ท่านอ๋อง อย่าลองดีกับข้า!

-

เขียนโดย Xiaobei

วันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 เวลา 11.16 น.

  1 ตอน
  0 วิจารณ์
  2,741 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 11.18 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) 1

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
หวา!
เธอร่วงลงไปในน้ำเย็นเฉียบ ลึกขึ้นๆ ฟองอากาศผุดปุดๆ มากมายตามมา จมดิ่งลงสู่ห้วงน้ำสีครามไร้สิ้นสุด สีน้ำรอบด้านยิ่งมืดมิดขึ้นเรื่อยๆ 
ทันใดนั้นในที่สุดเธอก็กลับมามีปฏิกิริยาตอบสนอง
อาศัยทักษะการว่ายน้ำที่ฝึกฝนมาจากเป็นไลฟ์การ์ดสระว่ายน้ำในหลายปีที่ผ่านมานี้ เจียงเถียนเถียนกลั้นหายใจ ลืมตากว้างในน้ำ เงยหน้ามองขึ้นไปผ่านคลื่นน้ำหนาๆ ยังคงมองเห็นแสงเงาไหววูบของพระอาทิตย์ แต่พอลำแสงเจิดจ้านั้นส่องผ่านผิวน้ำแล้ว ก็เปลี่ยนเป็นแสงที่ค่อนข้างละมุนตา
เธอยื่นสองมือออก เตะเท้าทั้งสองเบาๆ เปลี่ยนจากการจมดิ่งเป็นลอยขึ้น ว่ายไปสู่ผิวน้ำเบื้องบนอย่างปราดเปรียวราวกับปลาตัวหนึ่ง หางเปียยาวคู่หนึ่งก็พลิ้วลอยแผ่วเบา ผ่านไปพักหนึ่งเธอถึงโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ อ้าปากออกสูดหายใจคำโต
บนผิวน้ำ แสงสะท้อนบนคลื่นน้ำระยิบระยับ เธอใช้มือเดียวเช็ดหยดน้ำที่ไหลร่วงลงจากผม มารวมกันอยู่ตรงขนตางอนยาว แล้วรีบมองทั้งซ้ายขวา
รอบตัวของเธอมีแต่น้ำ
ทั้งยังไม่ใช่แค่บ่อน้ำเล็กตื้นแบบสระว่ายน้ำ แต่มองออกไปไกล รอบด้านล้วนเป็นคลื่นน้ำไพศาลมองไม่เห็นฝั่ง แต่ลิ้นเธอชิมไม่ได้รสเค็มขม เป็นข้อพิสูจน์ว่าที่นี่ไม่ใช่ทะเล แต่เป็นแม่น้ำสายใหญ่สักสายหนึ่ง
เถียนเถียนเอียงหัวเล็ก สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย
ที่นี่คือที่ไหน?
เทวดาทึ่มที่ไม่แค่ทำงานผิดพลาด ยังเอาแต่พล่ามถึงกฎๆ นั่น ส่งพวกเธอมาที่ไหนเนี่ย เธอยุ่งอยู่กับการเตะขาต้านกระแสน้ำทรงพลังเพื่อคงสภาพลอยตัวไว้พลางบ่นพึมพำ สงสัยว่าเจ้าหมอนั่นคิดจะให้พวกเธอคืนชีพจริงๆ หรือคิดจะให้พวกเธอจมน้ำตาย...
“อ๊ะ!”
เธอพลันร้องลั่นอย่างตระหนก
แย่แล้ว พวกเสวี่ยขุยกับซือฉี่ล่ะ
เถียนเถียนลนลานมองหา เธอว่ายน้ำเก่ง ส่วนเสวี่ยขุยกับซือฉี่แม้จะว่ายน้ำเป็นเหมือนกัน แต่กลับจำกัดแค่เล่นน้ำในสระว่ายน้ำเท่านั้น ไม่มีทางรับมือกับสภาพที่เท้าเหยียบไม่ถึงพื้นพรรค์นี้ พวกเธอเรียนเป็นแค่การลอยตัวท่าแมงกะพรุน ยังควบคุมลมหายใจไม่เป็นด้วยซ้ำ!
“เสวี่ยขุย ซือฉี่ พวกเธออยู่ที่ไหน” เธอร้องตะโกนเสียงดัง ยกมือขึ้นป้องตา มองหาอย่างร้อนรนไม่หยุด พร้อมกับนึกย้อนไปด้วยว่าเมื่อครู่ที่ใต้น้ำเห็นเงาร่างของเพื่อนสนิทหรือไม่
ขณะที่เถียนเถียนกำลังคิดจะดำลงไปใต้น้ำมองหาอย่างละเอียด กระแสน้ำรุนแรงก็พัดเข้าใส่เธออย่างไม่ทันตั้งตัว เร็วจนเธอไม่ทันได้ส่งเสียงร้องตกใจ
บุ๋งๆๆ...
บุ๋งๆๆ...
น้ำในแม่น้ำเชี่ยวกราก เธอหุบปากไม่ทันจึงถูกระลอกคลื่นกรอกน้ำเข้าไปหลายอึก ร่างเล็กอ้อนแอ้นถูกกระแสน้ำผลักดัน เบียดอัด บีบรัด ซัดจนหัวหมุนไม่รู้ทิศทาง โชคดีที่เธอจำได้แม่นว่าเวลาตกน้ำห้ามตื่นตระหนกตกใจ ต้องพยายามรักษาความสงบมั่นคง ถ้าเสียความเยือกเย็นไป อันตรายก็จะคืบคลานเข้ามาอย่างไร้น้ำใจ
พละกำลังไร้รูปร่างในน้ำพาเธอไปยังทิศทางหนึ่ง ที่ไหนสักที่ เบื้องหน้าไม่ไกลนักสามารถมองเห็นแผ่นดิน
จู่ๆ แขนข้างหนึ่งก็พุ่งขึ้นจากน้ำ
“ว๊าย!” เธอสะดุ้งตกใจ ความตื่นตระหนกบวกกับความใจร้อนทำให้เธอมองผิดไปชั่วขณะ นึกว่านั่นคือหนึ่งในเพื่อนของตน ถึงขนาดยื่นมือออกไปคว้าแขนข้างนั้น
เพียงแต่เพิ่งสัมผัสแขนข้างนั้น เถียนเถียนก็รู้ว่ามันผิดปกติแล้ว
ไม่ว่าเสวี่ยขุยหรือซือฉี่ก็ไม่มีกล้ามเนื้อที่แข็งขนาดนี้ อันที่จริงแขนที่เธอจับไว้นั้นแข็งจนเหมือนกับหิน
นี่เป็นแขนผู้ชาย
ที่แย่ยิ่งกว่าคือ เมื่อเจ้าของแขนข้างนั้นสัมผัสกับมือเธอก็โอบแขนไว้แน่น เกาะตะกายติดกับร่างของเธอด้วยพละกำลังมหาศาลจนแทบจะบีบเธอหัก ส่วนแขนข้างนั้นยิ่งรัดคอของเธอไว้ แน่นจนแทบทำให้เธอหายใจไม่ออก
เขาถึงขนาดดึงผมของเธอด้วย!
“โอ๊ย ปล่อย ปล่อยมือ...ฉัน...ฉัน...” เธอดิ้นรน หางเปียส่ายสะบัด ไม่ใช่แค่หนังหัวเจ็บแสบ ทั้งร่างยิ่งถูกน้ำหนักของคนผู้นั้นดึงจมลงไป
เสียงสำลักรุนแรงดังขึ้นมาจากใกล้ๆ ด้านหลังศีรษะของเธอ ชายคนนั้นไอแรงเกินไป ถึงขนาดกระแทกหลังหัวเธอหลายครั้ง ทำเอาเธอเจ็บจนอยากกรี๊ด
เวรเอ๊ย เธอประมาทไปแล้ว!
การสำลักรวมไปถึงการกอดรัดผู้ช่วยเหลือแน่นคือปฏิกิริยาของคนตกน้ำ คนตกน้ำส่วนใหญ่ล้วนสำลักน้ำตาย และตอนที่จมน้ำ เนื่องมาจากพละกำลังที่มาจากการหลั่งอะดรีนาลิน ยิ่งเป็นอุปสรรคต่อผู้ช่วยเหลือ ถึงขนาดที่ว่าสามารถทำให้ผู้ช่วยเหลือตายไปพร้อมกันด้วย
นี่เป็นเรื่องที่เธอควรจำได้แม่นตั้งนานแล้ว แต่ว่าเพราะห่วงเพื่อน เธอถึงทำผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง ลืมไปว่าต้องเข้าใกล้คนจมน้ำจากทางด้านหลังเท่านั้น
“แค่กๆ! ปล่อย ปล่อยมือ...” เธอพยายามดึงแขนเขาออกสุดแรงกว่าจะพอฝืนหายใจได้ เป็นแบบนี้ต่อไปเขาจะต้องลากเธอจมน้ำตายไปด้วยกันแน่
ชายหนุ่มคล้ายไม่ได้ยินเสียงของเธอ เขาจะต้องลอยๆ จมๆ อยู่ในน้ำมาครู่หนึ่งแล้วแน่ ความหวาดกลัวของการตกน้ำทำให้ทั้งตัวเขาแข็งเกร็ง ได้แต่มองเธอเป็นขอนไม้ช่วยชีวิต เกาะก่ายไว้แน่น
เถียนเถียนพยายามขัดขืน และก็สำลักน้ำไปหลายครั้ง ภายใต้สถานการณ์เร่งด่วน เธอได้แต่สูดหายใจลึก ก้มหน้าลงก่อน จากนั้น...พุ่งชนไปด้านหลังอย่างรุนแรง!
โป๊ก!
 
เสียงหัวกระทบหัว จากนั้นความเจ็บปวดก็ตามมา
เถียนเถียนเจ็บจนตาพร่าเห็นดาว หน้ามืดลง แต่ยังไม่ลืมว่ายน้ำออกมาอย่างเร่งร้อน แรงกระแทกรุนแรงครั้งนี้ทำให้การกอดรัดของชายคนนั้นคลายลงดังคาด ร่างกายใหญ่โตได้แต่จมลงไปในน้ำ
เพียงแต่...ฮือๆ เจ็บชะมัด!
เธอกุมหัวที่ส่งเสียงวิ้งๆ เพิ่งจะได้ถอนหายใจกลับต้องพบว่า มีแรงกำลังน่ากลัวดึงหางเปียยาวของเธอจากในน้ำ
เถียนเถียนที่รอดพ้นจากอันตรายมาได้หวุดหวิดพยายามถีบเตะสองขา ร้องตะโกนลั่น “นายใจเย็นหน่อย! ใจเย็นหน่อย!  ได้ยินไหม ใจเย็นหน่อย... แล้วก็อย่าดึงผมฉัน!”
เธอเอ่ยหนึ่งคำถีบหนึ่งที ถีบแล้วถีบอีกโดยไม่สนว่าใต้คลื่นน้ำนั้น เท้าขาวนุ่มของเธอได้ถีบใส่ตา หู จมูก หรือปากของเขา
ชายหนุ่มก็ยังไม่ปล่อยมือ
“นายรีบปล่อยมือสิ!”
เสียงร้องของผู้หญิงที่ทั้งรีบร้อนทั้งด่าว่าตามติดมาด้วยเสียงน้ำเป็นระลอก พากันสาดใส่หูของเขาพร้อมๆ กัน นอกจากนี้หญิงผู้นั้นยังร้ายกาจยิ่ง ทั้งเตะถีบเขาเต็มที่ตลอด
นางถีบเอาเป็นเอาตาย ถีบสุดชีวิต ถีบหนักๆ ไม่ยอมหยุดเลยสักนิด!
เขาเป็นถึงอ๋องผู้สูงส่งนะ!
เขามีอำนาจที่น่าภาคภูมิ พละกำลังแข็งแกร่ง ทุกผู้คนล้วนนับถือเขา หวาดเกรงเขา ยามเห็นเขามักประมาทหวั่นหวาด คุกเข่าลงอย่างสั่นเทา ถึงขนาดไม่กล้ามองเขาสักครา
แต่หญิงผู้นี้กลับถีบหน้าเขาอย่างแรง!
ผู้หญิงสมควรตาย
มือใหญ่คลายออกในน้ำ จับเปียยาวหนาเส้นนั้นไม่อยู่อีกต่อไป ได้แต่เอื้อมขึ้นไปข้างบนอย่างไร้ประโยชน์ สติสัมปชัญญะค่อยๆ พร่าเลือน ก่อนสิ้นเฮือกสุดท้ายยังไม่อาจเชื่อว่าสวรรค์จะทำเช่นนี้ต่อเขา
อ๋องผู้ยิ่งใหญ่ดันสิ้นชีพอย่างน่าอัปยศเช่นนี้
ในแม่น้ำอันมืดมิด เขาค่อยๆ หลับตาทั้งสองข้าง
เขาตายแล้ว
+++
 
น้ำในแม่น้ำม้วนตัวซัดสาด เลี่ยมขอบเป็นทางหิมะขาวบนริมฝั่งเม็ดทรายละเอียด
คลื่นแม่น้ำซัดเข้าริมฝั่งครั้งแล้วครั้งเล่า จากนั้นถอยกลับไป ทว่ายามคลื่นแม่น้ำลูกหนึ่งถอยจากไป กลับมีร่างแบบบางคุกเข่าตัวส่ายโอนหอบหายใจอยู่ริมฝั่ง ไม่ได้ตามคลื่นแม่น้ำกลับไปและถูกพัดพาไปกับกระแสน้ำอีก และสองมือของนางยังดึงชายตัวใหญ่โตแข็งแกร่งทว่าไม่ขยับสักนิดไว้ด้วยหนึ่งคน
เถียนเถียนเหนื่อยจนแทบสลบอยู่แล้ว
หลังชายคนนั้นปล่อยมือ เธอก็อาศัยแรงลอยตัวของน้ำลากเขาออกจากน้ำ พอหมอนี่ไม่ขัดขืนมั่วซั่วแล้ว เรื่องก็ง่ายขึ้นมาก เธอเกี่ยวคอของเขาจากด้านหลัง กระแสน้ำที่เปลี่ยนแปลงยากคาดเดาก็ไหลเปลี่ยนทิศในตอนนี้ หนุนผลักพวกเขาเข้าฝั่ง
เพียงแต่เธอยังเสียพลังไปจนหมดกว่าจะลากชายคนนี้ขึ้นฝั่งได้
เถียนเถียนอนุญาตให้ตนเองหอบหายใจแค่ครู่หนึ่ง หลังจากลมหายใจกลับมาเป็นปกติแล้ว เธอก็หมุนตัวทันที ปัดหางเปียที่ยาวเกินเอวไปหลังไหล่ แล้วรีบคุกเข่าลงข้างชายคนนั้น
ในเวลาคับขันเธอต้องรีบปฐมพยาบาลให้เขาอย่างเร่งด่วน!
ตั้งแต่ที่เขาปล่อยมือในน้ำจมลงไป เธอก็เดาได้ทันทีว่าเขาหมดสติไปเรียบร้อยแล้ว ในช่วงเวลาเร่งด่วนเธอสำรวจชีพจรและลมหายใจของเขา พบว่าทั้งสองอย่างล้วนหยุดนิ่งไปแล้ว
ดีที่กระแสน้ำช่วยเอาไว้มาก พาพวกเขาขึ้นฝั่ง ไม่เช่นนั้นหากเลยช่วงเวลาสำคัญของการปฐมพยาบาล แม้แต่เธอที่เป็นคนช่วย ก็คงได้แต่มองเขาจมน้ำตายไปต่อหน้าต่อหน้าอย่างไร้หนทาง
“มา เอาล่ะนะ!” เถียนเถียนบอกกับตัวเอง
จากนั้น เธอก็จับหัวชายหนุ่มหงายไปด้านหลังเล็กน้อยให้ลำคอยืดตรงอย่างชำนาญ ดึงขากรรไกรล่างที่แข็งแรงของอีกฝ่ายเพื่อให้ทางเดินหายใจโล่ง จากนั้นก็บีบจมูกเขาไว้ สูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะก้มหน้าประกบกลีบปากพ่นลมหายใจใส่เข้าไป
เธอนับเวลาในใจ เป่าลมหายใจเข้าไปทุกๆ ห้าวินาที
สองนาทีผ่านไป
ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง
เขายังไม่กระดุกกระดิกสักนิด ไม่มีลมหายใจ และหัวใจไม่เต้น
เถียนเถียนได้แต่ทำต่อไปตามขั้นตอนการช่วยชีวิต เธอเปลี่ยนตำแหน่ง ใช้สองมือประสานไขว้กดตรงบริเวณที่กระดูกหน้าอกมาบรรจบกัน ทำตามวิธีด้วยการกดลงไปสิบห้าครั้ง ผายปอดสองครั้ง ซึ่งเป็นการทำ CPR  ให้เขา
“ฟื้นสิ! เร็วเข้า!” เธอทำจนเหงื่อโชกแล้ว และไม่สนว่าคนที่สลบอยู่จะได้ยินหรือไม่ได้ยิน ให้กำลังใจเขาไม่หยุด “นายทำได้ รีบฟื้นสิ!”
เถียนเถียนจดจ่อมาก สมาธิของเธอทั้งหมดรวบรวมอยู่บนร่างผู้ชายคนนั้น ดังนั้นจึงไม่ได้สังเกตเห็นว่าคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาประชิดอย่างรวดเร็วไร้สุ้มเสียง และได้มาถึงข้างกายพร้อมล้อมรอบเธอไว้แล้ว
จนกระทั่งเสียงร่ำไห้แก่ๆ และแหบแห้งดังขึ้นอย่างกะทันทัน เธอจึงได้เงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“ท่านอ๋อง!”
โครม!
ชายชราที่เส้นผมทั้งหัวและหนวดขาวโพลน สวมชุดเสื้อคลุมยาวสีดำปักลายนกกระเรียนขาวเหมือนหนังซีรีส์โบราณ คุกเข่าหมอบอยู่ข้างผู้ชายคนนั้นและเริ่มร้องไห้อย่างน่าสลด “ท่านอ๋อง พระองค์อย่าทอดทิ้งหม่อมฉันสิ!” เขาร้องไห้เหมือนใจจะขาด ร้องจนหนวดเปียกไปหมดแล้ว
รอบๆ ยังมีผู้ชายที่แต่งกายด้วยชุดประหลาดแบบนี้อีกเจ็ดแปดคน ไม่ว่าจะเป็นวัยกลางคน หรือวัยชรา ต่างก็หน้าตาอมทุกข์ ทุกคนเริ่มคุกเข่าลง และเริ่มร้องไห้คร่ำครวญสุดเสียง เจ็บปวดจนถึงขั้นต้องทุบอกแรงๆ
คะ คนพวกนี้แต่งตัวแบบนี้ กำลังถ่ายละครพีเรียดอยู่เหรอ?
“ท่านอ๋อง!”
“หมะ หม่อมฉันมาช้าไป มาช้าไป!”
“ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ล่ะ?”
“ท่านอ๋องยังหนุ่มแน่นอยู่เลย!”
“หม่อมฉันอยู่ไปก็ไม่มีความหมาย!”
“ท่านอ๋อง...”
“ฮือๆๆๆ ท่านอ๋อง หมะ...หมะ...ฮือๆๆๆ...”
“หม่อมฉันจะตามเสด็จพระองค์ไปด้วย!” ชายคนที่แต่งตัวด้วยชุดเกราะหนาหนักคว้ามีดออกมาด้วความสะเทือนใจ หมายจะปาดคอตัวเอง
คนข้างๆ ที่แต่งตัวเหมือนกันกระโจนเข้าไปทันที แล้วปัดมีดนั้นออก
“ใต้เท้าเฉิน อย่าวู่วามสิ!”
ชายคนที่ปลิดชีพตัวเองไม่สำเร็จสะอึกสะอื้นช้ำใจ น้ำตาคลอหน่วยมองอีกฝ่าย
“ใต้เท้าสวี่!”
“ใต้เท้าเฉิน!” ชายตัวใหญ่สองคนสะอื้นไห้เหมือนหมีสองตัว ชุดเกราะกระแทกชุดเกราะ โผกอดกัน ร้องไห้โฮดังลั่น
เสียงร่ำไห้สะเทือนแผ่นดินรอบทิศ แต่กลับไม่ได้สะเทือนถึงเถียนเถียน เธอมองคนกลุ่มนั้นแค่แวบเดียว แล้วก็เพ่งสมาธิกลับไปที่ขั้นตอนการช่วยชีวิต เป่าลม สังเกต กดนวด เธอทำแบบนี้ซ้ำๆ จดจ่ออยู่กับความพยายามทั้งหมด
“เจ้า สตรีผู้นี้ รีบหลีกไปจากท่านอ๋องเดี๋ยวนี้!” ชายชราที่คุกเข่าคนแรกร้องไห้พลางตะโกนพลาง “ถอยไป ห้ามหลู่เกียรติท่านอ๋อง!”
เถียนเถียนแสร้งทำเป็นหูหนวก คล้ายการดุว่าของชายชราเป็นแค่ลมผ่านหู
“จะ เจ้า...หญิงชาวบ้านบังอาจนัก รีบถอยไปเสีย!” อีกคนหนึ่งก็ส่งเสียงตวาดด้วย
“ห้ามแตะต้องท่านอ๋อง!”
“ใช่ ต่อให้ท่านอ๋องสิ้นพระชนม์แล้ว แต่...แต่...” พูดไปพูดมา คนคนนั้นก็ร้องไห้ขึ้นมาอีก แล้วกอดสหายต่อไป “ใต้เท้าเฉิน!”
“ใต้เท้าสวี่!” ชายตัวโตสองคนกอดกันร้องไห้ ร้องจนปวดใจเหลือเกิน
หนวกหูชะมัด! คนพวกนี้ร้องไห้โฮๆ พูดแค่ท่านอ๋องอย่างนั้น ท่านอ๋องอย่างนี้ ตกลงจะพูดอะไรกันแน่!? คนจะตายอยู่แล้ว นักแสดงพวกนี้คิดว่านี่คือส่วนหนึ่งของการแสดงเหรอ? พวกเขาทุกคนไม่รู้จักมาช่วยกัน ได้แต่โหวกเหวกโวยวาย
เถียนเถียนฟังจนรำคาญ เงยหน้าขึ้นตวาด
“พอแล้ว ทุกคนเงียบ!”
ไม่รู้ว่าสีหน้าและน้ำเสียงเธอโหดเหี้ยมจนกลายการข่มขู่อย่างร้ายกาจ หรือผู้ชายพวกนี้ที่ร้องไห้จนได้น้ำมูกน้ำตากันคนละกำมือ ไม่ได้คิดว่าผู้หญิงร่างแบบบางอย่างเธอจะใจกล้าบอกให้พวกเขาหุบปาก สรุปแล้วพวกเขาก็เงียบเสียง มองเธอด้วยอาการอ้าปากค้างลิ้นพันกัน
เห็นแค่หญิงสาวก้มหน้ายุ่งอยู่กับการกระทำประหลาดซ้ำๆ ถึงขนาด...ถึงขนาด...อ๊ะๆๆๆๆ ช่างไม่รู้จักยางอายจริงๆ... นางถึงขนาดจูบท่านอ๋อง จูบแล้วจูบอีก แล้วก็จูบอีก!
พวกผู้ชายมองจนดวงตาทั้งคู่นิ่งค้าง คนที่แก่ที่สุดเอามือข้างหนึ่งทาบหน้าอก มืออีกข้างชี้นิ้วสั่นระริกมาที่หญิงสาว คล้ายภาพฉากตรงนี้ทำให้เขาตกใจเกินขีด เหลือแค่ไม่ได้น้ำลายฟูมปากชักกระตุกตรงนี้เท่านั้น
“จะ เจ้ากำลังทำอะไรกันแน่?”
“มองไม่เห็นเหรอ?” เธอบอกอย่างไม่สบอารมณ์ “ฉันกำลังช่วยชีวิตเขา” เธอก้มหน้าแล้วเป่าลมหายใจเข้าไปในปากชายหนุ่มอีกครั้ง
รอบทิศมีเสียงพ่นลมหายใจเฮือกบาดหูดังขึ้น
“ช่วยหรือ? เป็นไปไม่ได้ ท่านอ๋องทรง...ทรง...จากโลกนี้ไปแล้ว...” ชายชราเสียงสั่นเครือ พูดมาถึงตรงนี้ความเศร้าโศกาก็ท่วมท้นขึ้นมาอีก
เถียนเถียนคร้านจะสนใจผู้ชายที่ทำเป็นแต่ร้องไห้และโวยวายพวกนี้อีก พวกเขายังเล่นละครอยู่อีกหรือ? หรือว่าเป็นฉากที่ไม่ค่อยได้เห็น ผู้กำกับจึงสั่งคัทไม่ลง กล้องก็ยังถ่ายอยู่? หรือนี่เป็นรายการแกล้งคน?
แต่ผู้ชายตรงหน้าคนนี้ที่หัวใจและชีพจรหยุดเต้นคือเรื่องจริงนะ!
การคาดเดาหลากหลายกระโดดไปกระโดดมาอยู่ในหัวของเธอ แต่ผู้ชายร่างกำยำที่อยู่ใต้มือของเธอกลับสูดหายใจเฮือกเข้าลึก จากนั้นก็เริ่มไออย่างรุนแรง
ดีเหลือเกิน!
เธอถอนใจโล่งอกแล้วตรวจดูอีกครั้ง ดีใจที่พบว่าเขากลับมาหายใจและหัวใจเต้นแล้ว แม้จะบอกว่า เธอเคยช่วยคนจมน้ำมาแล้วหลายราย แต่...แต่... แต่ไม่มีคนไหนที่ถูกเธอถีบอย่างไม่ปราณีในตอนที่ตะเกียกตะกายขอความช่วยเหลือมาก่อน เธอจึงรู้สึกผิดในใจต่อผู้ชายคนนี้พอสมควร
แต่ยังดีที่เธอช่วยเขาได้สำเร็จ
“แค่ก แค่กๆๆๆๆ...” ชายหนุ่มไอเอาน้ำสะอาดออกมามากมาย สองไหล่กว้างเขย่าไหวอย่างรุนแรง
ทว่าพวกผู้ชายที่อยู่ข้างๆ กลับยังยืนหยัด ยังคงแสดงละครอย่างยอดเยี่ยม
“ท่านอ๋อง!”
“สวรรค์ นะ นี่มันปาฏิหาริย์!”
“ท่านอ๋องทรงฟื้นแล้ว!”
“ใต้เท้าเฉิน สวรรค์คุ้มครองชางลั่ง!”
“ใต้เท้าสวี่ สวรรค์คุ้มครองท่านอ๋องของเรา!”
“ขอบคุณสวรรค์ ขอบคุณสวรรค์”
พวกผู้ชายร่ำไห้ไปพลางหัวเราะไปพลาง และยังกรูกันเข้ามาประคองผู้ชายที่เพิ่งจะกลับมามีลมหายใจ ไม่เพียงแต่มีท่วงท่าเคารพนบนอบ โศกเศร้าอาดูร ทว่ามือทุกคู่ของพวกเขายังสั่นเทาอีกด้วย
“ท่านอ๋อง ทรงพักผ่อนก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
“นั่นสิ ทรงเอนพระวรกายลงก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
เถียนเถียนถูกเบียดไปอยู่อีกข้าง ได้แต่เอามือจับผมเปีย พยายามบิดน้ำออกให้แห้ง “นอนตะแคงน่าจะดีกว่า” เธอไม่ลืมให้คำแนะนำอย่างผู้เชี่ยวชาญ
ชายผู้นั้นค่อยๆ หยุดไอ ตอนที่เธอส่งเสียง ร่างกำยำของเขาก็แข็งค้าง พลันเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาสีดำเปล่งประกาย มองตรงมาที่หญิงสาว
แม้ทั้งร่างของเขาจะยังไม่มีเรี่ยวแรง สีหน้าซีดขาว แต่สายตาจากดวงตาสีดำคู่นั้นกลับเหมือนลูกศรแหลมคมตรึงแน่นอยู่ที่เธอ ทำให้เธอที่กำลังบิดผมเปียหยุดชะงักไปเล็กน้อย
ไม่ใช่แค่สายตา แต่จนกระทั่งตอนนี้ เธอเพิ่งจะได้เห็นหน้าตาของเขาชัดเจน...โอ้ว หล่อมาก!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้ชายคนนี้จะต้องเป็นพระเอกของละครเรื่องนี้แน่นอน แม้ว่าก่อนหน้านี้เธอจะไม่เคยเห็นเขาแสดงละครเรื่องไหนมาก่อนในโทรทัศน์ แต่เธอทำนายอย่างแม่นยำได้เลยว่า หากเขาปรากฎตัวบนหน้าจอ จะต้องเป็นที่หลงใหลของผู้หญิงนับไม่ถ้วนแน่
ในความหยาบกระด้าง ความหล่อเหลาของเขาก็ยังเฉิดฉายยากจะปิดซ่อน โดยเฉพาะดวงตาสีดำลุ่มลึกที่สามารถทำให้สตรีทั้งแก่และเด็กต้องลุ่มหลง
แม้บนศีรษะของใบหน้าคมคายจะถูกเธอถีบอย่างแรงและทิ้งรอยบวมแดงไว้หลายรอย แต่ก็ไม่อาจลดเสน่ห์บาดใจนั้นได้เลย
เห็นแก่ความหล่อเหลาแบบนี้ของชายหนุ่ม เถียนเถียนตัดสินใจว่าจะยกโทษให้เล็กน้อยแก่พฤติกรรมน่าชังที่เขากระชากผมเธอในก้นแม่น้ำ
แต่ก็นะ แหะๆ เขาจะต้องให้รูปพร้อมลายเซ็นกับเธอหนึ่งปึก เธอมีความมั่นใจห้าสิบเปอร์เซ็นต์ว่า แค่เก็บรักษาไว้สองสามปี รูปพร้อมลายเซ็นเขาจะต้องขายในเว็บประมูลได้ราคาดีแน่นอน หาเงินก้อนหนึ่งให้เธอได้สบายๆ
“พวกนายรีบไปตามคนมาพาเขาไปส่งโรงพยาบาลเพื่อตรวจละเอียดกว่านี้” เพื่อรักษาสมบัติที่หาได้โดยบังเอิญ เถียนเถียนจึงแนะนำอย่างเป็นมิตร และเขยิบเข้าไปใกล้หน้าพระเอกหนุ่มด้วยใบหน้ายิ้มแฉ่งอย่างปรารถนาดี เอ่ยถาม “ตอนนี้นายรู้สึกยังไงบ้าง? ยังไหวใช่ไหม?”
ชายหนุ่มจ้องเธอเขม็งคล้ายกำลังยืนยันอะไรบางอย่าง ครู่หนึ่งหลังจากนั้นก็ยื่นมือออกมาอย่างช้าๆ…ช้าๆ
“นาง!” เขาเอ่ยขึ้น น้ำเสียงทุ้มต่ำและแหบพร่า “พาตัวไป”
พวกคนไร้ค่าที่อยู่รอบๆ ตอบรับอย่างพร้อมเพรียง
“พ่ะย่ะค่ะ!”
เสียงนั้นใสกังวานจนแทบจะทำให้เถียนเถียนตกใจ เธอรีบอุดหูหมับ ขณะที่กำลังคิดจะเอ่ยปากขอโทษก็กลับต้องตกตะลึง เห็นเนินเขาด้านหลังฝั่งแม่น้ำพลันสว่างวาบ ใต้แสงอาทิตย์เจิดจ้ามีกองกำลังทหารปรากฎขึ้น
เธอหรี่ตาพินิจมอง ตอนแรกยังสงสัยว่า นั่นคือผู้กำกับและกล้องที่แอบอยู่อีกด้าน
แต่วินาทีนี้เถียนเถียนพบว่าตัวเองคาดผิดไปแล้ว
มีชายสวมชุดเกราะอย่างน้อยๆ หลายร้อยคน ทุกคนขี่ม้าพันธุ์ดีแข็งแรงปราดเปรียว กำลังมุ่งตรงมาทางนี้ เสียงชุดเกราะทรงพลังดังสนั่น สะท้อนแสงอาทิตย์เป็นรัศมีระยิบระยับเตะตา
ไม่ว่าจะเป็นขนาดกองทัพและความรวดเร็ว กองกำลังที่ยิ่งใหญ่กลุ่มนี้เป็นระเบียบเสียจนไม่มีเศษเสี้ยวที่ผิดแผก ความทรงพลังอันขรึมเย็นน่าเกรงขามนั้น สะท้านสะเทือนจนหินก้อนยักษ์และทรายละเอียดบนฝั่งน้ำสั่นไหวนิดๆ
“หวา ผู้กำกับคือใคร? นายทุนคือใคร? ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่เหรอ?” เถียนเถียนอุทานชื่นชม สงสัยว่าตัวเองหลุดเข้ามาในสถานที่ถ่ายทำลับของละครฟอร์มยักษ์นานาชาติเรื่องหนึ่ง สถานการณ์ตรงหน้าเหนือชั้นกว่าภาพยนตร์เรื่องไหนๆ ที่เธอเคยดู
กองทหารม้าอันเกรียงไกรมาถึงตรงหน้าในพริบตา แนวหน้าพุ่งเข้ามาถึงบริเวณที่อีกยี่สิบเมตรก็จะถึงพวกเขา แล้วกระชากบังเหียนหยุดม้า บรรดาม้าพันธุ์ดีที่ได้รับการฝึกฝนมาหยุดฝีเท้าในพริบตา กองทหารม้าขนาดใหญ่จากที่ห้อตะบึงมาก็กลับกลายเป็นหยุดนิ่ง
การเคลื่อนไหวของเหล่านักรบเป็นไปในทางเดียวกัน พลิกตัวลงจากม้า ก้มหน้าคุกเข่าข้างเดียว คนมีหนวดที่นำทัพคนนั้นเอ่ยขึ้นด้วยเสียงดุจระฆัง “องครักษ์มาช้า หม่อมฉันมีความผิด ท่านอ๋องทรงลงพระอาญาด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
พระเอกหนุ่มยื่นมือออกไปแล้วโบกเบาๆ
“ไม่เป็นไร”
“ขอบพระทัยท่านอ๋อง!”
รถม้างามหรูคันหนึ่งที่ลากมาด้วยม้าสี่ตัวเพิ่งจะมาถึง ม่านรถลวดลายวิจิตรถูกเลิกขึ้น ชายหนุ่มที่แต่งกายงดงาม หล่อเหลาไร้ที่เปรียบรีบลงจากรถม้าด้วยสีหน้ากังวลและร้อนรน วิ่งกะเผลกๆ มา
“ท่านพี่ ท่านเป็นอะไรไหม?” หน้าตาที่งดงามของเขา แม้แต่ผู้หญิงก็ยังต้องหมองไปเลย
ไม่รู้ว่าชายชราที่ร้องไห้ไม่หยุดตอนนี้ปาดน้ำตาน้ำมูกแห้งตั้งแต่เมื่อไร สีหน้าเขาในตอนนี้สงบนิ่งเป็นธรรมชาติ ดูไม่รู้เลยว่าก่อนหน้านี้ร้องไห้ฟูมฟาย ชายชราทิ้งมือลงแล้วรายงานอย่างนอบน้อม
“คุณชายหนิงสุ้ยโปรดวางใจ ท่านอ๋องไม่เป็นอะไรแล้วขอรับ แค่เหนื่อยล้าเกินไปเท่านั้น”
“แต่ข้าเห็นอยู่ชัดๆ ว่าท่านพี่ตกเรือจมลงไปในแม่น้ำ”
“นั่นก็เพราะว่าท่านอ๋องทรงมีเมตตา เห็นสตรีตกลงไปในแม่น้ำจึงได้อุทิศตัวไปช่วยเหลือขอรับ” ดวงตาทั้งคู่ของชายชราไม่แม้แต่จะกะพริบ กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง พูดปดได้อย่างคล่องแคล่วยิ่งนัก ไม่มีอ้ำอึ้งสักนิดเดียว
เถียนเถียนถลึงตาโต พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้เอามือตบหู
เธอได้ยินผิดไปหรือเปล่า? ชายชราคนนี้เลอะเลือนไปแล้วเหรอ? ใครช่วยใครกันแน่? คำพูดนี้เอามาพูดกลับกันก็ได้เหรอ?
หากเป็นยามปกติ เธอจะต้องเอ่ยปากเปิดโปงคำลวงของอีกฝ่ายแน่ เธอเชื่อมั่นว่าความซื่อสัตย์สำคัญที่สุด ต่อให้คนที่โกหกคือคนแก่ที่อายุอานามพอจะเป็นปู่เธอได้ เธอก็กล้าที่จะแก้ไขให้มันถูกต้อง
แต่ตอนนี้ ฉากอลังการขนาดนี้ อีกทั้งคนพวกนี้ยังเคร่งเครียดขนาดนี้ มันเป็นการพิสูจน์แล้วใช่ไหมว่าละครฉากนี้ยังจำเป็นต้องแสดงต่อไป?
นักแสดงพวกนี้แสดงกันอย่างทุ่มเทสุดความสามารถแบบนี้ ถ้าเธอพูดแทรกในตอนนี้ ก็อาจจะทำให้ละครของพวกเขาเสียหาย
ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า ผู้กำกับเลยตั้งใจปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ให้คนที่รุกล้ำเข้ามาอย่างเธอได้แสดงในบทบาทหนึ่งด้วยอย่างนั้นเหรอ?
อ๊าย เธอช่างโชคดีเหลือเกิน!
กลีบปากแดงชุ่มชื้นของเถียนเถียนหยักโค้ง ซ่อนรอยยิ้มที่แอบดีใจไว้ไม่อยู่ เธอแอบหัวเราะคิกๆ เบาๆ เหลือบซ้ายแลขวาสักครู่ รีบมองหากล้องและผู้กำกับที่ตาแหลมรู้จักคัดเลือกนักแสดงได้น่าชื่นชม ทว่ากลับหาไม่เจอเลย
ชัดเจนมากว่าคนเล่นเป็นพระเอกได้ยินเสียงแอบหัวเราะของเธอเข้าแล้ว
เขาหันกลับมามองเธออย่างอับจนคำพูด ในดวงตาสีดำมีรัศมีแวบประกาย
เถียนเถียนรีบหยุดหัวเราะ แล้วทำหน้าไร้เดียงสาที่สุด
อุ๊บ หัวเราะก็ไม่ได้เหรอ? ถ้ากลั้นไว้จนบาดเจ็บภายในจะทำยังไงล่ะ? ที่แท้โลกของอาชีพนักแสดงต้องเคร่งครัดขนาดนี้เชียวหรือ!
ในที่สุดดวงตาลุ่มลึกคู่นั้นเบนสายตาไปจากใบหน้าที่เริ่มแดงเรื่อเพราะกลั้นหัวเราะ หันไปทางผู้คนที่รอคอยให้เขาออกคำสั่งอย่างนอบน้อมอยู่อีกทาง
“กลับวัง"
เขาเอ่ยเสียงเข้มแล้วลุกขึ้นเอง โดยปฏิเสธที่จะให้คนข้างๆ ช่วยพยุง แม้เท้าทั้งสองข้างจะยังอ่อนแรงอยู่นิดๆ แต่เขาก็ยังฝืนยืนหยัด เยื้องย่างก้าวเดินอย่างมั่นคง แม้แต่สีหน้าของเขาก็ยังเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเย็นชา ดูไม่ออกเลยว่าก่อนหน้านี้ไม่นาน เขาเพิ่งจะกลับมาจากการไปวนรอบหน้าประตูนรกมา
หนิงสุ้ยก้าวตรงเข้ามา แววตาเต็มไปด้วยความห่วงใย
“ท่านพี่ ท่านเหนื่อยแล้ว คงไม่สะดวกที่จะขี่ม้าห้อตะบึงแน่ นั่งรถม้ากลับวังกับข้าดีกว่าหรือไม่?” น้ำเสียงนุ่มนวลไพเราะยิ่งกว่าเสียงดนตรี
“ไม่ต้อง”
ความเย็นชาบนใบหน้าหล่อเหลาไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ มือใหญ่โบกเอาความห่วงใยของน้องชายออกไปด้วย เขาเงยหน้าขึ้นผิวปากเสียงดัง ม้าพันธุ์ดีสีดำได้ยินเสียงแล้วก็ตะบึงมาจากไกลๆ อย่างรวดเร็วราวกับลมพายุ จนมาถึงตรงหน้าชายหนุ่มแล้วจึงได้ก้มหน้าย่ำเท้าหอบหายใจหนัก
เขาตบคอม้าด้านข้าง แล้วพลิกตัวขึ้นขี่หลังมัน
เจ้าม้าส่งเสียงร้อง ยกขาหน้าขึ้นสูง ก่อนจะวิ่งไปทางเนินเขา ทหารและม้าหลายร้อยทั้งหมดตามติดม้าสีดำตัวนั้นไปอย่างเป็นระเบียบและว่องไว
แปะ แปะ!
ตอนที่คนและม้าชุดสุดท้ายหายไปหลังเนินเขา เสียงปรบมือก็พลันดังขึ้น คนสองสามคนที่เหลือต่างหันกลับมาด้วยความประหลาดใจ
“ยอดเยี่ยมมาก นี่เป็นฉากที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่ฉันเคยดูมา” เถียนเถียนร้องชมจากใจ ไม่อาจปกปิดอารมณ์ประทับใจอย่างลึกซึ้งจากฉากเมื่อครู่นี้ “หนังเรื่องนี้จะต้องดังแน่นอน! เดี๋ยวขอเชิญทุกท่าน แต่ละท่านช่วยเซ็นให้ฉันด้วย”
ตรงข้ามกับเธอที่กำลังตื่นเต้น คนพวกนั้นต่างถลึงตาโต คล้ายตกใจเกินขีด มองเธออย่างตะลึงงัน
“เอ่อ...” จังหวะการปรบมือของเธอช้าลงจนค่อยๆ หยุด “พระเอกไปแล้ว ฉากนี้ยังถ่ายไม่เสร็จอีกเหรอ?” เธอถามเบาๆ
“พระเอกหรือ?” ชายชราแก้ให้ถูกต้องอย่างเข้มงวด “นั่นคืออ๋องของพวกเรา”
“อ๋องอะไร?”
“ลี่อ๋อง”
เถียนเถียนยิ่งสับสนขึ้นเรื่อยๆ เธอพยักหน้าไปก่อนจากนั้นก็ส่ายหน้าแรงๆ “ไม่ใช่ๆ ฉันไม่ได้หมายถึงในละคร ฉันหมายถึง...” โอ๊ย พูดยังไงดีล่ะ “กล้องถ่ายวิดิโอล่ะ? ผู้กำกับล่ะ? น่าจะเลิกกองได้แล้วหรือเปล่า?” เธอถามขึ้นอีก
“แม่นาง ท่านกำลังพูดอะไร?” ชายชราขมวดคิ้ว
“ขอร้องล่ะคุณลุง คุณไม่ต้องอินขนาดนั้นก็ได้ ฉันพูดตามตรงนะ ต่อบทกับคุณฉันกดดันมากนะ” เธอบอกอย่างจนใจ คิดเพ้อฝันในใจ ยังค่อนข้างชอบที่ได้ร่วมแสดงกับผู้ชายบึกบึนหน้าตาหล่อเหลาคนเมื่อครู่นี้
“ข้าน้อยนามวั่นฟาน เป็นราชครูของแคว้นชางลั่ง ไม่ใช่ละครที่แม่นางกล่าว” คิดดูว่าเขารับใช้อ๋องแห่งแคว้นชางลั่งมาสามสมัย เส้นผมและหนวดเคราก็หงอกขาวหมดแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบแม่นางน้อยที่บังอาจเสียมารยาทกับเขาถึงเพียงนี้
เห็นชายชราโมโห เธอก็รีบพยักหน้าแล้วเอ่ยไปตามน้ำ
“ค่ะๆๆ ฉันรู้แล้ว ราชครูก็ราชครู”
ผู้ชายคนที่แสดงเป็นขุนนางผู้จงรักภักดีต่อนายก่อนหน้านี้ ตอนนี้ชิงก้าวเข้ามา น้ำเสียงและสีหน้าเต็มไปด้วยความหงุดหงิด
“ท่านราชครู จะพูดมากไปทำไมล่ะ? ท่านอ๋องบอกว่าจะพานางกลับวัง เราทำตามนั้นก็พอแล้ว” กล่าวจบมือใหญ่ของเขาก็เอื้อมมาดึงผมเปียของเถียนเถียน
“หวา นายจะทำอะไร?” เธอตระหนกหน้าถอดสี ในชีวิตนี้สิ่งที่กลัวที่สุดคือการที่มีคนมาดึงผมของเธอ
ผู้ชายคนนั้นกลับลากเธอไปทางม้า
“ท่านอ๋องให้เจ้าเข้าวัง”
“เข้าวังอะไร? ฉันไม่เอา!” เธอปฏิเสธที่จะแสดงต่อ
“นี่เป็นเกียรติของเจ้า”
พอแล้ว!
“เอาล่ะ เอาล่ะ ฉันยอมแพ้แล้ว ผู้กำกับ ฉันไม่เล่นแล้ว!” เธอกรีดร้องอย่างโศกสลด รีบร้องขอความช่วยเหลือ ล้มเลิกความฝันที่จะได้เล่นละครที่เพิ่งจะผุดขึ้นมา
ไม่ว่าเธอจะขอร้องอย่างไร ผู้กำกับและกล้องก็ไม่เห็นแม้แต่เงา
จวบจนตอนนี้เถียนเถียนเพิ่งเริ่มรู้ตัวว่าเรื่องราวมีบางอย่างไม่ถูกต้อง หรือว่านี่จะไม่ใช่การเล่นละคร?
แต่ถ้าหากไม่ใช่กำลังเล่นละครอยู่ แล้วจะอธิบายทุกอย่างตรงนี้ได้อย่างไร?
ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งสับสน คนคนนั้นกลับเหวี่ยงเธอขึ้นหลังม้าอย่างหยาบคาย ทำเอาเธอตาพร่าเห็นดาว ตอนที่ม้าส่งเสียงร้องเริ่มวิ่งห้อ เธอก็ยิ่งถูกเขย่าจนเกือบจะอาเจียนออกมา
ทัศนียภาพรอบด้านย้อนกลับอย่างรวดเร็ว เสียงกุบกับของกีบม้าดังกึกก้องอยู่ในหูของเธอ
สวรรค์ ตอนนี้มันคืออะไรกันเนี่ย?
เมื่อครู่นี้ผู้ชายพวกนี้บอกว่าไงนะ? ลี่อ๋องอะไร? แคว้นชางลั่งอะไร?
เถียนเถียนหลับตาปี๋ กรีดร้องอย่างตระหนกและไร้ประโยชน์
“ที่นี่มันสถานที่บ้าบออะไรกันเนี่ย?”
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
 
บทที่ 2
“ฮะ...ฮะ...ฮะ...ฮัดชิ้ว!”
เสียงจามที่อยู่ๆ ก็ดังขึ้นลอยไปไกล ดึงดูดสายตาผู้คน
เถียนเถียนถูกบังคับให้คุกเข่าในห้องโถงกว้าง ในพระราชวังที่สร้างจากหินสีดำก้อนยักษ์ทับซ้อนกัน
ด้านนอกฟ้ามืดสลัว ในห้องมีคบเพลิงสว่างจ้า และยิ่งเห็นได้ชัดว่าพื้นที่รอบๆ โอ่อ่าหรูหรากว้างใหญ่ไพศาล ทว่าเธอที่เปียกชื้นไปทั้งตัวกลับจามฮัดชิ้วๆ ไม่หยุด
แม้เธอจะจามติดๆ กัน แต่คนพวกนั้นที่อยู่ข้างๆ แต่ละคนยืนตรงดิ่ง ไม่มองเธอสักแวบเดียว และไม่มีความสงสารเอ็นดูผู้หญิงสักนิด
หลังจากที่พวกเขาเพิ่งจะลากเธอเข้ามา ก็บังคับให้เธอคุกเข่าบนพื้นหินเย็นเฉียบเรียบวาว ทุกครั้งที่เธอคิดจะลุกขึ้นก็จะมีใครบางคงตวาดอย่างหยาบคายให้เธอคุกเข่าลง
ลมหนาวจู่โจมเข้ามา พาให้เธอที่ทั้งหนาวทั้งเปียกตัวสั่นและเริ่มคัดจมูก
บัดซบ เธอเกือบจะหนาวตายอยู่แล้ว
หญิงสาวแอบสบถด่าในใจเพราะความไม่สบายนี้ แต่สถานการณ์ตอนนี้ ไม่ใช่แค่ความไม่สบายทางกายเท่านั้น เพราะในใจของเธอนั้นสับสนและกระวนกระวายยิ่งกว่า
ตลอดทางที่ถูกบังคับให้กลับวังมาด้วย ทัศนียภาพรอบด้านแต่ละภาพสะท้อนเข้าสู่สายตา เธอยิ่งมอง หัวใจก็ยิ่งดิ่งลึก
นี่คือเมืองใหญ่ติดแม่น้ำ มีชื่อเรียกว่าผานหลง แม้จะเห็นแบบรีบๆ แค่แวบเดียว แต่ก็ทำให้เธอได้เห็นถึงความงดงามและยิ่งใหญ่ของเมืองนี้ รวมทั้งประชากร สิ่งก่อสร้างจำนวนมาก ซึ่งไม่มีทางเป็นแค่ฉากในหนัง
และหลังจากเข้ามาในพระราชวังแล้ว เธอก็ถือโอกาสประเมินไปในตัว ยิ่งพบว่าพระราชวังแห่งนี้สลักจากหินก้อนยักษ์ เผยให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในทุกพื้นที่ ทว่าที่สลักบนบานประตูหินมีบางส่วนที่เลือนรางไปบ้างแล้ว แสดงให้เห็นว่าการที่พระราชวังแห่งนี้สืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้ต้องผ่านเวลามานานหลายปี
เธอไม่อยากเชื่อ ไม่เชื่อ แต่ก็จำเป็นต้องเชื่อ
ทุกอย่างที่เห็นตรงหน้าต่างบ่งชี้ความจริงข้อเดียว...ที่นี่ไม่ใช่ยุคสมัยที่เธอคุ้นเคย แต่เป็นพื้นที่แปลกหน้าสำหรับเธอโดยสิ้นเชิง!
“ฮัดชิ้ว!”
เถียนเถียนจามอีกครั้ง
น่าตายนัก ทั้งหมดเป็นเพราะเทวดาหน้าเหม็นองค์นั้น! ก่อนออกเดินทางก็ไม่เตือนสักคำ! แล้วยังโยนเธอลงมาในน้ำอีก!
เทวดาทึ่มองค์นั้น ถึงกับส่งเธอมาในสถานที่บ้าๆ แห่งนี้ ถ้าหากเธอเดาไม่ผิดล่ะก็ เสวี่ยขุยและซือฉี่จะต้องถูกส่งมาที่นี่ด้วยเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเธออยู่ที่ไหน
เธอตัวสั่นไปพลางครุ่นคิดไปพลาง อยู่ๆ ผู้คนที่ล้อมรอบอยู่ด้านหนึ่งก็คุกเข่าทำความเคารพพร้อมกันเสียงดังสวบสาบ ทำเอาเธอตกอกตกใจหมด
“ท่านอ๋อง!”
ขณะที่ทุกคนทำความเคารพรับเสด็จ ลี่เริ่นก็นั่งลงบนบัลลังก์อ๋องที่ทำจากศิลาสีนิลสลัก ปูด้วยหนังสัตว์สีขาวหิมะ ดวงตาลุ่มลึกของเขากวาดมองขุนนางที่ทำความเคารพ แต่กลับพบว่าสตรีที่ถีบเขาหลายทีนั้นไม่ได้ก้มหน้า ทว่ามองตรงมาที่เขาอย่างแปลกใจพร้อมกะพริบดวงตาสีดำเป็นประกาย
“เจ้าเป็นใคร?” เขาเอ่ยถามเสียงทุ้ม ดวงตาสีดำหรี่ลงครึ่งหนึ่ง
ตาโตคู่สวยกะพริบอีกครั้ง
“ฉันคือเจียงเถียนเถียน” เธอจ้องชายหนุ่มตรงๆ จงใจเอ่ยแบบเน้นแต่ละคำแต่ละประโยค “ฉันเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตนายด้วย!”
เสียงหายใจเฮือกดังขึ้นโดยรอบ
ใต้เท้าเฉินที่อยู่ในชุดเกราะกระโดดลุกพรวดเสียงดังโครม ใบหน้าเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด
“บังอาจ พูดกับท่านอ๋องเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“ฉันช่วยเขา มันคือความจริง” เธอคว้าผมเปียด้วยความโกรธที่ได้รับความไม่เป็นธรรม แล้วบิดน้ำออกมามากมายเพื่อแสดงหลักฐาน “พวกนายกลับทำแบบนี้กับฉัน ปล่อยให้ฉันตัวเปียกปอนคุกเข่าอยู่ตรงนี้ ถ้าหากเป็นหวัดแล้วจะทำยังไง?”
ใต้เท้าเฉินก็กระโดดขึ้นมาเหมือนกัน
เขาดึงดาบยาวออกมาชี้ไปทางเถียนเถียน “ท่านอ๋อง ควรฆ่าหญิงผู้นี้ปิดปากหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“อะไรนะ!?” ดวงตาคู่สวยถลึงกว้าง ถอยหลังไปติดๆ ด้วยความไม่อยากเชื่อ “ฉันช่วยชีวิตเขานะ!” อู้หู หรือว่าในโลกนี้ การช่วยคนคือเรื่องชั่วร้าย?
ขวับ!
คมดาบสีขาวเป็นประกายตวัดตามมาตรงหน้าเธอ ขาดอีกแค่สองสามเซนติเมตรก็จะปาดโดนจมูก รวดเร็วจนเธอไม่ทันได้ตะโกนขอความช่วยเหลือ และในสถานการณ์ที่วิกฤติที่สุดนั้น เสียงทุ้มลึกของบุรุษก็ดังขึ้น
“หยุด”
เถียนเถียนรู้สึกแค่ตาพร่ามัว คมดาบที่ตอนแรกใกล้แค่ตรงหน้า พริบตาก็ถูกเก็บกลับเข้าฝัก ตอนนี้นายพลสองนายคุกเข่ากลับลงไปอีกครั้ง
บุรุษที่อยู่บนบัลลังก์เท้าคางด้วยมือข้างเดียว ผมสีดำปอยหนึ่งหล่นลงมาบดบังดวงตาสีนิล สายตาเป็นประกายนั้นลึกสุดหยั่ง เขาจ้องมองหญิงสาวเหมือนคิดอะไรอยู่
หัวใจของเธอพลันเต้นตุ้บๆ ผิดจังหวะ
อ๊ะๆ ถ้าหากเป็นตอนปกติ เธอจะต้องบ่นโวยวายกับการที่คนพวกนี้ ‘ดูแลแขกได้แย่’ แต่เพราะผู้ชายคนนี้หล่อมากจริงๆ เมื่อครู่ตอนอยู่ที่ริมแม่น้ำ เธอก็วุ่นอยู่กับการช่วยคนไม่ได้มีเวลามาคิดอะไรมาก ตอนนี้พอถูกเขาจ้องมอง ทำเอาเธอนึกถึงที่เมื่อครู่ช่วยผายปอดให้หนุ่มหล่อคนนี้แบบปากต่อปากทันที ตอนนี้รสสัมผัสที่กลีบปากยังค้างอยู่เลย พอคิดมาถึงตรงนี้ใบหน้าของเธอก็ทั้งร้อนทั้งแดง รู้สึกเขินขึ้นมาอย่างที่ไม่ค่อยเป็น
ตอนนี้ราชครูที่ผมขาวหนวดขาวก็เอ่ยปากขึ้น
“ท่านอ๋อง นี่เป็นโอกาสพ่ะย่ะค่ะ” เขาบอก
ลี่เริ่นหรี่ตา
“หมายความว่าอย่างไร” เสียงทุ้มลึกไม่ได้มีความขุ่นเคืองทว่าทรงอำนาจ
“เรื่องราวในวันนี้จะแพร่งพรายออกไปไม่ได้” เขามองเถียนเถียนแวบหนึ่ง แล้วก้มหน้าว่าต่อไป “และอีกสองเดือน ท่านอ๋องก็จะมีพระชนม์มายุสามสิบชันษา ตามกฎมณเฑียรบาลแล้ว หากผู้ครองแคว้นอายุครบสามสิบแล้วยังมิได้อภิเษกสมรสก็จะต้องสละบัลลังก์ แต่ว่าผู้ที่มาคัดเลือกเป็นชายาถูกวางยาสังหารติดๆ กัน หม่อมฉันคิดว่า...”
“เจ้าจะให้เราแต่งกับนางหรือ?” ลี่เริ่นหน้าหมอง
“นี่คือแผนที่เป็นผลดีกับทั้งสองฝ่าย”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง เถียนเถียนก็ร้องออกมา
“ล้อเล่นอะไรกัน?”
แต่งงานกับเธอหรือ? เธอฟังผิดไปใช่ไหม? คนพวกนี้ประเดี๋ยวจะฆ่าเธอ ประเดี๋ยวจะแต่งงานกับเธอ ทั้งสองอย่างนี้มันห่างกันไกลโข แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เธอจะรับไหวทั้งคู่
ราชครูไม่สนใจเธอเลย พยายามโน้มน้าวลี่เริ่นที่นั่งอยู่บนบัลลังก์อ๋องอย่างกระตือรือร้นต่อไป
“ภายในสามปี ชายาเจ็ดพระองค์ที่ได้รับคัดเลือกต่างก็ชีวิตหาไม่ อีกทั้งสิบวันก่อนหน้านี้ ธิดาของท่านโหวแห่งเจิ้นหย่วนก็ถูกสังหาร วันอภิเษกสมรสของท่านอ๋องก็ถูกเลื่อนออกไปอีก ผู้คนในเขตแคว้นต่างก็วิตกกังวล”
ลี่เริ่นขมวดคิ้วหนา กระสับกระส่ายยิ่งนัก กำหมดทุบบัลลังก์เสียงดังสนั่น
“ยกเลิกกฎข้อนี้ไปเสีย” เขาเบื่อที่สุด เหล่าบรรพบุรุษที่บัญญัติกฎขึ้นมาในตอนแรกไม่รู้คิดอะไรกันอยู่บ้าง บัญญัติกฎไว้เป็นกองตั้งมากตั้งมาย
“ไม่ได้เด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ!” ราชครูส่ายหน้าแรงๆ “หากผลีผลามยกเลิกกฎมณเฑียรบาล จะทำให้บ้านเมืองเกิดโกลาหลแน่นอน เกรงว่าแคว้นฉีและแคว้นเฟิงจะฉวยโอกาสนี้เข้ามารุกราน”
“ดังนั้นข้าจึงต้องแต่งงานกับนางอย่างนั้นหรือ?” น้ำเสียงและสีหน้าของเขาเหมือนมีใครบางคนกำลังเตรียมเอาคางคกเป็นๆ ยัดใส่ปาก
ปฏิกิริยารังเกียจที่เห็นได้ชัดเจนเหลือเกินนั้นอยู่ในสายตาของเถียนเถียนทั้งหมด เธอกัดกลีบปากแดงนุ่ม ความขุ่นเคืองอย่างแรงกล้าเดือดปุดคุกรุ่นอยู่ในใจ เริ่มจะรู้สึกเสียใจนิดๆ ที่หาเรื่องใส่ตัว ช่วยคนที่หยิ่งยโสอย่างหมอนี่
ถ้าฟังให้ดีๆ แม้เขาจะสูงส่งเป็นราชาแห่งแคว้น แต่ผู้หญิงที่ได้หมั้นหมายกับเขาล้วนตายไปหมดแล้ว...อีกทั้งยังถูกสังหาร...ดังนั้นตาแก่หนวดขาวผู้นั้น หา ‘เหยื่อ’ คนต่อไปไม่ได้ จึงได้คิดจะผลักเธอให้เข้ามาในวงโคจร
แต่เห็นเขาทำหน้าไม่เต็มใจแบบนั้น เหมือนความคิดนี้เป็นการหลู่เกียรติท่านอ๋องอย่างเขา! หึ หยิ่งนักใช่ไหม? คนที่รีบร้อนจะแต่งเมียคือเขา ต่อให้เขายอมแต่ง ยอม ‘มอบกายและหัวใจ’ เธอก็จะไม่ยอมแต่งด้วยหรอก!
 
-- อ่านต่อได้ที่ bit.ly/2VjE7fT --
ติดตามโปรเจกต์เสี่ยวเปยและร่วมพูดคุยกับพวกเราได้ที่
https://www.facebook.com/xiaobei.fiction

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา