สาบสมิง
เขียนโดย ลูกคนเดียว
วันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 เวลา 10.39 น.
แก้ไขเมื่อ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2562 11.58 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) บทที่เจ็ด
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเขาเดินก้าวอย่างระมัดระวังสายตาคมกริบกวาดมองรอบด้าน ทุกสิ่งยังคงปกติ ถนนตอนนั้นขนาบข้างด้วยละเมาะไม้เตี้ยๆกว้างประมาณห้าสิบเมตรทางฝั่งขวา ส่วนฝั่งซ้ายเป็นนาข้าวกว้างใหญ่ ชายคนนั้นหลุดออกมาจากละเมาะไม้ ลมร้อนพัดมาวูบหนึ่ง กลิ่นสาบฉุนแรงสัมผัสกับจมูก ชานนท์ชะงักกึกหันมองทางด้านที่ชายปริศนาเพิ่งพุ่งตัวออกมา เขาค่อนข้างแน่ใจว่ากลิ่นมาจากที่นั่น แต่ภายในพุ่มไม้รกทึบเงียบสงบ มือที่กำด้ามปืนแน่นชื้นเหงื่อ เขาพยายามสูดดมกลิ่นนั้นอีกครั้ง หายไปแล้ว ไม่มีกลิ่นอื่นใดนอกจากกลิ่นดินผสมกับไม้บางชนิด เขาหันกลับมาสนใจร่างที่ยังคงกองนิ่งอยู่เบื้องหน้า ชายคนนั้นอยู่ในวัยกลางคน ผิวสีเข้มเกรียมเพราะแดดเผา เขาอยู่ในชุดเก่าขาดสีเทา ชานนท์เข้าไปใกล้มากพอจนกระทั่งได้ยินเสียงพูดแผ่วเบากระท่อนกระแท่นนั้น
“ช่วยด้วย ช่วยผมด้วย เสือ เสือใหญ่ ลากวัวไป ช่วยด้วย เสือ” เขาพึมพำแค่นั้นก่อนที่จะจับใจความอะไรไม่ได้อีก ชายหนุ่มเหน็บปืนแล้วพยุงร่างนั้น ผู้ชายคนนั้นมีร่องรอยหนามเกี่ยวรวมทั้งรอยแผลเล็กหลายแห่ง นอกจากนั้นใบหน้ายังประดับด้วยรอยของความตกใจขีดสุด ผู้ช่วยหนุ่มพยุงเขาจนกระทั่งส่งเข้าไปนอนนิ่งอยู่ที่เบาะหลังรถ เขาหันบอกกับจอมขวัญซึ่งจับจ้องทุกอิริยาบทของทั้งคู่ด้วยสายตาตื่นๆ
“ฝากคุณขวัญดูแลเขาสักครู่นะครับ ผมขอไปดูอะไรนิดหน่อยแล้วจะรีบกลับมา”
โดยไม่รอคำตอบของหญิงสาว ชานนท์ตรงไปยังป่ารกข้างทางทันที เขาแหวกพุ่มไม้ พยายามส่ายจมูกสูดดมกลิ่นฉุนนั้น แต่ก็ไม่มี เขาเห็นเศษเสื้อผ้าสีเทาบางส่วนติดอยู่กับพุ่มหนามเล็บเหยี่ยว สิ่งใดกันที่ทำให้ชายวัยกลางคนเตลิดหนีจนไม่สนใจกระทั่งหนามอันแหลมคม ชายหนุ่มใช้ความระมัดระวังในการสำรวจพื้นที่รอบๆ ความรู้สึกส่วนลึกบอกกับตัวเองว่าต้องมีบางอย่างหลบอยู่บริเวณนี้ตอนเขาช่วยชายคนนั้น เขาวนเวียนหาร่องรอยอยู่เกือบสิบนาที เมื่อแน่ใจว่าไม่พบ เขาก็เดินเร็วกลับไปที่รถแล้วขึ้นประจำตำแหน่งคนขับ ผู้ชายคนนั้นยังคงหลับอยู่ ส่วนจอมขวัญมองหน้าเขาอย่างพิศวง
“ไม่มีอะไรหรอกครับคุณขวัญ ผมแค่สงสัยว่าทำไมคนๆนั้นถึงโผล่พรวดออกมาอย่างนั้น”
“แล้วเจออะไรหรือเปล่าคะ”
หญิงสาวถามอย่างร้อนใจ แต่เขาส่ายหัว
“ไม่มีครับ ไม่มีอะไรสักอย่าง คงต้องรอให้เขาฟื้น เราจะได้ถามเขาได้ครับ แต่ก่อนอื่นคงต้องพาเขาไปโรงพยาบาลเพื่อทำแผลก่อน เหมือนจะโดนหนามเล็บเหยี่ยวไม่น้อย”
จอมขวัญพยักหน้าก่อนตัดสินใจพูดบางอย่าง
“ขวัญได้ยินเขาละเมอค่ะ”
“เขาละเมอว่าอะไรครับ”
“เขาพูดว่า มีเสือตัวใหญ่ เสือตัวนั้นมันลากวัวเขาไปกิน”
ชานนท์หัวเราะเสียงต่ำในลำคอ สายตายังคงจ้องมองถนนลาดยาง
“แต่ตอนผมไปตรวจดูก็ไม่มีอะไรผิดปกตินะครับ เขาอาจจะแค่เพ้อเฉยๆ”
เขาจงใจปิดบังหล่อนเรื่องกลิ่นสาบประหลาด แต่เหมือนจอมขวัญไม่สนใจ ดวงตาของหล่อนเลื่อนลอยพิกล หล่อนกำลังคิดถึงเจ้าสัตว์ตัวนั้นที่เคยเผชิญหน้า หล่อนมั่นใจว่ามันคือเสือลายพลาดกอน
“ค่ะ ขวัญก็หวังให้สิ่งที่เขาพูดเป็นแค่เรื่องเพ้อเจ้อ อย่าให้มันเป็นจริงเลย ไม่เช่นนั้นคงจะมีเรื่องร้ายตามมาอีกมากมาย”
ประโยคสุดท้ายหล่อนพึมพำกับตัวเองจนกระทั่งชายหนุ่มไม่ได้ยิน
หลังจากถึงมือหมอได้ไม่นานนัก ชายวัยกลางคนอันเป็นต้นเหตุของเรื่องก็ค่อยๆฟื้นคืนสติ ทันทีที่เห็นใบหน้าคมสันของชานนท์ เขาก็ส่งเสียงร้องแล้วพูดรัวเร็ว
“ช่วยผมด้วยครับ เสือมันลากวัวผมไปกิน”
“ใจเย็นก่อนนะครับ” เขาพูดอย่างเยือกเย็น ลักษณะท่าทางของชายหนุ่มทำให้ชายคนนั้นสงบลงได้ “กรุณาเล่าเรื่องทั้งหมดให้ละเอียดด้วยครับ”
เขาสูดลมหายใจลึก ใช้เวลาทบทวนความทรงจำตัวเองชั่วครู่ แล้วเรื่องราวทั้งหมดก็พรั่งพรูออกมา
เขาชื่อแสง เป็นคนห้วยเสือร้องแต่กำเนิด นายแสงยึดอาชีพเลี้ยงวัวทั้งตระกูล บ่ายวันนี้เขาพาวัวไปกินหญ้ายังถิ่นประจำ ท้องทุ่งกว้างใหญ่สลับกับละเมาะไม้รกทึบเป็นหย่อม ทุ่งนั้นอยู่ห่างจากแนวเขตอุทยานแห่งชาติประมาณร้อยเมตร หลังจากมองฝูงวัวกินหญ้าสักพัก เขาก็หลบแดดร้อนงีบนอนใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ หลับใหลได้ไม่นานนักก็มีเสียงวัวร้องอย่างตกใจจากมุมหนึ่ง พร้อมกันนั้นวัวทั้งฝูงก็เตลิดหนี แสงลุกพรวดวิ่งเข้าไปดู คิดอยู่ในใจว่าอาจจะเป็นงูเหลือมรบกวนวัวของเขา เขากระชากมีดพร้ายาวขึ้นมากำแน่นหมายใจว่าจะกระชวกงูตัวนั้นแล้วเอาทำอาหารเย็นซะเลย แต่แสงก็ต้องตกตะลึงยืนตัวแข็งทื่อเมื่อเห็นภาพเบื้องหน้า
วัวตัวนั้นชื่อไอ้ด่าง นิสัยมุทะลุดุดันจนบางครั้งเขาเองก็แทบคุมมันไม่อยู่ แต่ครั้งนี้ไอ้ด่างกลับนอนสงบนิ่ง เลือดท่วมตัว โดยเฉพาะบริเวณคอซึ่งถูกกัดกระชากจนเกือบขาด ร่างลายพร้อยสีเหลืองสลับดำยืนผงาดจังก้าอยู่บนตัวไอ้ด่าง เสือใหญ่ตัวนั้นมองจ้องนิ่งด้วยสายตาดุร้าย มันไม่มีท่าทีหวาดกลัวสักนิด แสงหลั่งเหงื่อชุ่มโชก มวลอากาศรอบกายดูลดน้อยจนน่าอึดอัด ลมพัดมาวูบหนึ่ง กลิ่นสาบสางของสัตว์ร้ายคุกคามจนเขาถอยหลังช้าๆ เสือโคร่งตัวนั้นผละจากไอ้ด่าง มันเดินเชื่องช้าตรงมาที่เขา พอลมพัดกลิ่นสาบมาอีกครั้งแสงก็ได้สติหันหลังเผ่นพรวดเดียวจนกระทั่งมาเป็นลมหมดสติอยู่กลางถนน เรื่องราวทั้งหมดจึงเชื่อมต่อเข้ากับเหตุการณ์ทางด้านของชานนท์พอดิบพอดี
“ผมมั่นใจว่ามันเป็นเสือผีแน่นอน ดวงตามันแดงก่ำลุกโชติเหมือนใครเอาไฟทั้งกองสุมไว้ โชคดีที่ผมรอดมาได้ แต่ผมเป็นห่วงวัว”
ชานนท์ตบไหล่นายแสงเบาๆ
“ไม่ต้องห่วงนายแสง เดี๋ยวฉันจะไปดูวัวของนายให้”
นายแสงไหว้ขอบคุณเขาเป็นการใหญ่จนชายหนุ่มต้องบอกให้หยุด ชานนท์ขอเบอร์โทรศัพท์เพื่อติดต่อญาติของนายแสงแล้วปรายตาทางหญิงสาวชักชวนกันออกมา ปล่อยให้ชายวัยกลางคนพักผ่อน
“คุณนนท์เชื่อมั้ย เรื่องที่นายแสงเล่า”
ลูกสาวคนเล็กของจอมพลถามพลางมองหน้าเขาอย่างค้นหา ชานนท์มองตอบด้วยท่าทางเปิดเผย
“ตอนนี้ผมยอมรับว่ายังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ที่ผมบอกว่าจะไปดูวัวให้นายแสงก็เพราะต้องการจะไปตรวจสอบที่เกิดเหตุด้วย ถ้าหากเป็นเสือโคร่งจริงจะได้หาวิธีจัดการต่อไป”
“ฆ่ามันเหรอคะ”
เขาส่ายหน้า
“คงต้องหาทางผลักดันให้มันกลับเข้าป่าไป หรือไม่ก็จับตัวมันให้ได้ก่อนที่มันจะทำร้ายใครหรือสัตว์เลี้ยงอีก แต่ก่อนอื่นต้องมีหลักฐานก่อนว่ามันคือเสือโคร่งจริงๆครับ”
หญิงสาวพยักหน้าไม่ได้กล่าวอะไรอีก ชานนท์จึงโทรศัพท์บอกเล่าเรื่องราวกับญาติของนายแสง เสร็จแล้วเขาจึงขับรถไปส่งจอมขวัญที่โรงเรียน
“หวังว่ามันจะไม่ใช่เสือโคร่งนะคะ ไม่อย่างนั้นพวกเราคงจะอยู่กันด้วยความหวาดกลัว”
“อีกไม่นานก็รู้ครับ ได้เรื่องเมื่อไหร่ผมจะบอกคุณขวัญเป็นคนแรกเลย”
“ขอบคุณค่ะ”
ชานนท์โบกมือให้แล้วออกรถ ทิ้งให้หญิงสาวมองตามพร้อมครุ่นคิดด้วยความหนักใจ
ข่าวลือเรื่องเสือโคร่งใหญ่แพร่สะบัดในหมู่ชาวบ้านหนองเสือร้อง สร้างความกังวลใจระคนหวาดกลัวจนแทบไม่มีใครกล้าออกจากชายคาบ้านในยามกลางคืน สัตว์เลี้ยงทุกชนิดถูกจับขังคอกอย่างแน่นหนา รอบคอกยังเต็มด้วยพุ่มหนามหวังกันเสือร้าย ชานนท์นำเอาเรื่องราวทั้งหมดรายงานต่อหัวหน้าของเขา ถึงแม้กัมปนาทจะยังคลางแคลงแต่ก็ออกคำสั่งให้เขานำเจ้าหน้าที่รุดตรวจสอบจุดเกิดเหตุโดยเร็ว ชานนท์จึงประสานขอความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารในพื้นที่สำรวจร่วมกัน หลังจากค้นหาอยู่นานเขาก็พบกับจุดต้องสงสัย วัวทั้งฝูงของนายแสงคลายจากความตื่นตระหนกและยังคงหากินอยู่ไม่ไกลจากบริเวณนั้นมากนัก ผู้ช่วยหนุ่มพยายามหารอยตีนหรือสิ่งอันจะพอเป็นหลักฐานยืนยันถึงการมีอยู่ของเสือโคร่งแต่ก็ไม่พบแม้กระทั่งเศษขนของเจ้าสัตว์ร้าย ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนพลางปาดเหงื่อบนใบหน้า วันชัยเดินมาหาเขา
“ได้เรื่องมั้ยพี่ชัย”
พิทักษ์ป่าหนุ่มใหญ่ส่ายหน้า
“ไม่มีร่องรอยอะไรเลยครับผู้ช่วย ผมเดินเลยไปจนถึงเขตเรา ค้นอยู่นาน แม้แต่กลิ่นซากวัวก็ไม่มีครับ”
“แล้วพี่คิดว่าเสือมันลากวัวไปจริงมั้ย”
“ผมไม่แน่ใจ เท่าที่ตรวจดูตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานบอกอย่างนั้นเลยครับ”
เขาพยักหน้า
“ลองหาอีกรอบแล้วค่อยกลับ”
“ครับ” วันชัยรับคำแล้วผละไป
ชานนท์กำลังค้นหาอยู่ในป่าโปร่งอีกด้านตอนที่วันชัยวิ่งกระหืดกระหอบ พิทักษ์ป่าหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“เจอซากวัวแล้วครับผู้ช่วย”
เขาก้าวยาวๆตามหลังลูกน้อง จนกระทั่งถึงจุดที่เจ้าหน้าหลายคนขวักไขว่อยู่โดยรอบ ทหารหนึ่งคนนั่งยองๆมองภาพเบื้องหน้าด้วยสีหน้าประหลาดใจ ส่วนลูกน้องอีกสองคนของเขายืนลูบคางครุ่นคิด วันชัยพูดเบาๆบอกเล่าเหตุการณ์
“ผมเดินมาจนถึงหลังโขดหินนั่น” เขาชี้ยังโขดหินใหญ่ซึ่งบังอยู่มุมหนึ่ง “กำลังคิดว่าถ้าไม่เจอจะกลับแล้ว แต่ไอ้เตี้ยปวดฉี่เลยเดินมาฉี่หลังหิน พอฉี่เสร็จมันก็พบกับซากนั่น”
ผู้ช่วยหนุ่มผงกหัว นั่งยองพิจารณาซากวัวซึ่งในชีวิตของเขามั่นใจว่าไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน ซากนั้นเหลือเพียงหนังเท่านั้น ทุกส่วนทั้งกระดูก เนื้อหรือแม้กระทั่งกองเลือดไม่ปรากฎ ชานนท์หรี่ตาก่อนจะมองกราดไปรอบด้าน ยังมืดมนเหมือนเคย รอยตีนสักรอยก็ไม่มี
“มั่นใจมั้ยว่าเป็นเสือ” เขาถามแผ่วๆกับวันชัยซึ่งลงมานั่งยองอยู่ด้วยกัน
“ไม่มั่นใจครับ แต่ผมก็ไม่เคยเห็นตัวอะไรจะกินหมดเกลี้ยงแล้วทิ้งหนังไว้แบบนี้”
“หมาในหรือเปล่า”
“ไม่ใช่หรอกครับ อยางน้อยพวกหมาไม่กินกระดูกกับเลือดจนหมดแน่ แล้วอีกอย่างดินบริเวณนี้เป็นดินร่วนซุย แต่กลับไม่มีรอยตีนสักรอย ผู้ช่วยว่ามันไม่แปลกเหรอ”
ทำไมจะไม่แปลกล่ะ นั่นคือสิ่งที่สะดุดตาสะดุดใจเขาเป็นอย่างแรกตั้งแต่เห็นซากวัว แต่ถึงอย่างนั้นชานนท์ก็ไม่สามารถที่จะแสดงความรู้สึกต่างๆออกมาได้ ชายหนุ่มจึงพูดเลี่ยงๆ
“อืม ถ่ายรูปไว้ทำบันทึกรายงานหัวหน้าด้วยนะพี่ชัย เดี๋ยวผมจะลองเอารูปไปถามกับผู้เชี่ยวชาญในกรมตรวจสอบ เชื่อว่าต้องมีคำตอบแน่นอน แล้วก็อีกอย่างฝากวานบอกนายแสงด้วยว่าวัวของเขายังอยู่ดีให้รีบมาเอาไป”
“ได้ครับผู้ช่วย” วันชัยรับคำหนักแน่น ชานนท์ยิ้มให้
“ขอบคุณมากครับพี่ชัย”
หลังจากสั่งงานและถ่ายรูปสถานที่เกิดเหตุตลอดจนซากวัวจนพอใจแล้ว เขาก็เดินหลบเลี่ยงมานังพักบนหินก้อนใหญ่อีกมุมหนึ่งคนเดียว เซลล์สมองทั้งหมดทำงานอย่างหนัก ระดมความคิดนึกย้อนไปถึงประสบการณ์ต่างๆจนถึงวิชาความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมา แต่ชานนท์ก็ยังคงนึกไม่ออกอยู่ดีว่าสิ่งมีชีวิตแบบไหนกันที่กัดกินทุกอย่างจนเหลือเพียงหนัง เขาครุ่นคิดอยู่นานก็ยังไม่สามารถหาคำตอบได้จึงตัดสินใจทิ้งเรื่องราวทั้งหมดก่อน เมื่อคิดไม่ออกพาลหยุดคิด นั่นคือคติของเขา เขามั่นใจว่าพอหยุดคิดสักพักเดี๋ยวก็จะคิดออกเอง อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงทุกอย่างก็เรียบร้อย ชานนท์สั่งฝังซากวัวแล้วจึงขอบคุณเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจที่ออกมาช่วยกันค้นหาก่อนจะแยกย้ายกันกลับ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ