เร้นรักมธุรสลวง

-

เขียนโดย Phaky

วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 เวลา 14.20 น.

  39 ตอน
  3 วิจารณ์
  39.03K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2562 13.43 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) ใกล้ชิด

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
“เด็กสองคนนี่เหมาะสมกันดีนะ นายว่าไหม”
 
น้ำเสียงเรียบเรื่อยของเจ้าของบ้านเอ่ยถาม เมื่อสายตายาวไกลของพ่อเลี้ยงนภัทรที่ยืนเกาะระเบียงหลังห้องนอนซึ่งหันหน้าเข้าหาสวนผลไม้ของไร่บารมีเสียดฟ้ามองเห็นคมพัชญ์กำลังจูงมือลันลาดาพาเดินเข้าไปยังสวนลำไยที่ออกลูกเป็นพวงห้อยอยู่เต็มต้น แต่คำตอบของการันต์คงไม่สำคัญแล้วกระมัง เพราะเมื่อพ่อเลี้ยงหันหน้ากลับมามอง หลังยืนรอคำตอบแล้วไม่ได้รับ ประกายแวววาวสุขใจในดวงตาของเพื่อนสนิทนั้นได้อธิบายความรู้สึกทุกอย่างชัดเจนหมดแล้ว ซึ่งก็หาได้ต่างกับพ่อเลี้ยงนภัทรเลยสักนิด นั่นเพราะเมื่อหันหน้ากลับไปมองที่สวนลำไยอีกครั้ง พ่อเลี้ยงทันได้เห็นไอ้คนที่กลัวที่สุดว่าจะล้มความหวังของสองตระกูลกำลังวางหมวกปีกกว้างบนศีรษะเล็กของลันลาดาพร้อมอาสาผูกเชือกที่ปลายคางให้อีกที เลี้ยงมาเองกับมือตั้งสามสิบกว่าปีจึงรู้ดีว่ากิริยาอ่อนโยนผิดนิสัยเช่นนี้จากคมพัชญ์ใช่ว่าจะมีให้เห็นบ่อยๆ
 
แล้วนั่น...ไอ้คุณคมมันจ้องน้องเหมือนขนมหวานขนาดนั้น กองเชียร์กองอวยอย่างพวกเขาก็เตรียมตัดชุดหล่อไว้ได้เลย
 
“ใส่ไว้ จะได้ไม่ร้อน”
 
ลันลาดาลอบถอนหายใจเมื่อหมวกสานใบโตถูกสวมลงบนศีรษะ เพราะนี่เป็นนาทีแรกตั้งแต่ที่พ่อเลี้ยงออกปากให้คมพัชญ์พาเธอมาเดินชมสวนผลไม้เลยกระมังที่ชายหนุ่มยอมปล่อยมือเธอให้เป็นอิสระ อันที่จริงก็ไม่ได้นึกรังเกียจที่มือน้อยถูกจับจูงเหมือนเด็กเล็กๆที่คมพัชญ์ต้องคอยจับไว้ด้วยกลัวพลัดหลง แต่เป็นเพราะสิบกว่าปีในรั้วโรงเรียนหญิงล้วนทำให้เธอไม่เคยใกล้ชิดถึงเนื้อถึงตัวกับผู้ชายคนไหนเลยนอกจากบิดา เมื่ออยู่ๆถูกจับจูงด้วยมือของบุรุษที่ทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงตั้งแต่แรกสบตา มันจึงส่งผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจและต่อมเขินอายจนเนื้อตัว หน้าตาแดงแล้วแดงอีก
 
“ขอบคุณค่ะ คุณคมพัชญ์”
 
“เรียกซะห่างเหิน ทำไมลาดาไม่เรียกพี่ว่าพี่คมล่ะ หือ?”
 
หมวกก็สวมให้แล้ว เชือกใต้คางก็ผูกเรียบร้อย แต่มือหนาที่ควรล้วงกระเป๋าหรือทิ้งตัวขนาบต้นขาแข็งแรงของคมพัชญ์กลับอ้อยอิ่งกับแก้มกลมป่องเสียนี่ ความร้อนจากปลายนิ้วเรียวที่เกลี่ยไล้ผิวแก้มเนียนเล่นขณะเอ่ยถามยิ่งทำให้ลันลาดาที่ปกติก็พูดน้อยยิ่งขยับปากไม่ขึ้น แต่คมพัชญ์ก็คือคมพัชญ์ ที่หากต้องการสิ่งใดแล้วต้องได้มา คำตอบเมื่อครู่ก็เช่นกัน ปลายนิ้วแข็งๆจึงเชยคางมนให้เงยขึ้นสบตา ทว่าคำตอบที่เคยต้องการมันไม่สำคัญแล้วล่ะ เมื่อตอนนี้มีสิ่งที่น่าสนใจมากกว่าโชว์หราอยู่ตรงหน้า
 
‘ผู้หญิงคนนี้กินเลือดสดๆเป็นอาหารหรือไงวะ เลือดลมสูบฉีดดีชะมัด’
 
“แก้มแดงปลั่งเชียว ร้อนเหรอ”
 
คนตัวโตเอ่ยถามเหมือนเป็นห่วง แต่ถ้าห่วงคมพัชญ์ก็ควรรีบพาลันลาดากลับไปนั่งพักในบ้านมากกว่าจะยืนลูบไล้ปลายมือกับผิวแก้มใสเหมือนมันเป็นของเล่นส่วนตัวอยู่อย่างนี้หรือเปล่า หนำซ้ำมุมปากได้รูปของชายหนุ่มยังหยักยิ้มพอใจเมื่อบังคับให้ลันลาดาเงยหน้าขึ้นสบตาได้สำเร็จ แม้หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเจ้าหล่อนจะก้มหน้าหลบสายตาเขาเหมือนเดิมก็เถอะ เพราะมันทำให้ชายหนุ่มได้เห็นความงามพิสุทธิ์ที่ไม่เคยหาเจอจากผู้หญิงที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิต ผิวแก้มขาวนวลเนียนน่าจูบที่ถูกจุดสีแดงกลืนกินทุกตารางนิ้วพาให้เกิดความสงสัยขึ้นมาครามครันว่าลันลาดากินเลือดสดเป็นอาหารหรือเปล่า ทำไมผิวเนียนเกลี้ยงของเจ้าหล่อนถึงได้ขยันแดงนัก
 
น่ารักฉิบหาย!
 
คมพัชญ์จำต้องลอบคำรามในลำคอ เกิดอาการมันเขี้ยวขึ้นมาติดหมัด นาทีนี้ในหัวสมองมีแต่ความรู้สึกว่าผู้หญิงที่ยืนแก้มแดงแปร๊ดอยู่ตรงหน้านี่น่ารักจับจิต ใจจริงอยากทำมากกว่าลูบมือกับผิวแก้มเนียนลื่นนี่ด้วยซ้ำ แต่ก็กลัวลูกไก่ตัวน้อยจะตื่นตกใจ และเป็นอีกครั้งที่คมพัชญ์ต้องสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆเพื่อระงับอารมณ์ดิบหื่นที่มันตื่นขึ้นง่ายเหลือเกินเพียงแค่เหลือบสายตามองผิวแก้มสีปลั่ง เพราะนี่เป็นเพียงแค่วันแรกที่เจอกัน หากเขาเผลอแสดงพฤติกรรมห่ามๆออกไปก็กลัวว่าคุณการันต์จะกังวลใจที่จะปล่อยให้ลันลาดาอยู่ใกล้ชิดเขาแล้วพาหญิงสาวกลับบ้าน แม้ว่าจะมั่นใจมากว่าผู้หญิงแก้มแดงตรงหน้าคือยายหนูที่บิดาเกริ่นไว้ว่าจะให้มาเป็นเจ้าสาวของเขาก็เถอะ
 
‘เสียดาย รู้อย่างนี้จีบดักไว้ตั้งแต่เด็ก!’
 
นี่ถ้ารู้อนาคตว่าเด็กผู้หญิงมัดแกละสองจุก เจ้าของดวงตากลมโตที่เคยมาวิ่งเตาะแตะอยู่ในสวนลำไยเติบโตขึ้นมาจะสวยน่ารักถึงเพียงนี้ เขาคงจับนิ้วเจ้าหล่อนจุ่มน้ำหมึกแล้วแตะลงพินัยกรรมทำสัญญาจับจองเป็นคู่หมั้นคู่หมายตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อนโน้น ใช่! เขากับลันลาดาเคยเจอกันก่อนงานศพของเพื่อนบิดาเสียอีก แต่เป็นการเจอที่เร็วเกินไป คุ้นๆว่าตอนนั้นเขาเพิ่งจะอายุสิบสองสิบสามปีเองกระมัง ส่วนลันลาดาก็สามขวบเห็นจะได้ เรียกว่ายังเด็กน้อยเกินกว่าจะประสาในเรื่องรักๆใคร่ๆกับเด็กหญิงตัวกลมปุ๊กที่ตามบิดามารดามาวิ่งเล่นในสวนลำไยบ้านเขาตอนนั้น แต่ถึงจะพลาดจากครั้งกระโน้นก็ยังไม่ถือว่าเสียหายมากนัก เมื่อสุดท้ายแล้วบิดาก็รู้ใจ อุ้มสมเจ้าหล่อนมาประเคนใส่มือเขาจนได้ นี่ถ้าไม่เรียกว่าคู่สร้างคู่สมก็เห็นจะหาคำอื่นเหมาะๆมาจำกัดความไม่ได้อีก
 
‘คู่สร้างคู่สม? ชุดแต่งงาน? ฉิบหายแล้วคมพัชญ์!’
 
ร่างสูงผงะห่างออกไปเล็กน้อยเมื่อสะดุดกับภาพจินตนาการในสมองตัวเอง คมพัชญ์สะบัดศีรษะขับไล่ความเพ้อเจ้อในหัวให้หลุดกระจาย จากที่คิดว่าอาจเป็นแค่ความคิดชั่ววูบคงไม่วูบแล้วกระมังเมื่อสะบัดทั้งซ้ายและขวาไปมาอยู่หลายรอบจนคอจะหัก แต่กลับสลัดภาพลันลาดาสวมชุดเจ้าสาวสีขาวฟูฟ่องดูสวยงามเหมือนนางฟ้าตัวน้อยๆเดินเคียงข้างเขาออกไปไม่หลุดสักที มือหนาดันแผ่นหลังบางเข้ามาชิดหลังจากให้เวลาตัวเองได้ตั้งสติแล้วพบว่าภาพนั้นยังลอยวนไปมาอย่างเสรีอยู่ในสมอง คมพัชญ์จึงให้ความสำคัญกับการเพ่งมองใบหน้าของลันลาดาอย่างจริงจัง ใคร่รู้ว่าผู้หญิงหน้าหวานคนนี้มีดีอะไรหรือ อยู่ๆความคิดเรื่องแต่งงานถึงได้เกิดขึ้นกับผู้ชายที่โคตรหวงความโสดแบบเขากะทันหันเช่นนี้
 
‘ให้ตาย นี่กูแพ้ทางผู้หญิงขี้อายเหรอวะ!’
 
ดวงตามากเล่ห์หลับลงช้าๆอย่างต้องการไว้อาลัยให้ตัวเอง ไม่อยากยอมรับแต่คงหนีความจริงไม่พ้น ว่าเขาคงโดนล้อยันลูกบวชด้วยข้อหาคาสโนว่าตัวร้ายกำลังจะสิ้นลายเพราะผู้หญิงไม่ประสา เพราะจากที่ยืนพิจารณาอยู่ครู่ใหญ่ ลันลาดาไม่ได้พิเศษกว่าสตรีที่เขาเคยควงเลย ก็แค่ผิวสวยน่าจูบกว่านิด เรือนร่างกลึงเกลาอรชรน่าอุ้มกว่าหน่อย แต่ที่เห็นจะหาไม่เจอจากผู้หญิงคนไหนคงเป็นผิวแก้มขยันแดงอย่างคนขี้อายและดวงตาไร้เดียงสาน่าเอ็นดูนี่แหละ
 
“ลองชิมลำไยไร่พี่หน่อยว่าหวานไหม”
 
คมพัชญ์หลบหลีกความรู้สึกที่กำลังพวยพุ่งร้อนแรงในอกด้วยการเสไปเด็ดผลลำไยจากต้นใกล้มือมาแกะเปลือกแล้วจ่อที่ริมฝีปากบาง ลำไยของไร่บารมีเสียดฟ้านั่นขึ้นชื่อลือชาว่าเป็นของดีประจำจังหวัดลำพูน เพราะมีผลใหญ่ เม็ดเล็ก เนื้อหนาเป็นสีชมพู รสชาติหวานอร่อยถูกใจชาวต่างชาติจนยอดส่งออกไปประเทศเพื่อนบ้านนั้นเพิ่มขึ้นทุกปี
 
“ขอบคุณค่ะ คุณ...เอ่อ พี่คม”
 
ดวงตากลมใสเหลือบมองลำไยที่จ่ออยู่ตรงหน้าอย่างกังวล จ่อมาถึงปากแบบนี้จะให้ปฏิเสธคงเป็นการเสียมารยาทชนิดร้ายแรง ลันลาดาเงยหน้าขึ้นมองสบตาคมพัชญ์วูบหนึ่งก่อนหลุบดวงตาลงมองต่ำ มือน้อยบีบเข้าหากันแน่น ฟันซี่น้อยขบกลีบปากล่างอย่างขัดเขินก่อนตัดสินใจอ้าปากรับลำไยที่จ่อติดเข้ามารับประทาน
 
“หวานไหม?”
 
“หวานมากค่ะ”
 
“พี่ก็ว่าหวาน”
 
หวานของลันลาดาหมายถึงลำไย แต่สำหรับลูกชายเจ้าของสวน ชักไม่แน่ใจว่าพูดถึงเรื่องเดียวกันหรือเปล่า แต่เชื่อเถอะว่าสำหรับคมพัชญ์ต่อให้ชายหนุ่มตั้งใจสื่อความหมายถึงลำไยจริง ทว่านาทีนี้ต่อให้เอาลำไยทั้งสวนมากองรวมกัน ระดับความหวานของลำไยยังไงก็น้อยกว่าใบหน้าหวานแฉล้มของลันลาดาเป็นแน่ ชายหนุ่มจะรู้ตัวไหมนะว่าดวงตาของตัวเองที่ทอดมองลันลาดานั้นหยาดเยิ้มดั่งมีรถน้ำตาลพร้อมใจกันพลิกคว่ำอยู่ในนั้นสักสิบคันรถบรรทุก
 
“พี่ป้อนอีกนะ”
 
“เอ่อ...”
 
เคี้ยวของเก่าหมดไม่ทันไร คมพัชญ์ก็แกะเปลือกลำไยลูกใหม่จ่อริมฝีปากสีชมพูอีกครั้ง ลันลาดาทำหน้าเลิ่กลั่กมองมันก่อนเหลือบดวงตากลัดกลุ้มขึ้นมองสบตากับคนป้อน ท่าทีเป็นกังวลของลันลาดาพาให้หัวคิ้วหนาขมวดด้วยความสงสัย
 
“ไม่อยากให้พี่ป้อนแล้ว?”
 
“ค่ะ คือ...”
 
“คืออะไร ไหนพูดให้พี่ฟังซิ!”
 
ลำไยในมือถูกปาทิ้งลงพื้น จากนั้นมือหนาจึงจับไหล่บางดึงเข้ามาชิด แค่มีความคิดชั่ววูบเข้ามาในหัวว่าลันลาดารังเกียจผลไม้จากมือเขา อารมณ์ดีๆของคมพัชญ์ก็พลันระอุขึ้นมาไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย มันทั้งเสียหน้าและเสียความรู้สึก
 
“ลาดาทานลำไยลูกใหม่ไม่ได้หรอกค่ะ เม็ดเก่ายังไม่ได้คายเลย”
 
อายเหลือเกินที่ต้องพูดออกไป น้ำเสียงที่พูดจึงเบาแสนเบา แต่หากยังเก็บงำความจริงไว้คงทำให้คมพัชญ์เข้าใจตัวเองผิด พูดจบลันลาดาก็ก้มใบหน้าแดงๆมองพื้น หญิงสาวจึงไม่เห็นว่าดวงตาแข็งกร้าวด้วยเข้าใจผิดของคมพัชญ์กำลังทอดมองตัวเองอย่างขบขันระคนเอ็นดู
 
“แล้วอมไว้ทำไม ไม่คายทิ้งล่ะ”
 
“ก็...ตรงนี้ไม่มีถังขยะนี่คะ” พูดไปก็ต้องใช้ลิ้นดันเม็ดลำไยซ่อนไว้ตรงข้างกระพุ้งแก้ม
 
คมพัชญ์แหงนหน้าขึ้นเพื่อแอบยิ้มกว้างๆให้ท้องฟ้ากับความน่าเอ็นดูของลันลาดา ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาเปรียบเปรยกับความเรียบร้อยของผู้หญิงตรงหน้าได้อีก คิดเล่นๆว่าถ้าวันนี้เขาพาหญิงสาวชมสวนแล้วไม่มีถังขยะสักใบผ่านสายตา ลันลาดามิต้องอมเม็ดลำไยไว้ในปากทั้งวันหรอกหรือ แม่คุณแม่ขนุนหนังของพี่คม จะน่ารักเกินไปแล้ว!
 
“คะ?”
 
ความน่ารักของลันลาดาก่อนหน้ารวมกันทั้งหมดยังเทียบไม่ได้กับสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคมพัชญ์ตอนนี้ ใบหน้าหวานๆที่เอียงคอมองทำมุมสี่สิบห้าองศา ดวงตากลมแป๋วที่โชว์เครื่องหมายคำถามตัวโตหลังจากมองมือหนาที่ยื่นมาชิดริมฝีปาก ทำให้แฝดนรกคนน้องนึกอยากดึงร่างเล็กเข้ามาชิดแผ่นอกแล้วกอดรัดฟัดเหวี่ยงให้สาสมกับความมันเขี้ยวยิ่งนัก ผู้หญิงบ้าอะไรก็ไม่รู้ แค่ทำหน้างงยังโคตรน่ารัก
 
“คายใส่มือพี่มาสิครับ”
 
“ไม่ได้ค่ะ มันสกปรก”
 
“แต่ถ้าลาดาไม่รีบคายทิ้งแล้วเผลอกลืน ระวังตรงสะดือจะมีต้นลำไยงอกขึ้นมานะ”
 
ดวงตากลมใสเบิกกว้างกับคำเตือน ในสมองของลันลาดากำลังจินตนาการภาพตามคำพูดของคมพัชญ์ มือบางจึงเผลอแตะแผ่นท้องด้วยความตกใจเมื่อคิดว่าจะมีต้นลำไยเติบโตจากเม็ดที่เธอกลืนอยู่ตรงนั้น และโดยอัตโนมัติ ริมฝีปากจิ้มลิ้มก็รีบคายเม็ดลำไยในปากทันทีที่ฝ่ามือของคมพัชญ์ยื่นเข้ามารอ พอได้คายออกไปจนความกังวลเริ่มซา นั่นแหละลันลาดาจึงมีเวลาคิดทบทวน ว่ากันด้วยหลักวิทยาศาสตร์อย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ หญิงสาวจึงรีบเงยหน้าขึ้นมองคมพัชญ์หวังแก้ไขความเข้าใจของเขา ใบหน้าคมคายที่ทอดมองเธอยังคงเรียบเฉยตามบุคลิกแข็งกร้าวก็จริง ทว่าดวงตาของเขานี่สิกลับระยิบระยับแพรวพราว ดูก็รู้ว่ากำลังขบขัน นั่นแหละลันลาดาจึงรู้ตัวว่าเธอถูกคมพัชญ์แกล้งเข้าให้แล้ว
 
“พี่คม แกล้งกันนี่คะ” ใบหน้าแดงๆก้มงุด รู้สึกขัดเขินเหลือเกินที่เผลอเชื่อเรื่องหลอกเด็ก
 
“ก็ไม่คิดว่าลาดาจะเชื่อ”
 
เป็นอีกครั้งที่เรียวปากของคมพัชญ์เผยรอยยิ้มกว้างให้กับความน่ารักของลันลาดา ดวงตาคมกริบของชายหนุ่มเพ่งมองใบหน้าแดงก่ำอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าหญิงสาวตัวเล็กบอบบางคนนี้จะมีความสามารถพิเศษที่ทำให้ผู้ชายแข็งกระด้างค่อนไปทางเย็นชาอย่างเขาเผลอยิ้มได้หลายต่อหลายครั้งในช่วงเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ซึ่งนับรวมดูแล้วอาจมากกว่าที่เขายิ้มมาตลอดทั้งปีเลยด้วยซ้ำ
 
“นาย นายครับ”
 
แต่แล้วกลับมีเหตุให้คมพัชญ์หุบยิ้ม ชายหนุ่มจำต้องละสายตาจากใบหน้าสวยกลับไปมองตามเสียงเรียกของหัวหน้าคนงานด้านหลังที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหา ท่าทางอย่างนี้ แววตาเป็นกังวลแบบนี้มั่นใจมากว่าต้องเป็นเรื่องไม่ดีแน่นอน และคิดว่าพอจะเดาออกด้วยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในไร่ที่เขาปกครอง คมพัชญ์กัดฟันพลางหลุบดวงตาลงเพื่อหลบซ่อนประกายอำมหิตในนั้นก่อนหันกลับไปส่งยิ้มอ่อนให้ลันลาดาที่ยืนมองเขาตาแป๋ว
 
“ลาดารอพี่อยู่ตรงนี้นะครับ พี่ขอไปดูคนงานด้านโน้นแป๊บเดียว ไม่ดื้อไม่ซน เดี๋ยวพี่กลับมาหา”
 
ความใสแจ๋วในดวงตากลมทำให้คมพัชญ์อดไม่ได้ที่จะลูบไล้ปลายนิ้วกับผิวแก้มเรียบลื่น ก่อนเอ่ยสั่งเสียงนุ่มขัดกับอารมณ์แท้จริง ลันลาดาพยักหน้ารับพลางส่งยิ้มหวานให้คนงานผู้หญิงวัยกลางคนที่คมพัชญ์เรียกมาอยู่เป็นเพื่อนเธอระหว่างที่เขาไม่อยู่ ร่างสูงผละห่างออกไปพร้อมกับสายตาขยาดกลัวของคนงานในบริเวณใกล้เคียงที่ชะเง้อมองตามแผ่นหลังกว้างของคมพัชญ์ไปอย่างขลาดๆ ด้วยรู้ดีว่าในยามโกรธเกรี้ยวนั้นเจ้านายหนุ่มน่ากลัวขนาดไหน ยกเว้นคนเดียวที่ยังยิ้มได้ก็คือลันลาดา มือบางยกขึ้นลูบผิวแก้มที่มือของคมพัชญ์ลูบไล้ก่อนหน้า เมื่อไม่มีดวงตาคู่คมของชายหนุ่มมองจ้อง หญิงสาวจึงกล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังของคนขี้แกล้งเต็มตาอย่างที่อยากมอง ริมฝีปากบางแย้มยิ้มเมื่อย้อนนึกถึงท่าทีของเขาที่ปฏิบัติต่อเธอ นั่นเพราะชายหนุ่มไม่ใช่คนดุร้ายเหมือนบุคลิกภายนอกแบบที่เธอนึกกลัวก่อนหน้านี้
 
‘คุณคมน่ารักกับลาดามากเลยค่ะพ่อ’
 
ลันลาดาส่งความคิดถึงบิดา เพราะแม้ท่านจะอยากให้เธอแต่งงานกับคมพัชญ์ แต่การันต์ก็ยังกังขาเรื่องนิสัยใจคอของชายหนุ่มไม่น้อย เพราะบุคลิกของคมพัชญ์นั้นแข็งกระด้าง ในขณะที่เธอนุ่มนิ่มเชื่องช้าจนท่านเกรงว่าเธอกับคมพัชญ์จะเข้ากันไม่ได้ โดยที่ลันลาดาไม่รู้เลยว่าคุณการันต์ที่ยืนมองอยู่ตรงระเบียงหลังห้องพักของเจ้าของบ้านก็กำลังยิ้มด้วยความเบาใจกับท่าทีอ่อนโยนของแฝดคนน้องที่ปฏิบัติต่อบุตรสาวเช่นกัน
 
‘กรรม! เรื่องถึงมือเจ้าคม ตัวใครตัวมันแล้วกัน’
 
แต่ในขณะที่สองพ่อลูกมหาดำรงค์กำลังโล่งอก พ่อเลี้ยงนภัทรกลับกำลังหนักใจเมื่อลูกชายคนโตเข้ามากระซิบกระซาบเรื่องที่คมพัชญ์กำลังจัดการกับคนงานในไร่ สองพ่อลูกได้แต่ถอนหายใจแล้วมองหน้ากันอย่างปลงๆ กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมคืนสนอง
*****************************************************************************************

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา