สาบสมิง

-

เขียนโดย ลูกคนเดียว

วันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 เวลา 10.39 น.

  30 ตอน
  3 วิจารณ์
  26.46K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2562 11.58 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

29) บทที่ยี่สิบเก้า

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

               จอมขวัญรู้สึกตัวอีกครั้งตอนที่แสงแดดของยามเช้าส่องต้องใบหน้าของหล่อน เมื่อลืมตาขึ้นภาพที่เห็นเบื้องหน้าคือทะเลยอดไม้เขียวทึบ ห่างออกไปไกลๆแนวเขาดำทะมึนสูงตระหง่านตั้งอยู่ ดวงตะวันเพิ่งจะโผล่พ้นขอบเขา มีเสียงหัวเราะดังมาจากทางด้านหลัง เมื่อหันกลับไป ศารทูลในร่างของคนสนิทพี่ชายหล่อนครึ่งนั่งครึ่งนอนบนก้อนหินใหญ่

                “หุบสมิง พวกเจ้าเรียกว่าอย่างนั้น แต่แท้จริงแล้วแต่เดิมบริเวณนี้ทั้งหมดคืออาณาจักรสุวรรณนคร อาณาจักรอันรุ่งเรืองในอดีตกาล”

                “สุวรรณนคร” หล่อนพึมพำ ศารทูลผงกหัวรับแล้วกระโดดลงมายืนเต็มสัดส่วน

                “ใช่ สุวรรณนคร สถานที่ที่เป็นเสมือนที่คุมขังข้ามาเนิ่นนาน ส่วนเจ้า เจ้าคนทรยศ เจ้ากลับหลบลี้หนีมาเกิดจนนับชาติไม่ได้ บัดนี้ถึงเวลาที่เจ้าจะต้องทำการปลดปล่อยข้าจากพันธนาการมนตราของเจ้า”

                หญิงสาวยิ้มเหยียด

                “ฉันไม่รู้จักเวทย์มนต์หรืออาคมอะไรทั้งนั้นคงจะช่วยแกไม่ได้หรอก”

                ศารทูลกระโจนเข้ามาจับแขนหล่อนแล้วบีบอย่างรุนแรงแต่หญิงสาวเม้มปากแน่นไม่ให้มีเสียงร้องลอดออกมา

                “เจ้ายังคงเก่งกาจดุจเมื่อครั้งอดีตระกา คืนนี้เมื่อพระจันทร์ขึ้นกลางฟ้า ข้าจะเรียกความทรงจำทั้งหมดของเจ้ากลับมา หลังจากนั้นเจ้าจะต้องปลดปล่อยข้ารวมทั้งอยู่รับใช้ข้าไปตลอดกาล”

                เขาหัวเราะเบาๆ

                “แล้วก็อย่าหวังว่าเจ้าอรชุนจะมาข่วยเจ้าได้ ข้ามีบางสิ่งไว้มอบให้กับอดีตหัวหน้าราชองครักษ์คนนั้นแล้ว”

                “แกจะทำอะไรคุณนนท์”

                เขาไม่ตอบ มีเพียงรอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้น

 

                สิบเอ็ดโมงตรง แดดร้อนแรงจนกลายเป็นอบอ้าวแตกต่างจากยามกลางคืนอย่างสิ้นเชิง วันชัยปาดเหงื่อบนใบหน้า ส่วนเจิมทิ้งตัวนั่งห่างออกไปเล็กน้อย ชานนท์กำลังนั่งคุยกับจอมภพ สอบถามอาการบาดเจ็บของเขา พวกเขาทั้งหมดเพิ่งจะไต่ขึ้นสู่สันเขาสูงชันอันเป็นทางลัดไปหุบสมิงที่ใกล้ที่สุด

                “ดูคุณจอมภพไม่ได้บาดเจ็บอะไรเลยนะพี่ชัย แกเหมือนคนปกติมาก”

                วันชัยหรี่ตา

                “ก็แกบาดเจ็บนิดเดียวเองนี่หว่า เอ็งอย่าคิดมากไปเลยไอ้เจิม”

                “ไม่คิดมากได้ยังไงล่ะพี่” เจิมนิ่งไปครู่แล้วจึงตัดสินใจเล่า “เมื่อคืนผมลืมบอกพี่ ตอนที่ผมไปช่วยยกตัวคุณจอมภพขึ้นจากหลุมน่ะ ผมได้กลิ่นด้วยนะพี่”

                “กลิ่นอะไรว่ะ”

                “เสือ กลิ่นสาบเสือแน่นอนเลยพี่”

                วันชัยคอแข็ง อดไม่ได้ที่เหลียวไปมองชายหนุ่มผู้ถูกพูดถึง

                “เอ็งแน่ใจ”

                “แน่ใจพี่ กลิ่นสาบเสือแน่นอน”

                “งั้นเราคงต้องระวังตัวมากขึ้นแล้วละโว้ยไอ้เจิม ถ้าเรายังเดินเร็วแบบนี้ อย่างน้อยคืนนี้คงถึงปากทางเข้าหุบ พรุ่งนี้เช้าก็คงจะเข้าสู่หุบสมิงได้”

                พิทักษ์ป่าหนุ่มใหญ่เงียบเสียงลง สีหน้ากังวลใจจนเจิมแปลกใจ

                “เป็นอะไรไปพี่”

                “แต่ข้ากลัวว่าเราจะไม่รอดคืนนี้นะสิไอ้เจิม”

                สายลมเย็นอย่างประหลาดจนขนลุกพัดผ่านทันทีที่วันชัยพูดจบ

 

                พอบ่ายโมงตรงท้องฟ้าก็มืดครึ้มลงอย่างผิดปกติ วันชัยบอกว่าอีกไม่เกินสามชั่วโมงก็คงจะถึงปากทางเข้าหุบสมิง ยิ่งเข้าใกล้จุดหมายชานนท์ก็เกิดอาการกังวลใจอย่างบอกไม่ถูก เขามองไปรอบตัว ทุกคนยังอยู่ในอาการปกติ มีเพียงบางครั้งเท่านั้นที่แววตาแสดงความหวาดหวั่นออกมา แล้วทั้งหมดก็เดินตัดลงตามทางด่านเล็กจนกระทั่งบรรจบกับด่านช้างใหญ่ ป่าในตอนนั้นค่อนข้างโปร่งโล่ง อากาศถ่ายเทได้สะดวก แต่กลับมีสิ่งอื่นที่สร้างความหนักใจให้กับวันชัยแทน ทางด่านนั้นเต็มไปด้วยร่องรอยเจ้าของทาง ทั้งรอยตีน รอยหักกินยอดไม้ หรือแม้กระทั่งรอยขี้ซึ่งเหมือนจะเพิ่งผ่านไปได้ไม่นานนัก ลูกน้องของเขารีบเดินตรงเข้ามาหาทันที

                “ช้างฝูงหนึ่งเพิ่งจะเดินนำเราไปไม่นานครับผู้ช่วย”

                “พอจะมีทางอื่นบ้างมั้ยพี่ชัย”

                “ไม่มีครับ ทางนี้ใกล้สุด ทางอื่นอย่างน้อยต้องเดินอีกวันครับ”

                “งั้นตามไปช้าๆละกันพี่ คงไม่เจอกันหรอกครับ”

                ชานนท์ตัดสินใจเดินตามทางด่านไปเรื่อยๆ เขาไม่รู้เลยว่าการตัดสินใจนั้นจะนำพาเขาไปหาความพินาศ

 

                บ่ายสามโมงตรง ฟ้ามืดลงจนป่าทั้งป่าแทบจะมองอะไรไม่เห็น เมฆดำก้อนใหญ่เคลื่อนผ่าน ชานนท์เงยมองด้วยความไม่สบายใจเล็กน้อย ทั้งหมดยังคงก้มหน้าก้มตาเดินกันต่อไป แล้วครั้งหนึ่งวันชัยก็หยุดเท้าลง คนอื่นจึงเดินเข้าไปสมทบ มีเพียงแค่จอมภพเท่านั้นที่ยืนอยู่ค่อนข้างห่างออกมาพอสมควร

                “มีอะไรพี่ชัย”

                “ผมคิดว่า เราเดินจนเข้ามาอยู่กลางฝูงช้างแล้วครับผู้ช่วย” วันชัยตอบเสียงสั่น เจิมมองรอบๆทันที ทุกอย่างยังคงเงียบสงบ ไม่มีสิ่งใดผิดปกติทั้งนั้น ชานนท์เองก็อดไม่ได้ที่จะมองทั่วบริเวณ แต่เขาก็ยังคงมองไม่เห็นสิ่งใดเช่นกัน บรรยากาศมืดลงทุกขณะ

                “พี่ชัยแน่ใจ”

                “ครับ” เขาตอบเสียงเบา

                ยังไม่ทันที่ทุกคนจะได้ทำอะไรต่อไปก็มีเสียงช้างร้องขึ้นดังสะท้านทั่วทั้งบริเวณ วันชัยกับเจิมหน้าถอดสี ส่วนชานนท์ก็ทำสิ่งใดไม่ถูกเช่นกัน ช้างร้องจากตรงนั้นตรงนี้เหมือนตกใจบางอย่างก่อนที่พวกมันจะพากันวิ่งเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง หัวอันใหญ่โตของมันเริ่มโผล่มาให้เห็นแล้ว แล้วชานนท์ก็ต้องตกใจขีดสุด เขาเห็นอย่างชัดเจนว่าดวงตาของช้างทุกตัวล้วนแดงฉานผิดจากธรรมดา พวกมันดูเกรี้ยวกราดกระหายเลือด เจิมยกปืนขึ้นประทับบ่าแล้วลั่นไกด้วยความกลัวโดยที่วันชัยห้ามไม่ทัน เขาหันมาบอกกับชานนท์

                “หนีผู้ช่วย วิ่งให้ไวที่สุด”

                วันชัยกระชากแขนของเจิมซึ่งกำลังยิงนัดที่สามออกวิ่ง ผู้ช่วยหนุ่มรีบทำตาม เขาซอยเต็มฝีเท้าหลีบหลบต้นไม้แต่รอบด้านกลับล้อมรอบเต็มไปด้วยจมูกยาวๆของช้าง ชายหนุ่มมั่นใจว่าได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วเบาดังมากตามสายลม

                “ตายเสียเถิดอรชุน”

                แล้วเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งก็ดังขึ้น ทั้งสามคนวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต หนามเกี่ยวเลือดซิบพวกเขาก็ยังคงวิ่งต่อไปเหมือนไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดนั้น แล้วเจิมก็สะดุดล้มเป็นคนแรก พิทักษ์ป่าหนุ่มถูกกลืนร่างหายไปกับฝูงช้างวึ่งกำลังบ้าคลั่ง ชานนท์ได้ยินเสียงร้องเพียงครั้งเดียวแล้วเงียบหาย เจิมตายแล้ว เขาบอกตัวเองพร้อมทั้งพยายามวิ่งให้เร็วขึ้น

                เกือบจะหลุดจากป่าโปร่งตอนนั้น ห่างออกไปประมาณสิบเมตรคือป่าทึบซึ่งวันชัยเคยบอกว่าเป็นปากทางเข้าสู่หุบสมิง ทั้งคู่ตาเบิกโพลงอย่างตกใจเมื่อเห็นร่างสีเหลืองลายพร้อยยืนแยกเขี้ยวเหมือนรอคอยอยู่ก่อนแล้ว เสือสมิงคู่ปรับของคณะนั่นเอง มันคำรามเสียงดังลั่นสั่นสะเทือนกลบเสียงช้างทั้งหมดแล้วออกควบพุ่งตรงมาทางวันชัยกับชานนท์อย่างรวดเร็ว

 

                จอมขวัญเดินอย่างเหนื่อยล้าลัดเลาะผ่านป่าโปร่งสลับป่าทึบและมีทุ่งหญ้าเป็นบางช่วง หล่อนไม่ได้อยากเดินแต่ขาทั้งสองเหมือนจะไม่ฟังคำสั่งของหล่อน เหมือนถูกบังคับด้วยอำนาจลึกลับบางอย่าง ถึงจะเหนื่อยอ่อนก็หยุดเดินไม่ได้ ส่วนเจ้าปิศาจนรกนั่นกลับเดินอย่างปลอดโปร่ง ศารทูลอารมณ์จนถึงชี้ให้หล่อนดูว่าบริเวณนั้นบริเวณนี้เคยเป็นอะไรมาก่อน แล้วทั้งคู่ก็บรรลุถึงมหาวิหารซึ่งตั้งตระหง่านเหมือนเมื่อครั้งอดีตกาล เพียงแต่บริเวณโดยรอบปกคลุมด้วยต้นไม้และเถาวัลย์ ตัวอาคารเองก็เก่าโทรมลงมากแล้ว

                ศารทูลพาหล่อนเดินขึ้นบันไดจนมาหยุดยืนอยู่หน้าเทวรูปพยัคฆ์หน้าวิหารซึ่งบางส่วนหักพังลงมากองอยู่ที่ฐาน เขาชี้ที่จุดหนึ่งบนบันได

                “เจ้าตายตรงนั้น”

                หล่อนมองตาม ภาพของระกาเด่นชัดในความทรงจำ

                “แต่ตอนนี้เจ้ากลับมาแล้ว กลับมาเพื่อปลดปล่อยข้า”

                ทั้งคู่เดินต่อไปอีกจนกระทั่งเข้าสู่ตัวมหาวิหาร เทวรูปพยัคฆายังเด่นเป็นสง่าดุงเดิม เสมือนว่ากาลเวลาไม่อาจที่จะทำอะไรกับเทวรูปเทพปิศาจได้ ตอนนั้นเองที่ร่างของชัชวาลกระตุกสั่นแล้วล้มลงกองแน่นิ่ง ส่วนจอมขวัญเองก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนบางสิ่งบางอย่างกำลังพุ่งทะยานออกมาจากช่องท้องแล้วก็หลุดพรวดออกจากร่างของหล่อนไป วิญญาณเสี้ยวที่แฝงอยู่กับหล่อนกลับไปหาเจ้าของมันแล้ว หญิงสาวทรุดตัวนั่ง มึนงงระคนคลื่นไส้เล็กน้อย หล่อนหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน

                หล่อนได้ยินเสียงฝีเท้าจึงลืมตามองอีกครั้ง ศารทูลกำลังเดินออกมาอย่างช้าๆ คราวยี้เจ้าปิศาจอยู่ในร่างของตนเอง มันอยู่ในชุดยาวคลุมเท้าสีออกดำคล้ำ ใบหน้านั้นซูบตอบเล็กน้อยแต่ยังคงความเป็นมนุษย์ เจ้ามนุษย์กึ่งปิศาจอาศัยอยู่ที่นี่มาตลอดหลายร้อยปี มันแสยะยิ้มเมื่อเห็นหน้าหล่อน

                “ข้าขอต้อนรับเจ้ากลับสู่บ้านเก่าระกา”

                หญิงสาวไม่ได้ตอบอะไร มันจึงพูดต่อ

                “ข้ารอคอยเจ้ามาเนิ่นนาน บัดนี้ถึงเวลาที่ข้าจะเป็นอิสระเสียที” มันหยุดเล็กน้อย “เจ้าจงพักผ่อนเสียก่อนเถิด เมื่อจันทราสถิตกลางฟ้า ข้าจะมาหาเจ้าอีกครั้ง เจ้ายังคงสวยงามไม่เคยเปลี่ยน”

                ศารทูลเดินลับหายไปในความมืดแล้ว จอมขวัญอดไม่ได้ที่จะขนลุก หล่อนมองรอบๆแล้วคิดเปรียบเทียบกับภาพในความฝัน ทุกอย่างยังคงเดิมเพียงแค่แลดูเก่าโทรมเท่านั้น หญิงสาวสะดุ้งเล้กน้อยเมื่อชัชวาลร้องขึ้นเบาๆ หล่อนถลาเข้าไปหาคนสนิทของพี่ชาย พอเงยหน้าของชัชวาลขึ้น หล่อนก็พบว่าใบหน้านั้นซีดเซียวไร้สีเลือด หล่อนนวดคลึงจนกระทั่งชัชวาลเริ่มรู้สึกตัว เขาลืมตาตื่น

                “คุณขวัญ” น้ำเสียงนั้นแหบแห้ง แต่จอมขวัญกลับยินดี อย่างน้อยหล่อนก็มีเพื่อนร่วมชะตากรรมและชัชวาลก็อาจจะเป็นทางรอดเดียวของหล่อนในเวลานี้

               

                เสือสมิงวิ่งเข้ามาเร็วเกินกว่าที่ทั้งสองคนจะทำอะไรได้ อีกไม่เกือบสามเมตรเสือร้ายจะเข้าถึงตัว วันชัยตัดสินใจผลักร่างของชานนท์ไปทางด้านขวาแล้วถีบตัวทิ้งไปทางด้านซ้าย เสือปิศาจทะยานผ่านคนทั้งคู่แล้วชนเข้ากับกองหน้าของช้างผีสิงดังสนั่น เจ้าช้างร้ายจับร่างของมันแล้วเหวี่ยงลอยไปในอากาศ ช้างตัวอื่นเองก็ชะงักเช่นกัน วันชัยข่มความจุกลุกขึ้นได้ก็วิ่งกะเพลกไปลากตัวหัวหน้าของเขา ชานนท์หันกลับไปดู สมิงกับช้างผีสิงยังคงต่อสู้กันอยู่อย่างเอาเป็นเอาตาย

                “แข็งใจหน่อยครับผู้ช่วย อีกนิดเดียวก็เข้าเขตหุบสมิงแล้วครับ”

                ทั้งคู่เคลื่อนที่ไปข้างหน้าจนถึงเขตแนวป่าค่อนข้างหนาทึบนั้น เมื่อเข้าใกล้จึงพบว่าแท้จริงแล้วบริเวณนั้นเป็นเสมือนช่องเขาขาดที่รกเรื้อด้วยพุ่มไม้เถาวัลย์ปกคลุมจนมองไม่ออก มีทางสายเล็กทอดนำสู่เบื้องหน้า วันชัยชะงักแล้วชี้ให้ชานนท์ดู รอยเท้าเล็กของผู้หญิงปรากฏสี่ห้ารอย

                “คุณขวัญ”

                “ผมไม่แน่ใจครับ แต่เรารีบไปก่อนที่ไอ้พวกนั้นจะตามมาดีกว่าครับ”

                ทั้งคู่เร่งฝีเท้าเท่าที่กำลังจะอำนวย เดินเข้าสู่ความรกทึบร่มเย็น มันทั้งเย็นและมืดอย่างประหลาด คล้ายกับเสมือนมีหลังคาหรือบางอย่างบดบังดวงตะวันเอาไว้ จากที่มืดเพราะเมฆฝนอยู่แล้วเลยยิ่งมืดมิดเข้าไปอีก ทางเล็กนั้นยาวเกือบสองร้อยเมตร เสียงการต่อสู้ของสัตว์ทั้งสองเงียบหายไปนานแล้ว พวกเขาเกือบจะเข้าสู่อาณาเขตของหุบสมิงแล้วตอนที่ลมพัดมาจากทางด้านหลังนำพาเอากลิ่นสาบสางอันคุ้นชินมาด้วย ชานนท์หันขวับกลับทันที สมิงในสภาพบาดเจ็บเล็กน้อยกำลังแยกเขี้ยววิ่งตรงเข้ามาหาทั้งคู่ ไม่มีช้างป่าแม้แต่ตัวเดียวตามมันมา คราวนี้พวกเขาไร้ที่กำบัง

                กระเป๋าสะพายของชานนท์สั่นสะท้านอย่างแรง ผู้ช่วยหนุ่มนึกขึ้นได้ถึงมีดอาคม เขาปลดเป้แล้วหยิบมีดขึ้นมากำแน่น ทันทีที่ถือมีดอาคม บรรยากาศขมุกขมัวมืดหม่นก็ค่อยจางหาย เมฆดำสลายอย่างรวดเร็ว เจ้าสมิงเองก็ผ่อนฝีเท้าอย่างขยาดหวาดกลัว มันหยุดเท้าในระยะที่ปลอดภัยกับตนเอง ส่งสายตาอาฆาตมาดร้ายมาที่ทั้งคู่ ก่อนจะกระโจนพรวดขึ้นเนินชันด้านข้างแล้วหลบหายในดงทึบ วันชัยถอนหายใจเฮือกแล้วเร่งให้เขาเดินทางต่อ

                “ไปต่อครับผู้ช่วย”

                ทั้งคู่เดินต่อจนกระทั่งพ้นทางแคบมาได้ เบื้องหน้าของเขาคือลาดเนินซึ่งปกคลุมด้วยป่าทึบสลับทุงหญ้าเป็นระยะ ห่างออกไปไกลๆมหาวิหารพยัคฆาปรากฏเด่นชัด วันชัยถึงกับงุนงง

                “ผมเคยมาลาดตระเวณที่หุบสมิงหลายครั้งแต่ไม่เคยเห็นสิ่งนั้นเลย”

                เขาชี้มหาวิหาร ชานนท์เองก็ได้แต่ขมวดคิ้ว

                “พี่ชัยแน่ใจว่าไม่เคยเห็น”

                “โธ่ผู้ช่วย ถ้าเคยมีคนเห็นก็ต้องมีการรายงานแล้วสิครับ ปราสาทนั่นก็ออกจะใหญ่โต”

                “มหาวิหารพยัคฆา” ชานนท์พูดชื่อออกมาเบาๆ วันชัยสงสัย

                “อะไรนะครับผู้ช่วย”

                ชานนท์หลุดจากภวังค์

                “ไม่มีอะไรพี่ชัย เราไปกันต่อเถอะครับ ไปที่อาคารนั้นแหละ”

                วันชัยเพียงพยักหน้ารับแล้วเดินต่อ เพียงพ้นทางเลี้ยวเบื้องหน้า ร่างของมนุษย์คนหนึ่งก็ยืนกอดอกพิงต้นไม้รอคอยอยู่ก่อนแล้ว จอมภพพี่ชายของจอมขวัญนั่นเอง

 

                ดวงตะวันคล้อยต่ำจนลับทิวไม้ อากาศเย็นเยือกลง จอมขวัญห่อไหล่สะท้าน หล่อนเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ชัชวาลฟัง คนสนิทของจอมภพนั่งฟังพร้อมทั้งใช้เซลล์ประสาททั้งหมดให้เกิดประโยชน์ เขาแทบจะมองไม่เห็นทางรอดของตัวเขาและหญิงสาวเลย

                “งั้นก็แปลว่าเราเหลือเวลาอีกไม่นานที่จะหนีออกจากที่นี่” ชัชวาลพูดขึ้น ความอ่อนเพลียยังคงปรากฏให้เห็นบนใบหน้า

                “ใช่ นายพอมีทางออกมั้ยชัช”

                เขาสั่นหัว

                “ตอนนี้ยังไม่มีครับ เราคงต้องพลิกแพลงไปตามสถานการณ์ แต่ผมเชื่อว่าคงกำลังมีคนตามหาเราอยู่”

                “แล้วเขาจะรู้ได้ยังไงว่าเราอยู่ที่นี่ชัช”

                ลูกน้องของจอมภพนิ่งเงียบไป เขาเองก็จนปัญญาเหมือนกัน ชัชวาลลูบคลำบริเวณหน้าแข็งแล้วยิ้มออกมาอย่างยินดี เขาถลกขากางเกงขึ้น หยิบปืนพกกระบอกจิ๋วขึ้นมาแล้วโบกเบาๆต่อหน้าหล่อน

                “อย่างน้อยเราก็มีปืนนี่”

                “ใช่อย่างน้อยเราก็ยังยืดเวลาได้ออกไปได้อีกสักพัก”

                จอมขวัญพูดอย่างท้อใจแล้วนั่งกอดเข่า โคมไฟเก่าโบราณภายในมหาวิหารลุกพรึ่บขึ้นเอง แสงสว่างสาดส่องทั่วบริเวณ

                “ถึงยังไงเราก็ต้องมีความหวังครับคุณขวัญ ต้องมีหวังเสมอ”

                ชัชวาลพูดทั้งที่ไม่ได้เชื่อถือคำพูดนั้น ทั้งคู่นั่งจับเจ่ารอความตายอย่างทรมาน อีกด้านหนึ่งชานนท์ วันชัย และจอมภพกำลังลัดเลาะพุ่มไม้จนใกล้จะถึงมหาวิหารพยัคฆาแล้ว

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา