Vengeful Ronin ศึกโรนินแผ่นดินอสูร
-
เขียนโดย Script_Along_Nagato
วันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2562 เวลา 20.24 น.
3 ตอน
0 วิจารณ์
4,473 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2562 20.36 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) Act 1 : Assassin's theory หลักแห่งมือสังหาร (2/3)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความACT 1
“ริวเซย์อิ ลูกแน่ใจแล้วนะ” หญิงแม่บ้านวัยสี่สิบตอนปลายเหลียวมองลูกชายคนโตของบ้านที่กำลังจะจากไป
“ครับ...ผมอยากทำ เพื่อแผ่นดิน และเพื่อพ่อ” ชายหนุ่มตอบ
“นั้นแหละที่แม่กลัว...ว่าลูกจะไม่ได้กลับมา เพื่อพ่อของลูก”
“ผมไม่เชื่อหรอก” ชายหนุ่มสะพายกระเป๋าเดินทางขึ้นหลัง “พ่อยังมีชีวิตอยู่ ข้างนอกนั้นที่ไหนสักแห่ง...พ่ออาจกำลังรอผมอยู่”
หญิงแม่บ้านถอนหายใจเบาๆ เธอรู้อยากแน่ใจว่ามิอาจเปลี่ยนใจบุตรชายได้
“คาสุมิ...พี่เขาจะไปแล้วนะ”
“ไปซะได้ก็ดี” เสียงตะโกนจากหลังบ้านของเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้นด้วยความเกรี้ยวกราด
“คาสุมิ !!!” แม่ของเธอตะคอกเสียงใส่
“ไม่เป็นไรหรอกแม่” ชายหนุ่มตอบ “ผมจะกลับมาหาแม่กับน้อง...ผมสัญญา”
ริวเซย์สวมกอดแม่ของเขาก่อนจะค่อยๆเดินจากไป คาสุมิมองลอดผ่านประตูไม้ดูพี่ชายคนโตของเธอเดินหายไปสู่ถนนริมทางทุ่งข้าว สู่เส้นทางอันลี้ลับสำหรับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
สิบปีต่อมา
กรอปๆ กรอปๆ กรอปๆ
เสียงรถม้ารับจ้างคันหนึ่ง เดินมาถึงเขตค่ายทหารใกล้หมู่บ้านทางตอนเหนือของแคว้นฮิเดโยชิ ชายแดนต่อกับเขตป่าหุบเหวฟุกิยาโระ
ลมหนาวแรกของฤดูใบไม้ร่วงเริ่มพัดเอาใบไม้แห่งหลุดลอยจากไม้ใหญ่ลงพื้นหญ้าที่สะท้อนแสงแดดยามเย็นเป็นสีส้มละมุนสายตา
“นายท่านครับ” ชายชราผู้คุมรถม้าตะโกนเรียกซามูไรหนุ่มเบื้องหลัง “เรามาถึงชายแดนแล้วครับ”
ริวเซย์อิล้วงแผ่นกระดาษม้วนออกก่อนยื่นให้ซามูไรผู้หนึ่งที่ที่ตรงมาต้อนรับเขา
“คุณคงจะเป็น นางาโอะ ริวเซย์อิ สินะครับ” ซามูไรผู้นั้นเปิดม้วนกระดาษออก “ท่านนายพลโยชิโมโตะกำลังรอท่านอยู่เลยขอรับ”
ริวเซย์อิเดินตามซามูไรผู้ตอบรับเข้าสู่กลางค่าย ที่ซึ่งเป็นเต็นท์กองบัญชาการขนาดใหญ่ โดยมีซามูไรเกราะแดงหลายคนเดินไปมาตลอดเวลา
“มาถึงแล้วหรอ...ท่านริวเซย์อิ” ชายชราอายุราวห้าสิบต้นๆ ร่างกายกำยำใหญ่โต ไว้หนวดเคราและมัดผมสีดำเงาต่างกับอายุขัยในชุดเสื้อรองและเกราะบางสีแดงชาด
“ดีใจที่ได้พบท่านอีกครั้ง...ท่านนายพลโยชิโมโตะ”
“ไม่คิดว่าท่านไดเมียวมิชิมะ จะส่งท่านมาออกศึกในครั้งนี้”
“พอดีข้ากับท่านไดเมียวมีข้อแลกเปลี่ยนบางอย่างน่ะ” ริวเซย์อิขานตอบ
“เข้าใจล่ะ” นายพลโยชิโมโตะผายมือสู่โต๊ะตัวใหญ่กลางเต็นท์ “ผมถึงส่งมาที่นี้เพื่อปราบปรามกองโจรกลุ่มสุดท้ายในแผ่นดิน...แต่กลับพบเรื่องประหลาดมากมายอย่างไม่คาดคิด”
“หมายความว่าอย่างไง...ท่านนายพล”
“เมื่อไม่นานมานี้ ทหารที่เขตชายแดนของเรารายงานว่าพบอสุรกายออกทำร้ายชาวบ้าน ทั้งที่ร้อยวันพันปีพวกมันไม่เคยปรากฏตัวเลยด้วยซ้ำ ทั้งยังพวกโจรที่เราพบล่าสุด...จัดชาวบ้านมาเผาทั้งเป็น พวกมันอ้างว่าโลกให้ถึงคราววิบัติ”
“พวกมันคงเสียสติ” ซามูไรหนุ่มออกความเห็น
“อาจเป็นไปได้...ตอนนี้คนของเรากำลังออกเพื่อหาที่ตั้งมั่นสุดท้ายของกองโจรพวกนี้” โยชิโมโตะชี้นิ้วบนแผนที่ใบใหญ่บนโต๊ะไปทางเขตหุบเขาฟุกิยาโระ
“นั้นไม่ใช่ทั้งหมดใช่ไหม...ท่านนายพล” ริวเซย์อิเดาจากซีหน้าของโยชิโมโตะ
“ถูก” โยชิโมโตะตอบ “ล่าสุดยังมีรายงานว่าพบผู้บุกรุกในชุดเกราะและอาวุธครบมือจากแผ่นดินใหญ่หลบๆซ้อนๆอยู่บนเทือกเขามรณะในป่าหุบเหวฟุกิยาโระ...ท่านโชกุนโทโมเอะอนุญาตให้ประกาศว่าเขตนี้เป็นเขตส่งคราม”
“คนจากแผ่นดินใหญ่งั้นหรอ” ริวเซย์อิขมวดคิ้ว “ไม่คิดว่ามันต้องการจะเปิดศึกอีกครั้งเป็นแน่ ไม่งั้นมันคงยกทัพเรือมา ง่ายกว่าผ่านหุบเหวฟุกิยาโระกว่าหลายเท่าตัว”
“พวกมันอาจมาสืบข่าวสารอะไรบางอย่าง...แต่เราจะประมาทไม่ได้” โยชิโมโตะเอามือจับคางท่าทางครุ่นคิด “จะปล่อยให้พวกมันบุกรุกดินแดนเราเหมือนเมื่อยี่สิบปีที่แล้วไม่ได้”
โยชิโมโตะถอนหายใจเบาๆ
“ยังไงก็ชั่งเถอะ ท่านมาในฐานะซามูไรของท่านไดเมียวมิชิมะ ข้าไม่มีอำนาจสั่งการท่านได้มาก ฉะนั้นขอเชิญตามสบายเถิด แล้วค่อยมาพบกันพรุ่งนี้ก่อนตะวันลับฟ้า” นายพลใหญ่และซามูไรหนุ่มก้มคำนับก่อนจะจากลา
“ในฐานะศิษย์สำนักเดียวกัน...ท่านก็มีอำนาจเหนือข้าเสมอ ท่านนายพล” ริวเซย์อิกล่าวอำลาก่อนตรงออกมาเต้นบัญชาการเพื่อพบแสงสุดท้ายของวันเริ่มจะลับฟ้าไป
“มาสายนะ” หญิงสาวที่คุ้นหน้าตะโกนทักขึ้นมาก่อนริวเซย์อิจะหามองตามที่เสียงที่มา
“นั้นมันคำพูดของชั้นนิ” ชายหนุ่มตอบ “ไม่เจอกันนานนะ คายุ”
“นานหรอ แค่เดือนกว่าๆเอง” คายุระส่ายศีรษะขณะเดินตรงเข้ามาสหายเก่าตรงหน้า “สงสัยจะคิดถึงชั้นมากสินะ”
ริวเซย์อิยิ้มอ่อนๆ
“รู้ไหม” คายุระเหลียวมองไปทางนอกค่ายสุดสายตาคือหมู่บ้านแห่งหนึ่งของแคว้นฮิเดโยชิ “ที่หมู่บ้านตรงนั้นน่ะ...มีบาร์ดีๆที่แคว้นบ้านนอกของนายไม่มีเปิดเชียวนะ”
“งั้นหรอ” ริวเซย์อิมองตามด้วยความรู้ทัน “แล้วเธอบอกชั้นทำไมละ”
“ริวเซย์...สมแล้วที่นายหาแฟนไม่ได้”
ชายหนุ่มยิ้มหัวเราะน้อยๆ
“โอเคๆ...ชั้นเลี้ยงเอง”
“ล้อเล่นน่ะ...เราแชร์กัน เหมือนทุกครั้งแหละ”
ก่อนจะตกลงกันได้ทั้งคู่ก็รู้ตัวว่ามานั้นอยู่หน้าบาร์แล้ว แต่บรรยากาศอันแปลกจากสถานที่สาธารณะทั่วไปตรงที่จำนวนผู้คน
“เหมือนจะไม่ค่อยมีลูกค้านะ” ริวเซย์อิเหลียวมองรอบๆ มีเพียงเขา เพื่อนสาวสอนคนและชาวบ้านอีกสองสามโต๊ะที่อยู่ห่างไกล เพื่อเทียบกับจำนวนที่นั่งนับสิบๆ
“เพราะที่นี้ถูกประกาศเป็นเขตสงครามตั้งแต่เมื่อวานก่อนน่ะ”
“แล้วทำไมเขาถึงเปิดให้เรากันนะ”
“เพราะเขารู้ว่าชั้นจะมาไงละ” คายุระฉีกยิ้มยักคิ้วซ้ายตอบ
“สวัสดีครับ...เย็นนี้จะรับอะไรดี” ชายวัยห้าสิบในชุดพ่อครัวเดินออกจากม่านหลังเคาร์เตอร์ไม้
“มีอะไรแนะนำ” ชายหนุ่มถาม
“ร้านเรารับบรั่นดีแท้มาจากตะวันตกนะครับ”
“จัดมาครับ”
“แล้วคุณผู้หญิงละครับ”
“สาเกค่ะ” คารุยะตอบ “พอดีที่บ้านไม่ค่อยนิยมของนอก”
ริวเซย์อิยิ้มหัวเราะน้อยๆ ก่อนลุงบาร์เทนเดอร์รินเครื่องดื่มเซิร์ฟ
“ได้ข่าวเรื่องพ่อของนายบ้างหรือยังล่ะ”
“ยังเลย...แต่คิดว่าอีกไม่นาน ท่านหญิงอิซุมิน่าจะมีข่าวคราวอะไรคืบหน้าบ้าง”
“ชั้นรู้สึกไม่ถูกชะตากับแม่มดเฒ่านั้นเลย” คารุยะแสดงสีหน้าหยะแหยง
“ท่านหญิงอิซุมิช่วยชั้นไว้หลายอย่างตั้งแต่สมัยที่เรายังเรียนอยู่ในสำนัก”
“พนันสิว่าชั้นช่วยนายไว้มากกว่าในหลายๆศึกที่ผ่านมา” คารุยะเถียงขึ้น
“จำสร้อยนี้ได้ไหม” ริวเซย์อิคว้าศิลาหยาดน้ำตาเทวทูตขึ้นมาให้เพื่อนสาวของเราดู “ท่านหญิงอิซุมิบอกว่าถ้าข้าสามารถหาชิ้นส่วนของศิลาที่เหลือ นางอาจรู้ได้ว่าพ่อข้าอยู่ที่ไหน”
“ดูเหมือนงมเข็มในมหาสมุทรเลยนะนั้น”
คายุระยกถ้วยสาเกขึ้นซด
“แล้วเธอล่ะ...ได้ข่าวว่ามีขุนนางจากวังหลวงมาทาบทามเสนอตำแหน่งในวังให้ไม่ใช่หรอ” ริวเซย์อิเปลี่ยนเรื่องสนทนา
“ท่านอาข้าเองแหละ ตั้งแต่พ่อข้าเสียไปจากศึกกับชาวแผ่นดินใหญ่เมื่อยี่สิบปีก่อน ท่านอาก็ดูแลตระกูลและรับใช้ไดเมียวของแคว้นข้าแทนพ่อ” คารุยะส่ายหน้าเบาๆ “แต่ตระกูลข้าคือซามูไร การที่นักรบจะไปเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมือง ถือเป็นการลดเกียรติตัวเอง และไม่สมควรได้รับการยอมรับจากสังคม”
“สมแล้ว...ที่เธอเป็นซามูไรที่ขึ้นชื่อของแคว้นฮิเดโยชิ” ริวเซย์อิชื่นชมอุดมการณ์ของเพื่อนสาว
“แน่ล่ะ...คุณยายชั้นเรียกร้องสิทธิให้ผู้หญิงในแคว้นมีสิทธิเท่าเทียบผู้ชาย แต่สิทธินั้นย้อมแลกมาด้วยความรับผิดชอบ” คายุระหยิบดาบสั้นวากิซาชิของเธอที่มีสัญลักษณ์ประจำแคว้นขึ้นมาเชยชม
“ถ้าผู้หญิงเราจะสิทธิเท่าผู้ชาย ก็ต้องรับใช้แผ่นดินเหมือนๆกับผู้ชายเช่นกัน ไม่ใช่เรียกร้องแค่สิทธิ แต่เจ้าตัวไม่รับภาระที่ตามมา...นั้นคือเหตุผลที่ชั้นเป็นซามูไรตามพ่อ”
“รู้อะไรไหม” ริวเซย์อิยิ้มมุมปากน้อยก่อน “นั้นคือเหตุผลที่เธอไม่เคยแพ้ในศึกไหนเลย...อาจจะแพ้ถ้าประลองดาบกับชั้น”
“เงียบไปเลย...ชั้นต้องท้านายประลองแก้มือแน่นอน...สาบานเลย” ทั้งคู่แชร์ความหลังและมิตรภาพเมื่อครั้งยังอ่อนประสบการณ์ด้วยกันอย่างสนุกสนาน โดยไม่รู้ว่าเงามืดในร่างซามูไรบนหลังม้าจ้องมองพวกเขาอยู่จากมุมมืดหนึ่งของหมู่บ้านที่เงียบสงบ สายตาอันเย็นชานั้นจ้องมองชายหนุ่มกับสร้อยศิลาหยาดน้ำตาเทพทูตด้วยความแน่นิ่ง
(บทสนทนาต่อไปนี้จะเป็นภาษาจีนแมนดาริน)
บุคคลปริศนาสามคนเดินตรงสู่หุบเหวที่ปกคลุมด้วยความหนาวเย็นและมืดมนเบื้องหน้า
“เราใกล้ถึงแล้วสินะ” เสียงชายปริศนาในชุดคลุมกันหนาวสีดำเงยหน้ามองหุบเหวที่สูงเสียดฟ้าตรงหน้า เสียงหยดน้ำจากน้ำแข็งที่เกาะหินผาตกกระทบพื้นหินที่กร่อนเป็นร่องรอยกว่าร้อยปี
“รีบปีนขึ้นไปเถอะ...ถ้าพวกมันผ่านหุบเหวนี้ไปได้ พวกมันก็ใกล้ถึงแดนอาทิตย์อุทัยเข้าทุกทีแล้ว” ชายปริศนาอีกคนกล่าวขึ้นขณะหยิบเคียวตะขอเงาสะท้อนแสงออกจากมาก่อนจะเดินปีนขึ้นสู่เส้นทางสูงชันตรงหน้า
“ถ้าท่านเห็นเช่นนั้น...ก็นำทางไปเลย” เสียงของหญิงสาวกล่าวตอบก่อนจะคว้าเคียวของเธอออกมา เผยให้เห็นสายคล้องข้อมือที่ห้อยศิลาหยาดน้ำตาเทวทูตอีกชิ้นหนึ่งที่เริ่มส่องแสงสว่างเรียกร้องถึงชิ้นส่วนที่หายไปนั้น...อยู่ห่างไปอีกใกล้กว่าที่มันคิด
“ริวเซย์อิ ลูกแน่ใจแล้วนะ” หญิงแม่บ้านวัยสี่สิบตอนปลายเหลียวมองลูกชายคนโตของบ้านที่กำลังจะจากไป
“ครับ...ผมอยากทำ เพื่อแผ่นดิน และเพื่อพ่อ” ชายหนุ่มตอบ
“นั้นแหละที่แม่กลัว...ว่าลูกจะไม่ได้กลับมา เพื่อพ่อของลูก”
“ผมไม่เชื่อหรอก” ชายหนุ่มสะพายกระเป๋าเดินทางขึ้นหลัง “พ่อยังมีชีวิตอยู่ ข้างนอกนั้นที่ไหนสักแห่ง...พ่ออาจกำลังรอผมอยู่”
หญิงแม่บ้านถอนหายใจเบาๆ เธอรู้อยากแน่ใจว่ามิอาจเปลี่ยนใจบุตรชายได้
“คาสุมิ...พี่เขาจะไปแล้วนะ”
“ไปซะได้ก็ดี” เสียงตะโกนจากหลังบ้านของเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้นด้วยความเกรี้ยวกราด
“คาสุมิ !!!” แม่ของเธอตะคอกเสียงใส่
“ไม่เป็นไรหรอกแม่” ชายหนุ่มตอบ “ผมจะกลับมาหาแม่กับน้อง...ผมสัญญา”
ริวเซย์สวมกอดแม่ของเขาก่อนจะค่อยๆเดินจากไป คาสุมิมองลอดผ่านประตูไม้ดูพี่ชายคนโตของเธอเดินหายไปสู่ถนนริมทางทุ่งข้าว สู่เส้นทางอันลี้ลับสำหรับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
สิบปีต่อมา
กรอปๆ กรอปๆ กรอปๆ
เสียงรถม้ารับจ้างคันหนึ่ง เดินมาถึงเขตค่ายทหารใกล้หมู่บ้านทางตอนเหนือของแคว้นฮิเดโยชิ ชายแดนต่อกับเขตป่าหุบเหวฟุกิยาโระ
ลมหนาวแรกของฤดูใบไม้ร่วงเริ่มพัดเอาใบไม้แห่งหลุดลอยจากไม้ใหญ่ลงพื้นหญ้าที่สะท้อนแสงแดดยามเย็นเป็นสีส้มละมุนสายตา
“นายท่านครับ” ชายชราผู้คุมรถม้าตะโกนเรียกซามูไรหนุ่มเบื้องหลัง “เรามาถึงชายแดนแล้วครับ”
ริวเซย์อิล้วงแผ่นกระดาษม้วนออกก่อนยื่นให้ซามูไรผู้หนึ่งที่ที่ตรงมาต้อนรับเขา
“คุณคงจะเป็น นางาโอะ ริวเซย์อิ สินะครับ” ซามูไรผู้นั้นเปิดม้วนกระดาษออก “ท่านนายพลโยชิโมโตะกำลังรอท่านอยู่เลยขอรับ”
ริวเซย์อิเดินตามซามูไรผู้ตอบรับเข้าสู่กลางค่าย ที่ซึ่งเป็นเต็นท์กองบัญชาการขนาดใหญ่ โดยมีซามูไรเกราะแดงหลายคนเดินไปมาตลอดเวลา
“มาถึงแล้วหรอ...ท่านริวเซย์อิ” ชายชราอายุราวห้าสิบต้นๆ ร่างกายกำยำใหญ่โต ไว้หนวดเคราและมัดผมสีดำเงาต่างกับอายุขัยในชุดเสื้อรองและเกราะบางสีแดงชาด
“ดีใจที่ได้พบท่านอีกครั้ง...ท่านนายพลโยชิโมโตะ”
“ไม่คิดว่าท่านไดเมียวมิชิมะ จะส่งท่านมาออกศึกในครั้งนี้”
“พอดีข้ากับท่านไดเมียวมีข้อแลกเปลี่ยนบางอย่างน่ะ” ริวเซย์อิขานตอบ
“เข้าใจล่ะ” นายพลโยชิโมโตะผายมือสู่โต๊ะตัวใหญ่กลางเต็นท์ “ผมถึงส่งมาที่นี้เพื่อปราบปรามกองโจรกลุ่มสุดท้ายในแผ่นดิน...แต่กลับพบเรื่องประหลาดมากมายอย่างไม่คาดคิด”
“หมายความว่าอย่างไง...ท่านนายพล”
“เมื่อไม่นานมานี้ ทหารที่เขตชายแดนของเรารายงานว่าพบอสุรกายออกทำร้ายชาวบ้าน ทั้งที่ร้อยวันพันปีพวกมันไม่เคยปรากฏตัวเลยด้วยซ้ำ ทั้งยังพวกโจรที่เราพบล่าสุด...จัดชาวบ้านมาเผาทั้งเป็น พวกมันอ้างว่าโลกให้ถึงคราววิบัติ”
“พวกมันคงเสียสติ” ซามูไรหนุ่มออกความเห็น
“อาจเป็นไปได้...ตอนนี้คนของเรากำลังออกเพื่อหาที่ตั้งมั่นสุดท้ายของกองโจรพวกนี้” โยชิโมโตะชี้นิ้วบนแผนที่ใบใหญ่บนโต๊ะไปทางเขตหุบเขาฟุกิยาโระ
“นั้นไม่ใช่ทั้งหมดใช่ไหม...ท่านนายพล” ริวเซย์อิเดาจากซีหน้าของโยชิโมโตะ
“ถูก” โยชิโมโตะตอบ “ล่าสุดยังมีรายงานว่าพบผู้บุกรุกในชุดเกราะและอาวุธครบมือจากแผ่นดินใหญ่หลบๆซ้อนๆอยู่บนเทือกเขามรณะในป่าหุบเหวฟุกิยาโระ...ท่านโชกุนโทโมเอะอนุญาตให้ประกาศว่าเขตนี้เป็นเขตส่งคราม”
“คนจากแผ่นดินใหญ่งั้นหรอ” ริวเซย์อิขมวดคิ้ว “ไม่คิดว่ามันต้องการจะเปิดศึกอีกครั้งเป็นแน่ ไม่งั้นมันคงยกทัพเรือมา ง่ายกว่าผ่านหุบเหวฟุกิยาโระกว่าหลายเท่าตัว”
“พวกมันอาจมาสืบข่าวสารอะไรบางอย่าง...แต่เราจะประมาทไม่ได้” โยชิโมโตะเอามือจับคางท่าทางครุ่นคิด “จะปล่อยให้พวกมันบุกรุกดินแดนเราเหมือนเมื่อยี่สิบปีที่แล้วไม่ได้”
โยชิโมโตะถอนหายใจเบาๆ
“ยังไงก็ชั่งเถอะ ท่านมาในฐานะซามูไรของท่านไดเมียวมิชิมะ ข้าไม่มีอำนาจสั่งการท่านได้มาก ฉะนั้นขอเชิญตามสบายเถิด แล้วค่อยมาพบกันพรุ่งนี้ก่อนตะวันลับฟ้า” นายพลใหญ่และซามูไรหนุ่มก้มคำนับก่อนจะจากลา
“ในฐานะศิษย์สำนักเดียวกัน...ท่านก็มีอำนาจเหนือข้าเสมอ ท่านนายพล” ริวเซย์อิกล่าวอำลาก่อนตรงออกมาเต้นบัญชาการเพื่อพบแสงสุดท้ายของวันเริ่มจะลับฟ้าไป
“มาสายนะ” หญิงสาวที่คุ้นหน้าตะโกนทักขึ้นมาก่อนริวเซย์อิจะหามองตามที่เสียงที่มา
“นั้นมันคำพูดของชั้นนิ” ชายหนุ่มตอบ “ไม่เจอกันนานนะ คายุ”
“นานหรอ แค่เดือนกว่าๆเอง” คายุระส่ายศีรษะขณะเดินตรงเข้ามาสหายเก่าตรงหน้า “สงสัยจะคิดถึงชั้นมากสินะ”
ริวเซย์อิยิ้มอ่อนๆ
“รู้ไหม” คายุระเหลียวมองไปทางนอกค่ายสุดสายตาคือหมู่บ้านแห่งหนึ่งของแคว้นฮิเดโยชิ “ที่หมู่บ้านตรงนั้นน่ะ...มีบาร์ดีๆที่แคว้นบ้านนอกของนายไม่มีเปิดเชียวนะ”
“งั้นหรอ” ริวเซย์อิมองตามด้วยความรู้ทัน “แล้วเธอบอกชั้นทำไมละ”
“ริวเซย์...สมแล้วที่นายหาแฟนไม่ได้”
ชายหนุ่มยิ้มหัวเราะน้อยๆ
“โอเคๆ...ชั้นเลี้ยงเอง”
“ล้อเล่นน่ะ...เราแชร์กัน เหมือนทุกครั้งแหละ”
ก่อนจะตกลงกันได้ทั้งคู่ก็รู้ตัวว่ามานั้นอยู่หน้าบาร์แล้ว แต่บรรยากาศอันแปลกจากสถานที่สาธารณะทั่วไปตรงที่จำนวนผู้คน
“เหมือนจะไม่ค่อยมีลูกค้านะ” ริวเซย์อิเหลียวมองรอบๆ มีเพียงเขา เพื่อนสาวสอนคนและชาวบ้านอีกสองสามโต๊ะที่อยู่ห่างไกล เพื่อเทียบกับจำนวนที่นั่งนับสิบๆ
“เพราะที่นี้ถูกประกาศเป็นเขตสงครามตั้งแต่เมื่อวานก่อนน่ะ”
“แล้วทำไมเขาถึงเปิดให้เรากันนะ”
“เพราะเขารู้ว่าชั้นจะมาไงละ” คายุระฉีกยิ้มยักคิ้วซ้ายตอบ
“สวัสดีครับ...เย็นนี้จะรับอะไรดี” ชายวัยห้าสิบในชุดพ่อครัวเดินออกจากม่านหลังเคาร์เตอร์ไม้
“มีอะไรแนะนำ” ชายหนุ่มถาม
“ร้านเรารับบรั่นดีแท้มาจากตะวันตกนะครับ”
“จัดมาครับ”
“แล้วคุณผู้หญิงละครับ”
“สาเกค่ะ” คารุยะตอบ “พอดีที่บ้านไม่ค่อยนิยมของนอก”
ริวเซย์อิยิ้มหัวเราะน้อยๆ ก่อนลุงบาร์เทนเดอร์รินเครื่องดื่มเซิร์ฟ
“ได้ข่าวเรื่องพ่อของนายบ้างหรือยังล่ะ”
“ยังเลย...แต่คิดว่าอีกไม่นาน ท่านหญิงอิซุมิน่าจะมีข่าวคราวอะไรคืบหน้าบ้าง”
“ชั้นรู้สึกไม่ถูกชะตากับแม่มดเฒ่านั้นเลย” คารุยะแสดงสีหน้าหยะแหยง
“ท่านหญิงอิซุมิช่วยชั้นไว้หลายอย่างตั้งแต่สมัยที่เรายังเรียนอยู่ในสำนัก”
“พนันสิว่าชั้นช่วยนายไว้มากกว่าในหลายๆศึกที่ผ่านมา” คารุยะเถียงขึ้น
“จำสร้อยนี้ได้ไหม” ริวเซย์อิคว้าศิลาหยาดน้ำตาเทวทูตขึ้นมาให้เพื่อนสาวของเราดู “ท่านหญิงอิซุมิบอกว่าถ้าข้าสามารถหาชิ้นส่วนของศิลาที่เหลือ นางอาจรู้ได้ว่าพ่อข้าอยู่ที่ไหน”
“ดูเหมือนงมเข็มในมหาสมุทรเลยนะนั้น”
คายุระยกถ้วยสาเกขึ้นซด
“แล้วเธอล่ะ...ได้ข่าวว่ามีขุนนางจากวังหลวงมาทาบทามเสนอตำแหน่งในวังให้ไม่ใช่หรอ” ริวเซย์อิเปลี่ยนเรื่องสนทนา
“ท่านอาข้าเองแหละ ตั้งแต่พ่อข้าเสียไปจากศึกกับชาวแผ่นดินใหญ่เมื่อยี่สิบปีก่อน ท่านอาก็ดูแลตระกูลและรับใช้ไดเมียวของแคว้นข้าแทนพ่อ” คารุยะส่ายหน้าเบาๆ “แต่ตระกูลข้าคือซามูไร การที่นักรบจะไปเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมือง ถือเป็นการลดเกียรติตัวเอง และไม่สมควรได้รับการยอมรับจากสังคม”
“สมแล้ว...ที่เธอเป็นซามูไรที่ขึ้นชื่อของแคว้นฮิเดโยชิ” ริวเซย์อิชื่นชมอุดมการณ์ของเพื่อนสาว
“แน่ล่ะ...คุณยายชั้นเรียกร้องสิทธิให้ผู้หญิงในแคว้นมีสิทธิเท่าเทียบผู้ชาย แต่สิทธินั้นย้อมแลกมาด้วยความรับผิดชอบ” คายุระหยิบดาบสั้นวากิซาชิของเธอที่มีสัญลักษณ์ประจำแคว้นขึ้นมาเชยชม
“ถ้าผู้หญิงเราจะสิทธิเท่าผู้ชาย ก็ต้องรับใช้แผ่นดินเหมือนๆกับผู้ชายเช่นกัน ไม่ใช่เรียกร้องแค่สิทธิ แต่เจ้าตัวไม่รับภาระที่ตามมา...นั้นคือเหตุผลที่ชั้นเป็นซามูไรตามพ่อ”
“รู้อะไรไหม” ริวเซย์อิยิ้มมุมปากน้อยก่อน “นั้นคือเหตุผลที่เธอไม่เคยแพ้ในศึกไหนเลย...อาจจะแพ้ถ้าประลองดาบกับชั้น”
“เงียบไปเลย...ชั้นต้องท้านายประลองแก้มือแน่นอน...สาบานเลย” ทั้งคู่แชร์ความหลังและมิตรภาพเมื่อครั้งยังอ่อนประสบการณ์ด้วยกันอย่างสนุกสนาน โดยไม่รู้ว่าเงามืดในร่างซามูไรบนหลังม้าจ้องมองพวกเขาอยู่จากมุมมืดหนึ่งของหมู่บ้านที่เงียบสงบ สายตาอันเย็นชานั้นจ้องมองชายหนุ่มกับสร้อยศิลาหยาดน้ำตาเทพทูตด้วยความแน่นิ่ง
(บทสนทนาต่อไปนี้จะเป็นภาษาจีนแมนดาริน)
บุคคลปริศนาสามคนเดินตรงสู่หุบเหวที่ปกคลุมด้วยความหนาวเย็นและมืดมนเบื้องหน้า
“เราใกล้ถึงแล้วสินะ” เสียงชายปริศนาในชุดคลุมกันหนาวสีดำเงยหน้ามองหุบเหวที่สูงเสียดฟ้าตรงหน้า เสียงหยดน้ำจากน้ำแข็งที่เกาะหินผาตกกระทบพื้นหินที่กร่อนเป็นร่องรอยกว่าร้อยปี
“รีบปีนขึ้นไปเถอะ...ถ้าพวกมันผ่านหุบเหวนี้ไปได้ พวกมันก็ใกล้ถึงแดนอาทิตย์อุทัยเข้าทุกทีแล้ว” ชายปริศนาอีกคนกล่าวขึ้นขณะหยิบเคียวตะขอเงาสะท้อนแสงออกจากมาก่อนจะเดินปีนขึ้นสู่เส้นทางสูงชันตรงหน้า
“ถ้าท่านเห็นเช่นนั้น...ก็นำทางไปเลย” เสียงของหญิงสาวกล่าวตอบก่อนจะคว้าเคียวของเธอออกมา เผยให้เห็นสายคล้องข้อมือที่ห้อยศิลาหยาดน้ำตาเทวทูตอีกชิ้นหนึ่งที่เริ่มส่องแสงสว่างเรียกร้องถึงชิ้นส่วนที่หายไปนั้น...อยู่ห่างไปอีกใกล้กว่าที่มันคิด
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ