู่ตอนนี้” เธอถาม
“เป็นเซลล์น่ะ” ฉันตอบ
“อืมแบบ…ที่ขายเครื่องไฟฟ้าน่ะเหรอ” เธอยังคงสักต่อ ฉันเหล่ตามองเธอนิดหน่อยก่อนที่จะอธิบาย
“เอาจริงๆ ขิมเป็น Business development น่ะ เอาธุรกิจของเค้ามาต่อยอดหาช่องการขายเพื่อขยายธุรกิจ อะไรทำนองนั้น”
“อ๋อ แหมแค่แซวนิดเดียวเอง อย่างอนเลยนะคะ” เธอแกล้งเอามือมาหยิกแก้มฉัน เธอชอบทำแบบนี้เวลาที่อยากจะง้อ
“แล้วออกมาอยู่คนเดียวนานยังคะ ปกติขิมติดที่บ้านจะตาย”
“อื้มนานแล้วล่ะ จริงๆ ก็ตั้งแต่ขิมทำงานใหม่ๆ นั่นแหละ”
ความจริงพ่อกับแม่ก็มีค้านนิดหน่อยเพราะว่าเป็นห่วงฉัน แต่ก็นั่นแหละ ถ้าฉันตัดสินใจว่าอะไรที่บ้านของฉันก็ได้ว่าอะไร เพราะถือว่าโตแล้วให้อิสระกันเต็มที่
“แล้วขิมรู้สึกเสียดายไหมที่ไม่ได้ใช้วิชาที่เรียนมา”
“อืมก็ไม่นะ แต่ว่าถ้าได้ทำงานตรงสายก็คงจะดีแต่ตอนนี้ขิมก็แฮปปี้กับงานที่ขิมทำนะ แล้วเค้กล่ะตอนนี้ทำอะไรอยู่”
เปลี่ยนไปถามเพื่อนคนสวยบ้าง บ้านใหญ่ขนาดนั้นคงจะมีหน้าที่การงานที่ไม่น้อยเลย ถ้าจะถามกันเหมือนสัมภาษณ์งานเสียขนาดนั้น
“เค้กสอนเปียโนที่บ้านน่ะ” ฉันพยักหน้าเข้าใจ เออมันก็ดีนะได้ทำงานใน สิ่งที่ชอบ ที่ไม่จำเป็นต้องสะกดจิตตัวเองให้มาทำในทุกวัน
เธอเลือกเรียนเอกเปียโนอยู่แล้ว และมันคงจะไม่ยากที่จะเป็นครูดนตรีคอยสอนในสิ่งที่ตัวเองถนัด และมีความสุขที่จะทำ
นั่งคุยไปสักพักคนที่พักผ่อนน้อยอย่างเราก็เริ่มง่วง หลับตาพักเอาไว้แค่เพียงครู่ แต่ไปๆ มาๆ ทำไมมันเหมือนจะหลับจริง
“ขิมนอนดีๆ ซิคะเดี๋ยวก็ปวดคอหรอก” เธอพูดแล้วก็จับศีรษะเราให้มา หนุนตัก
“ไม่เมื่อยเหรอ” ฉันยังถามเพราะเป็นห่วง
“ไม่หรอกขิมนอนเถอะ เราจะดูทีวี” เธอบอกแล้วก็ทำเป็นไม่สนใจ
ปล่อยให้ฉันนอนอยู่อย่างนั้นจนสมใจ ส่วนตัวเองก็เอารีโมททีวีมาเปลี่ยนช่องตามอัธยาศัย
อืม… ถ้าได้นอนอย่างนี้ทุกวันก็คงจะดี
...................................................................................
โปรดติดตามตอนต่อไป
สนใจอ่านเต็มเรื่องได้ที่
https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTUxNjMyMiI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjU6Ijc4ODk2Ijt9
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ